ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic NCT] - Anonymous - {MarkNo}

    ลำดับตอนที่ #5 : [OS] Why I Like You {Mark x Jeno}

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ย. 59


    Why I Like You {Mark x Jeno}

     

    “เยริ เธอผลักประตูเข้าไปสิ เธอเป็นคนนัดสัมภาษณ์มินฮยองที่ชมรมถ่ายรูปไม่ใช่รึไง”

     

    “แต่รุ่นพี่เป็นประธานชมรมหนังสือพิมพ์นี่คะ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นหน่วยกล้าตายคนแรกก็ควรจะเป็นจูฮยอนนูนานี่นา”

     

    “จะบ้าเหรอ ลืมไปแล้วรึไงว่าแฟนเก่านูนาก็อยู่ชมรมนี้เหมือนกัน ถ้าเปิดประตูเข้าไปเจอจะว่ายังไงล่ะ”

     

    ผลั่ก!

     

    เสียงประตูที่ถูกผลักออกอย่างแรงหยุดบทสนทนาของสองสาวชมรมหนังสือพิมพ์ได้เป็นอย่างดี ทั้งจูฮยอนและเยริพากันเงียบกริบขณะที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเอื่อยออกมาจากห้องชมรม เจ้าของร่างผอมบางคงเดินเป็นวิญญาณออกไปหาอะไรกินข้างนอกแล้วถ้าหากไม่สะดุดสายตากับเด็กสาวสองคนที่ยืนเด๋อด๋าอยู่หน้าห้องชมรมเข้าก่อน

     

    “มาหาใครรึเปล่าครับ” เขาเอ่ยถามอย่างใจดี คำถามที่ทำให้สองสาวชมรมหนังสือพิมพ์ต่างมองหน้ากันก่อนที่เด็กสาวอายุน้อยกว่าจะถูกหัวหน้าชมรมกดดันให้ตอบคำถามนี้เสีย

     

    “เอ่อ... พวกเรามาหาลี มินฮยองน่ะค่ะ เขาอยู่ข้างในรึเปล่าคะ”

     

    “มาร์คฮยองงั้นเหรอ?” เยริพยักหน้ารับ ในขณะที่จูฮยอนรีบเสริมต่อทันที

     

    “พอดีเราได้ยินมาว่ามินฮยองเพิ่งได้รับรางวัลภาพถ่ายยอดเยี่ยมของปีนี้มา ชมรมหนังสือพิมพ์ก็เลยอยากจะสัมภาษณ์เขานิดหน่อยน่ะ ช่วยไปตามเขาออกมาหน่อยได้ไหม”

     

    “ความจริงแล้วผมก็อยากไปตามให้อยู่หรอกนะ” สีหน้าลำบากใจของเด็กหนุ่มร่างผอมบางกำลังทำให้จูฮยอนและเยริใจเสีย และมันก็ยิ่งตอกย้ำให้ชัดเจนด้วยคำเอ่ยต่อมา “แต่วันนี้มาร์คฮยองไม่เข้าชมรม ผมเองก็ไม่รู้ไปตามเขาได้ที่ไหนเหมือนกัน”

     

    “ได้ยังไงกันล่ะ! เมื่อวานเขาบอกกับฉันเองนี่ว่าให้มาเจอกันที่ชมรมถ่ายรูปหลังเลิกเรียน”

     

    เยริรีบเอ่ยแย้งอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก จะไม่ให้เธอหัวร้อนได้ยังไงกันก็ในเมื่อลี มินฮยองคนนั้นสัญญาไว้ดิบดีและเด็กสาวก็มั่นใจว่าไม่ได้จำวัน เวลา และสถานที่ผิดแน่ๆ

     

    “ฮะฮาฮ่าๆ ถ้าอย่างนั้นพวกคุณคงถูกมาร์คฮยองหลอกแล้วล่ะครับ วันนี้พวกเรายังไม่เห็นรายนั้นเลยแม้แต่เงา”

     

    “พอจะรู้ไหมคะว่าเขาจะไปหลบอยู่ที่ไหนได้บ้าง” เยริเร่งเร้า เด็กสาวไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบสายตาไปมองคนข้างตัวเพราะรู้ดีว่าจูฮยอนนูนาคงหัวเสียอยู่ไม่น้อย แน่ล่ะ พรุ่งนี้จะเป็นวันปิดต้นฉบับหนังสือพิมพ์ประจำเดือนของโรงเรียน บทความหลายๆ อย่างถูกเรียบเรียง ออกแบบ และจัดวางหน้ากระดาษเรียบร้อยแล้ว จะเหลือก็แต่สกู๊ปพิเศษหนึ่งหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่เยริเป็นคนเสนอให้เป็นบทสัมภาษณ์ของหนุ่มคนดังแห่งชมรมถ่ายรูปอย่างลี มินฮยอง

     

    แต่เธอก็คงลืมไปว่าเด็กหนุ่มคนดังคนนั้นเกลียดกฎเกณฑ์ และชอบทำตามอำเภอใจมากแค่ไหน

     

    “ผมก็อยากจะช่วยอยู่หรอกนะ แต่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยู่ที่ไหน”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    แชะ!

     

    ...        

     

    แชะ!

     

    ความจริงแล้วคำตอบของคำถามเมื่อครู่อยู่ไม่ไกลจากห้องชมรมถ่ายรูปสักเท่าไร แค่ก้าวลงมาจากตึกแปดชั้น เดินเลียบไปตามสนามหญ้าที่มีนักกีฬากลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งสวนมาอย่างแข็งขัน จนสุดที่ต้นแอปเปิ้ลสูงใหญ่ก็จะเจอกับเด็กหนุ่มร่างโปร่งคนหนึ่งที่กำลังยกกล้องถ่ายรูปขึ้นสูงแล้วรัวภาพการแข่งขันเบสบอลอย่างถูกใจนัก

     

    ริมฝีปากหยักขยับรอยยิ้มน้อยๆ ยามที่มือยาวกำลังปรับโฟกัสเลนส์เพื่อจับภาพของลูกเบสบอลที่ลอยละลิ่วอยู่กลางท้องฟ้าตามแรงเหวี่ยงของแบตเตอร์ (คนตีลูก) แสงสีส้มแดงยามเย็นทาบลงบนลูกบอลสีขาวกลายเป็นภาพเงาย้อนแสงชั่วขณะหนึ่งก่อนที่ลูกเบสบอลจะลอยออกไปจนตกนอกสนาม เลนส์กล้องถ่ายรูปจับภาพไปที่นักกีฬาคนหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งไปที่เบสหนึ่ง สอง และสามตามลำดับ ก่อนจะเข้าสู่เบสโฮมเบสสุดท้ายพร้อมกับเสียงตะโกนจากกรรมการว่า โฮมรัน

