คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ ๔ เจรจา
๔
เจรจา
“ทนายฝั่งโน้นบอกว่าพรุ่งนี้เช้าคุณมินตราจะเข้ามาพบคุณใหญ่ที่นี่ครับ” ขจรรายงานด้วยเสียงราบเรียบ ไม่บ่งบอกอารมณ์
เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่หมุนกลับมาในทิศทางที่ควรเป็น ตาคมพราวระยับด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ หากไม่มีแววประหลาดใจให้เห็น
“ขอบคุณครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง”
ขจรถอนใจแผ่วเบาก่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณใหญ่แน่ใจนะครับว่าจะทำแบบนี้จริงๆ ชีวิตแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่เหมาะสมและคู่ควรกับคุณใหญ่มากกว่าลูกสาวเจ้าสัวมานเมฆ บ้านนั้นไม่เหลืออะไรแล้ว”
ริมฝีปากหยักได้รูปกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มเดียวที่เปลี่ยนให้เทพบุตรกลายร่างเป็นซาตานในชั่วพริบตา “ก็แค่สมบัติภายนอกเท่านั้นครับ อย่าห่วงเลย สิ่งที่ผมต้องการจากวรเสนาไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่เป็นสิ่งที่มีค่ากว่านั้นมาก”
ทนายวัยกลางคนมองใบหน้างดงามไร้ที่ติราวเทพบุตรหากแฝงไว้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวที่แม้แต่เขายังตามไม่ทันด้วยความฉงนฉงาย เค้นสมองขบคิดอย่างหนักว่าอะไรที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง และสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่อัครเกียรติมีได้ไม่เท่าเทียมวรเสนาด้วย สักพักดวงตาฉลาดเฉลียวของขจรก็เบิกกว้าง ก่อนจะปรากฏรอยยิ้มชื่นชมออกมา
“ชื่อเสียงและเกียรติยศที่วรเสนาสั่งสมมาจากรุ่นสู่รุ่น”
อชิระเผยรอยยิ้มเยือกเย็นแทนคำตอบ เพียงเท่านั้นขจรก็เสียววูบไปทั่วสันหลัง
‘นักล่า’ รอเวลาตะครุบเหยื่ออย่างใจจดใจจ่อเช่นนี้ ไม่มีทางเสียละ ที่อีกฝ่ายจะรอดพ้นเงื้อมมือไปได้!
“พี่เม!”
น้ำเสียงเข้มข้นที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้เมขลาถึงกับสะดุ้งเฮือก หันขวับไปยังต้นเสียงด้วยความแปลกใจ
มินตราแต่งตัวสวยเฉียบตามสไตล์สาวนักเรียนนอก สีหน้าเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น เดินเข้ามาแย่งสายยางรดน้ำต้นไม้ในมืออีกฝ่ายแล้วโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี
“ไปกับมิ้น”
เมขลาขมวดคิ้ว “ไปไหนคะ?”
มินตราไม่ตอบคำถาม หากฉวยข้อมือเมขลาลากหลุนๆ ไปขึ้นรถคู่ใจของตัวเองหน้าตาเฉย
“เดี๋ยวๆ คุณมิ้น นี่เรากำลังจะไปไหนกันน่ะ”
เมขลาโวยวายขณะถูกอีกฝ่ายดันเข้าไปนั่งแหมะในรถสปอร์ตคันหรูที่เธอไม่คิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้นั่ง
“เจรจา!” มินตราตอบเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้าวฉับๆ ไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับด้วยท่าทีมาดมั่น
เมขลาเบิกตาโตขณะจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของมินตราอย่างกับโดนผีหลอกตอนกลางวันแสกๆ
เธอคิดว่ามินตราน่าจะยังนอนร้องไห้ฟูมฟายเสียสติอยู่ในห้องสักสองสามวันให้พอทำใจได้ ก่อนจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อวรเสนา ไม่คิดว่าหญิงสาวจะรวบรวมสติแล้วคิดอะไรได้ภายในเวลาชั่วข้ามคืน
“ที่คุณมิ้นบอกว่า ‘เจรจา’ หมายความว่ายังไงคะ”
เธอจำได้ว่ามินตราใช้คำนี้จึงอดถามไม่ได้ ด้วยคิดว่าทางออกเดียวที่มีคือการตอบ ‘ตกลง’ เท่านั้น หรือว่าจะฟังผิด
“ไม่เข้าใจภาษาไทยรึไง มิ้นต้องแปลไทยเป็นไทยด้วยเหรอ” อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึงโดยไม่ยอมละสายตาจากถนน
โดนเข้าแล้วไง!
เมขลาถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะถอนสายตาจากคนขับแล้วจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้าแทน แต่การจราจรติดขัดไม่ทันใจทำให้นึกเบื่อจนต้องเบือนหน้าหนีจากภาพนั้น มองโน่นมองนั่นจนไม่รู้จะมองอะไรจึงลดสายตาลงมองหน้าตักตัวเอง
กางเกงขาสั้นสีทึมๆ กับเสื้อยืดคอกลมตัวหลวมโพรกที่สวมอยู่ทำให้เธอเบิกตากว้าง มองสารรูปตัวเองเทียบกับคนข้างๆ แล้วก็อยากร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้น
ก็จะหัวเราะออกได้ยังไง ในเมื่อเธอดูไม่ต่างจากคนใช้ในบ้านเลยสักนิด!
“คุณมิ้น...” เมขลาเรียกเสียงอ่อย
มินตราเหลือบมองคนข้างๆ ด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย “มีอะไร”
“ทำไมพี่ต้องไปกับคุณมิ้นด้วยล่ะ”
“ในฐานะวรเสนาคนสุดท้าย พี่เมบอกให้มิ้นทำอะไรซักอย่างไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นพี่เมก็ควรต้องทำด้วยเหมือนกัน เพราะคุณพ่อเป็นคนส่งเสียพี่เมให้ร่ำเรียนจนจบและมีงานทำอยู่ทุกวันนี้ มิ้นพูดผิดรึเปล่า”
เจอดอกนี้เมขลาจึงอึ้งกิมกี่ไปพักใหญ่ ที่มินตราพูดมาไม่ผิดเลยสักคำ หากเจ้าสัวมานเมฆไม่ส่งเสียให้เธอร่ำเรียนจนจบปริญญาตรี เธอก็อาจต้องเหนื่อยหางานพิเศษทำเพื่อเก็บเงินไว้เรียนภาคค่ำหรือไม่ก็การศึกษานอกโรงเรียน
ต้องยอมรับว่าการที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังด้วยเกรดค่อนข้างดีทำให้เธอไม่ต้องลำบากเดินหางานให้เมื่อยตุ้ม และคงยากที่จะได้งานเงินเดือนดีๆ อย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้
อะไรนะ ‘งาน’ ใช่แล้ว วันนี้เธอต้องไปทำงานนี่!
“คุณมิ้นวันนี้พี่ต้องไปทำงานนะ”
ในนาทีที่นึกได้ก็สายไปแล้วเพราะรถของมินตรามาถึงหน้าตึก ‘อัครเกียรติ’ เป็นที่เรียบร้อย
“ก็โทร. ไปลาสิ จะยากอะไร” คนเอาแต่ใจตอบเพียงเท่านั้นก็ดับเครื่องยนต์แล้วก้าวลงไปยืนรอข้างรถหน้าตาเฉย
เมขลาย่นคิ้ว ทำหน้าเบ้ ไม่อยากตามมินตราลงไปเลยสักนิด แต่ขัดสายตาบังคับแกมข่มขู่ที่อีกฝ่ายเขม้นมองไม่ได้ ทำให้เธอค่อยๆ เปิดประตูรถออกไปอย่างเชื่องช้า
มินตราหยิบแว่นกันแดดสีชามาสวม แล้วก้าวนำเข้าไปในตัวตึกด้วยมาดเนี้ยบ
เฉียบขาดที่ปั้นแต่งมาอย่างดี ในขณะที่เมขลาก้มหน้าก้มตาเดินตามต้อยๆ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าต่อให้ไม่มองใครก็ย่อมต้องมีคนมองเธอเป็นแน่แท้ แต่หญิงสาวก็ยังไม่กล้าสบตาใครสักคน เพราะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายขัดกับสถานที่เป็นอย่างมาก กอปรกับคนเดินนำก็สวยเฉี่ยวระดับนางเอกละครหลังข่าว ทั้งหมดนั่นสามารถเรียกความสนใจจากสายตาได้ทุกคู่เลยทีเดียว
“ฉันมาพบคุณอชิระตามที่นัดไว้” มินตราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะท้อนความเอาแต่ใจในตัวเอง
เลขานุการวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายนิด การแต่งกายของมินตราทำให้พอจะคาดเดาได้ว่าสาวสวยคนนี้น่าจะมาคุยธุระตามนัดจริง หากเมื่อมองเลยไปยังหญิงสาวร่างโปร่งระหงในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดคอกลมที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังแขกสาวก็ชักไม่แน่ใจ จึงต้องเอ่ยถามตามหน้าที่
“ไม่ทราบว่านัดไว้ในชื่อไหนคะ”
“มินตรา วรเสนา” น้ำเสียงที่ตอบกลับติดแววรำคาญไม่ซ่อนเร้น
พรรษาชะงักเล็กน้อย ใช้สายตาคมลอบสำรวจ ‘ว่าที่นายหญิง’ ของอัครเกียรติที่กำลังเป็นทอร์กออฟเดอะทาวน์ในขณะนี้อย่างพิจารณา สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า สวย หยิ่ง เอาแต่ใจ!
