ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ม่านรักลิขิตฟ้า

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 137
      2
      25 พ.ค. 52

     

    2

     

    ออกแรงให้มากขึ้น... เจ้าพวกขี้เกียจสันหลังยาว เสียงตะคอกของชายฉกรรจ์ชาวเซียนเปยในชุดทหารดังลั่นพร้อมกับเสียงตวัดแส้หนังดังขวับ

    เพียะ!!”

    ปลายแส้กรีดลงบนแผ่นหลังของชายชราผู้หนึ่งจนปริแตก ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บทรมาน บาดแผลเช่นนี้ยิ่งสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้จนไม่อาจทนทรงตัวอยู่ได้ ชายผู้นั้นร้องโอดโอย ล้มกลิ้งลงไปกับพื้น เชือกป่านเส้นใหญ่ในมือของเขาพลันดึงให้ขบวนนักโทษซวนเซเสียหลักตามไปด้วย ยังความโกรธแค้นให้กับทหารผู้คุมขบวนที่ขี่ม้าเหยาะย่างอยู่ด้านข้าง

    ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าดุดัน กระโจนลงจากม้า เดินอาดๆ มายังจุดเกิดเหตุ โดยไม่ต้องสืบสาวถึงเหตุผลใดๆ เขาชักดาบที่สะพายอยู่ข้างเอวออกมาแล้วเสือกมันเข้าไปในร่างชายชราเคราะห์ร้ายผู้ที่พยายามจะลุกขึ้นทำหน้าที่ต่อ ไม่มีเสียงร่ำร้องตกใจจากผู้คนรอบข้าง บรรดานักโทษที่เหลือรีบก้มหน้าก้มตาจัดขบวนใหม่ ลากจูงเชือกใหญ่เส้นนั้นออกเดินทางต่อไปในทันที ผู้คุมคนเดิมกระชากดาบจากร่างไร้ลมหายใจ ไม่ใส่ใจต่อหยาดโลหิตที่กระเซ็นเปรอะเปื้อน เขาสลัดคราบเลือดจากคมดาบแล้วเสียบมันกลับลงฝักข้างกาย หันหลังเดินไปขึ้นม้าราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทหารเดินเท้าสองสามคนรีบรุดมาที่ซากศพ ลากมันออกไปโยนทิ้งที่ข้างทาง ทิ้งรอยเลือดเป็นแนวส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งน่าสะอิดสะเอียน หากแต่ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากหรือหันไปชำเลืองมองแม้เพียงหางตา

    ภาพของผู้คนนับร้อยกำลังออกแรงฉุดดึงเชือกเส้นใหญ่เดินไปตามเส้นทางดินสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านที่สัญจรผ่านไปมา มันเป็นขบวนลำเลียงนักโทษรวมถึงทรัพย์สินจากการเข้ายึดและจับกุมกองกำลังกบฏครั้งใหญ่ ในขบวนประกอบไปด้วยนักโทษชาย ต่างวัย ต่างชนชั้น ทำหน้าที่ลากจูงเกวียนไม้ซึ่งต่อเติมให้เป็นกรงกักขังบรรดานักโทษสตรีและเด็ก ท้ายขบวนเป็นกองเกวียนบรรทุกทรัพย์สมบัติที่ยึดมาได้

    ขบวนนักโทษมุ่งตรงมาจากเมืองหลงซี ผ่านป่าทึบ ลัดเลาะตามเส้นทางลำน้ำเว่ย มุ่งสู่ทิศตะวันออกเพื่อไปสมทบกับขบวนทหารอีกกลุ่มซึ่งถูกส่งให้แยกไปยังเมืองฟุเผิง เป้าหมายสุดท้ายของการจับกุมนักโทษก่อนจะเดินทางกลับสู่ลั่วหยางอันเป็นเมืองหลวง

    ท่านแม่... ข้ากลัว... ข้ากลัว น้ำเสียงสั่นระรัวเล็ดลอดออกมาจากมุมหนึ่งของกรงขัง เด็กหญิงวัยสิบปีเศษกำลังตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดผู้เป็นมารดา เหตุการณ์เมื่อครู่ล้วนอยู่ในสายตาผู้คนบนเกวียนไม้ มันเป็นการยากที่เด็กน้อยไร้เดียงสาผู้หนึ่งจะหักห้ามความหวาดหวั่นพรั่นพรึง

    เจ้าจงหลับตาเสีย ลูกหมิง... อย่าได้มอง อย่าได้คิดสิ่งใดนางโอบร่างบุตรีไว้แนบอก สองมือลูบคลำร่างนั้นให้คลายจากอาการสะท้าน แต่ในใจนางนั้นกำลังเต้นระทึกไปด้วยความหวาดกลัวไม่ต่างกัน

