ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ม่านรักลิขิตฟ้า

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 (50%)

    • อัปเดตล่าสุด 11 มิ.ย. 52


    4

     

    เจ้าเข้ามานั่งข้างๆ ข้าเถิด

    เสียงนุ่มนวลสดใสซึ่งบ่งบอกถึงวัยของผู้เป็นเจ้าของนั้นร้องเรียกให้เจียงเหยาเข้าไปหา ในเงาสลัวด้านในสุดของกรงขัง สายตาของเขามองเห็นเพียงรอยยิ้มที่เศร้าซึมของเด็กหญิงผู้ร้องเชิญชวน มันเป็นรอยยิ้มเดียวกันกับรอยยิ้มสุดท้ายที่มารดาส่งให้และเด็กชายไม่มีวันจะลืมเลือน เจียงเหนาลังเลใจไม่รู้ว่าควรตอบรับไมตรีจิตของเสียงนั้นดีหรือไม่ เพราะด้านในสุดของกรงขังก็ยังเบียดเสียดไปด้วยร่างนักโทษสตรีและเด็กเยาว์วัยอีกหลายคน แต่ยังทิทันที่เขาจะพูดสิ่งใดตอบ เด็กหญิงคนเดิมก็ขยับตัวออกมาเพื่อกล่าวย้ำ

    เข้ามาเถิด... ตรงนี้ยังพอมีที่ให้เจ้าได้นั่งพิงแผ่นหลัง

    แสงสว่างจากกองเพลิงในค่ายที่ลอดผ่านช่องกรงขังพลันจับต้องใบหน้าเผิงหวั่นหมิง แม้คราบดินโคลนยังเปรอะเปื้อนอยู่ตามผิวแก้ม แต่มันก็ยิ่งขับให้เห็นความขาวผ่องนวลเนียนของเด็กหญิง ดวงตาที่ทอแววหม่นหมองยังไม่อาจปกปิดความดำขลับสุกใส น้ำเสียงอันอบอุ่นเป็นมิตรเอื้อนเอ่ยผ่านริมฝีปากเล็กๆ ราวกับเสียงกังสดาลเงินสะกดให้เด็กชายเคลิ้มคล้อยไม่รู้ตัว

    เขาค่อยๆ คลานข้ามร่างนักโทษในกรงขังอย่างระมัดระวัง ตรงเข้าไปนั่งยังที่ว่างแคบๆ ข้างกายคุณหนูเผิง ธรรมชาติของเจียงเหยาเป็นเด็กเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ใคร่พูดจากับคนแปลกหน้า ตลอดเวลาที่เติบโตมาในรั้วคฤหาสน์ตระกูลเจียงเขาก็แทบไม่เคยรู้จักเด็กวัยเดียวกันมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กผู้หญิงอย่างหวั่นหมิงด้วยแล้ว เด็กชายจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตามองปลายเท้าตนเองด้วยความขัดเขิน ใบหน้าขาวๆ รู้สึกร้อนวูบจนกลายเป็นสีแดงระเรื่อ

    ข้าชื่อหวั่นหมิง เจ้าล่ะมีชื่อว่าอะไร เด็กหญิงเอ่ยถามเหมือนไม่ตั้งใจ น้ำเสียงยังคงเศร้าสร้อย ดวงตากลมโตนั้นเหม่อมองเขาเพียงผาดๆ

    ข้า... ข้าชื่อ... เจียงเหยา เด็กชายไม่กล้ามองสบสายตา

    พักผ่อนเถิด... ท่านแม่ข้ากำลังหลับอยู่ เราอย่าได้รบกวนท่านอีกเลย กล่าวจบก็หันไปอิงแอบกับสตรีที่นั่งขดตัวพิงลูกกรงไม้

