คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3
3
ยอดไผ่เสียดสีกันยามต้องสายลมพลิ้ว ฟังราวกับลำนำเพลงอันแผ่วเบาเศร้าสร้อยขับกล่อมร่างบอบบางสองร่างที่นอนสั่นสะท้านหนาวเหน็บอยู่บนกองใบไผ่แห้ง ในป่าที่ปิดทึบด้วยกิ่งก้านสาขาของแมกไม้และกิ่งไผ่สูงลิบลิ่ว กระนั้นหมอกอันเยียบเย็นยามค่ำคืนยังปรากฏล่องลอยปกคลุมอยู่ทั่วอาณาบริเวณ อันเป็นพื้นป่าโปร่งโล่งซึ่งแทรกอยู่ระหว่างกอไผ่ขนาดใหญ่และมวลไม้ไม่ผลัดใบจำนวนไม่กี่ชนิด
เสื้อผ้าที่ฉีกขาดรุ่งริ่งเปียกชุ่มไปด้วยหมอกน้ำค้าง เชื้อไฟจากกิ่งไผ่และใบไม้แห้งไม่อาจให้ความอบอุ่นได้เนิ่นนานพอเพียง แสงวับแวมของเปลวที่กำลังริบหรี่ส่องให้เห็นริ้วรอยแดงจากคมกิ่งไม้แต่งแต้มบนผิวขาวเนียนละเอียดของสตรีและเด็กน้อยซึ่งนอนอยู่ สองแขนของผู้เป็นมารดาโอบกอดบุตรชายเอาไว้แน่นในอ้อมอก ท่ามกลางความมืดสลัว ดวงตาของนางยังคงหลับลงไม่สนิท ภาพเหตุการณ์อันโหดร้ายเมื่อคืนก่อนยังตามหลอกหลอนอยู่ในห้วงความคิด พลันเสียงนกราตรีที่กำลังออกบินล่าเหยื่อก็แผดร้องดังก้องผืนป่า สร้างความตื่นตกใจให้แก่นางจนต้องผุดลุกขึ้น หวาดหวั่นถึงเภทภัยที่มองไม่เห็น ผู้ใดจะรู้ว่าในป่าไผ่อันหนาทึบนี้ จะมีสัตว์ร้ายหรืออันตรายใดๆ ซุกซ่อนอยู่อีก
“ท่านแม่... เสียงน่ากลัวนั่นคือเสียงอะไร” ไม่เพียงแต่เจียงฮูหยินเท่านั้นที่สะดุ้งตื่น บุตรชายของนางเองก็ผวาลุกขึ้นมากอดเนื้อตัวสั่นเทา
“อาจ... อาจจะเป็นเสียงนกเค้า เจ้าล้มลงหลับเสียเถิด”
“น้าไฉ่จะตามหาพวกเราเจอหรือไม่ ข้าคิดถึงน้าไฉ่” พูดจบคำเด็กน้อยก็หลั่งน้ำตาร่ำไห้ เจียงฮูหยินได้แต่กระชับร่างเจียงเหยาเข้ากับกาย อีกครั้งที่นางไม่อาจกลั้นความเศร้าโศกเสียใจเอาไว้ แต่จะให้บอกความจริงกับเขาได้อย่างไรในเมื่อบุตรชายของนางนั้นไร้เดียงสากับเรื่องความเป็นความตายนัก
“พรุ่งนี้... พรุ่งนี้น้าไฉ่ของเจ้าจะต้องตามหาพวกเราเจอแน่ๆ ตอนนี้เจ้าจงพักผ่อนเสียให้เต็มที่ พอฟ้าสางแล้ว... แม่... แม่จะได้หาทางพาเจ้าออกจากป่า พาเจ้ากลับไปบ้านของท่านตา”
ถึงปากจะกล่าววาจา ในใจของเจียงฮูหยินกลับมืดมนเช่นเดียวกับค่ำคืนนี้ หลังจากเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อคืนวาน หรือนางยังจะมั่นใจได้ว่าสามารถพาตัวคุณชายน้อยตระกูลเจียงเอาชีวิตรอดพ้นจากป่าอันกว้างใหญ่ไปได้ง่ายๆ แต่เมื่อเวลานี้นางยังมีลมหายใจอยู่ นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะฝากความหวังเอาไว้กับแสงตะวันของวันพรุ่ง
กล่อมบุตรชายให้ล้มตัวลงนอนหนุนตักแล้ว สองมือของนางก็ค่อยๆ หยิบกิ่งไม้ใบไผ่แห้งที่เปียกชื้นน้ำค้างใส่ลงไปในกองเพลิงทีละน้อย ใช้เวลาอยู่ชั่วขณะกว่าเปลวไฟจะลุกโชนทวีความร้อนแรงขึ้น หากมีมีดพร้าอยู่ในมือสักเล่ม นางอาจจะสร้างกองไฟที่ใหญ่เพียงพอให้ความอบอุ่นใจไปจนถึงเช้า แต่ยามนี้เจียงฮูหยินก็คงทำได้เพียงรักษาแสงสว่างให้คงอยู่ได้อีกสักพักใหญ่ๆ เมื่อคลายความหนาวลงบ้างแล้ว นางจึงเอนกายลงไปบนกองใบไม้ ยกปลายนิ้วขึ้นเช็ดหยดน้ำที่เกาะอยู่ใต้ขอบตา ก่อนจะข่มดวงตาตนเองให้ปิดลงอย่างเชื่องช้ายากเย็น