    หญิงสาวและบุตรีผู้ซึ่งกำลังปลอบประโลมกันอยู่ภายในกรงนั้นสวมใส่อาภรณ์ตัดเย็บประณีต เมื่อเปรียบเทียบกับนักโทษสตรีและเด็กคนอื่นๆ ย่อมมองแตกต่างกันอยู่บ้าง เป็นสิ่งแสดงถึงฐานะทางสังคมที่สูงส่ง ผู้เป็นมารดามีอายุราวสามสิบปี แม้เนื้อตัวและใบหน้าแปดเปื้อนไปด้วยคราบดิน ผมเผ้าที่เกล้าเป็นมวยกระเซอะกระเซิงไม่เรียบร้อย แต่เค้าโครงหน้ายังคงบ่งบอกว่าเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง นางคือเผิงฮูหยิน ภรรยาเจ้าเมืองหลงซีผู้เป็นสหายคนสนิทของเศรษฐีเจียง ส่วนเด็กหญิงดวงตาสุกใสที่สะอื้นไห้อยู่ในอ้อมแขนนางก็คือ เผิงหวั่นหมิง (งามจรัส) บุตรีเพียงคนเดียววัยสิบเอ็ดขวบ

     

    หกวันก่อน จวนเจ้าเมืองหลงซีถูกกองกำลังทหารจากหัวเมืองชิงจ้าวบุกเข้าปิดล้อมตามพระราชโองการจากเมืองหลวง แจ้งข้อหาว่าเผิงเหลียงผู้เป็นเจ้าเมืองมีส่วนร่วมให้ความช่วยเหลือต่อกบฏแผ่นดิน ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งและควบคุมตัวส่งไปสอบสวนยังลั่วหยาง เศรษฐีเจียงที่มาแวะพักอยู่ในจวนก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในรายชื่อตามข้อกล่าวหา แต่ก่อนที่เขาจะถูกจับกุมตัวได้นั้น เจียงเฉิงได้ลอบส่งพ่อบ้านเกาหลบหนีออกไปเพื่อแจ้งข่าวให้แก่ครอบครัวตนที่เมืองฟุเผิงแล้ว

    นักโทษการเมืองทั้งสองถูกตีตรวนใส่ตรุเทียมม้าส่งตัวไปยังลั่วหยางในทันที ส่วนทรัพย์สินและข้าทาสบริวารที่ถูกยึดนั้น กองกำลังทหารค่อยลำเลียงตามไปในภายหลัง

    เผิงฮูหยินมิใช่สตรีชาวบ้านธรรมดา ด้วยนางเป็นถึงภรรยาของเจ้าเมืองคนหนึ่ง เคยพบเห็นนักโทษถูกเข่นฆ่าประหารมาไม่น้อย จึงมีจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวกว่าสตรีทั่วไปนัก ตั้งแต่สามีนางคิดเข้าไปพัวพันกับเล่ห์เพทุบายและการแก่งแย่งอำนาจในราชสำนัก เผิงฮูหยินย่อมทราบแต่แรกว่าเป็นการยากที่จะหลีกพ้นจุดจบอันเลวร้าย เพียงหวังว่าฟ้าเบื้องบนคงมองเห็นเจตนารมณ์ที่เจ้าเมืองเผิงมีต่อประเทศชาติ บันดาลให้ปฏิบัติการของเขาและอำมาตย์ฉู่ห้าวประสบความสำเร็จ แต่มาบัดนี้ทุกสิ่งกลับตาลปัตร เห็นชัดว่าเมื่อเผิงเหลียงผู้เป็นสามีถูกควบคุมตัวไปถึงมือจงอ้าย ย่อมไม่อาจรักษาศีรษะไว้ได้แน่นอนแล้ว นางเองก็ยินยอมพร้อมใจที่จะติดตามเขาไปโดยไม่เสียดายชีวิตเช่นกัน

    หากสิ่งเดียวที่ทำให้เผิงฮูหยินยังไม่อาจตัดใจปลิดชีพตัวเองตามเจ้าเมืองเผิงก็คือหวั่นหมิงผู้เป็นบุตรี เด็กน้อยยังเยาว์นัก ด้วยวัยเพียงเท่านี้เด็กหญิงหรือจะสามารถเอาชีวิตรอดจากการเดินทางอันยากลำบาก น้ำตาแห่งความโศกเศร้าอาดูรเหือดหายไปตั้งแต่สองวันแรก นางต้องเข้มแข็งขึ้นเพราะนางมีหน้าที่สุดท้ายที่จะต้องทำในฐานะคนของตระกูลเผิง นั่นก็คือการปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวเอาไว้จนกว่าบุตรีจะพบหนทางปลอดภัย

     

    เมื่อความมืดมิดเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมท้องฟ้า ความหนาวเย็นที่พัดพามากับสายลมก็เริ่มจู่โจมทุกชีวิตอีกครั้ง ผู้คุมกองทหารบนหลังม้ากระชับเสื้อขนสัตว์เข้าหาร่าง ร้องสั่งกองคาราวานเดินเท้าของเหล่านักโทษให้หยุดลงที่ชายป่าใกล้เมืองหันซิง เส้นทางผ่านสู่เมืองฟุเผิงและลั่วหยาง ทหารหลายสิบนายควบคุมนักโทษส่วนหนึ่งออกรวบรวมเศษไม้แห้งมาก่อเป็นกองไฟให้ความอบอุ่น สร้างแสงสว่างลุกโชนขึ้นเป็นหย่อมๆ ทหารบางส่วนทำหน้าที่หุงหาอาหารอย่างเลวอันได้จากปลายข้าวต้มรวมกับเผือกมันและรากไม้ แจกจ่ายให้แก่บรรดานักโทษเด็กสตรีในกรงและนักโทษชายที่ถูกใช้แรงงาน