    ผู้เป็นมารดาพาดคลุมอยู่ด้วยเสื้อนวมตัวใหญ่ของนาง หากแต่ร่างกายยังสั่นระริกอยู่ใต้โปงผ้าคล้ายกับนางยังมิทันหลับ เด็กชายลอบชำเลืองสายตามองหวั่นหมิง เห็นเด็กหญิงสวมกอดมารดาที่หนาวสั่นพานให้หวนคิดถึงร่างอันชืดเย็นของเจียงฮูหยินที่เขากอดก่ายเมื่อวานเย็น คุณชายน้อยอดน้ำตาคลอ ส่งเสียงสะอื้นออกมามิได้ หวั่นหมิงขยับใบหน้ามามองเขาเงียบๆ เห็นใบหน้าขาวนวลเปื้อนมอมแมม เกลื่อนไปด้วยสะเก็ดแผลจากริ้วรอยขีดข่วน ไม่ทราบว่าเด็กชายต้องเผชิญสิ่งใดมามากน้อยเพียงไหน แต่คงไม่แตกต่างจากตัวของเด็กหญิงเองนัก

    ท่านแม่ข้าไม่ค่อยสบาย เสียงเจ้าจะทำให้นางตื่น... ใช้ผ้าผืนนี้เช็ดหน้าเสีย แล้วห้ามร้องไห้อีกรู้ไหม ผ้าฝ้ายสีขาวผืนเล็กๆ ปักลายเอ็งท้อ[1]เนื้อบางเบาถูกหยิบจากในอกเสื้อ ยื่นมาให้พร้อมกระซิบเบาๆ เป็นเชิงตำหนิ ในน้ำเสียงเจือไว้ด้วยความกังวลใจ

    ข้า... ข้าขอโทษ คุณชายน้อยรับมากุมไว้ กลั้นดวงตาไม่ให้หยดน้ำที่รื้นอยู่หลั่งไหลอีก แต่ก็ยังไม่กล้ายกขึ้นซับความเปียกชื้นในดวงตา

    ทำไมเจ้าไม่ใช้มันล่ะ เด็กหญิงรู้สึกขัดใจ

    หน้าตาของข้าดำเปื้อน ข้ากลัว... จะทำผ้าเช็ดหน้าของเจ้าสกปรก

    งั้นเอาคืนมานี่ คุณหนูเผิงทำเสียงดุ ดึงผ้าผืนน้อยในมือของเจียงเหยากลับคืน 

    ก่อนที่เด็กชายจะก้มใบหน้าที่เปียกปอนกลับลงไปมองที่เท้าเจ็บอันระบมเช่นเดิม ฝ่ามือเล็กๆ นุ่มนวลสองข้างก็ยื่นมาประคองใบหน้าของเขา หวั่นหมิงใช้มือข้างที่ถือผืนผ้าบรรจงแตะลงบนเปลือกตาของเขาแผ่วเบา ค่อยๆ เช็ดทีละน้อยจนขนตาที่ชุ่มชื้นไม่หลงเหลือหยดน้ำเกาะอยู่ จากนั้นเด็กหญิงก็พานเช็ดคราบฝุ่นดินบนหน้าผากและสองแก้มของเขาออกเสียด้วย

    เจียงเหยาเหม่อมองใบหน้าที่ตั้งอกตั้งใจของหวั่นหมิง ภาพมารดาของเขาล่องลอยเข้ามาในความรู้สึก นางเองก็เคยทำกิริยาเช่นนี้ยามเขาเล่นซุกซนจนเปรอะเปื้อน พลันเด็กชายต้องฝืนก้มใบหน้าลงแล้วร้องสะอื้นออกมาอีก

    เจ้ายังจะร้องอีก... อยากจะให้ข้าตีเจ้าอย่างนั้นหรือ เด็กหญิงตวาดเบาๆ ด้วยความขัดใจ มือน้อยข้างหนึ่งยกขึ้นเงื้อง่าทำท่าขู่

    ข้า... ข้าขอโทษกล่าววาจาก็เงยใบหน้าขึ้นสบสายตา

    ปากเจ้าพูดเป็นแต่คำว่าขอโทษ ข้าเบื่อแล้วนะ... ถ้ายังไม่หยุดร้องข้าจะเลิกสนใจเจ้าแล้วหวั่นหมิงเชิดริมฝีปากน้อยๆ สะบัดใบหน้าหนี สองแขนดึงกลับมากอดอก