     

    การแข่งขันยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเสียงนกหวีดบาดหูดังขึ้นบอกการสิ้นสุดของเกมหลังจากทีมเหย้าสามารถเอาชนะทีมเยือนไปได้ด้วยสกอร์ 8:5

     

    มาร์คจ้องมองนักกีฬาประจำโรงเรียนวิ่งเหยาะๆ กลับไปที่ม้านั่งริมสนามผ่านเลนส์ขนาด 60 มม. แต่เขายังรั้งรอไม่ได้กดชัตเตอร์ถ่ายรูปเพราะยังไม่ได้แสงและมุมที่ต้องการ จนกระทั่งใครบางคนเดินเข้ามาอยู่ในเฟรมกล้องพร้อมกับแย้มรอยยิ้มที่สว่างไสวยิ่งกว่าพระอาทิตย์

     

    เพราะแบบนั้นรึเปล่า... ปลายนิ้วยาวถึงได้เผลอกดถ่ายรูปลงไปโดยไม่ทันรู้ตัว

     

    แชะ!

     

    เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นพร้อมกับร่างโปร่งที่สะดุ้งตัวเล็กน้อยราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป มาร์คมองภาพถ่ายในกล้องถ่ายรูปสลับกับเจ้าของรอยยิ้มสว่างไสวที่กำลังกุลีกุจอหยิบน้ำส่งให้กับนักกีฬาเบสบอลของโรงเรียน เด็กหนุ่มในชุดวอร์มสีน้ำเงินตัดขาวที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่กลับดึงดูดสายตาแค่เพียงริมฝีอิ่มคลี่รอยยิ้มหวานเท่านั้น

     

    ยังไงดีล่ะ... จะเรียกว่ายิ้มไปทั้งปากทั้งดวงตาได้รึเปล่า

     

    รอยยิ้มของใครคนนั้นติดตรึงเสียจนยากจะละสายตา เผลอไผลกับความรู้สึกที่คล้ายจะเป็นรักแรกพบจนอดไม่ได้ที่จะยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาโฟกัสภาพของคนที่เป็นจุดรวมสายตาอีกครั้ง ทว่าก่อนที่ปลายนิ้วยาวจะทิ้งน้ำหนักลงบนปุ่มชัตเตอร์ รอยยิ้มสว่างไสวของพระอาทิตย์ก็ถูกบดบังด้วยเมฆหมอกที่บังอาจมายืนบังหน้าเลนส์กล้องอย่างพอดิบพอดี

     

    “นา แจมิน แกมาทำบ้าอะไรตรงนี้วะ!

     

    เมฆหมอกที่ชื่อว่านา แจมิน รุ่นน้องที่ชมรมถ่ายรูปซึ่งกำลังยืนยิ้มเผล่อยู่ตรงหน้า

     

    “ฮะฮาฮ่าๆ ผมต้องถามมาร์คฮยองมากกว่าล่ะมั้งว่ามาทำอะไรที่นี่” รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของแจมินบอกชัดว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องกำลังชอบใจที่ได้กลั่นแกล้งฮยองคนเก่งของชมรมให้ชักสีหน้าหงุดหงิดอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

     

    ใบหน้าหงุดหงิดที่พบได้บ่อยครั้งยามที่มาร์ค ลีถูกขัดจังหวะเวลาถ่ายรูป เพราะฉะนั้นเด็กหนุ่มร่างโปร่งจึงเลือกที่จะไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่ารวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนๆ ไม่ใช่ว่าเขามีมนุษยสัมพันธ์แย่ แต่เพราะรู้นิสัยตัวเองดีว่าเมื่อไรที่เจอสิ่งที่น่าสนใจ เขาก็มักจะหยุดถ่ายรูปเสียนานสองนาน และไม่ชอบให้ใครมาขัดใจนัก

     

    เพราะฉะนั้นการกระทำของแจมินถึงได้น่าหงุดหงิดเป็นที่สุด

     

    “ก็แค่เดินมาเรื่อยๆ จนเจอแมทช์เบสบอลน่าสนใจเข้าเท่านั้นแหละ” มาร์คว่าเสียงขุ่นก่อนจะลดกล้องลงต่ำแล้วดึงสายห้อยมาคล้องคอเพราะรู้ดีว่าการปรากฏตัวของแจมินคงทำให้เขาไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปภาพสวยๆ ของพระอาทิตย์อีกต่อไปแล้ว

     

    “โดดชมรมมาเหรอครับ”

     

    “แกเองก็โดดชมรมมาเหมือนกันแหล่ะน่า”

     

    คำแย้งที่ทำให้รุ่นน้องร่วมชมรมหัวเราะออกมาเบาๆ ทว่าไม่ทันจะได้ตอบอะไร เสียงเรียกจากด้านหลังก็ดึงความสนใจจากแจมินไปซะก่อน

     

    “เฮ้! แจมิน ฉันบอกให้นายไปหยิบสเปรย์คลายกล้ามเนื้อที่ห้องชมรมเบสบอลไม่ใช่รึไง ทำไมยังเอ้อระเหยอยู่ตรงนี้อีกเล่า” ปลายเสียงที่แสนหงุดหงิดบอกชัดถึงอารมณ์ของผู้มาใหม่ได้เป็นอย่างดี มาร์คไม่เห็นใบหน้าของผู้มาใหม่เพราะแจมินยืนบังอยู่ ถึงอย่างนั้นเขาก็พอจะเดาได้ว่านิสัยชอบเถลไถลของเด็กหนุ่มรุ่นน้องคงทำให้อีกฝ่ายหัวเสียอยู่ไม่มากก็น้อย

     

    “ขอโทษ ขอโทษที พอดีเจอรุ่นพี่ที่ชมรมเลยทักกันนิดหน่อยน่ะ เลิกแยกเขี้ยวได้แล้ว ไม่น่ารักเลยนะ เจโน่”

     

    จนกระทั่งร่างสูงของแจมินเบี่ยงตัวหลบ มาร์คจึงได้เห็นใบหน้าของคนที่กำลังหงุดหงิดอย่างชัดเจน