    กองไฟกองใหญ่ที่รายล้อมอยู่โดยรอบค่ายนักโทษชั่วคราวแห่งนี้ แม้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ผู้คนแต่ก็หาเพียงพอไม่ ยังปรากฏภาพชายฉกรรจ์ชราเนื้อตัวมอมแมมในเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งพากันหนาวสั่น นอนกอดก่ายอยู่เป็นกลุ่ม มีทหารจำนวนหนึ่งกุมดาบนั่งผิงไฟ ผลัดเปลี่ยนเวรยาม คอยสอดส่องเฝ้าระวังอยู่ไม่ห่าง

    บนเกวียนไม้หกเจ็ดเล่มที่แปรสภาพเป็นกรงขัง นักโทษสตรีและเด็กวัยเยาว์ต่างเบียดกายเข้าหากัน อาศัยความอบอุ่นจากร่างของกันและกันเป็นเกราะกำบังลมหนาวเพียงอย่างเดียว ยามนี้เผิงฮูหยินยังข่มตาหลับลงมิได้ ดวงตางดงามหากหม่นหมองทอดสายตาลอดคานไม้ที่สานเป็นตะรางด้านบนศีรษะ เฝ้ามองแสงกะพริบอันริบหรี่จากดวงดาราบนฟากฟ้าพานเกิดความสะทกสะท้อนในชะตาชีวิต หยดน้ำที่คลอรอบขอบตาอยู่นานจนเย็นเยียบพลันร่วงหล่นลงกระทบแก้มนวลของเด็กหญิงซึ่งหนุนนอนอยู่บนตัก

    ท่านแม่... ร่างน้อยๆ ขยับตัวลืมตาตื่นด้วยความงัวเงีย เผิงฮูหยินสะดุดกับเสียงร้องเรียก รีบยกฝ่ามือขึ้นเช็ดร่องรอยเปียกชื้นบนใบหน้า

    ลูกหมิง เจ้าตื่นขึ้นมาทำไม หลับเสียเถิดนะ คนดีของแม่ ว่าพลางก็กระชับเสื้อนวมของตนที่ถูกถอดออกห่มคลุมตัวเด็กหญิงให้แน่นหนาขึ้น

    หวั่นหมิงขดตัวเข้าหาอ้อมกอดของมารดา ดวงตาจ้องมองใบหน้านางอย่างสงสัย เด็กหญิงข่มความง่วงงุนขืนตัวลุกขึ้นนั่ง ท่ามกลางความมืดสลัวในค่ำคืน แสงสว่างรำไรจากกองฟืนสาดส่องให้เห็นประกายระยับของหยาดน้ำชุ่มเย็นที่ตกค้างในดวงตา ปลายนิ้วน้อยๆ ยกขึ้นลูบไล้เปลือกตาและใบหน้าที่เย็นเยียบ

    ทำไมท่านแม่จึงร้องไห้ ท่านหนาวหรือ ท่านสวมเสื้อหนาวเถอะเด็กหญิงปลดเสื้อนวมผืนหนาบนร่าง นำไปห่มไว้บนไหล่ของมารดาด้วยความห่วงใย เผิงฮูหยินส่ายหน้า สองมือยื้อขัดขืน พยายามจะห่อเสื้อตัวเดิมกลับลงบนร่างของบุตรี

    ไม่ได้หรอก ลูกหมิง อากาศหนาวเหน็บอย่างนี้เดี๋ยวเจ้าจะเจ็บป่วยไปเสียก่อน

    เสื้อหนาวที่ข้าสวมอยู่ก็อุ่นเพียงพอแล้ว

    เจ้าเด็กดื้อรั้น... นิสัยเจ้าสืบทอดมาจากท่านพ่อไม่ผิดเพี้ยนจริงๆ เมื่อผลักไสไม่สำเร็จ ฮูหยินได้แต่ยอมให้เด็กหญิงห่มเสื้อนวมบนร่างของนางแต่โดยดี ไม่วายโอบรั้งศีรษะของเด็กน้อยมาโอบกอดลูบคลำแนบทรวงอก

    ป่านนี้ท่านพ่อจะอย่างไรบ้าง ข้าคิดถึงท่าน... ท่านแม่ หวั่นหมิงเอ่ยเสียงเครือ

    ท่านต้องปลอดภัย... ท่านอาของเจ้าที่วังหลวงต้องดูแลท่านเป็นอย่างดีแม้กล่าวเช่นนั้น ฝ่ามือที่ลูบไล้เรือนผมของเด็กน้อยกลับสั่นระริก นางกัดฟันแน่น ข่มน้ำตาเอาไว้ไม่ให้รินหลั่ง ก้มลงแนบใบหน้ากับศีรษะบุตรี แล้วจุมพิตด้วยความเศร้าสะเทือนใจ