นับแต่คืนที่สองแม่ลูกตระกูลเจียงต้องประสบกับภัยจากโจรป่าจนต้องสูญเสียบ่าวผู้ซื่อสัตย์และทรัพย์สินเสบียงติดตัว เจียงฮูหยินก็พาเจียงเหยาหลบหนีเข้าไปในป่าไผ่ด้วยความทุลักทุเล แม้จะโศกเศร้าเสียใจกับการตายอย่างอเนจอนาถของอาไฉ่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในยามนั้นคือการเอาชีวิตรอด โชคยังดีที่โจรชั่วทั้งสองคนสนใจกับหีบใส่ของมีค่าบนรถม้ามากกว่าที่จะตามล่าตัวผู้หลบหนี มิเช่นนั้นแล้วลำพังฝีเท้าของสตรีและเด็กน้อยหรือจะสามารถรอดพ้นไปจากเงื้อมมือของชาวป่าผู้ชำนาญไพรได้
เจียงฮูหยินสองแม่ลูกอาศัยช่วงเวลาที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง คลำเส้นทางอย่างสะเปะสะปะหนีลึกเข้าไปเรื่อยๆ โดยไม่กล้าหยุดฝีเท้า มือหนึ่งของนางต้องลากจูงเด็กน้อยที่ร่ำไห้ขัดขืน อีกมือหนึ่งต้องคอยปิดเสียงสะอึกสะอื้นของผู้เป็นบุตรเอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกจากปาก พื้นป่าที่รกชัฏฝากบาดแผลไว้ตามเนื้อตัวของเจียงฮูหยินกับเจียงเหยา แม้แต่เสื้อนวมตัวใหญ่รุ่มร่ามก็กลายเป็นอุปสรรคคอยเกี่ยวพันกับกิ่งหนามจนนางจำเป็นต้องเปลื้องทิ้งไปในระหว่างทาง
หลังจากแสงอาทิตย์ยามอุทัยเริ่มขับไล่ความมืดมนจากผืนป่า ลำแสงที่ลอดยอดไม้ใบไผ่ลงมาให้ความสว่างรำไรยังพื้นป่า เจียงฮูหยินค่อยพบว่าสภาพเรื้อรกไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยก่อนหน้าได้เปลี่ยนไปจนหมดสิ้น รอบตัวนางบัดนี้เป็นเพียงทางดินและก้อนหินโล่งๆ ที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้แห้ง ทั้งป่าเต็มไปด้วยกอไผ่ขนาดใหญ่ขึ้นกระจัดกระจายอยู่จนทั่ว ต้นไม้ชนิดอื่นที่ขึ้นปะปนอยู่จำนวนน้อยล้วนสูงใหญ่แตกกิ่งก้านสาขาเพื่อแย่งแสงสว่างกันอยู่เบื้องบน ร่มเงาที่หนาทึบจากการถักทอของยอดไผ่แทบจะบดบังแสงสว่างจนส่องไม่ทั่วพื้น ทำให้พืชขนาดเล็กไม่อาจเจริญงอกงามได้นานต้องพากันล้มตาย
หนทางที่ปลอดโปร่งในป่าไผ่อำนวยความสะดวกในการเดินเท้าให้กับเจียงฮูหยินและเจียงเหยามากขึ้น แต่ภูมิทัศน์ที่ไร้ความแตกต่างกันนั้นกลับส่งผลให้คนทั้งคู่หลงวนเวียนไปมาไม่อาจพ้นจากป่าได้โดยง่าย แทนที่นางและบุตรชายจะเดินขึ้นเหนือเพื่อมุ่งไปยังทิศทางของเมืองอันติ้ง เจียงฮูหยินกลับจูงมือลูกชายเดินห่างไปทางตะวันออก
ตลอดทั้งวัน เด็กชายไม่เอ่ยถึงความเหนื่อยล้า มีเพียงคำพูดถามไถ่ถึงน้าไฉ่ให้มารดาตอบซ้ำๆ เพียงว่าน้าไฉ่กำลังตามมา แม้เจียงเหยาจะมองคล้ายเด็กอ่อนแอ แต่น่าแปลกใจที่เขาเข้มแข็งพอจะติดตามเจียงฮูหยินไปโดยไม่คร่ำครวญร่ำร้อง หนึ่งสตรีหนึ่งเด็กชายออกเดินทางอย่างไร้จุดหมาย เพียงไม่ทันข้ามวันรองเท้าผ้าที่สวมใส่อยู่ก็ฉีกขาด กว่าจะพบแหล่งน้ำและได้หยุดพัก ฝ่าเท้าของเจียงเหยาก็พุพองบอบช้ำ