     

    ใครคนนั้นผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มที่สวยงามยิ่งกว่าแสงของพระอาทิตย์

     

    “หืม รุ่นพี่ที่ชมรม... ชมรมถ่ายรูปของนายน่ะหรือ”

     

    คนตัวโตกว่าโอบไหล่ของเพื่อนตัวบางให้ขยับไปข้างหน้าอีกนิด กลายเป็นว่าตอนนี้มาร์คกำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับเด็กหนุ่มสองคนที่ส่วนสูงต่างกันไม่มากนัก เจ้าของดวงหน้าหวานน่ารักหันไปถามเพื่อนสนิทด้วยความสนเท่ห์แตกต่างจากแจมินที่กำลังยิ้มกริ่มขณะสาธยายถึงความโด่งดังของพี่ชายคนเก่งราวกับชนะรางวัลออสการ์ก็ไม่ปาน

     

    “คนนี้คือมาร์คฮยอง คนที่ฉันพานายไปดูภาพถ่ายที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมของปีนี้ที่หอศิลป์ไง นายก็รู้ว่าถ้าไม่เจ๋งจริงคณะกรรมการคงไม่ติดรูปถ่ายของมาร์คฮยองไว้ทั่วหอศิลป์แล้วตั้งฉายาให้ว่าเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากในรอบสิบปีหรอกนะ ”

     

    พรสวรรค์ที่หาได้ยากในรอบสิบปีน่ะหรือ

     

    คำเยินยอที่สุดแสนจะน่าอาย

     

    เพราะลี มินฮยองก็แค่คนคนหนึ่งที่หลงรักการถ่ายรูปมากกว่าใครก็เท่านั้น

     

    กลายเป็นเวลาที่เชื่องช้าราวกับจะหยุดหายใจยามที่ดวงตาใสแจ๋วเคลื่อนจากใบหน้าของเพื่อนสนิทมาหยุดที่ดวงตาสีดำขลับของเขา มาร์คทิ้งสายตามองอีกฝ่ายอยู่นานแล้วแต่รอยยิ้มของพระอาทิตย์คงจะไม่รู้ตัว... ไม่รู้เลยสักนิด

     

    “มาร์คฮยอง คนนี้คือลี เจโน่ เพื่อนสนิทผมเอง เพราะเจ้านี่เป็นผู้จัดการชมรมเบสบอลอยู่ตอนนี้ ผมถึงถูกบังคับให้มาเป็นกรรมกรแบกหามของชมรมเบสบอลชั่วคราวยังไงล่ะ”

     

    “พูดให้มันดีๆ หน่อยแจมิน บังคับที่ไหน เรียกว่าขอความช่วยเหลือต่างหาก” เด็กหนุ่มในชุดวอร์มสีน้ำเงินตัดขาวหันไปเถียงกับเพื่อนสนิทอย่างไม่ยอมแพ้ ใบหน้าหวานบูดบึ้งน่ารักเสียจนน่าหยิก เพราะแบบนั้นแจมินจึงอดไม่ได้ที่จะบีบปลายจมูกโด่งนั่นด้วยความรู้สึกมันเขี้ยว

     

    “ย่าห์ นา แจมิน! นายทำบ้าอะไรเนี่ย”

     

    “โอเคๆ ฉันไปเอาสเปรย์คลายกล้ามเนื้อให้นายแล้ว เลิกทำหน้าเหมือนจะฆ่าฉันได้แล้วนะ เจโน่... มาร์คฮยอง ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่นะครับ”

     

    คนชอบแหย่รีบวิ่งหนีไปก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายไล่ตี แต่ถึงจะวิ่งไปไกลแล้วแจมินก็ยังไม่ลืมหันกลับมาตะโกนบอกลาฮยองคนเก่งของชมรมถ่ายรูปด้วยนิสัยที่ร่าเริงอยู่เป็นนิจ มาร์คขยับรอยยิ้มที่มุมปากเป็นการตอบรับ รอกระทั่งเจ้าของแผ่นหลังกว้างผลุบหายเข้าไปในโรงพละแล้วจึงแอบปรายตาคนตัวบางข้างๆ

     

    ทั้งที่ตั้งใจจะแอบมอง แต่คนข้างตัวก็หันมาสบตาราวกับจะถูกจับได้เอาเสียอย่างนั้น

     

    “เจโน่อ่า มาตรงนี้หน่อยสิ กัปตันมีเรื่องจะคุยเกี่ยวกับการแข่งขันวันนี้น่ะ”

     

    และก่อนที่ใครจะเอื้อยเอ่ยคำพูดอะไร เสียงตะโกนเรียกจากกลุ่มนักกีฬาของโรงเรียนก็ดึงความสนใจของผู้จัดการทีมเบสบอลไปจนหมดสิ้น เจโน่หันมายิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะวิ่งกลับไปยังกลุ่มนักกีฬาทีมเบสบอล ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนคล้อยกันออกไป มาร์คก็ไม่ลืมที่จะหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพด้านหลังของพระอาทิตย์เอาไว้

     

    แชะ!

     

    ภาพสุดท้ายของวันถูกบันทึกลงบนเมมโมรี่ พร้อมกับความคิดหนึ่งที่แวบเข้ามาในความคิด

     

    ความคิดที่ว่า... เขาคงต้องแวะมาที่ชมรมเบสบอลบ่อยๆ ซะแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Why I Like You

     

                จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน ที่มาร์คแวะเวียนมาที่สนามเบสบอลโดยมีข้ออ้างที่เขามักจะบอกแจมินเสมอว่ามาถ่ายรูปชมรมเบสบอลเพียงเท่านั้น แม้จะถูกเด็กหนุ่มรุ่นน้องส่งสายตาล้อเลียนมาราวกับรู้ทัน แต่มาร์คก็ไม่มีทางบอกใครเด็ดขาดว่าสาเหตุที่ทำให้เขามายืนอยู่ที่นี่ ณ ตรงนี้ มันเป็นเพราะเจ้าเด็กตายิ้มที่กำลังเก็บลูกเบสบอลอยู่กลางสนามนั่นต่างหาก

     

    แชะ!