“กรุณานั่งรอสักครู่นะคะคุณมินตรา ตอนนี้คุณอชิระมีแขกค่ะ” เลขานุการสาวผายมือไปยังชุดรับแขกด้านหน้า
มินตราชักสีหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยอมนั่งรออย่างสงบ ด้วยตั้งใจว่าวันนี้จะมาขอ ‘เจรจา’ โดยไม่ตกลงสิ่งใดทั้งสิ้น และเธอไม่อยากทำให้คู่กรณีเกิดความไม่พอใจก่อนจะตกลงกันได้
เมขลาลอบถอนใจเมื่อมินตราใจเย็นพอที่จะเป็นผู้รอคอยได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ใจเธอเต้นโครมครามไม่เป็นส่ำ กลัวว่าคุณเลขานุการหน้าห้องจะถูกมินตราวีนเข้าให้ ขืนเป็นอย่างนั้นมีหวังการเจรจาล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มเป็นแน่
พักใหญ่กว่าที่ประตูหน้าห้องข้างเลขานุการสาวจะขยับแล้วร่างสูงโดดเด่นของใครบางคนก็ปรากฏให้เห็นเต็มตา เมขลาเผลอมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง ไม่นึกว่านอกจากดารานายแบบแล้วบนโลกใบนี้จะมีมนุษย์ผู้ชายที่หล่อเหลาปานเทพบุตรมาจุติ
ขณะที่มินตราก็มีอาการไม่ต่างกันนัก ร่างสูงที่หยุดชะงักอยู่ระหว่างช่องประตูทำให้เธอต้องลนลานถอดแว่นกันแดดเพื่อจะได้เขม้นมองอีกฝ่ายให้ชัดเจนพร้อมกันนั้นอุณหภูมิในร่างกายก็ค่อยๆ สูงขึ้นตามระดับอารมณ์ที่ปะทุอยู่ในอก
ไม่ผิดแล้ว รูปร่างอย่างนี้ หน้าตาแบบนี้ ไอ้หัวขโมย!
อติยะตื่นตะลึงจนแทบลืมหายใจ เมื่อสาวสวยที่นั่งบนโซฟารับแขกสีดำเหวี่ยงแว่นกันแดดทิ้งอย่างไม่แยแสแล้วพรวดพราดเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าถมึงทึงคล้ายหมีขั้วโลกที่อยู่ในภาวะโกรธจัด
“แก...ไอ้หัวขโมย!”
มินตรากัดฟัน จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
ท่ามกลางความตกตะลึงของพรรษาและเมขลา กระเป๋าสะพายใบหรูในมือของมินตราก็ถูกเขวี้ยงไปสุดแรงอย่างลืมราคาพร้อมเสียงตะโกนก้อง
“อย่าอยู่เลยแก!”