อาศัยประสบการณ์จากการเป็นบุตรสาวชาวนา นางใช้ชุดหินที่พกพาก่อกองไฟ จับปลาในลำธารมาประกอบอาหารอย่างลวกๆ พอบรรเทาความหิวโหยของตนกับบุตร ความหวังที่จะหลุดพ้นจากป่าเพิ่มมากขึ้นเมื่อพบธารน้ำ เจียงฮูหยินย่อมทราบว่าหากลัดเลาะตามทางน้ำไปเรื่อยๆ ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องได้พบกับชุมชน แต่การอยู่ใกล้แหล่งน้ำในยามค่ำคืนก็ยังมีอันตราย ด้วยสัตว์ป่าทั้งหลายล้วนอาศัยแหล่งน้ำเช่นเดียวกัน ดังนั้นก่อนอาทิตย์อัสดงนางจึงได้นำบุตรชายย้ายไปหาสถานพักแรมที่โล่งกว้างและห่างออกไป
ร่างของชายฉกรรจ์ชาวเซียนเปยในชุดทหารนั่งกระแทกลงบนเนินดินข้างไผ่กอหนึ่ง เขายกถุงหนังที่บรรจุน้ำขึ้นมาซดดื่มอย่างหิวกระหาย ไม่ไกลจากตัวเขายังมีกลุ่มทหารเดินเท้าอีกสี่ห้าคนเดินตามติดมาด้วย ยามนี้เป็นยามเที่ยงวัน หลังจากเดินทางสลับพักมาตลอดคืน ทั้งหมดจึงได้มีโอกาสแยกย้ายกันพักผ่อนอีกครั้ง บ้างก็หยิบเสบียงเนื้อสัตว์แห้งออกมากัดกิน บ้างก็ชักดาบออกมาซ้อมรำเล่นแก้ความง่วงงุน หนึ่งในกลุ่มนั้นกลับปลีกตัวห่างออกไปเพื่อทำธุระส่วนตัว
ด้วยเวลาเพียงไม่นานหลังจากได้พบศพของอาไฉ่ กองทหารก็ออกติดตามร่องรอยรอบๆ บริเวณนั้นจนพบเศษเสื้อนวมที่ฉีกขาดและเศษสำลีที่หลุดเกี่ยวตามกิ่งไม้ใบหญ้าบ่งบอกถึงทิศทางที่ทั้งคู่หลบหนีไป หากเจียงฮูหยินและบุตรชายยังคงหลบหนีด้วยรถม้า ก็อาจจะเป็นการยากที่จะตามหาตัวจนพบได้โดยเร็ว แต่เมื่อเป็นการเดินเท้าในป่าอย่างไร้ประสบการณ์ ถึงจะล่วงหน้าไปก่อนเกือบสองวัน เหล่าทหารที่ชำนาญกับการแกะร่องรอยย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“ท่านนายกอง... ท่านนายกอง... ข้าพบร่องรอยการก่อกองไฟข้างหน้าขอรับ” ยังมิทันไร ทหารซึ่งแยกตัวออกไปก็วิ่งหน้าตื่นกลับเข้ามารายงานทหารผู้เป็นนาย เขาขยับถุงหนังออกจากริมฝีปาก ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเช็ดคราบเปียกชุ่มใต้คางแล้วจึงรัดเชือกที่ปากถุงคล้องไว้กับผ้าพันเอว ปากร้องถาม
“เจ้าสำรวจดีแล้วหรือยัง คาดว่าก่อไว้ตั้งแต่เมื่อใด”
“เถ้าจากกองไฟยังไม่เปียกชื้น ข้าคิดว่ายังไม่น่าจะพ้นวันขอรับ”
“เช่นนั้นรีบพาข้าไปดู” ผู้เป็นนายกองสั่ง เขาลุกยืนด้วยท่าทีองอาจ หันไปมองเหล่าทหารในสังกัดที่ยังนั่งพักพลางตะโกนก้อง “พบเบาะแสแล้ว พวกเจ้าเตรียมพร้อมเดินทางต่อ”
“ขอรับ” สิ้นคำ เสียงตอบพรักพร้อมเป็นระเบียบดังขึ้นแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน
ทั้งหมดวิ่งเหยาะย่างตรงไปยังทิศทางที่ถูกชี้ มีซากกองไฟที่มอดหมดแล้วอยู่จริง หัวหน้ากลุ่มทหารย่อตัวลงตรวจสอบเถ้าละอองที่เหลืออยู่อีกครั้งก็พบว่ายังไม่จับเป็นก้อนชื้นดังคำรายงาน แสดงว่ากองไฟกองนี้ยังไม่ผ่านน้ำค้างยามค่ำ น่าจะเพิ่งมอดดับเมื่อตอนสาย
“ออกตรวจค้นรอบๆ บริเวณนี้ ดูว่ามีเบาะแสอะไรชี้ทางอีกบ้าง” เขาออกคำสั่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินสังเกตบริเวณรอบๆ อย่างละเอียดลออ