    เช่นนั้น... ท่านแม่ก็ต้องดูแลสุขภาพให้ดี หากไปถึงวังหลวงแล้วท่านแม่ไม่สบาย ท่านพ่อต้องดุว่าข้าเป็นต้นเหตุอย่างแน่นอน

    ฟังคำของผู้เป็นบุตร ดวงตาที่ยังเปียกชื้นของเผิงฮูหยินต้องหลับแน่น ไม่สามารถกล่าววาจาใดๆ อีก เวลานี้นางได้แต่เก็บความจริงอันสุดแสนรันทดเอาไว้ในอกเพื่อมิให้หวั่นหมิงต้องทุกข์ใจมากไปกว่าสภาพที่พวกนางกำลังเผชิญอยู่ หวังแต่ว่าเมื่อเดินทางถึงจุดหมายแล้วตนจะมีถ้อยคำอธิบายให้เด็กหญิงรับรู้ ท่ามกลางราตรีที่หนาวเหน็บ สองแม่ลูกพิงกายกับกรงไม้ ค่อยๆ หลับใหลไปในอ้อมกอดของกันและกันโดยไม่อาจล่วงรู้ถึงชะตากรรมในวันข้างหน้า

     

    ประกายไฟแตกปะทุจากท่อนไม้เปียกชื้นดังเผียะผะ รถม้าไร้ประทุนจอดนิ่งสนิทอยู่ริมป่า ม้าสีแดงสองตัวถูกล่ามเชือกเอาไว้กับกอไผ่ขนาดใหญ่ไม่ห่างจากกองไฟที่ยังลุกโชน มันยืนหลับตา โน้มคอลงต่ำ นอกจากหางที่กวัดแกว่งในบางเวลาแล้ว ทีท่าไร้การขยับเขยื้อนของมันแสดงให้เห็นว่ากำลังหลับอยู่

    อาไฉ่นั่งชันเข่าอยู่กับพื้นดินแข็ง ยื่นกิ่งไม้เติมเข้าไปในกองไฟช้าๆ สายตาจับจ้องสะเก็ดไฟที่กระเด็นออกมาเป็นระยะ เป็นเวลาสองคืนแล้วที่เขาแทบไม่ยอมข่มตาลงพักผ่อน ในเมื่อภาระของเขาคือการนำนายหญิงและคุณชายหลบหนีการจับกุมเพื่อกลับไปยังเมืองอันติ้งบ้านเกิดของเจียงฮูหยิน คนรับใช้หนุ่มจึงคอยทำหน้าที่เป็นยามระแวดระวังภัยให้ตลอดเวลา

    อีกฟากของเปลวไฟ ร่างผู้เป็นนายหญิงนอนตะแคงกายหนุนห่อผ้าห่อใหญ่อยู่ ท่อนแขนข้างหนึ่งโอบตัวบุตรชายไม่ให้ห่าง ทั้งสองร่างห่มไว้ด้วยเสื้อคลุมบุสำลีหนาผืนใหญ่ เพ่งมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาของคุณชายน้อยยามหลับพริ้มแนบอกของนายหญิง คนรับใช้หนุ่มต้องลอบส่ายหน้าด้วยความเวทนาสงสาร ตัวเองเป็นลูกชาวไร่ชาวนา ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ล้วนเคยผ่านมาทั้งสิ้น แต่เด็กน้อยเบื้องหน้านี่สิ ชั่วชีวิตแทบไม่เคยออกห่างจากรั้วบ้าน ครั้งนี้กลับต้องมาระหกระเหินทรมาน นอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ในป่าเช่นนี้ 

    สามวันหลังหลบหนีออกจากเมืองฟุเฉิง รถม้านำทั้งหมดเดินทางมุ่งหน้าขึ้นทางเหนืออย่างเชื่องช้าเนื่องจากจำเป็นต้องเลี่ยงเส้นทางหลักลัดเลาะไปตามป่าละเมาะ ปัญหาอีกอย่างในการเดินทางก็คือเสบียงและที่พักแรม สำหรับเสบียงนั้นเจียงฮูหยินขอแบ่งซื้อมาจากชาวบ้านตามทางผ่าน ส่วนที่พักในคืนแรกคนทั้งสามก็ยังพอที่จะอาศัยบ้านชาวนาเป็นที่หลบหนาวได้ แต่เมื่อออกห่างจากเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สามนายบ่าวก็จำต้องจอดรถให้ม้าได้พักผ่อนแล้วก่อกองไฟค้างคืนตามที่โล่งรายทาง