     

    เผลอไผลทีไรก็เผลอใจกดถ่ายรูปเจ้าของรอยยิ้มที่สว่างไสวยิ่งกว่าพระอาทิตย์คนนั้นเอาเสียทุกครั้ง ถ้าลองนับดูจริงๆ แล้วก็คงมีภาพของผู้จัดการทีมเบสบอลตัวบางอยู่เป็นหลายร้อยภาพเลยทีเดียว

     

    “จะไปไหนเหรอ เจโน่ ให้ฮยองช่วยไหม”

     

    กล้องถ่ายรูปถูกปล่อยลงตามแรงโน้มถ่วงและถูกรั้งไว้ด้วยสายห้อยที่คล้องอยู่ตรงลำคอ ในขณะที่ผู้เป็นเจ้าของกำลังเดินตามเด็กหนุ่มตัวบางที่ถือตะกร้าลูกเบสบอลซะใหญ่เกินตัวจนอดห่วงไม่ได้ การที่เราพบหน้ากันทุกวันที่สนามเบสบอลแห่งนี้ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์จากคนที่รู้จักกันตามมารยาทให้สนิทกันมากครั้ง

     

    สิ่งหนึ่งที่มาร์คได้เรียนรู้ก็คือเจโน่เป็นเด็กที่ดื้อตาใสอย่าบอกใครเชียว

     

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่เอาตะกร้าเบสบอลไปเก็บที่โรงพละเอง”

     

    ถึงเจโน่จะพูดแบบนั้น มาร์คก็ยังฉวยเอาหูตะกร้าข้างหนึ่งมาถือไว้ในมือ อีกทั้งยังพูดขัดเสียก่อนที่เด็กหนุ่มรุ่นน้องจะทันได้เอ่ยแย้งอะไร

     

    “มันหนักไม่ใช่หรือ ถ้าช่วยๆ กันถือก็จะได้เหนื่อยน้อยลงไง”

     

    “มาร์คฮยองใจดีแบบนี้เสมอเลยนะครับ”

     

    ใครกันแน่ที่ใจดี...

     

    เจ้าของร่างโปร่งลอบคิดในใจ ในขณะที่ห้วงความคิดหนึ่งเด็กหนุ่มกำลังไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน วันนั้นท้องฟ้าไม่สวยเหมือนอย่างวันนี้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหม่นและสายฝนที่โปรยปรายลงมา มาร์คเดินออกมาจากหอศิลป์พร้อมกับซองภาพถ่ายปึกหนึ่ง

     

    มันเป็นซองภาพถ่ายที่เขาได้รับรางวัลยอดเยี่ยมและถูกจัดแสดงไว้ที่หอศิลป์เป็นเวลา 1 เดือน วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งเดือน เจ้าหน้าของหอศิลป์จึงคืนภาพถ่ายทั้งหมดกลับมาให้ แต่ใครจะนึกว่าพอออกจากหอศิลป์มาไม่ทันไรฝนก็พลันตกพรำลงมาอย่างไม่เป็นอกเป็นใจเอาเสียอย่างนั้น

     

    “อะไรนักหนาวะเนี่ย”

     

      ภาพถ่ายในซองกระดาษสีน้ำตาลร่วงกระจัดกระจายลงบนพื้นทางเดินที่มีน้ำเจิ่งนองในตอนที่มาร์ควุ่นวายกับการเก็บกล้องถ่ายรูปตัวโปรดให้รอดพ้นจากเม็ดฝน แต่กลายเป็นว่ามีแต่กล้องถ่ายรูปที่รอดแต่ภาพถ่ายมาสเตอร์พีชกลับชื้นแฉะไปด้วยละอองฝนเนี่ยสิ

     

    “ปลิวกันเข้าไป จะปลิวไปให้ถึงโซลทาวเวอร์เลยรึไง”

     

    ถึงจะพูดบ่นไปอย่างนั้น เด็กหนุ่มร่างโปร่งก็ยังวิ่งไล่เก็บรูปอัดกระดาษโฟโต้ขนาดเท่ากระดาษ A4 ที่ลอยปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลมอย่างควบคุมไม่อยู่ แต่ไม่ทันไรมือใหญ่ก็จำต้องหยุดการกระทำของตัวเอง เพราะปลายหางตาที่เผอิญไปสะดุดเข้ากับรองเท้าผ้าใบของใครบางคน... ที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

     

    “ให้ผมช่วยนะครับ มาร์คฮยอง”

     

    คนที่เห็นเพียงเงยหน้าขึ้นมองคือรอยยิ้มของพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างจ้าแม้ในวันที่มืดหม่นอย่างวันนี้ มาร์คแน่ใจว่าเขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอีกฝ่ายไป ถึงอย่างนั้นเจโน่ก็ไม่ได้แคร์คำตอบของเขาอยู่แล้ว เด็กหนุ่มตัวบางเลือกที่จะเดินห่างออกไปเพื่อเก็บกระดาษภาพถ่ายที่ปลิวไปตกจนสุดทางเดิน

     

    ค่อยๆ เก็บไปทีละใบเช่นเดียวกับมาร์คที่เก็บรูปถ่ายที่ตกอยู่ตรงหน้าตนเองอย่างเงียบๆ จนกระทั่งแวบหนึ่งที่เผลอเบนสายตาหันไปมองคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

     

    แค่เพียงได้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจเก็บภาพถ่ายหลายสิบใบมากอดไว้แนบอกก่อนที่สายฝนจะทำร้ายพวกมันไปมากกว่านี้ มาร์คก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกสั่นไหวในหัวใจในแบบที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน

     

    หวั่นไหว... เพียงเพราะความใจดีเล็กๆ ที่กำลังสั่นคลอนโลกทั้งใบของใครหนึ่ง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Why I Like You

     

    หมู่นี้ชมรมเบสบอลดูเครียดเป็นพิเศษ นั่นเป็นสิ่งที่มาร์ครู้สึกได้จากการที่คอยถ่ายรูปชมรมเบสบอลมสักพักใหญ่ บรรยากาศรอบตัวนักกีฬาเต็มไปด้วยความกดดันและตึงเครียดซึ่งมันสื่อออกมาชัดเจนผ่านภาพถ่ายที่เด็กหนุ่มร่างโปร่งกดชัตเตอร์ลงไปในแต่ละครั้ง รอยยิ้มที่ค่อยๆ เลือนหายไปในแต่ละภาพยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับใครบางคนที่หายไปตลอดทั้งวัน ทั้งที่วันนี้ชมรมเบสบอลมีซ้อมกันจนมืดค่ำแต่ก็กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้จัดการทีมเบสบอลคนนั้น

     

    หายไปไหนของเขานะ

     