“เฮ้ย!!!” อติยะร้องเสียงหลง คว้าอาวุธของหญิงสาวไว้ได้อย่างทันท่วงที แต่พอลดมือลงเพื่อมองคู่กรณีก็เห็นเธอกัดฟันแยกเขี้ยวอยู่ในท่าพร้อมรบเต็มกำลัง เมื่อร่างบางพุ่งเข้ามา เขาก็โยนกระเป๋าทิ้งแล้วโกยอ้าวแบบไม่คิดชีวิต
“จะหนีไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ วันนี้คือวันตายของแก!”
มินตราแผดเสียงขู่อย่างลืมตัว ถลาตามร่างสูงที่เผ่นไปทางบันไดหนีไฟโดยลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง ด้วยขณะนี้สติสัมปชัญญะถูกครอบงำด้วยโทสะจนมิด
“เดี๋ยวก่อนคุณมิ้น จะไปไหน” เมขลาร้องตามเมื่อนึกได้ว่าควรจะทำอะไร หญิงสาวขยับจะออกวิ่ง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
เสียงทรงพลังและมีอำนาจราวกับจะสามารถสะกดทุกสิ่งทุกอย่างให้ตกอยู่ภายใต้อาณัติแห่งความเฉียบขาดนั้นได้ทำให้เมขลาชะงักกึก รีบติดเบรกที่เท้าจนหัวแทบคะมำ ค่อยๆ หันกลับมายังต้นเสียงอย่างไม่มีทางเลี่ยง หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ด้วยความตื่นเต้นแกมวิตก ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย
“ผมถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?” เสียงห้าวดุของอชิระดังขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงสง่ายืนกอดอก จ้องคนแปลกหน้าด้วยสายตาขุ่นเคือง แกมหงุดหงิด ยิ่งเห็นการแต่ง
ตัวง่ายๆ ขัดกับสถานที่เหมือนคนไม่รู้กาลเทศะของเธอก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น
เมขลาสะดุ้งเฮือก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของเสียงอย่างขลาดกลัว แต่เมื่อดวงตากลมใสสบกับนัยน์ตาสีเข้มขุ่นของเขาอย่างจัง เธอก็ถึงกับเบิกตา อ้าปากค้างไปสามวินาที ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ เขม้นมองเขาใหม่อีกที คิ้วเรียวย่นจนแทบชิดกัน เหลือบมองไปทางบันไดหนีไฟสลับกับใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรที่ยืนถมึงทึงอยู่ตรงช่องประตูด้วยความมึนงง
อชิระขมวดคิ้ว เขม้นมองหญิงสาวแปลกหน้าด้วยสายตาคุกคามปนตำหนิ ยิ่งเธอไม่ตอบ เขาก็ยิ่งหงุดหงิดรำคาญใจ หันไปสอบถามเอากับเลขานุการสาวใหญ่ที่ยืนอึ้งอยู่หลังโต๊ะทำงานแทน “ว่าไงครับคุณพรรษา นี่มันเรื่องอะไรกัน”
พรรษาได้สติในจังหวะนั้น มองเจ้านายสลับกับหญิงสาวแปลกหน้าที่เธอเองก็ไม่รู้จักอย่างงุนงง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก “เธอมากับคุณมินตราค่ะ”
คิ้วเข้มขมวดมุ่น สีหน้าเรียบดุผ่อนคลายลงเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงเรียบ “แล้วมินตราไปไหน”
สองสาวหันมามองตากันปริบๆ ก่อนที่เลขานุการสาวจะเป็นฝ่ายตอบ
“วิ่งตามคุณเล็กไปแล้วค่ะ”
“ว่าไงนะ?” เสียงถามสะท้อนความแปลกใจ สีหน้าฉายรอยฉงน จ้องคนตอบเขม็ง
อีกฝ่ายอึกอัก หันไปขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวอีกคน
เมขลากะพริบตาปริบๆ เม้มปากแน่น ขณะมองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างจนปัญญา
ก็จะให้เธอตอบว่าอย่างไรล่ะ ในเมื่อเธอเองก็ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
อชิระเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบห้วน “เข้ามาคุยกันข้างใน”
พูดจบเขาก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานอย่างรวดเร็ว
เมขลายังไม่หายงง ยืนหันซ้ายหันขวาด้วยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
“รีบตามคุณอชิระเข้าไปสิคะ”
เมขลาขมวดคิ้ว พรรษาจึงย้ำอีกครั้งอย่างใจเย็น หากแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาด
“รีบไปสิคะ คุณอชิระไม่ชอบเป็นฝ่ายรอคอย”
เมขลาเบิกตากว้าง จิ้มนิ้วที่หน้าอกตัวเองอย่างหวาดหวั่น อีกฝ่ายพยักหน้าจริงจัง บอกให้รู้ว่าเธอเข้าใจถูกต้องแล้ว
หญิงสาวใจแป้ว หน้าแหย เอ่ยถามเสียงละห้อย “ทำไมฉันต้องเข้าไปด้วยคะ”
พรรษาย่นคิ้ว สีหน้าประหลาดใจ “คุณไม่ได้มาคุยธุระกับคุณอชิระหรอกเหรอคะ”
เมขลากะพริบตางงอีกรอบ สมองทบทวนคำพูดของเลขานุการสาวใหญ่อย่างหนัก สักพักก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเป็นคำรบที่สอง ก่อนจะหลุดคำพูดแผ่วเบาออกมาจากริมฝีปากอย่างไม่แน่ใจ
“อชิระ อัครเกียรติ?”