ขณะที่เดินวนเวียนอยู่รอบๆ พื้นที่ สายตาชายหนุ่มพันเหลือบเห็นวัตถุสีดำชิ้นหนึ่งตกอยู่บนพื้น ห่างจากกองไฟที่พบเพียงไม่กี่สิบก้าว เขาตรงเข้าไปหยิบขึ้นมาพิจารณา ที่แท้มันเป็นรองเท้าผ้าที่เปื่อยขาดข้างหนึ่ง นอกจากจะเปรอะเปื้อนดินโคลนอยู่บ้าง สภาพเนื้อผ้ายังดูใหม่คล้ายขาดไปไม่นานนัก คะเนจากรูปแบบและขนาดที่ค่อนข้างเล็ก รองเท้าข้างนี้เป็นของเด็กผู้ชาย
“ท่านนายกองขอรับ ห่างออกไปข้างหน้าประมาณห้าสิบก้าวมีธารน้ำอยู่ขอรับ ข้าพบรอยเท้าสองคู่บนเนินดิน ดูจากขนาดแล้วต้องเป็นรอยเท้าของเด็กและสตรีแน่นอนขอรับ” ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป พลทหารผู้หนึ่งก็วิ่งกลับมารายงาน
“ดีมาก... ข้าจะรีบติดตามร่องรอยของนักโทษไปก่อน เจ้ารอแจ้งกับทหารที่เหลือให้ตามข้าไปโดยเร็ว ทิ้งทหารเอาไว้รายงานพลจูงม้าที่กำลังตามมาด้วย ถ่ายทอดคำสั่งของข้าให้มันรีบกลับไปรายงานยังฟุเผิงว่าขณะนี้เราพบตัวนักโทษแล้ว กำลังจะนำไปส่งยังจุดนัดหมาย คาดว่าคงไม่เกินรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้” ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างมั่นใจ สายตาเปล่งประกายทระนง
“ขอรับ ท่านนายกอง”
ทันทีที่มอบหมายหน้าที่ให้กับทหารใต้บังคับบัญชาแล้ว นายกองหนุ่มก็รีบรุดไปยังริมธารน้ำตามลำพัง เขาสอดส่ายสายตาไม่นานก็พบรอยเท้าดังคำบอกเล่า เพื่อให้ได้ผลงานการจับกุมนักโทษครั้งนี้โดยเร็วที่สุด เขาจึงไม่คิดที่จะรอสมทบกับเหล่าทหารในสังกัดแม้ว่าทั้งหมดกำลังเร่งเดินตามมาในเวลาไม่ช้า เพียงทิ้งสัญลักษณ์ชี้ทางให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วก็ออกแกะรอยต่อไปด้วยตัวคนเดียว
ครั้นแสงแรกแห่งวันสาดส่องทะลุม่านกิ่งไม้ลงมาจับต้องใบหน้า เจียงฮูหยินค่อยรู้สึกตัวลืมตาขึ้น ความเปียกชื้นจากหมอกที่กลั่นตัวเป็นละอองน้ำค้างยังพร่างพรมอยู่ตามเส้นผมและเสื้อผ้า นางโซเซลุกยืน โบกสะบัดแขนเสื้อเพื่อขับไล่หยดน้ำบางส่วนที่ยังเกาะอยู่บนเนื้อตัว เส้นผมที่รุ่ยระสองข้างแก้มทำให้นางต้องเอื้อมมือดึงปิ่นปัก คลายมวยผมออก รวบเส้นผมอันยุ่งสยายให้เป็นระเบียบอีกครั้งแล้วมุ่นกลับไว้บนศีรษะ ดวงตาเศร้าสร้อยทอดมองร่างของเจียงเหยาบุตรชายที่ยังนอนขดตัวหนาวสั่นอยู่ในกองใบไม้ รอยระคายจากขนของใบไผ่ทิ้งไว้เป็นจ้ำแดงๆ บนแขนน้อย คราบดินและริ้วคมหนามแปดเปื้อนไปทั้งใบหน้า นางไม่มีเวลาที่จะยืนสังเวชใจนานนัก สิ่งที่จำเป็นต้องทำในเวลานี้คือปลุกเด็กน้อยให้ตื่นขึ้นแล้วหาทางออกจากป่าโดยเร็ว
“ลูกเหยา... เจ้าลุกขึ้นเถิด เราต้องไปแล้ว” ผู้เป็นมารดาย่อกายลงข้างๆ สองมือเขย่าร่างที่กำลังหลับใหลเบาๆ เด็กชายจึงงัวเงียลุกขึ้น
“แต่ข้ายังง่วงอยู่เลย ท่านแม่” กล่าวพลางยกสองแขนขยี้ดวงตา ยังนั่งสะลึมสะลืออยู่
“หากเราไม่รีบออกเดินทาง คืนนี้เจ้ากับแม่คงต้องนอนอยู่ในป่าอีก...” เจียงฮูหยินทอดถอนหายใจ