    ทันทีที่แจมินเดินแบกกระติกน้ำใบใหญ่เข้ามาในสนามเบสบอล มาร์คก็รู้ได้ทันทีว่าเขาจะหาคำตอบในสิ่งที่สงสัยอยู่ได้จากใคร ร่างโปร่งวิ่งไปเดินตีคู่กับเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ชวนคุยโน่นนี่ไปเรื่อยก่อนจะวกกลับมาเรื่องที่อยากรู้ในตอนแรก

     

    “วันนี้เจโน่หายไปไหนซะล่ะ ปกติคนที่ดูแลกระติกน้ำใบนี้ยิ่งชีพคือเด็กคนนั้นไม่ใช่เหรอ ฉันก็แค่ถามดูเพราะปกติเขามักจะเป็นคนแรกที่มาถึงก่อนเวลาซ้อมและเป็นคนสุดท้ายที่กลับเสมอ พอวันนี้ไม่เจอหน้า ก็เลยรู้สึกแปลกๆ น่ะ”

     

    มาร์คไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาจะพูดอะไรมากมายให้แจมินจับความรู้สึกของตัวเองได้ไปทำไมกัน ยิ่งพูดไปก็เหมือนจะยิ่งเข้าตัว เพราะคำพูดแต่ละคำมันช่างสะท้อนให้เห็นว่าคนพูดสนใจผู้จัดการทีมเบสบอลตัวบางมากขนาดไหน

     

    “ผมไม่รู้” สายตาล้อเลียนของแจมินบอกชัดว่าเจ้าตัวรู้ทันความคิดของเขา นี่ยังไม่นับรวมถ้อยคำกวนบาทาที่อีกฝ่ายจงใจกวนประสาทชัดๆ “จะไปรู้ได้ยังไงล่ะฮยอง ผมกับเจ้านั่นไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลาสักหน่อยนี่”

     

    “เอางั้นสินะ นา แจมิน ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่แกขโมยโดรนของชมรมถ่ายรูปมาใช้ ฉันก็คงต้องบอกเรื่องนี้ให้...”

     

    “โอเคๆ ผมยอมฮยองแล้วก็ได้ เจโน่น่าจะอยู่ที่สนามหลังโรงพละ แต่ตอนนี้เจ้านั่นจะยังอยู่รึเปล่า ผมก็ไม่รู้หรอกนะ” 

     

    แม้จะรู้ว่าแจมินไม่ได้ยอมแพ้จริงจังเพราะแววตาที่ยังคงต่อล้อต่อเถียงและแฝงไว้ซึ่งอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ ถึงอย่างนั้นฮยองคนเก่งของชมรมถ่ายรูปก็ไม่มีเวลามากพอที่จะสนใจ มาร์คผละจากการพูดคุยกับแจมินทันทีก่อนจะวิ่งย้อนกลับไปทางทิศเหนือ ตามทางเดินที่มุ่งหน้าไปยังโรงพละ

     

    ความคิดถึงอาจจะเป็นส่วนประกอบย่อยของความรู้สึกอื่นๆ ที่ผลักดันให้มาร์ควิ่งตรงไปนั้น

     

    เพราะสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเด็กหนุ่มตอนนี้ก็มีเพียงความคิดว่า...

     

    เจ้าเด็กตายิ้มที่หายไปทั้งวันคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    พระอาทิตย์เลือนหายไปจากท้องฟ้าได้สักชั่วโมงกว่าๆ แล้ว ความมืดที่คืบคลานเข้ามาทำให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา หดหู่ เคว้งคว้าง มาร์คก้าวเท้ายาวไปตามทางเดินซ่อมซ่อด้านหลังโรงพละโดยมีจุดหมายเป็นสนามขนาดย่อมที่ถูกทิ้งและไม่ได้รับการดูแล

     

    เพราะที่นี่ไม่มีไฟสปอตไลท์ติดอยู่เหมือนกับสนามกีฬาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เจ้าของแก้วตาดำขลับจึงจำต้องเพ่งมองไปรอบสนามด้วยความตั้งใจมากกว่าปกติ แต่แม้จะมืดหม่นเพียงไรแสงจันทร์ก็ยังสาดส่องลงมาให้เห็นเสี้ยวหน้าของคนที่หายหน้าไปทั้งวันกำลังทำตัวเป็นพิชเชอร์ (คนขว้างบอล) อยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของสนาม

     

    ฟุบ!

     

    ลูกเบสบอลลอยผ่านหน้าของมาร์คไปอย่างหวุดหวิด มันกระดอนลงบนพื้นหญ้าโดยไม่ได้รับการเหลียวแลจากเด็กหนุ่มคนขว้าง เพราะลี เจโน่กำลังสนใจเจ้าของดวงตาดำขลับที่ยืนอยู่ตรงหน้าซะมากกว่า

     

    “มาร์คฮยอง? มาทำอะไรที่นี่ครับ”

     

    “ฮยองต้องเป็นคนถามเรามากกว่าไม่ใช่หรือว่าทำไมถึงหลบมาอยู่ที่นี่คนเดียว”

     

    คนถูกถามไม่ตอบอะไรนอกจากก้มหน้าลงต่ำ ริมฝีปากสีเรื่อขบเม้มเข้าหากันจนกลายเป็นเส้นเดียวกันแตกต่างจากทุกๆ ครั้งที่กลีบปากอิ่มมักจะคลี่รอยยิ้มสว่างไสวราวกับพระอาทิตย์ อาจเป็นเพราะวันนี้พระอาทิตย์เลือนหายและถูกทดแทนด้วยแสงของพระจันทร์

     

    รอยยิ้มของพระอาทิตย์ที่มาร์คชอบมองมันนักถึงได้จางหายตามไปด้วย

     

    “หลบไปก่อนเถอะครับ มาร์คฮยอง ตอนนี้ผมกำลังฝึกซ้อมอยู่”

     

    มาร์คทำตัวดื้อรั้นด้วยกันไม่หลบไปตามที่คนเป็นน้องร้องขอ ผลของการกระทำของเขาทำให้เด็กหนุ่มตัวบางได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เจโน่หยิบลูกเบสบอลจากพื้นหญ้าขึ้นมาลูกหนึ่งก่อนจะขว้างออกไปสุดแรงที่เขาจะขว้างได้

     

    ฟุบ!