สาวใหญ่กอดอก ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย พยักหน้า แววตาจริงจังสุดฤทธิ์ ก่อนจะผายมือไปยังบานประตูที่ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาปานเทพบุตรหายลับไป
เมขลาจ้องมองประตูบานนั้นอย่างพรั่นพรึง ลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ นึกสงสัยว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามินตราต้องการเจรจาอะไรกับเจ้าหนี้ ตอนนี้คนที่อยากเจรจาก็ดันมาหายตัวไปเสียอีก
เธอควรจะกลับไปก่อนดีกว่าไหม?
“เข้าไปเถอะค่ะ คุณอชิระไม่ได้มีเวลาให้ใครทั้งวันนะคะ”
พรรษาเตือนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดติดแววรำคาญ เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมขยับเขยื้อนเธอจึงหมดความอดทนเสียเอง เดินไปรุนหลังแขกสาวให้ก้าวไปข้างหน้า
มัวชักช้าอยู่นั่น เดี๋ยวระเบิดได้ลงกันพอดี!
เมขลาหน้าเหวอ จ้องคุณเลขาฯ ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ยกไม้ยกมือขึ้นปัดไหวๆ พลางส่ายหน้าดิกแทนคำปฏิเสธที่ติดอยู่แค่ปลายลิ้นหากไม่สามารถพูดออกมาได้ นาทีที่เสียงกำลังจะเปล่งผ่านลำคอ ประตูก็เปิดออกแล้วร่างของเธอก็ถูกส่งเข้ามายืนด้านในอย่างเรียบร้อย
“มาแล้วค่ะคุณใหญ่” พรรษาเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมตามด้วยเสียงประตูปิดอย่างรวดเร็ว
เธออ้าปากค้าง เอื้อมจะเปิดประตูแล้วถือโอกาสชิ่งให้เร็วที่สุด แต่มือแตะอยู่เพียงลูกบิดเท่านั้นก็ต้องชะงักกึกเหมือนคนโดนสาป เมื่อเสียงทรงพลังดังขึ้น
“มินตราไปไหน?”
หญิงสาวได้แต่หดคอ ค่อยๆ หันมาเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงกระชากขวัญอย่างไม่มีทางเลี่ยง
เจ้าของห้องยืนอวดร่างสูงสง่างาม หันข้างให้แขก มองผ่านบานกระจกใสออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก ดูผิวเผินเหมือนจะสงบเงียบและเยือกเย็นราวผืนน้ำไร้คลื่นรบกวน แต่หากมองให้ลึกอีกนิดจะรู้ว่ามีคลื่นใต้น้ำซ่อนอยู่อย่างเงียบเชียบ
เมขลายืนเคว้งอยู่หน้าประตู ความเรียบหรูในการตกแต่งภายในกอปรกับความสง่างามในตัวของผู้เป็นเจ้าของ ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าเธอเป็นเพียงสิ่งเดียวในห้องนี้ที่ดูไม่เข้าพวกเอาเสียเลย นั่นยิ่งก่อให้เกิดความอึดอัดลำบากใจทบทวี เมื่อสำนึกได้ว่าตอนนี้เธอกำลังเผชิญหน้ากับผู้พิพากษาที่มีสิทธิ์ตัดสินชะตาชีวิตทุกคนในบ้านวรเสนา และเธอก็เปรียบเสมือนตัวแทนของพวกเขา
แต่เอาเถอะ ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว เธอควรต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อวรเสนาบ้าง!