    เช่นเดียวกับคืนนี้ เมื่ออาไฉ่ทำหน้าที่ก่อไฟหุงหาอาหารให้ผู้เป็นนาย รอจนทั้งคู่รับประทานอาหารเสร็จ เอนกายลงหลับสนิทแล้ว ชายหนุ่มค่อยนั่งลงใกล้ๆ คอยอยู่ยามเฝ้าระมัดระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ เขานั่งเกยคางกับสองแขน เหม่อมองใบหน้าเจียงเหยาสลับกับสะเก็ดไฟจากกองไม้อยู่เนิ่นนาน ลมยะเยือกที่ทยอยพัดผ่านมาสัมผัสร่างทำให้ชายหนุ่มสั่นสะท้าน เขากอดกระชับเสื้อหนาวชั้นนอกเข้ากับตัว ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งทวีความหนาวเหน็บมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงจิ้งหรีดในพงหญ้าที่ร่ำร้องเซ็งแซ่มาตั้งแต่หัวค่ำแผ่วจางลง ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอดสองวันก็ทำให้เปลือกตาของอาไฉ่ค่อยๆ หรุบต่ำทีละน้อยๆ และผล็อยหลับไปในที่สุด

     

    เวลาผ่านไปเท่าใดไม่มีใครรู้ ยามนี้เสียงหรีดหริ่งเรไรล้วนสาบสูญไปจนหมด มีเพียงเสียงกอไผ่ใบหญ้าที่ต้องลมเสียดสีกันแว่วผ่านความเงียบมาเป็นระยะ เปลวสว่างจากกองไฟมอดไปเกือบครึ่ง ขณะที่ทั้งสามชีวิตกำลังตกอยู่ในห้วงนิทรารมย์ เสียงเท้าย่ำกรอบแกรบบนกิ่งไม้แห้งก็ปลุกให้อาชาสองตัวที่ผูกเอาไว้ร้องตื่นตกใจ อาไฉ่รู้สึกตัวรีบคว้ามีดสั้นในอกเสื้อออกมาถือ หันมองไปทางต้นเสียงด้วยสัญชาตญาณ ในความมืดสลัวนั้นปรากฏเงาของชายร่างใหญ่สองคนกำลังพยายามแก้เชือกผูกม้าออกจากกอไผ่ ที่แท้พวกมันเป็นโจรขโมยม้าที่บังเอิญผ่านมาเห็นแสงไฟ

    ฮูหยิน... คุณชายน้อย... ท่านรีบตื่นเร็วเข้าขอรับ มีโจรป่า ด้วยความเป็นห่วงผู้เป็นนาย อาไฉ่รีบตะโกนเรียกเจียงฮูหยินและบุตรชายลุกขึ้น ไม่คาดคิดว่าเป็นการกระตุ้นความรู้สึกฆ่าฟันให้กับโจรทั้งสอง เมื่อเห็นชัดว่าเหยื่อมีเพียงชายหนุ่มร่างเล็ก หญิงสาว และเด็ก แทนที่จะลักแต่ม้า พวกมันอาจได้สิ่งคุ้มค่ามากกว่านั้น

    เสียงของชายหนุ่มปลุกผู้เป็นนายหญิงคืนสติในทันที นางยันกายขึ้นนั่ง มองไปทางอาไฉ่ เห็นเขายืนตัวสั่นงันงก มือทั้งสองข้างกำมีดสั้นยื่นออกไปเบื้องหน้า แสงไฟริบหรี่จากกองเถ้าถ่านส่องให้เห็นร่างชายฉกรรจ์ หนวดเครารกรุงรัง แต่งกายสกปรก สองคนกำลังย่างเท้าเข้ามาอย่างช้าๆ ในมือของพวกมัน คนหนึ่งกำมีดทำครัวเล่มใหญ่ อีกคนถือไว้ด้วยจอบธรรมดา คาดว่าเป็นเพียงชาวนาที่หันมาลักเล็กขโมยน้อย

    ร่างของเจียงฮูหยินชาวาบไปด้วยความตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางรวบรวมสติ ดึงตัวเจียงเหยาที่ยังนอนงัวเงียอยู่กับพื้นขึ้นมากอดแนบอก ประคองร่างน้อยๆ ลุกขึ้นยืนสั่นเทา ปากก็พยายามร้องขอความปราณี

    พวก... พวกเจ้าต้องการอะไร ปล่อยเราไปเถอะ อย่า... อย่าทำอะไรพวกเราเลย

    ท่านแม่... เกิดอะไรขึ้น พวกเขาเป็นใคร เด็กชายยึดชายเสื้อของมารดาแน่น กล่าวคำถามอย่างงุนงงสงสัย หากไม่มีคำตอบใดๆ จากผู้เป็นแม่

    พวกเรา... พวกเรามีทรัพย์สินติดตัวมาจำนวนหนึ่ง อยากได้อะไรก็จงนำเอาไปเถอะนะ แต่... แต่อย่าทำอันตรายข้ากับลูกเลย เสียงนางสั่นเครือ เท้าค่อยๆ พาร่างตนกับบุตรร่นไปด้านหลังช้าๆ