    ตามปรกติแล้วเมื่อเด็กหญิงมีอายุเกิน 10 ขวบขึ้นไป เริ่มย่างเข้าสู่วัยสาว บิดามารดาจะต้องเข้มงวดอบรมในเรื่องกิริยามารยาทการวางตัวอย่างกุลสตรีมิให้มีโอกาสสนิทสนมกับเด็กชายวัยเดียวกัน สตรีจึงมีวุฒิภาวะและเข้าสู่วัยของผู้ใหญ่รวดเร็วกว่าบุรุษ แต่ด้วยความที่เผิงหวั่นหมิงเป็นบุตรีคนเดียวของเจ้าเมืองหลงซี บิดาให้ความรักใคร่มาก ปล่อยให้มีข้าทาสบริวารวัยเดียวกันเป็นเพื่อนเล่นและคอยเอาอกเอาใจมากมาย หวั่นหมิงจึงมีนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจตนเองอยู่บ้าง แต่ยังดีที่เด็กหญิงเติบโตมาในครอบครัวที่มีคุณธรรม ความเมตตา ความเอื้ออาทรจึงซึมซับติดตัวมาตั้งแต่ยังเล็ก

    ตรงกันข้ามกับเจียงเหยา เด็กชายเติบโตมาโดยมีอาไฉ่เป็นพี่เลี้ยงและเพื่อนชายเพียงคนเดียว ที่เหลือล้วนแต่รายล้อมด้วยสตรีสูงวัยกว่า แม้อาไฉ่จะเป็นเพื่อน แต่วัยและฐานะอันแตกต่างกันทำให้เจียงเหยาไม่มีโอกาสเล่นซุกซนเหมือนเด็กชายทั่วไป กลายเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ไม่มั่นใจในตนเอง และเก็บคำพูด

    เมื่อเขาถูกเด็กหญิงที่เพิ่งรู้จักดุ เจียงเหยาก็บังเกิดความอับอาย ก้มหน้าก้มตาซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำ หากเป็นเพื่อนเด็กชายในจวนเจ้าเมืองเห็นหวั่นหมิงมีอาการตัดพ้อเช่นนี้ ต่างก็คงต้องรีบพากันพูดเอาอกเอาใจเด็กหญิง แต่เมื่อไม่ได้ยินเด็กชายกล่าวอะไรหวั่นหมิงจึงรู้สึกแปลกใจ ค่อยๆ หันกลับมาชำเลืองมอง

    ตกลงว่าเจ้าร้องไห้ทำไมกัน เด็กหญิงไม่เต็มใจนักที่ต้องเป็นฝ่ายถามก่อน

    ข้าคิดถึงท่านแม่

    ท่านแม่เจ้าไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ การสนทนาทำให้เด็กน้อยลืมความวิตกเรื่องมารดาไปจนหมดสิ้น หันมาซักไซ้ไล่เลียงเพื่อนผู้มาใหม่

    ท่านแม่... ท่านแม่ข้าถูกงูกัด เสียชีวิตแล้ว น้ำตาหยดใหม่ไหลรินจากดวงตา คำพูดของเจียงเหยาเตือนให้เด็กหญิงระลึกถึงอาการป่วยของมารดาตนขึ้นมา ต้องกล้ำกลืนคำพูดไปชั่วขณะ

    ข้า... ข้าขอโทษ... ที่ดุเจ้าเสียงนั้นแผ่วเบาสำนึกผิด

    ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก... ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรร้องไห้

    ไม่หรอก... ถ้าหากเป็นข้า ข้าก็คงร้องไห้เช่นกัน

    เด็กหญิงชายทั้งสองต่างนั่งอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน ได้ยินเสียงไก่จากบ้านชาวนาบริเวณใกล้ๆ ร้องขันแว่วมา บอกว่ารุ่งอรุณกำลังจะมาเยือน เตือนสติของหวั่นหมิงให้กล่าววาจากับเจียงเหยา