คิดได้ดังนั้นก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก เริ่มการเจรจาด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ “เรื่องหนี้สินของวรเสนา...”
ร่างสูงหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาว เสียงห้วน ห้าว แฝงความไม่พอใจขัดแทรก ก่อนที่เมขลาจะพูดจบประโยค
“กลับไปบอกคนที่บ้านวรเสนาว่างานแต่งระหว่างฉันกับมินตราจะจัดขึ้นในวันที่หนึ่งเดือนหน้า หากไม่ตกลงตามนี้ พวกเขามีเวลาเก็บของสองสัปดาห์ จากนั้นก็ไสหัวออกไปให้หมด!”
หญิงสาวผงะ หน้าเหวอ อ้าปากค้างด้วยนึกไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจรวดเร็ว ไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งที่เธอยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ
ยังไม่ทันได้เจรจาก็ตัดสินซะแล้ว แบบนี้มันเกินไปหน่อยมั้ง!
“คุณไม่มีเหตุผลเลยนะคะ ไม่ว่าจะเก็บของแล้วไสหัวออกไปจากวรเสนา หรือแม้แต่การเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวก็เถอะ เวลาแค่สองอาทิตย์ใครจะไปเตรียมตัวทัน จะพูดอะไรก็นึกถึงความเป็นจริงบ้าง รู้จักเห็นใจคนอื่นหน่อยสิ ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าคุณเป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าได้ยังไง นิสัยกร่าง เที่ยววางอำนาจ ไร้เหตุผล รังแกคนไม่มีทางสู้แบบนี้” หญิงสาวเชิดหน้า ยอกย้อนอย่างไร้ความหวั่นเกรง นาทีนี้ความโมโหชนะเหตุผลขาดลอย ลืมนึกถึงฐานะและสถานการณ์เลวร้ายที่จะตามมาโดยสิ้นเชิง
พวกคนรวย ชอบวางอำนาจ รังแกคนไม่มีทางสู้ เกลียดนัก!
อชิระเลิกคิ้ว ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มเหี้ยม นัยน์ตาคมฉายแววดูหมิ่น เขม้นมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจดเท้าโดยไม่สงวนท่าทีแม้แต่น้อย สีหน้าบอกชัด เธอกับเขามันคนละชั้น!
“กลับไปบอกคนที่นั่นตามนี้” เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแล้วหันหลังให้หญิงสาว เดินไปนั่งเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานด้วยท่าทียโสทว่าสง่างาม ไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ หรือรู้สึกเช่นใดต่อการกระทำและคำพูดของเขา
ในเมื่อวรเสนาช่างอวดดี หยามอัครเกียรติด้วยการให้เด็กในบ้านมาเจรจาแทนมินตรา หากเขาจะสั่งสอนให้พวกผู้ดีเก่าตระหนักรู้ถึงฐานะของตัวเองเสียบ้าง แล้วมันผิดตรงไหน?
เมขลาเม้มปาก กำหมัดแน่น เดินกระแทกส้นเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว สองมือตบโต๊ะทำงานปังใหญ่ ไม่สนใจจะรักษามารยาทอีกต่อไป ในเมื่อเขาเองก็ไม่มีมารยาทกับเธอ หากเธอทำบ้าง ผิดด้วยหรือ?
“ทำแบบนี้ไม่โหดร้ายไปหน่อยรึไง เรายังไม่ได้เริ่มเจรจากันเลยแต่คุณกลับตัดสินใจเองคนเดียว”
ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งจัด ตาคมขุ่นคลั่กด้วยโทสะตวัดขึ้นจ้องอีกฝ่ายทันควัน ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครว่าเขาฉอดๆ แบบนี้มาก่อน และโดยเฉพาะคนที่เป็นเพียง ‘เด็กรับใช้’ ด้วยแล้ว ยิ่งไม่น่าให้อภัย!