    ฮูหยิน ท่านรีบพาคุณชายน้อยหนีไปเถิดขอรับ ข้าน้อย... ข้าน้อยจะสกัดพวกมันเอาไว้เองอาไฉ่ร้องบอก มีดที่ชูอยู่ข้างหน้าสั่นระริก ชายหนุ่มที่สุภาพเรียบร้อยอย่างเขาหรือจะเคยต่อสู้กับผู้อื่น แต่ความรักเป็นห่วงต่อบุคคลด้านหลังผลักดันให้เขากล้าที่จะเสี่ยงชีวิตของตน

    เมื่อไม่มีเสียงตอบรับใดๆ อาไฉ่ไม่รอให้โจรทั้งสองตัดสินใจอีก เขาพุ่งร่างเข้าไปหาคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด หมายจ้วงแทงมันด้วยมีดสั้นในมือ โจรผู้นั้นพอมีประสบการณ์ฆ่าฟันอยู่บ้าง ครั้นมองเห็นชายหนุ่มผวาเข้าใส่ย่อมเบี่ยงกายหลบได้ทันท่วงที มีดบังตอที่เงื้อง่าอยู่ฟันฉับลงมาหมายลำคอเขาเป็นการตอบโต้ อาไฉ่เมื่อแทงพลาดเป้าหมายก็รีบหันกลับมาเฝ้าระวังตัว เห็นอาวุธกำลังวูบไหวเข้าหา มือหนึ่งก็ยกขึ้นคว้าแขนของคู่ต่อสู้ ผลักออกไปด้วยแรง มิให้คมมีดตกกระทบตน วัตถุวาววับสีเงินในมืออีกข้างรีบเสือกใส่ร่างคนตรงหน้า

    เหตุการณ์เกิดในชั่วกะพริบตา เสียงหวีดร้องหวาดเสียวของเจียงฮูหยินดังขึ้นพร้อมกัน อาไฉ่ต้องสูญเสียสมาธิเหลียวไปมองด้วยความกังวล ข้อมือของเขาจึงถูกมือที่ว่างอยู่ของโจรร้ายจับไว้ได้ทัน ตกอยู่ในสภาพค้ำยันกันอย่างก้ำกึ่งสูสี แต่หากมองจากรูปร่างที่แตกต่างแล้ว ไม่ช้าไม่นานชายหนุ่มจะต้องเป็นฝ่ายเสียทีแน่นอน

    ฮูหยิน... ท่าน... ท่านยังไม่รีบหนีไปอีก เขาเกร็งแขนไว้ กลั้นใจตะโกนบอกอย่างยากลำบาก

    แต่เจ้า... เจ้า... เจียงฮูหยินละล่ำละลัก

    รีบไป เสียงอาไฉ่ตวาดลั่น เวลาเดียวกันนั้นโจรอีกคนที่ขวางด้ามจอบ ยืนงกเงิ่นคุมเชิงอยู่ด้านข้างก็ได้โอกาสเงื้ออาวุธในมือกระแทกเข้ากลางหลังจนชายหนุ่มล้มคว่ำลงกับพื้น

    ฮูหยินยกฝ่ามือสองข้างขึ้นปิดหน้าอย่างลืมตัว กรีดร้องคร่ำครวญ น้ำตานอง ดวงตาเบิกกว้าง ร่างแข็งทื่อ ไม่อาจขยับตัวได้ในเสี้ยววินาทีนั้น มองเห็นคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ยื้อแขนของโจรสามานย์คนเดิมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ขณะที่เดียรัจฉานอีกตนกำลังกระแทกสันจอบลงบนแผ่นหลังของเขาไม่หยุดมือ

    น้าไฉ่... น้าไฉ่...คุณชายน้อยร่ำเรียก

    เสียงเด็กชายช่วยดึงสติของนางกลับคืนมา เจียงฮูหยินไม่เห็นทางรอดอื่นอีก รีบคว้าข้อมือของเจียงเหยาที่ยืนตะลึงตัวสั่นสะท้านอยู่ ลากให้วิ่งหนีเข้าไปในดงไผ่ โจรชั่วซึ่งกระชากฉุดอยู่กับร่างของอาไฉ่พยายามจะสลัดหลุดเพื่อติดตามสังหารเหยื่อที่เหลืออยู่ แต่คนรับใช้หนุ่มยังเกาะแขนของมันเอาไว้แน่น ไม่สนใจกับการทุบตีของโจรอีกผู้หนึ่ง น่าแปลกนักที่ความเจ็บปวดจากการถูกฟาดฟันทำร้ายคล้ายเลือนหายไปเรื่อยๆ นัยน์ตาของอาไฉ่ก็พลอยพร่ามัวลงเรื่อยๆ เช่นกัน ภาพคุณชายน้อยของเขาเหลียวหลังร่ำร้องหา ยื่นมือราวต้องการไขว่คว้าให้ถึงตัวเขาเป็นสิ่งสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นในดวงตาของอาไฉ่ ชายหนุ่มกระอักโลหิตสดๆ ออกมาสองคำใหญ่ก่อนที่สองมือจะค่อยๆ หลุดร่วงจากท่อนแขนโจรร้าย ริมฝีปากเปรอะเปื้อนยิ้มออกมาได้ เขาได้ทำหน้าที่ของผู้เป็นบ่าวอย่างสมบูรณ์แล้ว 

