ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TIFFANY'S  [FICTION FOR TIFFANY HWANG]

    ลำดับตอนที่ #1 : [OS] BACK TO DECEMBER [MARK x TIFFANY] 100%

    • อัปเดตล่าสุด 26 ธ.ค. 57












    [OS] BACK TO DECEMBER [MARK x TIFFANY]
     









    London,  14 ธันวาคม 2014

               

     

                ฤดูหนาวของลอนดอนหนาวหฤโหดกว่าทุกปี

                ร่างบางซุกตัวอยู่ในผ้าห่มนวม เสื้อเสว็ตเตอร์ตัวใหญ่ยาวคลุมเข่าไม่ได้ช่วยบรรเทาความเหน็บหนาวในคืนนี้ ประกบมือทั้งสองข้างเข้ากับถ้วยโกโก้ร้อนเพื่อรับไออุ่นจากมันบรรเทาความเหน็บหนาว

                มือเรียวหยิบโปสการ์ดดีไซน์สวยขึ้นมามองพลิกดู รอยยิ้มจางๆผุดขึ้นบนใบหน้า ลายมือหวัดๆแบบที่คุ้นตาทำให้จำได้ทันทีว่าเป็นใครโดยไม่ต้องดูที่อยู่ผู้ส่ง

     

                .สุขสันต์วันเกิดอายุ 22!

                  จาก M ถึง T

                วันที่ 1 สิงหาคม 2010.

     

                โปสการ์ดเมื่อสี่ปีที่แล้ว ที่เธอ....ไม่ได้ตอบกลับ

     

                .ที่แอลเอเริ่มหนาวแล้ว ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนหวังว่าเธอจะใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ

                                                                            จากM ถึงT วันที่ 1 ธันวาคม 2011.

     

                โปสการ์ดเมื่อสามปีก่อน และแน่นอน...เธอก็ไม่ได้ตอบกลับ

     

                .ปีใหม่ปีนี้เงียบเหงา...มันแย่กว่าที่เธอจินตนาการไว้แน่...ทุกคนคิดถึงเธอ

                และฉันโคตรคิดถึงเธอ อย่างมากที่สุด

                                                                            จากM ถึงT วันที่ 1 มกราคม 2012

                                                                            ปล.ฉันยังรอโปสการ์ดจากเธอนะ.

     

                ร่างบางกระชับผ้านวมก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องพักเพราะอากาศเริ่มเย็นเกินกว่าจะนั่งตากลมข้างนอก ความจริงแล้วเธอมีแพลนจะออกไปกางเต๊นท์นอนนอกเมือง แต่อากาศแบบนี้พับเต๊นท์บางๆนั่นเก็บไปได้เลย L

     

                .ฉันกำลังจะแต่งงาน ในวันที่ 25 นี้ ได้โปรดT…เธอจะกลับมาใช่มั๊ย รอเธอเสมอ

                                                                จากM เพื่อนรักของเธอ วันที่ 10 ธันวาคม 2014.

     

               

                โครงการไปสกีที่ญี่ปุ่นคงต้องพับไปก่อนหลังจากโปสการ์ดฉบับนี้ มันแน่นอนอยู่แล้วสิที่เธอจะต้องกลับไป กลับไปอวยพรเขาที่เป็นเพื่อนรัก และครอบครัวที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของเธอ

                บางทีเธออาจจะต้องออกไปหาของขวัญยินดีซักหน่อย

                แต่ต้องไม่ใช่ดอกกุหลาบ...

                นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ๆ...

     

     

     

     

    15 Dec 2014 – LA, สนามบินนานาชาติ LAX

     

                ลอสแองเจลิสยังคงเป๋นสถานที่ที่แสนจะวุ่นวายไม่ว่าจะผ่านไปกี่ฤดู

                ร่างบางกวาดสายตามองความวุ่นวายภายในสนามบินก่อนจะกระชับเสื้อโคทสีครีมที่คลุมทับเสื้อสีดำคอเต่าพอดีตัว กางเกงยีนส์สีดำเนื้อผ้าหนาเหมาะกับฤดูหนาวเหมาะกับรองเท้าบูทสีเทาเข้มเหลือบไปทางดำอย่างลงตัว

                เธอกลับมาแล้ว...

                เฮ้ทางนี้!”เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นปลุกภวังค์ความคิด หันไปมองตามเสียง ดวงตาคมดูมีประกายของความดีใจอย่างเห็นได้ชัด เขาดูสูงขึ้นนิดหน่อย

                ก็ใช่ล่ะในเมื่อวันสุดท้ายที่เราเจอกันคือตอนเขาอายุ 18...

                เรายกเลิกทุกนัดทันทีที่เธอติดต่อมา...คุณป้ายังคงเป็นสาววัยกลางคนที่สวยที่สุดในระแวกบ้าน อย่างน้อยเธอก็คิดว่าอย่างนั้น เจ้ามาร์คแทบจะไม่ยอมรอป้าแค่ป้าสายนิดหน่อย

                เธอผอมลงไปมากนะ...เขาดึงร่างบางเข้าไปกอด ดันหัวของเธอให้แนบกับอกแกร่ง ไร้คำพูดระหว่างคนทั้งสอง กลิ่นน้ำหอมจางๆในแบบของเขาช่างคุ้นเคยราวกับเพิ่งได้กลิ่นมาไม่นาน

                ราวกับว่าทั้งเธอและเขาไม่เคยจากกันกว่า 8ปีซักนิด

                ตึกตัก ตึกตัก...

                เสียงหัวใจของเขายังคงน่าฟังราวกับบทเพลงขับกล่อมที่ผ่อนคลาย

                ฉันจะแนะนำซูจีให้เธอรู้จัก...แต่มันไม่ใช่ของเธออีกต่อไปแล้ว...นั่นสิ เธอกลับมาเพื่อยินดีกับการแต่งงานของเขา

                ของเพื่อนคนเดียวของเธอ...

                สวัสดีค่ะ...มาร์คเล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังเสมอ...ซูจีสวยกว่าที่เธอคาดคิดไว้มาก และพวกเขาดูเหมาะสมกันสุดๆเมื่อยืนอยู่ข้างกัน

                ก็ต้องแน่นอนสิในเมื่อเธอจะเป็นเจ้าสาวของเขา

                คงมีแต่เรื่องไม่ดีล่ะสิ...

                อย่างเรื่องที่เธอทิ้งฉันไปในวันที่ฉันสารภาพรัก...ร่างสูงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเรียวหวานอย่างมีร่องรอยของความตัดพ้อ แต่กลับได้รับเพียงรอยยิ้มเบาๆจาก พอคิดดูแล้วตลกชะมัดเลยว่ามั๊ย ฮ่าๆ เขาแอคติ้งเกินความจำเป็นเสมอเวลาที่ประหม่า

                อย่างน้อยแต่ก่อนก็เป็นแบบนั้น

                อา...เอาเป็นว่าเรากลับไปคุยอะไรๆที่บ้านดีกว่านะ...เป็นคุณนายต้วนที่เอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดที่เกิดขึ้น หนูสเตฟไปนอนที่บ้านป้านะจ้ะ...

                ไม่เป็นไรค่ะ หนูจองโรงแรมไว้แล้ว...เธอไม่ได้ตั้งใจทำให้บรรยากาศมันแย่ลง คุณนายต้วนชะงักค้างไปอย่งเห็นได้ชัดจนเธอรู้สึกผิด หนูแค่จะมาแสดงความยินดี

                แต่เธอยังไม่พร้อมจะกลับไปในตอนนี้

                ...จ่ะ...งั้นไปทานข้าวกับป้าก่อนนะ แล้วค่อยกลับโรงแรมคุณนายต้วนเลือกจะไม่เซ้าซี้ เธอตรงเข้ามากุมมือบางก่อนจะลากให้เดินไปด้วยกัน ร่างบางเหลือบมองร่างสูงที่กำลังจ้อมองเธอด้วยสายตาที่มากมายไปด้วยความรู้สึก 
                  และแน่นอนเธอเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็น...เหมือนทุกครั้ง

     

     

    Tiffany’s Side

     

                “แล้ว...คุณทิฟฟานี่ไม่คิดจะกลับบ้านเหรอคะ?

                ทุกคนดูอึ้งไปกับคำถามของคุณซูจี แม้กระทั่งคุณป้าที่กำลังง่วนอยู่กับการตักพายให้ฉันก็ชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ความเงียบครอบคลุมไปชั่วขณะ

                ความเงียบที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดแบบนี้ไม่ชอบเลย L

                “ฉันคิดจะกลับอยู่แล้วค่ะ บ้านของฉันนี่นา...ดูเหมือนคำตอบของฉันจะสร้างความประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ทุกสายตาจับจ้องฉันราวกับไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินคำตอบนี้ออกมาจากฉัน

                คนที่หายออกไปจาก บ้านเกือบ 8 ปี

                แต่...แค่ยังไม่ใช่ในตอนนี้

                คำตอบของฉันไม่ได้สร้างความประหลาดใจมากนักในตอนท้าย จะมีก็แต่คนตัวโตที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ตั้งแต่แรกที่มาถึง ดวงตาคมทอดมองฉันอย่างมากมายไปด้วยความรู้สึก

                ฉันเกลียดเวลาที่ต้องรับมือกับสายตาคู่นี้...

                ให้ตายเหอะ เขามันไม่รู้จักดูบรรยากาศเอาซะเลย L

                “ฉันต้องกลับโรงแรมแล้วค่ะ...ดึกมากแล้วฉันถอนหายใจก่อนจะแสร้งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาของฉันแล้ว

                โธ่...ยิ่งมันดึกมากแล้วแบบนี้ไม่คิดว่าเราควรจะนอนค้างที่นี่หรอจ้ะ?คุณป้ายิ้มกว้างอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะกุลีกุจอไปหยิบเสื้อโค้ทของฉันขึ้นมากอดไว้ นะหนูสเตฟ...มันอันตรายป้าเป็นห่วง

                คุณสเตฟนอนกับฉันนะคะ...วันนี้ฉันนอนค้างที่นี่เหมือนกันคุณซูจีส่งยิ้มที่แสนจะสดใสมาให้จนฉันเผลอพยักหน้ายอมรับหล่อนอย่างอ่อนใจ

                ฉันเนี่ยปฏิเสธใครไม่เก่งเอาซะเลย

                แต่คงยกเว้นอยู่เรื่องเดียว...

                ดีจังค่ะ ฉันมีเรื่องอยากรู้เกี่ยวกับคุณสองคนเยอะเลย ^^”ฉันเบือนสายตาหนีไปทางอื่นก่อนจะถอนหายใจออกมาในที่สุด

                แต่ฉันไม่อยากให้เธอรู้เรื่องของฉันกับหมอนั่นไปมากกว่านี้...

                ฉันหวงช่วงเวลาดีๆที่ผ่านมาและอยากเก็บมันเอาไว้แค่คนเดียว...