เจียงเหยาไม่ตอบคำ ค่อยๆ ลุกยืนด้วยกิริยาไม่เต็มใจนัก มารดาช่วยเขาปัดกิ่งไม้ใบหญ้าที่ติดตามเสื้อผ้าออกอย่างลวกๆ จากนั้นจึงนำทางบุตรชายมุ่งย้อนไปยังลำธาร ออกเดินเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ต้องอุทานออกมาอย่างนึกรำคาญ เมื่อรองเท้าผ้าข้างหนึ่งฉีกขาดหลุดร่วงลงบนพื้น เจียงฮูหยินหันกลับมามอง เห็นว่ารองเท้านั้นไม่อาจซ่อมแซมได้อีก นางก็ฉีกชายเสื้อยาวที่เป็นรอยขาดรุ่งริ่งออกมาชิ้นหนึ่ง พันเท้าข้างนั้นให้กับเขาจนแน่นหนาแล้วจูงแขนเด็กชายให้เดินต่อไปด้วยกัน
ทั้งสองลัดเลาะริมลำธารไปอย่างเชื่องช้า ยิ่งเดินไกลออกไปทางปลายน้ำหนทางก็ยิ่งลำบากด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นเบียดเสียดสองข้างลำน้ำนั้นล้วนเต็มไปด้วยตะไคร่ไร้เส้นทางเท้า ถึงยามบ่ายสภาพผืนป่าที่กระจัดกระจายไปด้วยกอไผ่หนาทึบก็เปลี่ยนไปเป็นป่าเบญจพรรณซึ่งมีพันธุ์ไม้หลากหลายขึ้นแทรกสลับกันห่างๆ อวดสีสันน่าชมกลางแสงแดด ริมน้ำที่เป็นตลิ่งดินเหลืองกลับกลายเป็นกรวดหินน้อยใหญ่ ต้นหญ้าแตกพุ่มปกคลุมเส้นทางแทบไม่เห็นผิวดิน แม้ยังมองไม่เห็นพื้นที่ราบแต่นับเป็นเค้าลางที่ดีว่าสองแม่ลูกตระกูลเจียงกำลังจะหลุดพ้นจากพงไพร
เมื่อพบสถานที่โล่งพอเหมาะสม อีกครั้งที่เจียงฮูหยินจัดแจงสุมกิ่งไม้แห้งก่อกองไฟขึ้น นางอาศัยง่ามไม้แหลมคมต่างอาวุธทิ่มแทงปลาขนาดเล็กได้สี่ห้าตัว ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ชำระล้างเอาลำไส้ปลาออก เสียบมันไว้กับกิ่งไม้ขนาดเล็กและนำกลับไปปิ้งย่างที่กองไฟ ในขณะที่นางกำลังวุ่นวายอยู่กับการปรุงอาหารให้ตนกับบุตรชายนั้น สิ่งหนึ่งก็ดึงดูดสายตาของเด็กชายให้เดินห่างไปยังริมน้ำ
ใบฟงสีแดงสดล่องลอยมากับกระแสธาร ความที่พื้นลำธารเป็นกรวดหินซึ่งมีช่วงหนึ่งตื้นเขิน ใบไม้รูปแฉกนั้นจึงเวียนวนติดค้างไม่อาจลอยพ้นต่อไป เจียงเหยาค่อยๆ เหยียบย่างลงบนก้อนหินเหล่านั้น ยื่นมือหยิบมาได้ก็รีบลุยน้ำกลับ ชูมือร้องโอ้อวดมารดาโดยหารู้ไม่ว่าในพงหญ้าใกล้ๆ ตัวนั้นมีมัจจุราชซุกซ่อนตัวอยู่
“ท่านแม่... ท่านแม่... ดูนี่สิ ข้าเก็บใบฟงเช่นเดียวกับต้นที่บ้านของเราได้”
เสียงร่ำร้องดีใจเรียกนางเหลียวกลับไปมอง เจียงฮูหยินคิดจะยิ้มให้ความสุขครั้งแรกของบุตรชายในรอบหลายวัน แต่ยังไม่ทันขยับมุมปาก ดวงตาของนางก็กลับเบิกโพลงด้วยความหวาดหวั่น ใบหน้าพลันซีดเผือดเมื่อเห็นวัตถุคล้ายลำเชือกสีดำสะท้อนแสงแดดเห็นเลื่อมลายเกล็ดกำลังเลื้อยออกมาจากพุ่มหญ้า ห่างร่างของเจียงเหยาเพียงไม่ถึงห้าก้าว
“ลูกเหยา... ด้านหลังของเจ้า... เจ้า... รีบวิ่งมาเร็วเข้า” นางปากคอสั่น ตะโกนบอกบุตรชายแทบไม่มีสติ เด็กชายชะงักร่างโดยสัญชาตญาณ หันกลับไปมองสิ่งที่สร้างความพรั่นพรึงแก่ผู้เป็นมารดา ทันทีที่ภาพงูเห่าเบื้องหลังปรากฏต่อสายตาทั้งร่างก็ระทวยหมดเรี่ยวแรง ล้มลงนั่งกับพื้นไม่อาจขยับตัวต่อไปอีก