     

    ลูกเบสบอลลูกนั้นคงจะอัดโดนใบหน้าหล่อเหลาเข้าเต็มๆ ถ้าหากมาร์คเบี่ยงตัวหลบไม่ทัน ร่างโปร่งสูงถอยออกมาจากจุดเกิดเหตุประมาณสามสี่ก้าวก่อนจะเอ็ดใส่คนเป็นน้องอย่างไม่จริงจัง

     

    “น้อยๆ หน่อยเจโน่ ปาลูกบอลมาแบบนั้นได้ยังไงทั้งๆ ที่เห็นว่าฮยองยังยืนอยู่ตรงนี้”

     

    “ผมก็บอกมาร์คฮยองแล้วยังไงล่ะว่ากำลังฝึกซ้อมอยู่”

     

    ฟุบ!

     

    ลูกเบสบอลอีกลูกลอยละลิ่วไปตามแรงขว้างของคนพูด ทว่าผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิมเหมือนที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ ลูกบอลสีขาวลอยไปไม่ถึงเป้าวงกลมที่แขวนอยู่ห่างออกไปตรงรั้วเหล็ก พยายามสักเท่าไรก็ไปถึง แต่เจโน่ก็ยังดื้อรั้นที่จะขว้างมันออกไปให้ไกลที่สุดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยมีสายตาของฮยองคนเก่งคอยมองตามอยู่ห่างๆ

     

    มาร์คไม่รู้เหตุผลที่เจโน่แอบมาซ้อมคนเดียวอยู่ที่นี่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระอาทิตย์จอมดื้อรั้นกำลังฝืนตัวเองไปเพื่ออะไร แต่ถ้ามันเป็นความต้องการของคนตรงหน้า เขาก็จะยืนอยู่ตรงนี้ ยืนอยู่ข้างๆ จนกว่าที่การฝึกซ้อมอันยาวนานนี้จะสิ้นสุดลง

     

    กล้องถ่ายรูปตัวโปรดถูกยกขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปของพระอาทิตย์แสนดื้อรั้น แต่เพราะแสงที่มีอยู่น้อยนิดทำให้ภาพที่เห็นผ่านเลนส์ดูพร่าเลือนเต็มทน ตากล้องหนุ่มตัดใจยอมแพ้กับเก็บภาพในมุมที่ไม่เคยเห็นของเจโน่ก่อนจะเปลี่ยนตัวเองมาทำประโยชน์ให้อีกฝ่ายด้วยการช่วยเก็บลูกเบสบอลที่กลิ้งกระจายเต็มพื้นหญ้ามาใส่ไว้ในตะกร้าข้างกายคนตัวบาง

     

    เด็กหนุ่มร่างโปร่งทำแบบนั้นซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเจโน่ที่ยังคงฝึกซ้อมขว้างลูกบอลต่อไปโดยไม่แม้แต่สนใจฝ่ามือของตัวเองที่แตกระแหงจนมีเลือดไหลซิบออกมา กลายเป็นคนพี่ต่างหากที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน เพราะทันทีที่หางตาคมสังเกตเหตุความผิดปกติที่ฝ่ามือของคนน้อง มาร์คก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

     

    หมับ!

     

    “ปล่อยนะครับ มาร์คฮยอง” เจโน่ตวัดมองคนที่จับข้อมือของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มไม่สามารถขว้างลูกบอลไปได้อย่างที่ตั้งใจ เขาหงุดหงิดแต่ก็ทำได้แค่เพียงยืนฮึดฮัดอยู่อย่างนั้นเพราะไม่สามารถสะบัดมือหลุดจากคนที่มีแรงมากกว่าตรงหน้าได้

     

    “พอก่อนดีไหม ดูมือเราสิ แตกจนเลือดออกมาแล้วเห็นไหม”

     

    ถ้อยคำของมาร์คนั้นอบอุ่นไปทั้งใจ แต่คนดื้อรั้นก็ยังทำตัวต่อต้านด้วยการเสตาลงต่ำเพราะไม่อยากรับฟัง

     

    “มันยังไม่พอหรอกครับ เท่าไรก็ยังไม่พอ มาร์คฮยองก็เห็นนี่ครับว่าผมปาลูกเบสบอลไปไม่ถึงเป้าเลยสักครั้ง”

     

    “วันนี้ทำไม่ได้ พรุ่งนี้กลับมาซ้อมต่อก็ยังไม่สาย ตอนนี้ดึกมากแล้วนะ เจโน่ ร่างกายของนายล้าจนจะไม่ไหวอยู่แล้ว รู้ตัวรึเปล่า”

     

    เจ้าเด็กตัวบางที่เริ่มจะอ่อนท่าทีลงทำให้ฮยองคนเก่งกลั้นใจดึงลูกเบสบอลออกจากมือบาง ทว่าก่อนที่มาร์คจะได้สำรวจบาดแผลที่ฝ่ามือของคนเป็นน้อง เจโน่ก็เป็นฝ่ายกำมือนั้นเสียพร้อมๆ กับร่างกายที่พาลจะสั่นเทิ้มเพราะความรู้สึกอ่อนแอที่ถูกกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตา

     

    “ผมรู้ตัวนะฮยองว่าผมไม่ไหวแล้ว ฮึก แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ยิ่งใกล้ฤดูกาลแข่งขันทุกคนก็ยิ่งพยายามฝึกซ้อมกันอย่างหนัก แต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยืนมองอยู่เฉยๆ ยิ่งยืนอยู่ตรงนั้นอยู่ฝ่ายเดียวผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า ฮึก... น่าโมโหตัวเองจริงๆ ทำไมถึงได้เกิดมาเป็นคนอ่อนแอแบบนี้นะ ฮือๆ”

     

    ร่างบอบบางทรุดตัวลงบนพื้นหญ้าราวกับหมดแล้วซึ่งความอดกลั้น ฮยองตัวสูงย่อตัวนั่งลงตามก่อนจะดึงเจ้าเด็กที่น้ำตาไหลไม่หยุดหย่อนมากอดแน่น ดึงเข้ามากอดก่อนที่เจโน่จะทำอะไรที่เป็นการทำร้ายตัวเองอย่างเช่นยกกำปั้นขึ้นทุบตัวเองซ้ำๆ

     

    “เจโน่ที่เป็นแบบนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรสักหน่อย” เสียงอุ่นกระซิบปลอบที่ข้างหู

     