                เห็นแก่ตัวใช่มั๊ยล่ะฉันน่ะ L

     

                ว่าแล้วทำไมพวกคุณถึงดูสนิทกันมาก...ฉันกับคุณซูจีกำลังนั่งดูรูปในอัลบั้มรูปเก่าๆที่คุณป้าเอามาให้อย่างสนุกสนาน

                อันที่จริงคงมีแต่เธอที่สนุกสนาน

                มาร์คตอนเด็กๆเป็นยังไงบ้างเหรอคะ...เมื่อก่อนเขาเป็นจอมกวนเหมือนตอนนี้หรือเปล่า...เธอหันมาสบตาฉันอย่างสงสัยใคร่รู้

                เป็นจอมแสบเลยค่ะ กวนประสาท...ถึงจะดูขี้กลัวแต่ก็ชอบทำเป็นเก่งต่อหน้าฉัน ซึ่งฉันก็ชอบมัน กวนประสาทสุดๆ...

                 ฉันเลือกที่จะไม่บอกเธอมากไปกว่านี้ ก่อนจะจมดิ่งไปกับภาพวัยเด็กที่มากมายและเปี่ยมล้นไปด้วยความทรงจำ ฉันกวาดสายตาและหยุดเข้ากับรูปภาพใบหนึ่งรูปถ่ายตอนพวกเราอยู่เกรด 7 และฉันสมัครเข้าชมรมละคร

                เขาตามไปป่วนฉันถึงที่จนรุ่นพี่ไล่พวกเราออก...

                พอกลับมาถึงบ้านเขาเอาแต่หัวเราะเยาะฉันแต่ก็หุบปากฉับเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มร้องไห้ ในตอนนั้นมันน่าอายมากเพราะฉันมีรุ่นพี่ที่แอบปลื้มอยู่ที่นั่น หมอนั่นหายไปหลายชั่วโมงแล้วกลับมาพร้อมกับลูกโป่งหลากหลายสีในชุดมาสคอตตุ๊กตามีตัวใหญ่

                อา...คิดถึงชะมัด L

                “คุณเป็นคนยิ้มสวยมากนะคะ...คุณซูจีเธอมองทางฉันอยู่ก่อนแล้ว เธอทอดมองฉันด้วยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนก่อนจะหันกลับไปชี้ที่บรรดารูปถ่ายในอดีตมากมายที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสดใส     

                รอยยิ้มซึ่งหายไปจากใบหน้าฉันนานมาแล้ว

                คุณรู้ไหมคะ เพื่อนของคุณน่ะตรงเข้ามาจีบฉันทันทีที่ฉันออกมาจากห้องแห่งตัว...ฉันหันไปมองเธอเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของเธอนัก เขาบอกว่าเขาชอบผู้หญิงที่ยิ้มสวยและอยากเป็นนักแสดง...ดูเจาะจงชะมัด พิลึกคนสุดๆ

                ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังทำหน้าแบบไหนส่งให้เธอ แต่มันคงจะดูฝืดเฝื่อนมากแน่ๆ คนสวยตรงหน้าฉันยังคงส่งยิ้ม

                ยิ้มแบบที่ฉันไม่เข้าใจเอาซะเลย

                และไม่คิดจะทำความเข้าใจ...

                แล้วคุณทิฟฟานี่ล่ะคะ...ยิ้มสวยแล้วอยากเป็นนักแสดงรึเปล่าฉันแค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะสบตาเธออย่างจริงจัง

                อย่างที่คุณเห็นฉันถอนหายใจน้อยๆ ในอดีตจะเป็นยังไงก็ช่าง...แต่ตอนนี้ฉันไม่ชอบยิ้มไม่สิ

                ฉันลืมวิธียิ้มสวยๆไปซะแล้ว

                “และแน่นอน...ฉันไม่มีความฝันที่จะเป็นนักแสดง...วางใจเถอะค่ะ


     

     

    20 Dec 2014 – LA.

     

                ผู้หญิงในกระจกตอนนี้นี่น่าเกลียดชะมัด =_=

                “น่าเกลียดชะมัดเธอน่ะ

                หลังจากพยายามเลี่ยงที่จะพูดคุยกับคุณซูจีต่อหลังจากที่เธอลากฉันไปทั่วแอลเอตลอดสี่วันที่ผ่านมา

                ฉันก็นั่งสูบบุหรี่อยู่พลางจิบเบียร์อยู่ริมระเบียงทั้งคืนเพื่อมองท้องฟ้าในเมืองที่ฉันไม่ได้กลับมานานแล้ว แอลเอไม่หนาวเท่าลอนดอนในช่วงนี้และอันที่จริงเธอเพิ่งผจญความหนาวที่โหดร้ายที่รัสเซียมาเมื่อปีก่อน

                และสาบานว่าฉันจะไม่มีทางไปรัสเซียในหน้าหนาวถ้าไม่จำเป็น

                เธอเปลี่ยนเป็นคนใหม่แทบจะทุกอย่าง แต่ยังคงพูดคนเดียวเก่งเหมือนเดิม...ว้าวประหลาดใจจังเสียงทุ้มที่ไม่ได้ฟังมานานแล้วเอ่ยขึ้น ฉันถอนหายใจก่อนจะหันไปมุ่ยหน้าใส่คนที่กำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองทางฉันอยู่

                ฉันถอนหายใจก่อนจะดึงคนตัวสูงให้ยืนตรงๆก่อนจะจับเขาหมุนแล้วดันหลังคนที่โผล่พรวดเข้ามาในห้องน้ำที่มีผู้หญิงกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่

                เดี๋ยวๆสิ...คนตัวสูงพยายามขืนตัวไม่ให้พ้นจากประตูห้องน้ำไป แม่ให้มาตามไปกินข้าวใบหน้าหล่อเหลาได้รูปหันมาหมายจะคุยกับฉัน

                ไปเคาะประตู...ฉันเอ่ยบอกเรียบๆก่อนจะดันเขาออกจากห้องน้ำได้สำเร็จ

                นี่บ้านฉันนะทำไมจะเดินไปไหนมาไหนในบ้านตัวเองต้องเคาะประตู...เขาหันมากอดอกเลิกคิ้วอย่างยียวนฉันเลยกอดอกแล้วถอนหายใจทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เขาบ้าง

                ประทานโทษนะคะคุณเจ้าของบ้าน...ฉันพยักเพยิดให้เขาดูบรรยากาศโดยรอบในจุดที่ฉันยืนอยู่ ถ้าฉันกำลังแก้ผ้าอยู่แล้วนายโผล่พรวดมาเนี่ยจะทำยังไง?

                ต้องกลายเป็นเรื่องสยองยามเช้าแน่ๆ...

                ป๊อก

                โอ๊ย!...เจ็บนะขว้างมาได้!”ร่างสูงร้องเสียงหลงเมื่อฉันเขวี้ยงขวดแชมพูใส่เขาโดยไม่ทันให้ตั้งหลัก มันช่วยไม่ได้

                ในเมื่อเขากวนประสาทฉันก่อน! L

                “มานี่เลยแม่ตัวดี!...ยังไม่เคลียร์กันเลยเรื่องหายไปเกือบแปดปีไม่พอกลับมายังเอาแต่หนีหน้าร่างสูงคว้าแขนฉันก่อนจะดึงฉันไปล็อคคอแน่นจนดิ้นไม่หลุด แค่ล็อคปกติฉันก็จะแย่อยู่แล้วเหอะฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาจะเอาแรงที่ไหนไปสู้กับเขาได้กัน!

                ไม่ยุติธรรมเลย L

                “ใครหนีหน้า...คุณซูจีของนายเป็นคนดึงฉันไปโน่นมานี่เองตั้งแต่ฉันมาถึงแอลเอดูเหมือนฉันจะไม่มีโอกาสได้มีเวลาเป็นส่วนตัวอย่างที่คิด คุณซูจีเป็นคนดึงฉันไปเที่ยวที่นั่นไปช็อปปิ้งที่โน่นกว่าจะเสร็จแต่ละวันก็ปาเข้าไปมืดค่ำและแน่นอนคุณป้าไม่ยอมให้ฉันกลับโรงแรมเพราะมันดึกเกินไป

                ฉันเสียค่าโรงแรมไปอย่างสิ้นเปลืองโดยไม่ได้นอนจริงๆสามคืนเต็ม

                คึกเป็นบ้า...ฉันพึมพำก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกเอวเขาหมายจะให้เขาตกใจจนปล่อยและมันได้ผล เขาสะดุ้งจนเผลอผ่อนแรงที่แขนทำให้ฉันพลิกตัวหนีมาได้ ฉันเนี่ยฉลาดชะมัด

                ขี้โกงเล่นจุดอ่อน Lคนตัวโตเบะปากก่อนจะเปลี่ยนมายืนกอดยกตีหน้ามุ่ยใส่ฉันอย่างน่ารักน่าชัง แต่บอกเลยว่ามันคงจะน่ารักมากถ้าตอนนี้เขาไม่ได้อายุ 26 =_=

                “น้อยๆหน่อย นายน่ะทั้งทะเล่อทะล่าเข้ามาตอนฉันทำธุระส่วนตัว ทั้งหาเรื่องกวนประสาทแต่เช้า...ความผิดนายหลายกระทงกว่าเหอะฉันกอดอกอย่างหงุดหงิดเพื่อบอกให้รู้ว่าฉันเองก็โกรธบ้างแล้ว

                ฉันดีใจนะที่เราพูดคุยกันได้ปกติ...อยู่ๆเสียงทุ้มก็อ่อนลงอย่างนุ่มนวลและคงเป็นเพราะแววตาที่กำลังทอดมองอยู่นี่ของเขาทำให้หัวใจฉันสั่นไหวอย่างน่ากลัว มันเป็นแบบี้เสมอ

                ทุกครั้งที่สบตาเขาฉันมักไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย

                ฉันดีใจนะที่นายกำลังจะแต่งงาน...ฉันหยุดความสับสนของตัวเองเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อนที่ฉันจะก้าวถลำลึกลงไปกว่าที่ควรจะเป็น

                ฉันควรท่องเอาไว้ว่าเขากำลังจะมีความสุข

                ความสุขที่ฉันเคยปฏิเสธไปอย่างขี้ขลาดในวันนั้น

               “ล้างหน้าเถอะทุกคนรอกินข้าวอยู่...ร่างสูงหลบสายตาด้วยใบหน้าจืดเจื่อนก่อนจะแสร้งปั้นยิ้มทำตัวปกติ ซึ่งเขาตบตาฉันที่เคยเป็นนางเอกละครเวทีของโรงเรียนถึงแม้จะแค่เรื่องเดียวไม่ได้หรอก

                ก็ออกไปสิ...

                ไหนดูซิ...ทำไมหน้าบวมนักเนี่ยไม่ทันได้พูดจบร่างสูงก็แทรกตัวเข้ามาในห้องน้ำหยุดอยู่ตรงหน้าฉันก่อนจะจับหน้าฉันให้เงยขึ้นมองเขา เธอสูบบุหรี่ด้วยหรอ

                น้ำเสียงนุ่มนวลเจือความเป็นห่วงทำให้หัวใจที่พยายามจะตั้งกำแพงอ่อนยวบ เขายังคงเป็นเขา จอมตื่นตูมที่แค่เรื่องเล็กๆของฉันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ของเขาไปเสียหมด

                ซักหกปีแล้วมั้งไม่แน่ใจ...ฉันทบทวนความจำลางๆของตัวเองก่อนจะจะยักไหล่ ที่ปารีสล่ะมั้งตอนหน้าหนาวน่ะ...คนแถวนั้นแนะนำ

                ตอนนี้ไม่หนาวแล้วนี่...คนตัวสูงดึงแขนฉันให้กอดเอวเขาก่อนตัวเขาเองจะกอดฉันหลวมๆ มือหนาดันหัวฉันไปซุกอกและใช้หัวของฉันเป็นที่พักหัวโตๆของเขาอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะโยกซ้ายขวาเบาๆเหมือนกำลังกล่อม ตอนนี้ไม่หนาวแล้ว...เลิกได้หรือเปล่า

                น้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวลของเขาไม่เชิงบังคับ เหมือนว่าจะไปทางขอร้องเสียมากกว่า ร่างสูงยังคงโยกขับกล่อมฉันเอื่อยๆอย่างแสนเอาใจฉันได้แต่ยืนซบเขาอยู่อย่างนั้นไม่กล้าพอที่จะกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นกว่านี้

                ถึงแม้นั่นจะป็นสิ่งที่ฉันอยากทำมากที่สุดในตอนนี้

                ฉันอยากให้นายมีความสุข...ความปราถนาจากใจจริงของฉันคือการได้เห็นวินาทีแห่งความสุขของเขา

                เพื่อนรักของฉัน...