“ท่าน... ท่านแม่...” เด็กน้อยคร่ำครวญด้วยความตื่นกลัว เสียงร้องเรียกของเจียงฮูหยินไม่อาจปลุกสติของเขาได้
แม้จะไร้เดียงสาเพียงใด เด็กชายย่อมเคยเรียนรู้ว่าอสรพิษตรงหน้านั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตเขาแค่ไหน ในยามฤดูเหมันต์ ตามปรกติแล้วสัตว์เลื้อยคลานล้วนพากันหลบหายหาที่ซุกกายจำศีล แต่เวลานี้อากาศยังไม่ถึงกับหนาวจัด ให้บังเอิญงูเห่าตัวหนึ่งออกมานอนตากแดดในบริเวณแหล่งน้ำแห่งนั้น เมื่อมันถูกเสียงของผู้บุกรุกรบกวนจึงได้เลื้อยออกมาขับไล่ ถึงศัตรูครั้งนี้มีขนาดรูปร่างใหญ่กว่ามันนัก แต่จะสร้างความหวาดหวั่นให้เจ้าอสรพิษก็หาไม่ มันเกร็งท่อนหาง ยกร่างชูขึ้นสูง ลำคอแผ่พังพานกว้าง โยกส่ายไปมาส่งเสียงข่มขู่
“ท่านแม่... ช่วยข้าด้วย...” เสียงของเด็กชายขาดห้วงอยู่ในลำคอ
“เจ้าอยู่นิ่งๆ ไว้ ห้ามขยับตัวเด็ดขาด”
สิ้นคำสั่ง ผู้เป็นมารดาคว้าอาวุธล่าปลาเมื่อครู่ขึ้นมากำชับ ค่อยๆ สาวเท้าตรงไปหาเจียงเหยาช้าๆ สองตาก็จ้องมองร่างที่โยกเอนของงูพิษอย่างไม่ไว้วางใจ เพียงอึดใจร่างของเจียงฮูหยินก็ก้าวมาถึงเบื้องหน้าของเขา กิ่งไม้สั่นเทิ้มในมือนางถูกยื่นออกไปกวัดแกว่งป้องกันตัว ยังผลให้เขี้ยวมัจจุราชคู่นั้นพุ่งเข้าฉกใส่โดยไม่กลัวเกรง
“ลูกเหยา... ฉวยโอกาสนี้ลุกหนีไป เร็วเข้า” นางสั่งซ้ำ เด็กน้อยจำลุกขึ้นยืนแล้วก้าวถอยหลังไปไม่กล้าขัด แต่แล้วเท้าที่เจ็บระบมอยู่ก็กลับสะดุดเข้ากับหินแหลมคมก้อนหนึ่ง
“โอ๊ย” เจียงเหยาร้องโอยออกมาแล้วหงายหลังล้มลง
“ลูกเหยา”
เสียงแห่งความเจ็บปวดของผู้เป็นบุตรนั้นย่อมปลุกเร้าธรรมชาติของความรักความห่วงใยในตัวมารดา เจียงฮูหยินลืมห่วงความปลอดภัยของตนเอง หันกลับมามองเด็กชายตามเสียงร้องไห้แตกตื่น นางช่างหลงลืมไปเสียได้ว่า อสรพิษร้ายที่นางกำลังเผชิญหน้านั้นปราศจากสำนึกแห่งความปรานี
ดวงอาทิตย์จวนเจียนจะลับเงาไม้ ท้องฟ้าสีจางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเทาคล้ำ นกกาพากันบินกลับรังส่งเสียงร้องมาแต่ไกล หรีดหริ่งเรไรทยอยกันขับขานบทเพลงของราตรี ร่างบึกบึนในเครื่องแบบทหารเร่งฝีเท้าย่ำไปตามพงหญ้า ดาบในมือกวัดแกว่งไปทางซ้ายทางขวาเพื่อเปิดหนทางเดินให้กับตนเอง ทิ้งเศษเถาวัลย์กิ่งไม้ร่วงหล่นอยู่เบื้องหลัง ดวงตาของชายหนุ่มสอดส่ายไปมาอย่างระแวดระวัง การท่องอยู่ในป่าเพียงลำพังจำเป็นต้องอาศัยความรอบคอบเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากสัตว์ร้ายหรืออุบัติเหตุไม่คาดคิด
ขณะตวัดดาบลงบนกิ่งไม้รายทาง พลันหูของเขาก็แว่วเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญอันแผ่วเบา ใบหน้าคมคายปรากฏรอยขบคิดขึ้นแวบหนึ่ง เมื่อแน่ใจในทิศทางของเสียงแล้ว สองเท้าเร่งก้าวออกไปเพื่อตามหาต้นตอเสียงนั้นทันที
“ฮือๆ... ท่านแม่... ท่านอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ ท่านต้องอยู่กับข้า... ต่อไปข้าจะไม่ซุกซนอีกแล้ว ท่านแม่...”