    “ฮึก... มาร์คฮยองไม่มาเป็นผม ไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าการที่ต้องมองกีฬาที่ตัวเองรักอยู่ข้างสนาม โดยไม่สามารถเข้าไปลงเล่นด้วยได้ มันเจ็บปวดขนาดไหน”

     

    มาร์คฟังนิ่ง ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังย้อนนึกไปถึงสิ่งที่แจมินเคยเล่าให้ฟังว่าเจโน่รักกีฬาเบสบอลมากขนาดไหน แต่เพราะสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่เด็กทำให้เจ้าเด็กตัวบางคัดตัวไม่ผ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากความฝันที่อยากเป็นนักกีฬาก็กลายมาเป็นคนเฝ้ามองก่อนจะจับพลัดจับผลูมาเป็นผู้จัดการทีมเบสบอลในช่วยม.ปลายปี 2

     

    “ถึงจะไม่ได้ลงแข่งแต่ฮยองก็เชื่อนะว่าเรามีวิธีช่วยทีมเบสบอลในแบบของเรา กีฬาเบสบอลไม่ได้เป็นกีฬาที่ไม่ได้เน้นการใช้กำลังแต่เน้นไปที่การวางแผนและไหวพริบ ฮยองยังจำได้ดีนะว่ามีเด็กบางคนพูดกับฮยองแบบนั้นด้วยแววตาที่เป็นประกายมากแค่ไหน”

     

     แววตาที่เป็นประกายระยิบระยับยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า... มาร์คชอบมองมันเสมอ

     

    “เด็กบางคนที่เป็นคนคิดแผนการต่างๆ ให้กับทีมเบสบอล จำได้ดีเลยล่ะว่าแผนการของเด็กคนนั้นเคยทำให้ทีมเบสบอลชนะทีมคู่แข่งมาได้อย่างสวยงามแค่ไหน”

     

    “แต่ก็เคยทำทีมแพ้มาแล้วเหมือนกันนี่ครับ” คำพูดต่อล้อต่อเถียงที่ทำให้คนพี่ใจชื้นขึ้นบ้างเพราะเสียงสะอื้นไห้ได้จางหายไปแล้ว มาร์คขยับยิ้มพลางดันไหล่ของคนตัวบางออกห่างเพื่อให้สายตาของเราจ้องสบกัน ในตอนนั้นเด็กหนุ่มถึงได้มองเห็นว่าดวงดาวที่เคยส่องสว่างอยู่ในตาของเจโน่หม่นแสงเสียจนน่าใจหาย

     

    “แพ้ด้วยคะแนนแต้มเดียวแบบนั้น ฮยองไม่นับว่าเป็นความพ่ายแพ้หรอกนะ เจโน่ก็คือเจโน่ คนที่มีสิ่งพิเศษอยู่ที่ตรงนี้กับตรงนี้”

     

    “...”

     

    คนเป็นน้องได้แต่นิ่งเงียบ ในขณะที่ปลายนิ้วยาวชี้ไปที่สมองกับหัวใจ

     

    “ไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งเท่าคนอื่น แต่แผนการและทีมเวิร์คที่ดีต่างหากที่จะพาทีมของโรงเรียนเราให้ชนะได้”

     

    “มาร์คฮยองไม่ได้หลอกผมเล่นนะ แค่สมองอันน้อยนิดของผมเนี่ยนะที่จะช่วยทีมเบสบอลของเรา” น้ำเสียงเจือเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นประโยคคำถามที่แสดงออกชัดเจนว่าเจ้าตัวอยากรู้นัก เจโน่ไม่ปิดบังแม้แต่แววตาสงสัยที่กำลังหรี่มองคนพี่ราวกับจะจับผิดว่าสิ่งที่มาร์คพูดเป็นแค่คำปลอบโยนพล่อยๆ รึเปล่า

     

    “แน่นอนสิ มันก็เหมือนกับที่ฮยองถนัดถ่ายรูปมากกว่าเล่นกีฬายังไงล่ะ”

     

    “นั่นสินะ ไม่ใช่แค่เป็นนักกีฬาถึงจะช่วยทีมเบสบอลได้สักหน่อย ผมก็จะช่วยทีมในแบบของผมเหมือนกัน”

     

    ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก...

     

    ก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจกำลังเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ที่หน้าอกของซ้ายของเด็กหนุ่มคนพี่ เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มที่สว่างไสวยิ่งกว่าพระอาทิตย์ มาร์คก็ไพล่นึกไปว่าใครกันพร่ำบอกว่าในเวลากลางคืนมีแค่พระจันทร์กับดวงดาว เพราะสิ่งที่เขาเห็นกระจ่างชัดตรงหน้าคือดวงตะวันที่ส่องแสงอบอุ่นและทำให้พระจันทร์ทอแสงได้ต่างหาก

     

    “ขอโทษนะครับ มาร์คฮยอง ที่ผมทำให้เป็นห่วง ขอโทษที่ไม่ดูแลตัวเอง แต่ผมรักเบสบอลจนทุ่มเทได้ทุกอย่างจริงๆ”

     

    สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่ารอยยิ้มของพระอาทิตย์ก็คือความรู้สึกตกหลุมรัก

     

    มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพียงแค่ได้เห็นการแสดงออกที่แสนซื่อสัตย์ของคุณ

     

    “บ้าจริง แค่นี้ฮยองก็ชอบนายจนทนไม่ไหวอยู่แล้วนะ ลี เจโน่”

     

    “เมื่อกี้มาร์คฮยองพูดว่ายังไงนะครับ”

     

    มาร์คพึมพำคล้ายกับจะพูดกับตัวเองแต่ก็กลายว่าคนเป็นน้องได้ยินเสียอย่างนั้น แล้วแบบนี้จะให้ฮยองคนเก่งทำอย่างไรได้นอกเสียจากพูดเบี่ยงประเด็นพลางหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง

     

    “ปะ... เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ไปกันเถอะ เจโน่ เดี๋ยวฮยองจะพาเราไปล้างแผลที่มือก่อน”

     

    เขายื่นแขนไปด้านหลังเพื่อให้คนเป็นน้องจับแล้วพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นหญ้า ทว่าแทนที่เจ้าของร่างแบบบางจะดันตัวขึ้นยืน เจโน่กลับรั้งแขนแกร่งเอาไว้พลางกระตุกเบาๆ ให้อีกฝ่ายหันมามอง

     