    ข้ารู้ว่าเจ้าคงเดินทางมาทั้งคืนแล้ว นอนหลับพักผ่อนเถิด ข้าเองก็จะนอนหลับเช่นกันเด็กชายเพียงหันมามองแล้วพยักหน้ารับคำ เด็กหญิงก็ยื่นผ้าผืนน้อยใส่ในมือของเขา เจ้าเก็บเอาไว้เช็ดหน้าเวลาร้องไห้... ข้าให้เจ้า

    อืมเจียงเหยาตอบเบาๆ

    ช่วงสายของวัน หลังจากแจกจ่ายอาหารรับประทานกันเรียบร้อยแล้ว บรรดาทหารก็พากันเก็บกระโจมค่ายพัก ออกคำสั่งให้เหล่านักโทษชายเข้าประจำหน้าที่ ลากจูงเกวียนคุมขังและขบวนบรรทุกเสบียงข้าวของเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองหลวง อากาศวันนี้ค่อนข้างหนาวจัดทำให้อาการของเผิงฮูหยินไม่ค่อยดีนัก นางตัวร้อนจัดและกินอาหารได้น้อย เพื่อไม่ให้ทหารที่ดูแลการแจกเสบียงรู้สึกผิดสังเกต หวั่นหมิงจึงต้องแอบกินอาหารที่เหลือของนางจนหมด ครั้นยามบ่าย แสงแดดที่แผดจ้าช่วยขับไล่ความหนาวเย็นไปได้บ้าง เผิงฮูหยินค่อยได้สติรับรู้สิ่งรอบตัว

    ลูกหมิง... เมื่อเช้าแม่ได้ยินเจ้า... เจ้าพูดคุยกับใครอยู่หรือนางเอ่ยถามบุตรีที่ยังอิงแอบอยู่ไม่ห่างอย่างแผ่วเบา ไร้เรี่ยวแรง

    ข้าคุยกับเด็กน้อยที่เพิ่งมาถึง เด็กหญิงตอบพลางชี้นิ้วไปยังร่างที่นั่งเศร้าซึมด้านข้าง ตั้งแต่ฟื้นจากหลับใหล เจียงเหยาก็นั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้นแทบไม่ขยับตัว

    เหตุใดเด็กน้อย... ตัวคนเดียวถึงโดนจับมาได้ เผิงฮูหยินคล้ายกล่าวลอยๆ ด้วยความสงสัย พลันเด็กหญิงรีบตอบฉะฉานจนนางต้องตะลึงงัน

    ข้าได้ยินว่าเขาเป็นนักโทษที่หลบหนีจากเมืองฟุเผิง ทหารเพิ่งกุมตัวมาได้เมื่อคืนนี้หวั่นหมิงมองเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของมารดาก็แปลกใจ ท่านแม่... ท่านรู้จักเด็กน้อยนั่นหรือ

    เจ้า... เจ้าเรียกเด็กชายเข้ามาใกล้ๆ ข้า นางทำท่าจะขยับตัวลุกเข้าไปหา แต่ก็ต้องทรุดลงพิงกรงขังเช่นเดิม

    ท่านนั่งพักผ่อนเถิด ข้าจะเรียกเขามาว่าแล้วก็หันไปด้านข้าง สะกิดให้เจียงเหยารู้สึกตัว อาเหยา... อาเหยา... เจ้าขยับมาใกล้ๆ ท่านแม่ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้า

    ยามนั้นเด็กชายกำลังเหม่อลอยอยู่กับความคิด คำถามมากมายผลัดเวียนกันเข้ามาในสมอง จิตใจอันอ่อนโยนโอนอ่อนทำให้เขายอมรับสถานะนักโทษแต่โดยดี แต่ก็ความเยาว์วัยก็ยังทำให้ไม่เข้าใจว่าบิดาผู้เมตตาและมารดาผู้อารีไฉนจึงมีความผิดในฐานะกบฏผู้คิดร้ายต่อองค์ฮ่องเต้ได้ แล้วการเป็นนักโทษกบฏนั้น ตัวเขาจะต้องเผชิญกับชะตากรรมอย่างไรต่อไป