ภาพเบื้องหน้าของชายหนุ่มคือนักโทษสองแม่ลูกที่กำลังตามหา ผู้เป็นบุตรชายกำลังเกลือกกลิ้งกอดก่ายร่างของมารดาซึ่งนอนทอดกายไม่ไหวติงอยู่บนพื้น ใบหน้าของนางเขียวคล้ำ ดวงตาเบิกกว้างมองมาทางเขา มือข้างหนึ่งพยายามยกขึ้นชี้ราวกับเรียกหา สภาพน่าเวทนาของเด็กน้อยที่ฟุบตัวร่ำไห้บนทรวงอกสตรีผู้นั้นทำให้นายกองหนุ่มเกิดความสงสาร รีบวิ่งเข้าไปหมายให้ความช่วยเหลือ
“เจ้าหนู... จงหลีกทางให้ข้าตรวจดูมารดาเจ้า” เขาออกคำสั่ง เจียงเหยาจึงได้รู้สึกตัวว่ามีบุคคลแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้น
“ท่านอา... ท่านอาได้โปรดช่วยเหลือท่านแม่ของข้าด้วย” เขาผวาเข้าจับท่อนแขนกำยำร้องอ้อนวอน
“เจ้าถอยห่างออกไปก่อน ข้าจะหาทางช่วยนางเอง” ด้วยความเร่งรีบ ชายหนุ่มจึงสลัดแขนออกให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมแล้วหันไปสำรวจร่างกายของเจียงฮูหยินอย่างละเอียด
คิ้วหนาต้องขมวดแน่นเมื่อพบว่าข้อแขนของสตรีตรงหน้ามีร่องรอยของคมเขี้ยวคู่หนึ่ง บาดแผลนั้นแห้งเป็นสีดำสนิท ผิวเนื้อรอบๆ บวมช้ำกลายเป็นสีม่วง แม้ต้นแขนจะมีแถบผ้าพันมัดไว้แถบหนึ่ง แต่สภาพของนางเป็นสิ่งยืนยันชัดเจนว่าการปฐมพยาบาลนั้นไม่ทันการณ์
“นาย... นาย... ท่าน...” ริมฝีปากแข็งทื่อของเจียงฮูหยินส่งเสียงกะท่อนกะแท่น น้ำลายที่หลั่งออกมาจนล้นปากทำให้เสียงนั้นฟังแทบไม่เป็นคำพูด
“ฮูหยิน... เจ้าจะบอกอะไรแกข้าก็จงรีบบอกเถิด” สายตาชายหนุ่มจับจ้องดวงตาที่เอ่อไปด้วยหยดน้ำคู่นั้น
“ฝาก... ดูแล... ลูกของ... ข้า... ด้วย”
“ข้าให้สัญญา... เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” เขากล่าวยืนยันหนักแน่น
“ขอบ... ขอบคุณ”
ผู้มีตำแหน่งนายกองหันไปมองเด็กชายผู้ทรุดกายอยู่ข้างๆ ขยับศีรษะบอกเป็นนัยให้เขาเข้ามาล่ำลามารดาเป็นครั้งสุดท้าย สีหน้าซึมเศร้าของนายทหารบ่งบอกเจียงเหยาว่าเขามิอาจทำอย่างไรได้อีกแล้ว เด็กชายที่นั่งสะอึกสะอื้นอยู่ก็เปล่งเสียงร่ำไห้โผเข้าไปกอดผู้เป็นมารดาอีกครั้ง แขนไร้เรี่ยวแรงของนางพยายามยกสัมผัสกายของเจียงเหยาคล้ายต้องการโอบกอด มีวาจาอยากกล่าวกับเขาอีกมากมายนับร้อยนับพันคำ แต่บัดนี้นางไม่สามารถจะทำได้อีกแล้ว ดวงตาพร่ามัวเพ่งมองใบหน้าของบุตรชายอย่างเต็มตาเป็นครั้งสุดท้าย มุมปากขยับขึ้นครั้งหนึ่งวิญญาณของเจียงฮูหยินก็หลุดลอย ทิ้งเด็กชายให้ฟูมฟายพร่ำกอดร่างอันเย็นชืด เรียกความสะทกสะท้อนใจให้แก่ผู้เฝ้ามองยิ่งนัก
ถึงจะผ่านการฆ่าฟันมามากมาย ชายหนุ่มผู้มีหน้าที่จับกุมยังอดรู้สึกสะเทือนใจกับความสูญเสียครั้งนี้ของเด็กชายไม่ได้ เขาปล่อยให้เจียงเหยาร่ำร้องกับศพเนิ่นนานจนกระทั่งหลับไป ตนเองหันไปจัดการก่อกองไฟเพื่อเป็นสัญญาณแก่กองทหารที่กำลังตามหา เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ปรากฏพลทหารในบังคับบัญชาของเขาจำนวนสี่ห้านายตามมาถึง เขาสั่งให้จัดแจงกลบฝังร่างของเจียงฮูหยินจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็นำร่างหลับใหลของเด็กชายขึ้นพาดบนหลัง จัดเตรียมคบไฟเพื่อออกเดินทางฝ่าความมืดของป่าไปยังจุดนัดหมายกับพลจูงม้าซึ่งกำลังติดตามมาอย่างเชื่องช้าเป็นกลุ่มสุดท้าย ก่อนทำหน้าที่คุมตัวนักโทษคนสุดท้ายกลับไปส่งยังขบวนผู้คุมนักโทษที่นอกเมืองฟุเผิงต่อไป