                ฉันจะมีความสุขแน่ถ้าเธอจะเลิกมัน...และมีชีวิตอยู่กับฉันไปนานๆเขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกจนฉันรู้สึกได้ถึงไออุ่นและเสียงหัวใจของเขาอย่างชัดเจนขึ้นหว่าเดิม จนไม่รู้ว่าที่ดังอยู่ตอนนี้คือเสียงหัวใจเขาหรือฉันกันแน่

                ฉัน...จะพยายาม

                ฉันแพ้เขาอีกแล้ว L

     

                “คุณทิฟฟานี่ไปตั้งหลายประเทศแบบนี้คุณชอบที่ไหนที่สุดหรอคะ?วันนี้คุณซูจีก็ยังคงติดฉันแจ และเพราะพวกคุณป้ามัวแต่วุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานฉันถึงไม่เข้าใจสุดว่าทำไมเธอซึ่งเป็นเจ้าสาวถึงมาเดินกอดแขนฉันอย่างสบายใจอยู่ตรงนี้

                ฉลองสละโสดอย่างเต็มที่ล่ะมั้ง...

                ส่วนใหญ่ฉันไปนอกเมืองค่ะ...แต่ถ้าในเมืองก็มีบ้าง อย่างเวนิส เป็นที่ที่เหมาะจะฮันนีมูนดีนะคะฉันหันไปส่งยิ้มให้เธอก่อนจะหันไปมองคนที่กำลังเดินหน้ามุ่ยถือถุงช็อปปิ้งมากมายตามหลังพวกเราอยู่ สวยเชียวล่ะ...บรรยากาศก็ดี

                ฉันตามใจเจ้าสาวอยู่แล้ว...เขายักคิ้วให้ฉันน้อยๆก่อนจะยิ้มกวนประสาทใส่ฉันอย่างจงใจ น่าโมโหชะมัด ถ้าไม่ติดว่าคุณซูจีกำลังเกาะฉันแน่นเป็นลูกลิงแบบนี้ฉันจะเอื้อมมือไปถอนขนคิ้วเขาซะให้เข็ด

                คุณซูจีอยากไปฮันนีมูนที่ไหนเหรอคะฉันเลิกสนใจคนหน้ามึนจอมกวนก่อนจะหันมาถามเจ้าสาวของเขา

                ที่กำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่วันนี้

                “ฉันชอบทะเลค่ะ บาหลีน่าจะดีเดือนนี้เนี่ยนะ? ฉันได้แต่พึมพำในใจไม่กล้าเอ่ยปากถามเจ้าตัวตรงๆ คุณซูจีเนี่ยเป็นคนแปลกชะมัด แล้วคุณทิฟฟานี่ล่ะคะอยากไปฮันนีมูนที่ไหน?

                บาหลีก็ดีนะคะฉันคงไม่แต่งงานในเร็วๆนี้ เพราะฉะนั้นคงยังไม่ต้องรีบกังวลถึงสภาพอากาศที่ไม่รู้จะจำเป็นหรือเปล่าหรอกนี่นา คุณซูจีหันไปส่งยิ้มให้ว่าที่สามีของเธอก่อนจะดึงเขามายืนข้างๆ

                ฉันขอไปห้องน้ำก่อนนะคะ...เดินกันไปก่อนก็ได้...คุณซูจีหยุดเดินก่อนจะดันหลังฉันกับมาร์คไปข้างหน้า ไปรอที่ร้านอาหารกันก็ได้

                ฉันไปเป็นเพื่อน...

                ไปเถอะน่า...ผู้หญิงธุระในห้องน้ำเยอะ ไม่อยากให้รอน่ะยังไม่ทันได้พูดจบคนตัวสูงก็ถูกดันหลังให้เดินนำไปโดยอีกมือนึงก็ดึงฉันให้ไปกับหมอนั่นด้วย

                คุณซูจีเป็นผู้หญิงที่แรงเยอะชะมัด

                ไปรอร้านอาหารเลยเดี๋ยวตามไปว่าจบคนสวยแรงเยอะก็โบกมืออย่างร่าเริงแล้วหันหลังกลับไปยังทิศทางที่ลูกศรบอก

                เจ้าสาวของนายพลังล้นเหลือชะมัด...ฉันใช้ศอกทุ้งแขนเขาเบาๆก่อนจะมองตามหลังคนที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งไป

                ไม่นะ...ฉันว่าเมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้ดูเนือยๆกว่าแต่ก่อนชอบกล...เขากอดอกขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่ นี่เขากำลังจะบอกว่าว่าแต่ก่อนคุณซูจีพลังเหลือเฟือกว่านี้อีกหรอ?

                ขอบคุณที่ฉันเจอตอนเธอเนือยๆกว่าแต่ก่อนนะ

                ว่าแต่บาหลีหรอ...ช่วงนี้ฝนตกหนักรึเปล่านะคิ้วหนาขมวดแน่นกว่าเดิมเมื่อคนตัวสูงกรอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด คงจะคิดไม่ตกเลยสินะในเมื่อเจ้าสาวอยากจะไปนี่นา

                ก็คงตกล่ะมั้งไม่แน่ใจแฮะ...ไม่งั้นนายก็เลื่อนไปแต่งปีหน้าซะสิฉันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหันกลับไปเพื่อเดินหาร้านอาหารเพราะที่ก็บ่ายกว่าๆแล้วฉันหิวข้าวจะแย่

                ไม่ล่ะ ไม่อยากรอไปมากกว่านี้แล้ว...

                ฉันชะงักก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ตอนนี้กำลังมองฉันด้วยสายตาจริงจังแน่วแน่แบบที่ฉันจำมันได้ดีและนึกถึงมันมาตลอดแปดปีนี้

                นั่นสินะ...เขาคงรอไม่ไหวหรอก

                ฉันนี่เผลอพูดอะไรไปนะ บ้าจริงๆ L

     

    21 Dec 2014 – LA

               

                ฉันคิดว่าฉันคงต้องไปเช็คเอาท์จากโรงแรมซะถ้าจะไม่ได้ไปนอนเลยแบบนี้

                คิดจะพูดคนเดียวกับกระจกอีกแล้วหรอ...เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นพร้อมร่างสูงในชุดลำลองสาบยที่กำลังกอดอกเอนพิงกรอบประตูอย่างสบายอารมณ์

                เห็นหน้านายแต่เช้าฉันว่าวันนี้ดวงฉันจะไม่ดี...โอ๊ย!”ฉันสะดุ้งเมื่อถูกคนตัวสูงจับล็อคคออีกครั้งในขณะที่ยังไม่ทันตั้งตัว พลาดจนได้ฉันขนาดมีประสบการณ์แล้วแท้ๆ

                ฉันให้เธอพูดใหม่...

                “เห็นหน้านายแต่เช้าเนี่ยเป็นบุญชีวิตฉันเหลือเกิน!”ฉันกัดฟันกรอดอย่างโมโห อย่าให้ฉันมีโอกาสฉันเจาเอาคืนเขา เอาคืนแบบเป็นเท่าตัวเลย! L

                “ดีมากเด็กดี...มือหนายกมายีหัวฉันก่อนจะคลายวงแขนที่ล็อคคอฉันอยู่เพื่อปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ ฉันมุ่ยหน้าใส่คนบ้าอำนาจก่อนจะหันไปหยิบแปรงสีฟันที่บีบยาสีฟันรอไว้อยู่ก่อนแล้วขึ้นมาแปรง วันนี้ซูจีไปจัดการเรื่องชุดแต่เช้า...

                ร่างสูงกระโดดขึ้นนั่งตรงบริเวณอ่างล้างหน้าก่อนจะหันมาส่งยิ้มขบขันมาให้ฉัน ฉันเดาว่าเขาคงรู้ว่าฉันเหนื่อยกับการถูกว่าที่เจ้าสาวเขาลากไปนู่นมานี่เต็มทนแล้ว

                สภาพฉันคลับคล้ายคลับคลาซอมบี้เข้าไปทุกที T^T

                “ขอบคุณพระเจ้าเขาหัวเราะเบาๆก่อนจะส่ายหัวเมื่อฉันทำท่าเหมือนสาธุชนกำลังทราบซึ้งในเมตตาของพระเจ้าที่ประธานพรให้ บอกตรงๆว่าตั้งแต่บินมาถึงแอลเอฉันยังไม่ได้พักแบบจริงๆจังๆเลยซักหน

                วันนี้คือวันดีที่สุดในชีวิตฉันเลย U_U

                “ดูทำหน้าเข้า...ฉันจะฟ้องซูจีว่าเธอทำท่าเหมือนรำคาญเค้าเต็มทนฉันถลึงตาใส่คนที่เอาแต่ยิ้ม ยิ้ม...แล้วก็ยิ้มอยู่แบบนั้น

                เป็นความลับนะ...ฉันคิดถึงมัน คิดถึงมากๆเลย L

                “ฉันแค่อยากพักผ่อน...ฉันไม่ได้มีพลังงานชีวิตล้นเหลือเหมือนคุณซูจีของนายนะฉันบ้วนปากก่อนจะหันมาเถียงกับคนที่กำลังกอดอกแล้วทำท่าทางเลียนแบบฉัน หมอนี่เอาอีกแล้ว กวนประสาทที่สุด!

                “เลอะ...นิ้วเรียวเช็ดเบาๆที่มุมปากของฉันอย่างแผ่วเบา กลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่คุ้นเคยมานานแสนนานยังคงมอมเมาสติสัมปชัญญะของฉัน สัมผัสแสนอ่อนโยนที่ทำเอาหัวใจฉันเผลอสั่นไหวรุนแรงราวกับเกิดอาฟเตอร์ช็อคลูกใหญ่ อยู่ๆก็เผลอนึกไปถึงความรู้สึกที่เคยพยายามฝังมันหวังจะให้เจือจางเลือนหายไปกับกาลเวลา

                แต่ไม่เลย...ฉันได้รู้แล้วว่ามันยังคงแอบซ่อนอยู่ลึกๆในห้วงความทรงจำ

                หลบซ่อนอยู่เงียบตลอดมา...