“เจ้าหนี้คงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับเด็กรับใช้ของลูกหนี้ รีบกลับไปซะ” น้ำเสียงเรียบเข้มเอ่ยผ่านริมฝีปากได้รูป
หญิงสาวเชิดหน้าอย่างดื้อรั้น “ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
นิ้วเรียวสวยราวอิสตรีกดอินเตอร์คอมในขณะที่ดวงตาคมยังคงจับจ้องหญิงสาวด้วยแววดูถูกไม่ซ่อนเร้น
“คุณพรรษาครับ ช่วยเรียกยามมาจับผู้หญิงคนนี้ออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้เลย!”
เมขลาถึงกับหน้าม้าน อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงนานนับนาที ดวงตาที่เคยสดใสอยู่เป็นนิจบัดนี้ขุ่นมัวด้วยโทสะยากระงับ
“คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับฉันนะ!”
เขากล้าดียังไงมาตัดสินว่าเธอ ‘เป็น’ หรือ ‘ไม่เป็น’ อะไร ทั้งที่ไม่รู้จักกัน หรือหากเธอเป็นเด็กรับใช้จริงแล้วยังไง เขามีสิทธิหยาบคายกับคนที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าทุกคนงั้นหรือ?
ชายหนุ่มไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ สีหน้าบอกชัด
เธอต่ำต้อยเกินกว่าที่เขาจะเสียเวลาใส่ใจ!
เมขลาฉุนขาด จ้องหน้าเขาอย่างโมโห รู้สึกคับแค้นใจสุดบรรยาย นึกอยากท้าทายอีกฝ่ายขึ้นมาดื้อๆ เธอกอดอก ปักหลักต่อต้านคำสั่งด้วยการนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขานั่นแหละ
อชิระหรี่ตามองหญิงสาวอย่างดูถูก ในขณะที่เธอจ้องตอบอย่างไม่ยอมแพ้ ต่างคนต่างก็ไม่มีใครยอมใคร สงครามสายตาดำเนินไปสักพัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคน
พวกเขาก้มศีรษะทำความเคารพเจ้านาย แล้วจ้องมอง ‘วัตถุแปลกประหลาด’ เพียงหนึ่งเดียวภายในห้องด้วยสีหน้างุนงง
หญิงสาวใจหายวาบ แต่ยังสาดแสงวาวโรจน์ในดวงตาใส่มนุษย์ใจดำที่นั่งเต๊ะท่าอยู่หลังโต๊ะทำงานอย่างแค้นเคือง
“คุณทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ!”
“ลากตัวผู้หญิงคนนี้ออกไปจากตึกอัครเกียรติ...เดี๋ยวนี้!” คำสั่งเฉียบขาดดังขึ้นอย่างไม่แยแส
เมขลามองเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนด้วยสายตาวิงวอนแต่ไม่เป็นผล พวกเขาสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะก้มศีรษะน้อมรับบัญชาเจ้านายแล้วเข้ามาหิ้วปีกหญิงสาวขึ้นจากเก้าอี้คนละข้าง
“ปล่อยนะ ปล่อยฉัน!” หญิงสาวโวยวายพร้อมดิ้นรนขัดขืนแต่สู้กำลังของชายฉกรรจ์ทั้งสองคนไม่ได้จึงถูกหิ้วปีกออกจากห้องทำงานของอชิระอย่างง่ายดาย
เธอจ้องหน้าคนใจดำอย่างอาฆาต กัดฟันด่าเขาด้วยความคับแค้นที่อัดแน่นในใจไปตลอดทางจนกระทั่งถูกหิ้วออกมาทิ้งที่หน้าตึกอัครเกียรติท่ามกลางสายตาผู้คนนับร้อยคู่
“รีบกลับไปเถอะคุณ อย่าคิดต่อกรกับคุณอชิระเลย เสียเวลาเปล่า แถมยังจะเจ็บตัวฟรีอีกด้วย”
หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่จับเมขลาโยนออกมาบอกด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ
เมขลากัดฟันกรอด เงยหน้ามองขึ้นไปบนยอดของตึกสูงเสียดฟ้า หรี่ตาด้วยความเจ็บใจแกมแค้นเคืองที่คิดว่าชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีวันลืม
“คนใจร้าย ใจดำ หน้าเลือด น่ารังเกียจที่สุด จำไว้เลยนะ ฉันเกลียดคุณ!”
ความคิดเห็น