    อาเหยา... เจ้าได้ยินข้าเรียกหรือเปล่า เสียงสดใสปลุกให้เด็กชายตื่นจากภวังค์

    อะ...อะไร เจ้า... เจ้าเรียกข้าหรือ เจียงเหยาหน้าตาตื่น ละล่ำละลักตอบพร้อมกับหันไปหาเจ้าของเสียง

    ก็ใช่น่ะสิ หูเจ้าหนวกหรือยังไง เจ้าขยับมาใกล้ๆ ตรงนี้สิ ท่านแม่ข้ามีเรื่องจะพูดคุยด้วย

    เด็กชายได้ยินคำประชดประชันก็มิได้ถือโกรธ มองเห็นเผิงฮูหยินชะโงกใบหน้าจ้องมองมา เขาจึงรีบคลานเข่าเข้าไปหาเบื้องหน้า พลางยกมือขึ้นประสานทำความเคารพอย่างนอบน้อม

    ท่านน้า... ท่านตื่นแล้ว

    เด็กน้อย... เจ้าชื่ออะไรหรือ... เหตุใดถึงโดนทหารจับกุมตัวได้ แววตาและน้ำเสียงเปี่ยมความเวทนา

    ข้า... ข้าแซ่เจียง ชื่อเหยา ท่านอาทหารที่จับกุมตัวข้ามา... บอกว่าครอบครัวข้าต้องข้อหากบฏ พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย เผิงฮูหยินส่ายศีรษะแล้วเอื้อมฝ่ามือลูบไล้ใบหน้าเด็กชายด้วยความเอ็นดู

    ที่แท้ก็เป็นเจ้าจริงๆ... คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าก็หนีไปไม่พ้น ดวงตาของนางทอแววสลดใจ ข้าแซ่เผิง สามีของข้าเป็นเพื่อนสนิทกับบิดาของเจ้า เจียงเฉิน... พวกเราเองก็ไม่ต่างจากครอบครัวเจ้า... แล้วนี่... ทำไมจึงมีเพียงเจ้าคนเดียวที่โดนจับกุมมา

    ข้ากับท่านแม่... และอาไฉ่กำลังเดินทางไปบ้านท่านตาท่านยาย แต่เราถูกโจรดักปล้น... ข้ากับท่านแม่หลบหนีเข้าไปในป่า แล้ว... แล้วท่านแม่ข้าก็โดนงูกัดตาย ท่านอาคนหนึ่งตามจนพบตัวข้า... จึงนำตัวข้ามายังที่นี่ เด็กชายพยายามสะกดความเสียใจจนสุดความสามารถ แต่ก็ไม่อาจปิดบังความรันทดในน้ำเสียง

    โธ่เอ๋ย... เจ้าเด็กน้อย เผิงฮูหยินไม่อาจอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ประคองร่างเด็กชายเข้ามากอดทั้งๆ ที่ไร้กำลัง แต่นี้ไปเจ้าก็เหมือนบุตรชายข้า จงอย่าได้เสียใจ... เจ้าต้องเข้มแข็งเข้าไว้ นางปลอบประโลมเสียงพร่าสั่น

    ท่านน้า...

    เผิงหวั่นหมิงนั่งมองคนทั้งคู่สนทนากันอย่างไม่เข้าใจนัก เด็กหญิงเป็นเพียงผู้เดียวที่ถูกมารดาปิดบังชะตากรรมเอาไว้ ทราบเพียงแต่ว่าต้องอดทนไปจนถึงเมืองหลวง แล้วจึงจะได้พบกับบิดาและอาหญิงผู้ที่จะช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เลวร้ายในขณะนี้กลับคืนสู่สภาพเดิม

    เจ้าชื่ออาเหยาใช่ไหม... นี่คือหวั่นหมิงบุตรีของข้า ลูกหมิง... นี่คือเจียงเหยา บุตรชายของเพื่อนท่านพ่อเจ้า