                เพราะมัวแต่ตะลึงงันอยู่ในภวังค์เลยไม่รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าขอเราห่างกันแทบไม่ถึงคืบ ตัวการก็มาจากคนตัวสูงที่โน้มตัวเข้ามาใกล้เรื่อยพร้อมแววตาที่จดจ้องอยู่ที่ริมฝีปากของฉัน มือหนาจับแก้มของฉันอย่างแผ่วเบา

                มามอร์นิ่งคิสกันหน่อยมั๊ยเสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาแต่ไม่รอให้ฉันที่กำลังยืนแข็งทื่อเพราะดูจะรับไม่ไหวกับอาฟเตอร์ช็อคที่รุนแรงในหัวใจตอนนี้ แรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงเพียงพอจะเคาะประตูที่เก็บกักความทรงจำให้ค่อยๆทะลักล้นออกมา

                ริมฝีปากอุ่นประกบเบาๆที่ริมฝีปากฉัน เพียงเท่านี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงให้ตกลงจากที่สูงอย่างรุนแรงจนเผลอเข่าอ่อน แต่ถูกอ้อมกอดแข็งแกร่งคอยประคองไว้อย่างมั่นคงราวกับเป็นกิ่งไม้ใหญ่ที่คอยยึดไม่ให้ฉันตกลงตามแรงโน้มถ่วง

                เนิ่นนานที่สัมผัสหวานไหวกระตุ้นความรู้สึกและความทรงจำมากมายพรั่งพรูออกมาไม่รู้จบ ราวกับว่าเราต่องก็กำลังตักตวงและพากันหวนสู่ช่วงเวลาแห่งความหลัง

                ซึ่งกลายเป็นแค่อดีตไปแล้ว...

                มาร์ค ฉันคิดว่านี่มันมากไปแล้ว...ฉันผละออกห่างก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อให้อ็อกซิเจนไปเลี้ยงสมอง จะได้มีสติไตร่ตรองว่าช่วงเวลาของเขากับฉันมันจบไปแล้ว

                และตอนนี้เขากำลังเริ่มต้นใหม่...เขากำลังจะแต่งงานอยู่แล้วจำเอาไว้

                ฉันคิดถึงเธออ้อมกอดของเขาเป็นปราการกักขังชั้นดี ดวงตาเรียวคมที่ฉันคิดถึงทอดมองฉันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหมาย ฉันทอดมองใบหน้าหล่อเหลาได้รูปที่แสนจะไร้ที่ติของเขาอย่างคิดถึง ฉันเองก็คิดถึง

                คิดถึงเขาจนแทบบ้า

                มาร์ค...นายกำลังจะแต่งงานแต่ก็ทำได้แค่คิดถึง...ย้ำตัวเองซ้ำๆกว่าพันครั้งเพื่อให้จำได้ขึ้นใจ

                ไม่ใช่ว่าฉันไม่รับรู้ถึงความรู้สึกที่อันตรายของตัวเอง ฉันรู้มันมาตลอดแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้สึก ทุกครั้งที่เราใกล้กันฉันได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองอยู่เงียบๆให้อดทน

                เพราะในซักวันหนึ่งเรื่องของเราจะเป็นแค่ความทรงจำ

                ในซักวันหนึ่ง...

                ฉันคิดว่าฉันไปพักที่โรงแรมดีกว่า...ฉันเบือนสายตาหนีอย่างกระอักกระอ่วน พยายามดันตัวเองจากอ้อมแขนที่เคยโหยหามาตลอดแต่มันสายไปแล้ว

                นี่คงจะเป็นโทษ ของการหลอกลวงตัวเองมาตลอด

                มันสาสมแล้วที่ต้องเสียเขาไป

                มาร์ค...ปล่อยเถอะฉันแตะแขนของเขาเบาๆ พยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเองให้เป็นปกติก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวสูงที่ดูจะสับสนและเจ็บปวดไม่ต่างกัน

                ฉันไม่น่ากลับมา

                หรืออย่างน้อยก็ไม่น่าปล่อยให้อะไรๆมันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้

                มากิน...อุ๊ย!...”เราสองคนต่างสะดุ้งก่อนจะหันไปตามทิศทางเสียง ก่อนจะกลืนน้ำลายฝืดลงคออย่างยากลำบาก สภาพฉันกับเขาในตอนนี้ไม่ดีเอาเสียเลย

                ไม่ดีเอามากๆ

                แม่...เห็นว่าลูกขึ้นมาตามหนูสเตฟนานแล้ว....คุณป้ามีท่าทีตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก็แน่ล่ะลูกชายที่กำลังจะแต่งงานกำลังกอดเพื่อนเก่าสมัยเด็กแนบอกที่ดูยังไงก็ไม่ใช่เฟรนด์ฮัคทั่วไปซักนิด

                คุณป้าคะหนูขอกลับโรงแรมก่อนนะคะ...พอดี่มีข้าวของจำเป็นหลายอย่างที่อยู่ที่นู่นว่าจะถือโอกาสพักผ่อนซะเลยเป็นฉันที่ได้สติก่อนผละออกจากอ้อมกอดของคนที่กำลังทำตัวไม่ถูกและแทรกตัวออกไปจากห้องน้ำ

                สเตฟ...ข้าวเช้า

                เดี๋ยวหนูหากินที่โรงแรมก็ได้ค่ะ...ขอโทษนะคะฉันหยิบเสื้อโค๊ทตัวโปรดขึ้นมาสวมทับกับเสื้อยืดและกางเกงขายาวที่ใส่อยู่ก่อนแล้วอย่างลนลาน เวลาแบบนี้ไม่ว่าอะไรก็ดูเงอะงะและไม่เข้าที่เข้าทางไปเสียหมด

                คุณป้าต้องดูออกแน่ๆ L

                “ขอโทษนะคะ...ฝากลาคุณซูจีด้วยนะประโยคหลังฉันบอกกับคนที่กำลังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่หันหลังไปมอง เพราะกลัวจะอดใจไม่ไหวทำเรื่องไม่ดีเข้าให้อีก

                ฉันนี่มันแย่จริงๆ...

     

     

    23 Dec 2014 – LA

               

                ตั้งแต่ออกมาจากบ้านของมาร์ค ฉันก็เก็บตัวอยู่ในโรงแรมจนเกือบค่ำกว่าจะรู้ตัวก็เพราะสายเรียกเข้าของคุณซูจีที่ปลุกฉันให้ตื่นจากความเพ้อฝัน

                ฝันลมๆแล้งถึงจูบนั่น...

                และแน่นอนฉันปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นแทบทั้งคืนโดยไม่คิดจะสนใจ และปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างไม่คิดจะเช็ด ไม่สนว่าจะมีเสียงจากสายโทรศัพท์ภายในโรงแรม

                ได้แต่เก็บตัวและร้องไห้โดยไม่ต้องอายสายตาใคร

                เพราะในที่ที่ไม่มีใครมองเห็น ฉันก็ไม่อายที่จะร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กเล็ก

                เช้าวันต่อมาคุณซูจีมาที่โรงแรมแต่ฉันไม่ออกไปพบเธอ...ฉันแสร้งมีธุระทำเป็นไม่อยู่ที่ห้อง ปิดโทรศัพท์เงียบและปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเงียบแบบนั้นเพื่อที่จะได้มีสมาธิมากพอที่จะกลับมาเริ่มควบคุมความรู้สึกตัวเองเสียใหม่

                แค่ผ่านคืนนี้ไปอีกคืน...แค่อีกคืนเดียว

                Rhrrr.

                .ฉันอยู่หน้าห้องเธอ...คุยกันหน่อยได้มั๊ย M - .

                ฉันเดินไปแอบมองเขาผ่านช่องตาแมวที่ประตู ร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด บ้าจริง...เขาควรจะพักให้มากๆสิอีกไม่กี่วันเขาก็จะกลายเป็นเจ้าบ่าวแล้วนะ

                Rhrrrr

                .ได้โปรดT –M-.

                ดวงตาเรียวคมจ้องมองผ่านช่องตาแมวราวกับรู้ว่าฉันกำลังมองเขาอยู่ ริมฝีปากหนาฉีกยิ้ม ยิ้มที่ดูเหนื่อยล้าแต่เจือไปด้วยความหวังในแบบที่ฉันจำมันได้ดีเพราะเขาในคืนนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงความคิดของฉันราวกับภาพวีดีโอฉายซ้ำซ้อน

                Rhrrrr

                .ฉันจะรอ... –M-.

                “ต้องมานะ!...ฉันจะรอ

                ราวกับภาพทับซ้อน ฉันก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ที่โชว์ข้อความเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับตอกย้ำให้ฉันจำให้ขึ้นใจว่าการตัดสินใจครั้งนั้นส่งผลมาถึงทุกวันนี้

                “ดีจัง...คราวนี้ไม่ได้รอเก้อเหมือนตอนนั้นฉันแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเผลอเอื้อมมือไปเปิดประตูได้ยังไง อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มของเขาในตอนนี้มันเหมือนกับตอนนั้นมาก

                และฉันไม่อาจปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง

                “นายไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่...มะรืนนี้นายจะ...

                แต่ตอนนี้ เวลานี้ฉันอยู่ที่นี่ไม่รอให้ฉันพูดจบ คนตัวสูงแทรกตัวเข้ามาในห้องอย่างแสนเอาแต่ใจพร้อมกับดึงฉันไปกอดไว้แน่นราวกับกลัวฉันจะหลุดหายไปอีก

                กลับไปเถอะ...เจอกันวันแต่งงานของนายฉันเกลียดตัวเองที่ถึงปากจะไล่เขาแต่กลับกอดตอบเขาแน่นอย่างน่าไม่อาย เวลาแค่ไม่กี่วันเขาสามารถปั่นปวนความรู้สึกของฉัน กระตุ้นความทรงจำมากมายของเรา เขาเก่งเกินไปแล้ว...

                ทิฟฟานี่ได้โปรด...เสียงทุ้มวิงวอนขออย่างแผ่วเบา ฉันคิดว่าฉันควรจะจดเอาไว้แล้วจำให้ขึ้นใจว่าไม่ควรสบตาเขา… “please”

                เพราะมันจะทำให้ไม่สามารถปฏิเสธเขาได้เลย...

                ฉันทอดมองใบหน้าที่คิดถึงมาตลอดแปดปีอย่างไม่คิดจะถอนสายตาไปไหน ในเช้าวันที่ 25 เขาจะเข้าพิธีแต่งงานและเริ่มต้นชีวิตใหม่ใบหน้าแบบนี้ สายตาแบบนี้ ริมฝีปากนุ่มนี่ อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนี่ก็ด้วย

                นับจากคืนนี้ไปมันจะไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้ว

     

     

               

    24 Dec 2006 LA

    15:00 PM

                “นี่...ตกลงเธอจะไปหรือเปล่า?

                ไปไหน?คิ้วเรียวเลิกขึ้นน้อยๆ ละสายตาจากหนังสือการ์ตูนในมือก่อนจะกรอกตาอย่างครุ่นคิด

                ป๊อก!

                โอ๊ย!...มันเจ็บนะเจ้าบ้า!”อุทานอย่างตกใจก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากที่ถูกนิ้วเรียวยาวของคนตัวโตกว่าดีดเข้าที่หน้าผากอย่างแรง

                คริสต์มาสอีพที่ลานน้ำพุตรงโบสถ์หลังโรงเรียน...ไปหรือเปล่า

                คนตัวเล็กก้มหน้าหลบสายตาซ่อนความเขินอายของตัวเองไม่ให้คนตัวโตที่จ้องเธออยู่รู้ว่าเธอกำลังประหม่า ไม่...มันน่าอายจะตายไป

                ก็เธอกับหมอนี่ที่ใครๆต่างรู้ว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กนี่

                ช่างเถอะ...ยังไงก็จะรอละกัน...

                สายตาเรียวคมทอดมองอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ต่างคนต่างครบ 18 ดีแล้ว สื่อความหมายหลากหลายและเปี่ยมไปด้วยคำเว้าวอนที่ทำเอาคนมองรู้สึกมวนท้องเหมือนมีผีเสื้อนับพันบินว่อน

                ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เรื่องเล่าตำนานเมืองที่เล่ากันว่าถ้าเด็กผู้ชายคนไหนเอ่ยปากชวนผู้หญิงไปที่ลานน้ำพุหน้าโบสถ์หลังโรงเรียนมัธยมประจำเมืองนั่นแปลว่าเขาขอเธอเป็นแฟนและถ้าผู้หญิงคนไหนไปที่นั่นตามคำชวน

                หมายถึงเธอตอบรับ...

                แต่เธอกับหมอนั่นน่ะนะ แค่คิดก็อายจนทำตัวไม่ถูกแล้ว

                ฉันจะรอนะ...เขาย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่าหนักแน่น ทิฟฟานี่จ้องดอกกุหลายสีขาวในมือก่อนจะเงยหน้าสบตาคนให้ด้วยหัวใจสั่นไหว เธอนึกภาพเธอกับผู้ชายตรงหน้าเดินไปด้วยกันในฐานะคนรักไม่ออกเลย

                ไม่เคยนึกมาก่อนจนกระทั่งวันนี้...

                เฮ้ยมาร์คไปเร็ว...เพื่อนๆรอถ่ายรูปกันอยู่เนี่ยเป็นแจ็คสันเพื่อนคู่หูของเขาที่ย้ายมาจากฮ่องกงเป็นคนมาตามคนตัวสูงที่กำลังจ้องมองเธออย่างไม่วางตาจนคนถูกมองรู้สึกปั่นป่วน

                หมอนี่จะขยันมองเธอด้วยสายตาแบบนี้ไปถึงไหน

                ตื่นเต้นจนมือเย็นไปหมดแล้ว!

                วันนี้นอกจากจะเป็นคริสต์มาสอีพที่แสนสำคัญแล้วยังเป็นวันจบการศึกษาแบบสมบูรณ์ของเธอและเขาด้วย เพราะแบบนี้พ่อหนุ่มฮอตมาร์คต้วนถึงถูกลากไปถ่ายรูปเป็นว่าเล่น

                หมั่นไส้ชะมัดพ่อคนฮอต L

                “สองทุ่มลานน้ำพุ ...ต้องมานะ!!”ถึงจะถูกลากออกไปโดยน้ำมือของเพื่อนสนิทแต่ก็ยังไม่วายตะโกนมากำชับคนที่กำลังก้มหน้าหลบตาอย่างร่าเริงพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

                ยิ้มที่ทำเอาสาวๆแทบทั้งโรงเรียนใจละลายไปตามๆกัน

                แต่ถ้าเธอไปที่ลานน้ำพุในคืนนี้ รอยยิ้มนั้นจะกลายเป็นของเธอคนเดียว...

                แล้วเธอพร้อมจะครอบครองมันหรือเปล่านะ?

                คล้อยหลังร่างสูง คนตาหวานที่ใบหน้าแดงจัดจากความเขินอายค่อยๆเปลี่ยนมามีสีหน้าเครียดขึงจริงจัง เธอกำลังครุ่นคิดถึงภาพเธอและเขาในอดีต ภาพเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายสองคนกำลังวิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นพร้อมเนื้อตัวมอมแมมแต่กลับมีเสียงหัวเราะแห่งความสนุกสนาน

                เธอยิ้มน้อยๆให้กับภาพความทรงจำเหล่านั้น

                ภาพเด็กชายหญิงคนเดิมที่ตัวโตขึ้นมาหน่อย ทิฟฟานี่ในวัยประถมที่กำลังวิ่งไล่ตีเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาเปิดกระโปรงเธอ โดยมีเด็กผู้ชายที่คุ้นเคยกำลังยืนหัวเราะ...แต่เมื่อเด็กหญิงทิฟฟานี่ล้มลงเด็กชายมาร์คก็ไม่รีรอเลยที่จะเข้ามาดูเธอด้วยท่าทีกระวนกระวายร้อนใจเกินคนเจ็บ

                สุดท้าย...ทิฟฟานี่ก็ต้องขี่หลังมาร์คกลับบ้านเพราะเข่าเป็นแผล

                แค่เข่าเป็นแผลหมอนั่นยังโวยวายซะเว่อร์...ส่ายหัวน้อยๆให้กับความตื่นตูมของเพื่อนตัวใหญ่ ก่อนจะนึกไปถึงวันที่เธอและเขาเข้าเรียนมัธยมต้นทิฟฟานี่สมัครเข้าชมรมละคร แต่ก็นั่นแหละอย่างที่ว่าทะเลาะกันใหญ่โตและแน่นอน

                ต้องเป็นมาร์คอยู่แล้วที่เป็นฝ่ายตามง้อ J

                ภาพในตอนที่พวกเธอต่างก็ขึ้นไฮสคูล เพราะมาร์คเริ่มเข้าชมรมกีฬาและทิฟฟานี่เริ่มกลับเข้าชมรมละครอีกครั้งทำให้ทั้งสองค่อยๆห่างเหินกันแต่ก็แค่ไม่นานหรอก คนตัวสูงเอาแต่ใจลาออกจากชมรมกีฬาและเริ่มมาป่วนจนเธอต้องออกจากชมรมละครอีกครั้ง

                แย่ชะมัดเลยหมอนี่ L

                “ฉันควรจะไปดีมั๊ยนะ...พึมพำเบาๆคนเดียวกับกุหลาบขาวหนึ่งดอกในมือ...ทิฟฟานี่รู้ดีถึงความรู้สึกเขา มันชัดเจนเสมอ ชัดเจนมานาน

                แต่แน่นอนเธอเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็น

               

     

     

     

    19:00 PM

     

                บรรยากาศที่บ้านวันนี้เต็มไปด้วยความอึมครึม

                ทั้งๆที่เต็มไปด้วยสายรุ้งประดับประดาตกแต่งรับเทศกาล แต่คนในบ้านกลับมีสีหน้ามึนตึงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะทิฟฟานี่

                และหัวหน้าครอบครัวมิสเตอร์ฮวัง

                แกหมายความว่ายังไงที่จะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย...แล้วที่แกสอบเข้าได้ล่ะ!”เสียงทุ้มกังวาลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามสะกดโทสะของตัวเองไว้ ทั้งๆที่เขาและคนทั้งบ้านต่างภาคภูมิใจที่ทิฟฟานี่สอบเข้ามหาลัยชื่อดังอย่างมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียแล้ว

                แต่เจ้าตัวกลับบอกว่าเธอจะไม่เข้าเรียน...

                เธอไม่ต้องการเรียนต่อ

                หนูแค่ยังไม่เข้าเรียนในตอนนี้...ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เรียนตลอดชีวิตคนตัวเล็กพยายามอธิบายทั้งๆที่ตัวเองก็เริ่มหวั่นกลัว มิสเตอร์ฮวังอาจจะไม่ได้มีโครงร่างที่ใหญ่แบบชาวตะวันตกจ๋า แต่ความกดดันของเขาไม่แพ้ใครเลยทีเดียวสำหรับเธอในตอนนี้

                ตั้งแต่คุณนายฮวังจากไป บ้านฮวังก็ดูเงียบขรึมกันมากเพราะคุณท่านฮวังไม่ใช่คนช่างพูดและติดจะเงียบขรึมด้วยซ้ำ และแน่นอนทิฟฟานี่ก็ไม่ใช่คนที่จะเข้าไปพูดคุยกับคนที่มีท่าทางเคร่งขรึมน่ากลัวแบบนั้น เธอเข้าหน้าพ่อไม่ติด...มันไม่ง่ายเลย

                และทั้งสองก็ยิ่งเหินห่างกันเรื่อยๆ

                แล้วแกจะทำอะไร...ไปเป็นดาราแบบที่แกอยากเป็นน่ะหรอ...ขนาดแค่ชมรมก็ไปไม่รอดคิดว่าจะไปมีปัญญาไปได้ไกลแค่ไหนกันฮึ!”ดวงตาเรียวหวานเงยขึ้นจ้องคนตัวโตกว่าเขม็ง สบดวงตาแกร่งอย่างแข็งกร้าว

                คนงานและคนรับใช้ในบ้านต่างก้มหน้าก้มตาสบตากันเลิกลั่กอย่างหวั่นกลัว นี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่ทะเลาะกัน แต่การทะเลาะกันของทั้งสองมักจบที่คุณหนูของบ้านเลือกอยู่เงียบ

                แต่วันนี้มันดูต่างออกไป...ต่างไปอย่างมาก

                ทิฟฟานี่รู้สึกเหมือนถูกประนามด้วยสายตาของคนที่เธอเคารพมาตั้งแต่เด็ก เธอรู้ดีว่าเธออาจจะดูอ่อนแอและเป็นเด็กน้อยในความคิดของเขา

                แต่ถึงจะเป็นพ่อ ก็ไม่มีสิทธิ์มาดูถูกความฝันของเธอ

                ไม่ว่าจะยังไงหนูก็จะไปฮอลลิวู้ด! ที่นั่นคือความฝันของหนู!”

                “ฉันไม่ได้เลี้ยงแกมาให้แกไปทำอาชีพเต้นกินรำกินแบบนั้น!...แกคิดว่ากว่าพวกนั้นจะได้ลืมตาอ้าปากได้ต้องไปอ้าอย่างอื่นให้พวกสปอนเซอร์จนพรุนไปถึงไหนต่อไหนกัน!...”เสียงทุ้มตวาดก้องจนคนตัวเล็กสะดุ้ง แต่เพราะทิฐิทำให้ลำคอระหงส์ยังตั้งตรงสบตากับคนตัวโตกว่าอย่างไม่คิดจะยอม

                งั้นพ่อเลี้ยงหนูมาให้เป็นหุ่นยนต์ตามโปรแกรมหรือไง...เป็นไปไม่ได้หรอก! หนูเป็นคน! หนูมีจิตใจ!...”ระบายความอึดอัดในใจ ใบหน้าหวานเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา เธออดทนมาตลอด...และเธอไม่อยากจะทนอีกต่อไปแล้ว

                ต่อให้พ่อล่ามโซ่ไว้หนูก็จะหนีออกไปจากที่นี่...ที่นี่มันไม่ใช่บ้าน ตั้งแต่แม่ไม่อยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านที่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว!!”

                เพี๊ยะ!!

                ใบหน้าหวานสะบัดไปตามแรงตบจากมือหนาที่เหี่ยวย่นไปตามวัย ยกมือขึ้นกุมแก้มที่ชาเพราะแรงปะทะ หันไปสบตาคนตัวใหญ่ทั้งน้ำตาคลอหน่อย

                “ขึ้นห้องไปเขียนใบสมัครสอบสัมภาษณ์ซะ...คุณฮวังสูดหายใจลึกพยายามควบคุมอารมณ์ก่อนจะหลับตาแน่น ชี้มือไปทางเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาก่อนจะหยิบขึ้นมาเพื่อยื่นมันให้กับลูกสาวคนเดียว

                หนูจะไปฮอลลิวู๊ด!”