“เปิดประตูที่คุมขัง” ใบหน้าคมเข้มออกคำสั่งอย่างเรียบๆ “ท่านนายทัพมีคำสั่งให้คุมขังนักโทษใหม่เอาไว้ที่นี่” เขากล่าวกับพลทหารผู้เฝ้าดูแลขบวนรถ
ไม่ต้องรอให้เอ่ยปากซ้ำ ทหารนายนั้นรีบคว้าพวงกุญแจโลหะที่เหน็บไว้กับสายรัดเอวออกมาไขแม่กุญแจซึ่งพันธนาการประตูด้านหน้าของตรุอย่างรวดเร็ว โซ่เหล็กขึ้นสนิมขนาดใหญ่ที่คล้องพันลูกกรงประตูถูกกระชากออกโดยแรงส่งเสียงดังแกรกกราก ปลุกหลายชีวิตที่ซบกายเกยก่ายกันอยู่ภายในให้ตกใจฟื้นสติขึ้น
นายกองหนุ่มจับต้นแขนทั้งสองของเด็กชายข้างกาย ออกแรงยก ส่งตัวเขาให้มุดเข้าไปด้านในของกรงขังซึ่งตั้งอยู่บนเกวียนไม้เก่าคร่ำคร่า แสงจากกองไฟที่ลุกโชนอยู่โดยรอบส่องให้เด็กชายมองเห็นสภาพผู้คน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เนื้อตัวมอมแมมสกปรก บ้างเงยหน้าขึ้นมามองเขาเพียงแวบเดียวแล้วล้มตัวกลับลงไปนอน บ้างก็จดจ้องเขาด้วยสายตาที่ไร้ความหมาย กลิ่นเหม็นอับจากคราบเหงื่อไคลและการขับถ่ายโชยเข้าจมูกสร้างความกระอักกระอวลชวนคลื่นเหียนให้กับผู้มาใหม่ โซ่คล้องประตูที่คุมขังยังมิทันล่ามเสร็จ เจียงเหยาก็หันกลับไปหานายกองหนุ่มผู้นำตัวเขามา เด็กชายคุกเข่าลงแล้วก้มคำนับ กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ท่านอา... ข้า... พระคุณที่ท่านช่วยกลบฝัง... ท่านแม่ของข้า ข้าจะไม่มีวันลืมเลือน” พลางน้ำตาสายหนึ่งก็รินหลั่งจากดวงตาที่บวมช้ำ
นายกองหนุ่มวัยฉกรรจ์เพียงยืนนิ่งรับฟังแล้วหันหลังเดินจากไปไม่เอ่ยคำ เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเด็กน้อยผู้นั้น ผู้ใดทราบว่ามิเพียงแต่เจียงเหยาจะไม่โกรธแค้น หนำซ้ำยังแสดงความสำนึกในบุญคุณที่ช่วยดูแลสังขารของผู้เป็นมารดาให้ ทั้งๆ ที่พวกเขาเปรียบเสมือนกับผู้ไล่ต้อนให้นางไปสู่ความตายโดยแท้ ชายหนุ่มถึงกับสั่นระริกในแววตากับปฏิกิริยาของนักโทษน้อยผู้นี้
หลังจากแบกร่างเด็กชายออกจากป่า ชายหนุ่มก็นำเขาขึ้นหลังม้า ควบตะบึงมาสมทบกับขบวนนักโทษที่รออยู่ในเวลาก่อนรุ่งสาง แม้ตลอดทางบนหลังม้าเขาจะสะอึกสะอื้นกล่าวคำเพ้อพร่ำมากมาย มันเป็นการยากสำหรับคุณชายน้อยวัยสิบกว่าปีจะเข้าใจถึงโทษทางการเมือง แต่ด้วยคำบอกเล่าของชายหนุ่ม เด็กน้อยกลับยอมรับสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวของเขาถูกตามจับกุม ย่อมนับว่าแตกต่างจากผู้อื่นนัก
บัดนี้เจียงเหยาตกเป็นนักโทษที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้อื่น จะอย่างไรบุคคลซึ่งพบและนำตัวเขามายังที่กักขังแห่งนี้ก็ยังไม่เคยแสดงทีท่าขู่เข็ญหรือทำร้ายแม้แต่น้อย ยามนี้เพียงทราบว่าร่างของมารดาได้พักผ่อนอย่างสงบท่ามกลางทิวทัศน์ลำธารอันงดงาม ไม่ต้องถูกละเลยให้ตกเป็นอาหารของสัตว์ป่าเขาก็พึงพอใจที่สุดแล้ว
เมื่อร่างของนายกองหนุ่มเดินหายปะปนไปกับความมืด เจียงเหยาค่อยข่มความเศร้าโศก ยกแขนเสื้อขึ้นปาดใบหน้าเปียกชื้นแล้วหันกลับไปมองหาสถานที่ว่างสำหรับตนเอง ในตรุจองจำที่กว้างเพียงแปดเชียะ[1]ยาวสิบสองเชียะแออัดไปด้วยนักโทษหญิงและเด็กหญิงชายสิบกว่าคน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกร่างเหล่านั้นนอนขดตัวระเกะระกะยึดครองพื้นที่อยู่จนแทบไม่เหลือที่ให้นั่ง ขณะที่กำลังลังเลใจอยู่นั้นเอง เสียงนุ่มนวลสดใสที่เด็กชายไม่มีวันลืมเลือนก็ร้องเรียกเขามาจากริมลูกกรงด้านในสุด
“เจ้าเข้ามานั่งข้างๆ ข้าเถิด”
..
ความคิดเห็น