     

    แสงอรุณแห่งวันใหม่สาดส่องกระทบหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าเป็นประกายแวววับ นกสี่เชว่[1]ตัวหนึ่งกระโดดเริงร่าบนยอดไม้ ยังมิทันจะบรรเลงเพลงเพื่อบ่งบอกถึงช่วงเวลาอันสดใส เสียงขู่ตะคอกของทหารชาวเซียนเปยก็ขับไล่มันให้บินจากไป เสียงนั้นปลุกให้เผิงหวั่นหมิงลืมตาขึ้นช้าๆ รถคุมขังเริ่มเคลื่อนออกจากที่ตามแรงฉุดลากของบรรดานักโทษชายแล้ว เด็กชายหญิง สตรีสูงวัยในกรงขังล้วนตื่นจนหมดสิ้น แต่ละคนต่างนั่งเกาะซี่กรงไม้ทอดสายตาออกไปอย่างไร้ความหวัง

    ลมหายใจร้อนระอุสัมผัสข้างแก้มของเด็กหญิงเป็นจังหวะเชื่องช้า แผ่วเบา เด็กน้อยค่อยๆ ผละจากร่างของผู้เป็นมารดาแล้วหันไปมองใบหน้านั้น รู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่านางยังคงหลับอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเช่นคนอื่นๆ

    ท่านแม่... เช้าแล้ว ท่านตื่นเถอะ เด็กน้อยจับไหล่ของนางเขย่าเบาๆ แต่ไม่เป็นผล เผิงฮูหยินยังคงพิงกรงไม้ไม่รู้สึกตัว หวั่นหมิงยกฝ่ามือเล็กๆ ขึ้นลูบไล้หน้าผากมารดา เพียงสัมผัสถูกเด็กหญิงก็ต้องตกใจกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวราวกับตะเกียง ร่ำร้องด้วยความวิตก ท่านแม่... ท่านแม่...

    เจ้า... ลูกหมิง... เจ้าอย่าได้ส่งเสียงดัง เดี๋ยวผู้คุมจะพากันมาเสียงบุตรีปลุกสติของนางขึ้นมาได้ในที่สุด

    ตัวท่านร้อนมาก ท่านไม่สบายหรือ... ข้า... ข้าจะไปขอให้พวกท่านอาข้างนอกมารักษา แม้จะไร้เรี่ยวแรง แต่เผิงฮูหยินก็ฝืนจับมือของหวั่นหมิงเอาไว้ กล่าวว่า

    เจ้าจะบอกแก่ทหารเหล่านั้นไม่ได้เด็ดขาด จำเอาไว้... มิฉะนั้น... แม่อาจจะถูกพาตัวไปจากเจ้า

    แต่... แต่...

    ให้แม่พักผ่อนสักพักก็หายดี เจ้าเป็นเด็กดี เจ้าต้องเชื่อฟังแม่

    ข้า... ข้าจะเชื่อฟังท่าน

    ที่แท้ความเหน็ดเหนื่อยและความสะเทือนจิตใจตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เคี่ยวกรำจนร่างกายของเผิงฮูหยินต้องล้มป่วย นางรู้ว่าชะตากรรมของนักโทษที่เจ็บป่วยนั้นไม่แตกต่างจากคนตาย นั่นเพราะไม่มีใครสนใจว่าอาการเจ็บป่วยจะเกิดจากโรคระบาดหรือโรคทางใจ เพื่อรักษานักโทษส่วนใหญ่เอาไว้ บางครั้งเหล่าผู้คุมก็ต้องตัดสินใจกำจัดนักโทษที่ป่วยไข้เพื่อไม่ปล่อยให้กลายมาเป็นผลร้ายต่อคนที่เหลือ

    ตลอดทั้งวันนั้น เผิงฮูหยินได้แต่หลับตานั่งหนาวสั่น จะขยับตัวลุกขึ้นมาก็เฉพาะในเวลากินอาหารและขับถ่าย แสงแดดที่อาบไล้ร่างกายระหว่างวันดูเหมือนจะช่วยคืนพลังให้นางบ้างเล็กน้อย ครั้นเมื่อพระอาทิตย์ตกดินอาการเผิงฮูหยินก็กลับทรุดลงเช่นเดิม เป็นอยู่เช่นนี้สลับกันไป

    หวั่นหมิงได้แต่ภาวนาขอให้มารดาหายป่วยโดยเร็ว แต่ดูเหมือนอากาศที่ทวีความเย็นมากขึ้นทุกวันจะส่งผลให้อาการของเผิงฮูหยินย่ำแย่ลงเรื่อยๆ นางและบุตรีต้องเก็บซ่อนสีหน้าซีดเซียวท่าทางหนาวสั่นเอาไว้ในยามที่ทหารออกเดินตรวจตรา โชคของทั้งคู่ยังไม่ร้ายเกินไปนักเมื่อขณะนั้นบรรดาทหารและผู้คุมกำลังมีเรื่องวุ่นวายอื่นๆ ให้สนใจอยู่ ทำให้ไม่มีใครมีแก่ใจมาคอยเฝ้าสังเกตทีท่านักโทษอย่างใกล้ชิด