    ท่านแม่... ข้ารู้จักเด็กน้อยคนนี้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะ

    อาเหยา... ท่านพ่อของเจ้ากับท่านพ่อของหวั่นหมิง... ได้เคยปรึกษากันว่า... จะให้พวกเจ้าได้หมั้นหมายกัน แต่... แต่ยังไม่ทันจัดการเรื่องราว พวกเรา... พวกเราก็มีอันเป็นไปเสียก่อน วาจาของนางติดขัด น้ำตาไหลอาบสองแก้ม หวั่นหมิงเห็นมารดาเศร้าโศกเสียใจต้องออกปากดุเจียงเหยาอีกครั้ง

    ดูสิ... เจ้าทำให้ท่านแม่ข้าร้องไห้ ท่านแม่... ท่านอย่าได้ร้องไห้ให้เด็กน้อยนี้เลย

    ท่านน้า... ท่านอย่าได้...

    ลูกหมิง... เจ้าอย่าได้ดื้อรั้นร้ายกาจนัก ต่อไป... ต่อไปพวกเจ้าจะต้องดูแลกันและกันให้ดี จำเอาไว้...

    ข้ารับปาก... ท่านน้า

    ข้า... ข้าก็รับปาก ท่านแม่

    ดีมาก... เจ้าสองคนเป็นเด็กดี เท่านี้ข้าก็สบายใจแล้ว

    ท่านแม่เหนื่อยมากแล้ว ท่านนอนหลับพักผ่อนดีกว่า เด็กน้อยคนนี้ข้าจะช่วยดูแลเขาเอง ท่านอย่าได้กังวลใจเลย เห็นสีหน้าของมารดายิ่งซีดเซียว เด็กหญิงจึงตัดบทเพื่อให้นางได้พักผ่อนต่อ เจียงเหยาเองก็เกิดความเป็นห่วงเผิงฮูหยินขึ้นมาเช่นกัน อ้อมกอดของนางให้ความรู้สึกอบอุ่นคล้ายอ้อมกอดมารดา สร้างความผูกพันรักใคร่ให้แก่เด็กชายอย่างบอกไม่ถูก

    ขบวนลำเลียงนักโทษเร่งเดินทางจากฟุเผิง ใช้เวลาหลายวันจึงผ่านเมืองเซียนหยางย่างเข้าสู่เขตเมืองฉางอานอันเป็นเมืองหลวงเก่าในสมัยราชวงศ์ฮั่น เหล่าทหารจำเป็นต้องเร่งขบวนให้เร็วขึ้นเนื่องจากในยามนี้เป็นเวลาย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ เส้นทางจากฉางอานมุ่งไปยังลั่วหยางนั้นจำต้องผ่านเทือกเขาหัวซานที่ทุรกันดารและหนาวเหน็บ หากทิ้งระยะเวลาจนถึงช่วงที่หิมะเริ่มตก จะก่อให้เกิดความลำบากและอันตรายเป็นอย่างมาก

    นับวันสภาพอากาศก็ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ ด้วยหมอกที่หนาทึบในช่วงกลางคืนทำให้ร่างกายเปียกชื้น อาหารชั้นเลวที่ไร้คุณประโยชน์ รวมทั้งความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการเร่งเดินทาง สุขภาพร่างกายของนักโทษส่วนใหญ่จึงเริ่มอ่อนแอลง ผู้ที่ไร้เสื้อผ้ากันหนาวสวมใส่ติดตัวมาต่างพากันล้มป่วย เมื่อมีผู้ป่วยจำนวนมากและโดยมากจะเป็นนักโทษที่ต้องใช้แรงงานลากจูง เหล่าทหารที่ควบคุมขบวนก็จำต้องให้การรักษาอย่างเสียไม่ได้ แต่ลำพังเพียงแค่การเยียวยาอย่างลวกๆ นั้นก็ยังไม่อาจบรรเทาอาการป่วยไข้ของนักโทษได้มากนัก บางคนจึงหมดแรงล้มตาย ถูกทิ้งศพให้กลายเป็นเหยื่อแร้งกาอย่างน่าเวทนานัก