                ถ้าไปแกก็อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อ!...น้ำหน้าอย่างแกถ้าไม่มีฉันจะไปได้ซักกี่น้ำ!”เอกสารในมือถูกโยนผ่านใบหน้าหวานที่เประเปื้อนคราบน้ำตา ทิฟฟานี่สะบัดหน้าหนีก่อนจะวิ่งขึ้นห้องไปด้วยความโมโห

                เธอคิดว่าเธอไม่เหมาะกับที่นี่

                บ้านที่มีแต่ความเครียดขึงจริงจัง...เธอเกลียดมัน

                แม่คะ...หนูเกลียดเค้า หนูเกลียดผู้ชายของแม่...ซุกหน้าลงกับฝ่ามือก่อนจะทรุดลงนั่งพิงประตูร้องไห้ตัวโยนทันทีที่ก้าวเท้าเข้าห้อง

                เงยหน้าขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะสูดหายใจลึก...

                ทิฟฟานี่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือก่อนจะถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความหงุดหงิดและอึดอัดใจที่มีอยู่ เธอรู้ว่าเธอคงดูเหมือนลูกอกตัญญูในตอนนี้ แต่มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวด

                ที่คนที่เราอยากให้เชื่อมั่นในตัวเรามากที่สุดกลับไม่เชื่อมั่นในตัวเราเลย

                สำหรับเขาเธอดูไม่ได้ความขนาดนั้นเลยหรือ ในสายตาเขา เธอเป็นแค่ภาระหรือเปล่านะ สะดุ้งตกใจเมื่อมือเผลอไปแตะโดนกรอบรูปจนเกือบจะตก ในรูปเป็นสาวน้อยคนหนึ่งในสภาพมอมแมกำลังฉีกยิ้มโดยมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนน้ำตาคลอตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เด็กผู้ชายผู้ที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เด็กผู้ชายที่เธอมักจะเผลอไปหลับอยู่ในห้องของเขา

                ห้องที่อยู่ตรงข้ามกับระเบียงห้องเธอ

                เอื้อมมือไปหยิบดอกกุหลาบสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือรวมๆกับกระเป๋าและเครื่องเขียนที่กระจัดกระจาย ก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่อนึกถึงคนให้

                และเผลอตกใจที่ตัวเองหัวเราะออกมาในสถานการณ์แบบนี้

                ไม่น่าเชื่อว่าเขาช่างมีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอเหลือเกิน...

                ทิฟฟานี่หยิบอัลบั้มรูปมากมายในวัยเด็กขึ้นมองอย่างคิดถึง ใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กสองคนที่แสนสดใส เธอหวงแหนมัน

                และไม่ต้องการให้มันหายไป...

     

     

               

    24 Dec 2006

    22.00 PM

     

                เขายังมองไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่จะมา

                ได้แต่บอกให้ตัวเองใจเย็นไว้เพราะเธอมักจะสายเป็นประจำอยู่แล้ว

                เธอต้องมาอยู่แล้ว...

                ร่างสูงชะเง้อคอไปตามทางเดิน กวาดสายตาไปทั่วเผื่อว่าเธอจะคิดเว่นพิเรนท์แอบเข้ามาแกล้งให้เขาตกใจในความมืด รอคอยอยู่อย่างนั้น...

                ตึก ตึก

                เสียงฝีเท้าสร้างความประหม่าให้เขาเป็นอย่างมาก นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกตื่นเต้นได้มากมายขนาดนี้

                มาร์คไม่แน่ใจว่าตัวเองเริ่มหลงรักทิฟฟานี่ตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่เขาไปลากเธออกมาจากชมรมละครทันทีที่รู้ว่ารุ่นพี่ที่เธอแอบปลื้มอยู่ชมรมบ้าๆนั่น อาจจะเป็นตอนที่เธองอแงจะอยู่เล่นเกมส์จนกว่าจะชนะเขาแล้วผล็อยหลับไปด้วยกันทั้งคู่...หรืออาจจะเป็นตอนที่เธอไล่ตีเด็กผู้ชายที่เข้ามาแกล้งเขากระเจิงและกลายมาเป็นเพื่อนกันในที่สุด

                หรืออาจจะเป็นวินาทีแรกที่เด็กน้อยสองคนสบตากัน

                รู้ตัวอีกทีก็รักจนหมดหัวใจไม่เหลือที่ว่างให้ใครเลย

                อ้าวเจ้าหนู ยังไม่กลับอีกหรอ...เป็นลุงยามนั่นเองที่เดินเข้ามาเพราะเห็นว่าไฟบริเวณน้ำพุยงไม่ได้ปิด แม้เขาจะบอกกับยามไว้ก่อนแล้วแต่นี่ก็เกินเวลามากว่าสองชั่วโมงแล้ว ร่างสูงถอนหายใจอย่างผิดหลังก่อนจะปั้นหน้ายิ้มส่งให้ลุงยามอย่างใจเย็น

                ผมนัดเพื่อนไว้ ผมขอรอเพื่อนก่อนนะครับ...รอยยิ้มสดใสในตอนแรกเริ่มแสดงความอิดโรยให้เห็น

                นี่มันดึกแล้วไม่มาแล้วมั้ง...

                ต้องมาแน่ๆครับ...ยัยนั่นน่ะชอบมาสายตลอดแต่ไม่เคยผิดนัด...ดวงตาคมฉายแววไปด้วยประกายความหวัง ชะเง้อคอจับจ้องไปยังบริเวณทางเดินที่เงียบสงัดอย่างใจเย็น

                ต้องมาสิ...เธอต้องมาแน่ๆ

     

    25 Dec 2006

    00.00 AM

     

                ในมุมมืดบริเวณโบสถ์ที่ร่างสูงยืนอยู่ มุมอับสายตาที่น้อยคนนักจะสังเกตุเห็นร่างบางเจ้าของในตาหวานในชุดลำลองสีทึบกลืนไปกับความมืดกำลังยืนมองแผ่นหลังของคนที่กำลังชะเง้อไปตามทางเดินด้วยความรู้สึกหลากหลาย

                ทิฟฟานี่มาถึงที่นี่นานแล้ว...มาก่อนเวลาเสียด้วยซ้ำ

                ดวงตาหวานทอดมองแผ่นหลังที่เธอมักจะใช้พิงเวลาเหนื่อย ม่านน้ำตาที่คลอหน่วยอาจทำให้ภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอไปบ้างแต่มันยังคงชัดเจนอยู่เสมอ...ในภาพจำ

                และใจหัวใจ

                ลุงยามที่ทำหน้าที่ดูแลบริเวณนี้เดินมาอีกครั้ง ทั้งสองคนดูเหมือนจะพูดคุยอะไรกันซักอย่างที่เธอจับใจความไม่ได้ แต่พอจับสังเกตได้จากท่าทางอ่อนแรงของเขาและลุงยามที่ดันหลังให้เขาเดินออกไปจากลานน้ำพุนี้

                ...ขอโทษ

                เสียงแหบหวานเอ่ยกระซิบไปตามสายลม...

                สำหรับทิฟฟานี่ ช่วงเวลาที่มีร่วมกับเขาทั้งหมดคือช่วงเวลาพิเศษที่เธอไม่อยากสูญเสีย ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่ยอมให้มันหลุดลอยหายไป

                แต่คำว่ารักมันบางเบาเกินไปจนดูไม่ชัดเจนเอาเสียเลย

                ขาเล็กก้าวไปตามความมืดโดยเว้นระยะห่างคนที่กำลังเดินอย่างเลื่อนลอยข้างหน้า ที่ไม่รู้ใจลอยไปถึงไหนเพราะแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเธอเดินตามมาข้างหลัง ทิฟฟานี่กวาดสายตามองระวังเผื่อทางข้างหน้าเพราะกังวลว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุ

                อยากเข้าไปกอดแผ่นหลังกว้างที่มีเพื่อเธอเสมอแล้วปลอบว่าเขาจะไม่เป็นไร

                แต่ก็กลัวใจตัวเองเสียมากกว่า

                คิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนและตัดสินใจเอาเองว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดระหว่างเธอและเขา คำว่าแฟนดูเป็นสิ่งที่เปราะบางเกินไปสำหรับเธอและเขาในตอนนี้ ในอนาคตอาจจะมีเรื่องให้ทั้งสองคนเลิกรากันและมองหน้ากันไม่ติด

                เพราะฉะนั้นเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว

                เธอคงต้องรอให้เขาใจเย็นลงกว่านี้และอธิบายให้เขารู้

                เธอจะต้องอธิบายแน่นอน...

               

                วี๊หว่อ~ วี๊หว่อ~

                เสียงไซเรนดังก้องบริเวณเนื่องจากเวลาดึกสงัดหมู่บ้านแถวนี้เข้านอนกันจนเงียบเชียบไปแล้ว ปลุกให้ทั้งคู่ตื่นจากภวังค์ ทิฟฟานี่มองตามทิศทางที่รถพยาบาลสีขาวที่อยู่ใกล้ระแวกนี้ออกมาก่อนจะพบว่ามันคือทางที่มาจากบ้านของเธอ

                คงจะเป็นบ้านอื่นที่อยู่ช่วงนั้น...

                ร่างสูงที่นำหน้าเธออยู่รีบวิ่งไปยังทิศทางที่รถพยาบาลออกมาโดยเธอวิ่งตามไปด้วยและไม่คิดจะซ่อนตัวอีกแล้ว ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้หัวใจสั่นไหวอย่างตื่นกลัว ทิฟฟานี่ชะงักเมื่อเห็นว่าร่างสูงตรงหน้าหยุดฝีเท้า

                ใบหน้าหวานชาวาบเมื่อเห็นคนรับใช้ในบ้านกำลังยืนกอดกันร้องไห้อยู่หน้าประตูรั้ว โดยมีคุณและคุณนายต้วนยืนกุมมือกันอยู่

                มาร์ค...เป็นคุณนายต้วนที่สังเกตุเห็นลูกชายก่อนจะดึงร่างสูงไปกอด และชะงักกึกเมื่อเห็นเธอเดินตามมาจากข้างหลัง หนูสเตฟ...

                ท่าทีของท่านทั้งสองทำให้คนที่เดินนำหน้าเธอแต่ไม่รู้ตัวว่าเธออยู่ข้างหลังหันกลับมาด้วยใบหน้าประหลาดใจ

                คุณหนู...สาวใช้คนหนึ่งตรงเข้ามากอดเธอก่อนจะปล่อยโฮออกมาจนคนหน้าหวานต้องยกมือขึ้นลูบหลังเพื่อให้หล่อนผ่อนคลาย คุณท่าน...คุณท่าน...

                พระเจ้าเธอขอภาวนา...

                คุณท่านหัวใจวาย...ตอนนี้รถพยาบาลกำลังพาไปโรงพยาบาลค่ะ...คงเพราะเธอเป็นเด็กดื้อ คงเพราะเธอเป็นเด็กไม่ดีที่ทำตัวไม่ดีกับพ่อตัวเอง

                พระเจ้าคงกำลังลงโทษเธอ....