    “พูดมันอีกครั้งสิครับ” มาร์คเลิกคิ้วสูงกับคำพูดของคนน้องจนเจโน่ต้องสำทับอีกครั้ง “เรื่องที่มาร์คฮยองแอบรักผม หรือต้องให้ผมเอารูปในกล้องมาเปิดดูก่อน ฮยองถึงจะยอมรับว่าชอบผมมาตั้งนานแล้ว”

     

    เพียงเท่านั้นล่ะเจ้าของหน่วยตาดำขลับก็ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ทั้งๆ ที่มาร์คมั่นใจว่าเขาเก็บความรู้สึกของตัวเองได้อย่างแนบเนียนอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึงแล้วเชียว

     

    “นายรู้?” ฮยองคนเก่งถามย้ำราวกับไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี้หูฝาดไปรึเปล่า ทว่าความจริงก็ฟาดหน้าลงมาชัดเจนอย่างที่เห็นคนหน้าหวานพยักหน้ารับ

     

    “ผมไม่ได้โง่นะครับมาร์คฮยองที่จะไม่ทันสังเกตว่ามีเลนส์กล้องของใครบางคนคอยจับภาพตัวเองมานานแค่ไหน”

     

    ก็อย่างที่มาร์คพูดไว้ เจโน่เป็นเด็กฉลาด ช่างวางแผน และไหวพริบดี เพราะฉะนั้นแล้วแค่เรื่องจับสังเกตอะไรบางอย่างคงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับคนตรงหน้า

     

    “เราโกรธฮยองงั้นหรือ เจโน่” พูดออกไปแล้ว มาร์คถึงได้รู้ว่าคำถามของตัวเองมันช่างโง่เง่าเต็มที โดยเฉพาะยามที่ได้ยินคำยอกย้อนของอีกฝ่ายแล้ว ตากล้องหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เสียเต็มประดา

     

    “ถ้าโกรธแล้วจะยอมปล่อยให้ถ่ายรูปอยู่ตั้งนานสองนาน แล้วปล่อยให้อยู่ใกล้ๆ งั้นหรือครับ”

     

    เงียบไปชั่วอึดใจเมื่อเราต่างมองตากันราวกับจะคาดคั้นว่าใครควรจะเป็นฝ่ายพูดมันก่อน ซึ่งสุดท้ายคนที่ตกหลุมรักก่อนก็ต้องพ่ายแพ้ไประเบียบเมื่อดวงตาใสแจ๋วของคนตรงหน้ามันก็สื่อความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาของตัวเองออกมาจนหมดเปลือกอยู่แล้ว

     

    เจโน่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองเสมอ แม้แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ก็ตาม

     

    “ลุกขึ้นมาสิ แล้วฮยองจะบอกคำที่เราอยากรู้ให้ฟัง”

     

    คราวนี้เจโน่ยอมดันตัวลุกขึ้นยืนง่ายดายกว่ายามแรก ความเงียบแผ่ซ่านในบรรยากาศรอบตัวอีกครั้งเมื่อฮยองคนเก่งยังเอาแต่นิ่งไม่ยอมพูดอะไร กระทั่งคนตัวบางกำลังจะโวยประท้วง ใครบางคนก็ถือโอกาสนั้นประทับจุมพิตอุ่นลงบนริมฝีปากสีเรื่อโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว จูบอ่อนหวานดำเนินไปโดยไม่มีการรุกล้ำที่ลึกซึ้ง ทว่ามันก็มากก็เพียงพอแล้วที่ทำให้จะทำให้หัวใจของคนสองคนเต้นตึกตักในจังหวะเดียวกัน

     

    “ตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก รอยยิ้มของเราก็ทำให้ฮยองไม่สามารถละสายตาไปไหนได้”

     

    “...”

     

    “หวั่นไหวเพราะความใจดีเล็กน้อยที่เราอาจจะจำไม่ได้”

     

    “...”

     

    “และตอนนี้ก็ยิ่งแน่ใจว่าหลงรักตัวตนที่แสนซื่อสัตย์ของเราเข้าแล้ว”

     

    “...”

     

    “ฮยองรักนายนะ เจโน่”

     

    เจโน่คลี่ยิ้มหวานทันทีที่ได้ยินถ้อยคำที่อยากฟังจากคนปากหนัก ไม่ต้องรอให้สมองประมวลผลอะไรให้มากความ เพราะตอนนี้สิ่งที่นำพาคือความรู้สึกที่ผลักดันให้เด็กหนุ่มตัวบางประทับริมฝีปากแนบกับเจ้าของริมฝีปากหยักอีกครั้งแทนคำตอบของทุกอย่าง

     

    หากถามว่าความรู้สึกรักเริ่มต้นเมื่อใด...

     

    รอยยิ้มของพระอาทิตย์ก็ตอบได้เพียงแค่ว่ามันอาจเริ่มขึ้นตั้งแต่วินาทีแรกที่เราสบตากันแล้วเป็นได้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    +++ END +++



    ขอโทษนะค่าที่โผล่มาเป็น One shot สั้นๆ พอดีว่า OS เรื่องนี้แต่งออกมาเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดตัวเองนิดหน่อยน่ะค่ะ แต่ลากยาวมา 2 อาทิตย์กว่าถึงจะหาเวลามาต่อให้จบได้ เลยเทศกาลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแซยิด ฮัลโลวีน หรืออะไรก็ตามแต่ จะเก็บรอไปคริสต์มาสก็ยังอีกยาวนาน เลยเอามาลงตอนนี้เลยละกันงจะหาเวลามาต่อให้จบได้ เลยเทศกาลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแซยิด ฮัลโลวีน หรืออะไรก็ตามแต่ จะเก็บรอไปคริสต์มาสก็ยังอีกยาวนาน เลยเอามาลงตอนนี้เลยละกัน

     

    ส่วน #ฟิคนิรนาม น่าจะลงได้ไม่เกินวันอาทิตย์นี้นะคะ ซึ่งก็เฉลยที่เคยถามไว้ว่าฟิคนิรนามจะมีกี่ตอน คร่าวๆ ที่คิดไว้น่าจะ 9 ตอนน้า สั้นๆ มาไวไปไวค่ะ เพราะถ้ายาวกว่านี้เกรงว่าจะดองกันข้ามปี แหะๆ

     

    Why I Like You ยังไม่ได้ตรวจคำผิดเลย ถ้าเจอประโยคไหนแปลกๆ บอกกันได้นะคะ

    ไว้เจอกันใหม่ค่า

    @plzforgetme_not

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×