    ท่านอาๆ ท่านน้าที่ด้านในรถมีไข้ รบกวนท่านช่วยนำยามาให้แก่นางบ้างเถิดในค่ายพักแรมยามค่ำ ขณะที่ทหารดูแลเสบียงกำลังทำหน้าที่ตักข้าวต้มเหลวๆ แจกจ่ายนักโทษที่หน้าประตูกรงขังนั้น เสียงเด็กชายที่ยื่นชามรองรับอาหารอยู่ก็เอ่ยขอร้องขึ้น

    ทำไมนางจึงไม่ออกมาร้องขอและรับอาหารเองเล่า ทหารหนุ่มผู้นั้นกระชากเสียง

    นาง... นางยังนอนหลับอยู่

    ถ้าหากนางไม่มีแรงแม้แต่จะออกมารับอาหาร ข้าเกรงว่าถึงได้ยาไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้หรอก ยามีอยู่น้อยนิด เก็บเอาไว้ให้คนที่ยังมีประโยชน์จะดีกว่า เขาพูดเยาะเย้ยพลางยกช้อนไม้ขนาดใหญ่เทข้าวต้มเละๆ ใส่ในชามบนฝ่ามือของเจียงเหยา

    แต่ว่า...

    เจ้าเด็กวุ่นวาย เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียเวลาทำงาน รีบถอยไปให้พ้น เอ้า... คนต่อไป... ทหารหนุ่มคนเดิมตวาดใส่หน้า เด็กชายทำสิ่งใดไม่ได้ต้องรีบถอยหลัง คลานกลับเข้าไปด้านในของกรงขัง

    สามสี่วันมานี้อาการของเผิงฮูหยินแย่ลงกว่าเดิมมาก นางไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นขับถ่าย ใบหน้าของนางซูบเซียวเห็นเป็นเบ้าตาและร่องแก้ม ผิวสีงาช้างกลับซีดเหลืองคล้ายซากศพก็มิปาน ผมเผ้าก็ถูกปล่อยให้ยุ่งเหยิงกระจัดกระจาย เค้าความงดงามของสตรีผู้มีศักดิ์ฐานะเลือนหายไปจนหมดสิ้น หวั่นหมิงผู้เป็นบุตรียิ่งเห็นสุขภาพของมารดาเป็นเช่นนั้นพานทำตัวซึมเศร้า ไม่ยอมพูดเล่นกับเจียงเหยาและนักโทษวัยเยาว์คนอื่นๆ อย่างเช่นทุกวัน สร้างความเป็นห่วงเป็นใยให้แก่เด็กชายจนไม่อาจทนดูดายได้อีก

    ท่านน้า... ท่านกินข้าวสักหน่อยเถิด เขายกเศษชามเล็กๆ ที่ใช้ต่างช้อนไม้ตักข้าวต้มคำน้อยพยายามป้อนใส่ปากเผิงฮูหยิน นางเพียงซดน้ำข้าวได้คำเดียวก็ส่ายหน้าเบาๆ

    เจ้า... ลูกเหยา เจ้ากินเถอะ เสียงนั้นแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน เมื่อเห็นนางไม่มีแก่ใจจะรับประทานอาหาร เด็กน้อยจึงหันไปหาหวั่นหมิงที่นั่งกอดเข่าใบหน้าเศร้าหมองอยู่ใกล้ๆ ไม่แยแสต่อชามข้าวเบื้องหน้าเช่นกัน

    อาหมิง... เจ้า... เจ้าทำไมจึงไม่ยอมกินข้าว

    ท่านแม่ไม่กินข้าก็ไม่กิน

    ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เจียงเหยาก็ไม่อาจทำให้สองแม่ลูกตระกูลเผิงรับประทานอาหารได้ ท้ายที่สุดตัวเขาก็พลอยรับประทานไม่ลงไปด้วย



    [1] เอ็งท้อ คือผลเชอร์รีจีน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×