                คุณท่านเป็นโรคหัวใจ...แต่ปิดคนในบ้านไว้...แล้วเธอก็ยังทำให้ท่านเครียด เพราะเธอ เพราะเธอคนเดียวทิฟฟานี่ฮวัง คุณหนู!!”

                หนูสเตฟ!”

                ฟานี่!”

     

     

     

    24 Dec 2014 – LA : สุสานตระกูลฮวัง

    Tiffany’s Side

     

               

                และคืนนั้นพ่อของฉันก็จากไปทั้งที่เรายังทะเลาะกันอยู่แบบนั้น

                ฉันยืนอยู่ต่อหน้าป้ายหลุมศพที่ตั้งอยู่ติดกันตามคำขอของพ่อในพินัยกรรม ฉันขายบ้านและเอาสมบัติส่วนนึงไปขายเพื่อจ่ายเงินชดเชยให้คนงานอีกส่วนหนึ่งเก็บไว้และเริ่มเดินทางไปเรื่อยๆ

                จนกระทั่งผ่านไป 8 ปี...

                ยังรู้สึกผิดหรอคะ?...ฉันหันไปปั้นยิ้มให้คุณซูจีโดยไม่พูดอะไร เขาคงรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นต่อให้ฉันไม่เล่าเอง แต่ช่างเถอะ

                ฉันไม่ได้คิดจะเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว

                นี่คือเหตุผลที่คุณไม่อยากจะกลับบ้าน?ฉันใช้ความเงียบแทนคำตอบ ในเวลานี้ความเงียบคือสิ่งที่ตอบทุกอย่างได้ดี ฉันกลัวการกลับมาที่บ้าน กลับมาเห็นภาพตัวเองทะเลาะกับพ่อเสียงดังลั่นและกลับมาเห็นรถพยาบาลที่พาพ่อไป

                โดยไม่ทันร่ำลา

                เรื่องมันผ่านไปนานแล้วนะหนูสเตฟ...ฉันมองตามมือเรียวที่เหี่ยวย่นไปตามเวลากำลังกุมมือฉันอยู่ วันนี้คุณป้าเองก็มาด้วยเพราะเป็นวันครบรอบวันตายของพ่อของฉัน หมอบอกว่าอันที่จริงท่านเสียตั้งแต่ตอนห้าทุ่มแล้วกว่ารถพยาบาลจะมา...

                ถ้าฉันอยู่ที่นั่นตอนนั้น

                ไม่สิถ้าฉันไม่ทะเลาะกับท่าน...

                รู้มั้ย...ป้าเชื่อว่าพ่อของหนูไม่เคยโกรธหนูเลย...คุณป้าลูบหัวฉันแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน และท่านคงเสียใจแน่ถ้าลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านยังทุกข์อยู่แบบนี้...ฉันรู้ดีว่าท่านรักฉัน แต่...ในตอนนี้คงมีแค่เวลา เวลาเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาความเจ็บปวดที่มีอยู่ให้เบาบางลง

                ฉันวางซองเอกสารลงบนป้ายหสุมศพของพ่อก่อนจะทอดมองชื่อที่สลักอยู่บนหินที่ใช้ทำเป็นป้ายสุสาน

                ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันมักจะตัดสินใจอะไรพลาดอยู่เสมอ

                แต่ขอให้ครั้งนี้ฉันตัดสินใจถูกซักครั้งด้วยเถอะ

     

                หลังจากกลับมาจากสุสาน ฉันนั่งทานข้าวกับครอบครัวของมาร์พร้อมกับคุณซูจี ส่วนเจ้าตัวเห็นบอกว่าวันนี้ต้องยุ่งเตรียมการเรื่องพรุ่งนี้ทั้งวันจะว่างก็แค่ช่วงสองทุ่ม

                แย่ชะมัดสองทุ่มอีกแล้ว L

                คุณซูจีคะ...คุยกันหน่อยได้มั๊ย...ฉันเอ่ยถามคนที่กำลังง่วนอยู่กับการปอกผลไม้ในครัว เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉันก่อนจะส่งยิ้มให้ ทั้งๆที่เธอทั้งน่ารักและแสนดีขนาดนี้

                ฉันยังทำร้ายเธอได้

                นึกว่าจะหนีอีกซะแล้ว...เธอคลี่ยิ้มก่อนจะวางมีดและแอ๊ปเปิลในมือลงบนจาน ไปคุยกันที่สวนเถอะค่ะ...เธอเดินนำฉันไปที่สวนหน้าบ้านซึ่งมีโต๊ะหินอ่อนสำหรับนั่งเล่นอยู่ ฉันชะงักเมื่อเธอเลือกนั่งตรงทิศทางที่หันหลังให้กับบ้านเก่าฉัน ทำให้ฉันต้องนั่งหันหน้าไปทางบ้านเก่าของตัวเองที่ติดกับรั้วไปโดยปริยาย

                อา...ใครกันนะที่มาอยู่บ้านหลังนี้แทนฉัน

                คิดถึงหรอคะ?เธอมองฉันก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนเหมือนผู้ใหญ่ที่จับได้ว่าเด็กแอบซ่อนอะไรบางอย่างแล้วเอ็นดู

                ถ้าบอกว่าไม่เลยคงโกหกค่ะ...ก็มีบ้างฉันนั่งลงก่อนจะทอดสายตามองไปยังบ้านที่เคยเกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย

                อดีตมีไว้เตือนใจค่ะไม่ใช่เอาไว้ล่ามความทุกข์ในใจฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับเธอก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองคิดจะพูดอะไร

                เมื่อคืน...

                มาร์คอยู่กับคุณ Jเธอยังคงยิ้ม ยิ้มแบบที่เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ฉันรู้ค่ะ...เขาบอกฉันแล้วฉันพยักหน้าน้อยๆ นั่นสินะพวกเขาคงไม่มีความลับต่อกันหรอก

                ฉันดีใจนะคะที่งานแต่งยังคงมีต่อไป...ฉันยินดีจากใจจริงฉันส่งยิ้มให้เธอ สำหรับความรักของฉันอาจไม่ใช่เทพนิยายแสนหวาน อาจจะไม่ได้ลงเอยที่ฉันได้ครองคู่กับเขา แต่ฉันก็มีความสุขที่จะได้เห็นเขามีความสุข

                เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว

                “ต้องมีอยู่แล้วค่ะ...เขาน่ะทั้งหัวแข็งแถมยังดื้อดึงไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆฉันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะเขาเป็นคนแบบนั้นจริงๆ แต่ฉันก็ชอบเขาที่เป็นแบบนี้...แล้วคุณทิฟฟานี่ล่ะคะ

                คะ?

                คุณชอบหรือเปล่า?....คุณซูจียิ้มก่อนจะเท้าคางเอียงคอมองฉันอย่างรอคอยคำตอบ ถ้าถามกันว่าฉันชอบหรือเปล่าน่ะหรอ

                รักเลยล่ะมั้งคะ Jคุณซูจีหัวเราะก่อนจะตบมืออย่างชอบอกชอบใจกับคำตอบของฉัน บางทีเธออาจจะชอบใจในความกล้าหน้าทนของฉันก็ได้ใครจะรู้

                คุณทิฟฟานี่คะ...ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณ...

      

    24 Dec 2014 – LA

    20.00 PM

     

                ฉันนั่งถอนหายใจจ้องมองดอกกุหลายสีขาวในมืออย่างใช้ความคิด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจ้องน้ำที่กระเพื่อมจากแรงกระทบกันจนเป็นคลื่นน้ำย่อมๆแทน

                ฉันตัดสินใจที่จะจบเรื่องค้างคาของฉันเพื่อตัวฉัน เพื่อเขา และเพื่อคุณซูจี ปัญหาความไม่ลงตัวนี่จะได้จบลงเสียที

                ไง...

                เสียงทุ้มดังขึ้นปลุกฉันตื่นจากภวังค์ เขาอยู่ในสภาพที่ดูจะอิดโรยนิดหน่อยคงเพราะต้องเหนื่อยวิ่งวุ่นทั้งวัน แต่ร่องรอยความเหนื่อยล้าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ประกายความสดใสของเขาลอลงเลย

                นี่ฉันเอาอีกแล้ว หลงไหลเขาอีกแล้ว...

                ทั้งๆที่ตอนไม่เห็นเขาฉันมั่นใจเหลือเกินว่าฉันจะสามารถตัดเขาไปจากใจได้ แต่ตอนนี้เวลานี้ ตอนที่กำลังจ้องมองเขานี่

                หัวใจฉันสั่นคลอนอีกแล้วให้ตายเหอะ

                เหนื่อยจัง...ร่างสูงนั่งลงข้างๆฉันก่อนจะเอนพิงไหล่ฉันด้วยท่าทางอ่อนแรง เหนื่อยอ่ะขอจุ๊บชื่นใจให้หายเหนื่อยหน่อยสิไม่พูดเปล่ายังเงยหน้าขึ้นขโมยหอมแก้มฉันเบาๆโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว

                มาร์ค...

                ฉันยื่นดอกกุหลายสีขาวที่ซื้อมาก่อนมาที่นี่ให้เขาก่อนจะสูดหายใจอย่างแน่วแน่ ก็ฉันตั้งใจแล้วว่าวันนี้ฉันจะพูดในสิ่งที่ฉันติดค้างเขาไว้

                “เมื่อแปดปีก่อน...คำตอบของฉันคือไม่ตกลง

                ร่างสูงนิ่งไปก่อนจะลุกพรวดขึ้นทำเหมือนจะลุกหนีไปจากตรงหนีแต่ฉันจับมือของเขาไว้ เพื่อให้เขาฟังที่ฉันอธิบาย

                ในตอนนั้น...ฉันยังเด็ก และคิดว่าคำว่าแฟนเป็นภาระที่หนักหนาเกินไป...ฉันจับเขาให้หันกลับมาสบตาฉันเพื่อที่ฉันจะกล้าพอที่จะพูดออกไป ฉันรักนาย รักมาก...และนายพิเศษเกินกว่าที่ฉันจะเสียไป...ฉันกลัวว่าวันนึงถ้าเราเป็นแฟนกันแล้วและเราหมดรักกันขึ้นมา...ฉัน...ฉันหวงช่วงเวลาเหล่านั้น...

                รู้อะไรมั๊ยทิฟฟานี่...ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถเลิกรักเธอได้เสียงทุ้มเอ่ยบอกพลางยื่นมือมือลูบแก้มฉันอย่างแผ่วเบา ไม่เคยมีเวลาที่ฉันไม่รักเธอ

                แต่นายก็กำลังจะแต่งงาน...ฉันยิ้มก่อนจะพยักหน้า

                ใช่ฉันกำลังจะแต่งงาน... Jเขาฉีกยิ้มก่อนจะดึงมือฉันไปกุมหลวมๆ ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อนิ้วมือสัมผัสเข้ากับวัตถุเย็นเยียบและพบว่ามันคือแหวน

                แหวนเนี่ยนะ?

                คุณซูจี...

                ไหน...ซูจีอยู่ไหน?...เขาทำท่ามองหาก่อนจะหันมาเลิกคิ้วให้ฉัน ตรงนี้ไม่มีซูจี มีแต่เธอและฉันเราสองคน J

                คุณซูจีเจ้าสาวของนาย...เขายิ้มก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ

                เจ้าสาวของฉันคือเธอต่างหาก Jนี่เขาหรือฉันที่เพี๊ยนกันแน่นะ

                ในโปสการ์ด...ฉันขมวดคิ้วเมื่อนึกไปถึงโปสการ์ดที่เขาส่งมาให้ นายบอกว่ากำลังจะแต่งงาน

                ฉันบอกว่ากำลังจะแต่งงาน...เธอจะมามั๊ย? เธอมาแล้วนั่นหมายความว่าตกลงไม่ใช่เหรอเขาฉีกยิ้มทะเล้นก่อนจะดึงฉันที่กำลังงงงวยเข้าไปกอดหลวมๆ

                คุณซูจี?...

                แฟนของแจ็คสัน เป็นออแกร์ไนซ์รับจัดงานแต่งนี้...ฉันให้เธอแอบวัดตัวเธอคร่าวๆเพื่อแก้ไซส์ชุดแต่งงานที่พาฉันเข้าไปลองแม้กระทั่งชุดชั้นในก็ด้วยหรอ?

                แล้วที่นายวางแผนจะไปบาหลี....

                เธอก็ตอบว่าจะไปบาหลีไม่ใช่หรอ?ฉันพยักหน้าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็ตอบแบบเดียวกับคุณซูจีในวันนั้นเพราะไม่ได้คิดอะไร ยังไม่มีใครบอกเลยว่าฉันกับซูจีจะแต่งงานกัน...เธอพูดเองเออเอง

                ฉันอึ้งและสับสนกับสิ่งที่ได้รับรู้ นี่อาจจะเป็นความฝันหรือรายการอำกันเล่น หรือบางทีเขาอาจจะโกหก หรือลองใจฉัน

                อย่าใจแข็งมากนะคะฉันสงสารหมอนั่น

                นี่คือเหตุผลที่คุณซูจีพูดประโยคนี้กับฉันอย่างนั้นสินะ นั่นสิไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นที่ดูจะมีใจให้ว่าที่สามีของตัวเองทำตามอำเภอใจขนาดนี้ แสบจริงๆ

                เป็นแผนของฉัน...แปดปี!...เธอให้ฉันรอแปดปีเขามุ่ยหน้าก่อนจะเปลี่ยนมาสบตาฉันอย่างจริงจัง ผู้ชายที่รอผู้หญิงคนนึงที่เอาแต่หนีมาตลอดแปดปีเธอจะหาได้จากที่ไหน

                ฉัน...

                ไม่สิอันที่จริงฉันรอเธอมาทั้งชีวิตแล้วต่างหาก...เขาค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ฉัน แต่งงานกัน....

                ประโยคเชิญชวน?...ขอร้อง?

                ประโยคคำสั่งต่างหาก... Jสั้นๆแต่หัวใจของฉันเหมือนถูกช็อกซ้ำๆ เตรียมการไว้หมดแล้วรอแค่เจ้าสาว

                ริมฝีปากของเขาประกบเข้ากับริมฝีปากฉันอย่างแผ่วเบา เท่านี้ก็พาให้สติของฉันหมุนคว้างในอากาศจนต้องยกมือขึ้นจับไหล่ของเขาเพื่อหาที่พึ่งพิง

                มาร์ค...

                ครับ?...ถึงแม้เสียงทุ้มจะขานรับแต่ดวงตาคมของเขาก็ยังจดจ้องอยู่กับริมฝีปากฉันอย่างออกนอกหน้า ผู้ชายคนนี้ช่างไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกและยางอายเอาเสียเลย

                จริงๆแล้วฉันจองตัวเครื่องบินไว้แล้ว....

                งั้นไปแต่งงานกันบนเครื่องบินเขาเลียริมฝีปากตัวเองก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ฉัน

                มาร์ค...

                ครับ...ถึงจะขานรับแต่แขนเขาก็ยังยุ่งอยู่กับการตรึงฉันไว้ในอ้อมกอดให้ดิ้นหนีไม่ได้ เหนียวชะมัดเลยหมอนี่

                ฉันมีแผนจะไปเที่ยวอีกหลายประเทศ

                จะตามไปทุกประเทศเขาจับคางฉันเชยขึ้นก่อนจะจ้องลึกเข้ามาในดวงตาฉันเพื่อบอกความรู้สึกทั้งหมดผ่านสายตา จะตามติดไปทุกที่...ไม่ปล่อยให้หนีอีกแล้ว

                มาร์ค...

                พอแล้ว...ริมฝีปากหนาประกบเข้ากับริมฝีปากฉันอย่างนุ่มนวลแต่ทว่าหนักแน่นราวกับจะประกาศว่าเขาจะดูแลฉันอย่างนุ่มนวลและรักฉันอย่างหนักแน่น

                ...ฉันรักนายฉันผละออกห่างเพื่อบอกเขาในประโยคสุดท้ายที่ถูกขัดจังหวะเมื่อครู่

                ได้ยินแค่เนี้ยต่อให้พาไปลงนรกก็จะตามไปฟังในนรกเลยคนตัวสูงยิ้มทะเล้น        “นี่ถามหน่อยสิ?...ในเมื่อนายบอกจัดเตรียมไว้แล้ววันนี้นายหายไปทำอะไรน่ะเพราะคุณซูจีก็ดูจะสนุกกับการพักผ่อน

                แก้ไซส์น่ะ...

                แก้ไซส์?ฉันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

                ก็แบบเมื่อคืนพอได้กะขนาดเองแล้วรู้สึกมันเหมือนจะใหญ่กว่าที่ตัดไปคัพนึง...ร่างสูงปาดเหงื่อน้อยๆก่อนจะเริ่มถอยออกห่าง ว่าแต่ว่าอะไรบ้างนะที่เขาวัดกันเป็นคัพ

                เอ๊ะ คัพ....

                อยากให้ใส่ออกมาสวยๆไงจ๊ะ...

                ฉันไม่แต่ง!”

               

     

                ฉันเคยเกลียดเดือนธันวาคม เพราะมันเป็นเดือนที่เต็มไปด้วยความทรงจำร้ายๆและยังเป็นช่วงเวลาสุดหนาวเย็นที่ฉันไม่ชอบ ...แต่เดือนธันวาคมก็ดีนะ J





















    TALK
    100%---- คดีพลิก! บอกแล้วไม่ถนัดดราม่าหรอกเอาจริงๆแล้วถนัดแนวทะเล้นๆกวนๆมากว่า พอนึกหน้าเอินเอินแล้วดราม่าไม่ออกจริงๆคือน่ารักกก แบบถ้าโดนหน้าตาแบบนั้นมาอ้อนคิดว่าจะไม่ใจอ่อนเหรอ? ก็ต้องใจอ่อนอยู่แล้วแบบแหงแซะ... นึกภาพผู้ชายคนนี้ดราม่าไม่ออกจริงๆมันฟรุ้งฟริ้งอยู่ในใจ 5555555555555555

    80%--- จะจบอยู่แล้วยังมึนงงอยู่เลย สมเป็นฟิคอารมณ์หน่วง มึนงง สับสนจริงๆให้ตายเหอะ.... =__= แก้ตัวเรื่องหน้าได้มั๊ย ผิดไปแล้วแงงงงง 

    50% ---- 
    เป็นวันช็อตที่จบยากเกินไปมั๊ยน้อมาทีละกระจึ๋งเดียวอีกละ  แต่งดราม่าก็ไม่ขึ้นเลิฟซีนก็ไม่สุดโธ่เค้านี่ล่ะก็ T^T ปกติอารมณ์ค่อนข้างตายด้าน ไม่ค่อยมีดราม่าหรืออะไรกุ๊กกิ๊กๆแบบนี้ บรรยายก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่อีก แค่ทอล์คอย่างเดียวก็ปาไปครึ่งหน้ากระดาษละ 55555555 กำลังเริ่มติดการ์ตูนอีกแล้วค่ะไซโคพาสภาคสองมาแล้วพอเห็นหน้าฟีดทีไรจิตใจก็เตลิด กลัวตอนจบจะกลายเป็นพี่สังเกตการสเตฟยิงคุณเจ้าหน้าที่มาร์คจริงๆ

    40% ----- มาทีละจึ๋งอีกละ T^T อากาศหนาวมือแข็งสมองตื้อไปหมด นี่ชักจะจินตนาการว่าตัวเองเป็นนางเอกซีรี่ย์แต่ติดตรงที่คงไม่มีนางเอกซีรี่ย์บ้านไหนเอาแต่หมกตัวอยู่ในผ้าห่มจนบ่ายสองแน่ๆฟันธงเลย 5555555555 ช่วงนี้ทำงานบ้างพักผ่อนบ้างงอแงเป็นเมนส์บ้างหนาวจนไม่อยากกระดิกตัวบ้าง เค้าผิดไปแล้ว T^T จะพยายามนะคะ ที่ปั่นอยู่ก็ไปไกลแล้วล่ะ แต่ลบแล้วลบอีกไม่พอใจซักที 5555555
    30% ---- มาทีละจึ๋งแล้วยังข้ามตอนได้อย่างน่าไม่อาย ผิดไปแล้ว T^T ยอมรับผิดแล้วค่าา เพื่อนๆหนาวกันมั๊ยคะ? เค้าหนาวมากอ่ะ T^T อาจเพราะเป็นคนความรู้สึกไวกับอากาศไม่ชอบอากาศร้อนแล้วยังไม่ชอบอากาศหนาววอีกโธ่ เหมือนจะแพ้อากาศเย็นน่ะค่ะ แสบจมูกมากเลยอยู่กับแอร์นานๆก็ไม่ได้ แต่บรรยากาศนี่กำลังชวนให้แต่งเรื่องนี้เนาะ ฟีลมันเข้ากัน จะพยายามจบแบบไม่เกินธันวาแล้วกันค่ะ คริสมาสต์ไม่น่าจะทัน #โดนเตะแน่ๆเลย อารมณ์ตอนนี้หน่วงได้ที่เลยค่ะแพ้อากาศเย็นแล้วยังเป็นมนุษย์เมนส์อีก หน่วงกันไป 855555555
    20%--- ความจริงตั้งใจจะวางไว้ในเป็นลักษณะอัพตามวันน่ะค่ะคล้ายๆไดอารี่เล็กๆเริ่มจากวันที่ 15 แต่พอดีอยู่ๆมีงานด่วนเลยพลาดไปซะได้ T^T หน่วงเนาะ อึมครึมมาก T^T จริงๆถ้าเปลี่ยนเป็นเรื่องยาวเนี่ยมีตับพังกันไปข้างอ่ะ หรือเปลี่ยนเป็นเรื่องยาวดี? 555555555555555555


    วันช็อตรับคริสมาสต์ค่ะ ฟิคหน่วงๆ(รึเปล่านะ) .....ฟิคทิฟฟานี่อีกแล้วค่ะแน่นอนหลงพี่สเตฟหัวปักหัวปำมาตลอด แอร๊ยยยยย >< บทความนี้เป็นออลฟานี่นะคะมีทั้งไม่วายและวาย แต่วายเนี่ยเราถนัดให้พี่สเตฟเป็นเมะซะส่วนใหญ่....แต่ไม่เชิงเมะแมนๆเลยนะคะแบบนั้นก็ไม่ใช่ทาง ฮาาาา


    มาจิ้มโพลกันค่ะ มีผลกับเรื่องแค่นิดหน่อยเท่านั้นนะคะจิ้มกันเอาสนุก(?)กันไป


    โพล155189






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×