    ขบวนนักโทษเดินทางออกจากเมืองหันซิงได้เพียงสองวันก็บรรลุสู่เขตเมืองฟุเผิง ทหารที่ควบคุมขบวนนำกองคาราวานหยุดพักอยู่นอกเมืองทางทิศตะวันตกตั้งแต่ยังไม่พลบค่ำคล้ายรอกำลังทหารจากที่อื่นมาสมทบ รออยู่ไม่นานนัก ทหารเดินเท้าจำนวนห้าหกคนซึ่งมุ่งหน้าออกมาจากตัวเมืองก็รีบเข้ามาแจ้งข่าว

    เจ้าว่าอย่างไรนะ สตรีแซ่เจียงกับบุตรชายหลบหนีไปได้อย่างนั้นหรือ เสียงทหารร่างสูงใหญ่ใบหน้าดุดันผู้เป็นผู้คุมขบวนกระโชกถามดังลอดออกมาจากกระโจมค่ายอันเป็นที่พักส่วนตัว

    จากเบาะแสที่ได้ พบว่านักโทษใช้รถม้าหลบหนีขึ้นไปทางเหนือ ท่านนายกองได้นำกำลังส่วนหนึ่งออกติดตามไปตั้งแต่สี่วันก่อนแล้วขอรับ ทหารเซียนเปยผู้หนึ่งแจ้ง

    แล้วข้าจะต้องรออีกนานแค่ไหน พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าถ้าหากส่งนักโทษไม่ทันกำหนดพวกเราจะต้องรับโทษอะไรบ้าง ใบหน้าเหี้ยมเกรียมตะคอกใส่ทหารในบังคับบัญชา

    ทหารลาดตระเวนที่กลับมาเมื่อเช้ารายงานว่าพบศพกับร่องรอยการต่อสู้ ให้ชาวเมืองตรวจสอบแล้วเป็นบ่าวในตระกูลเจียงขอรับ เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกปล้นระหว่างทาง ขณะนี้ทหารของเราแกะรอยติดตามไปแล้ว คาดว่าไม่ช้าต้องได้ข่าว ท่านนายทัพได้โปรดอดใจรออีกสักสองวันเถิดขอรับ

    ถ้าพวกมันถูกฆ่าตายก็แล้วไป ขอแค่พวกเจ้ามีหลักฐานส่งกลับไปให้เจ้ากรมราชทัณฑ์ก็หมดปัญหาหัวหน้าผู้คุมระบายลมหายใจ

    ขอรับ

    หมดธุระแล้วเจ้าก็กลับออกไปพักผ่อนเสีย ข้าจะต้องเขียนรายงานเรื่องนี้ให้ม้าเร็วนำไปส่งที่เมืองหลวง

    สิ้นคำสั่งของหัวหน้าผู้คุม ยังมิทันที่ทหารผู้รายงานข่าวจะรับคำแล้วถอนตัวจากไป เสียงฝีเท้าม้าที่ควบขี่อย่างเร่งรีบก็ดังมาจากนอกกระโจม ได้ยินทหารทิ้งตัวลงจากหลังสัตว์พาหนะ แหวกประตูกระโจมเข้ามาคำนับผู้เป็นหัวหน้า

    ท่านนายทัพ เราพบตัวนักโทษที่หลบหนีแล้วขอรับ

    นำพวกมันกลับมาหรือไม่

    ท่านนายกองกำลังคุมตัวกลับมา น่าจะมาถึงทันรุ่งเช้าขอรับ

    ดี... ถ้ามาถึงแล้วเจ้าก็จับพวกมันไปคุมขังเสีย นี่ถ้าหากไม่ติดว่ามันเป็นนักโทษของท่านราชเลขา ข้าจะออกไปตัดหัวมันให้สมกับความวุ่นวาย

    ขอรับทหารแจ้งข่าวชาวเซียนเปยที่เพิ่งมาถึงรับคำ จากนั้นก็ทำความเคารพผู้เป็นนายแล้วเดินออกไป

    ความโกลาหลที่หน้ากระโจมค่ายอยู่ในสายตาของเด็กหญิง เผิงหวั่นหมิงเฝ้ามองทหารผู้นั้นจูงม้าเดินห่างไปจากค่าย เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่บอกเพียงว่าจะมีนักโทษใหม่เข้ามาเพิ่มในไม่ช้า แต่ในชั่วเวลา เด็กหญิงไม่มีทางล่วงรู้เลยว่าบุคคลนั้นจะกลายมาเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในหัวใจไปจนตราบวินาทีสุดท้ายของชีวิต

    เด็กน้อยหันกลับไปมองใบหน้าที่ซีดเผือดและสั่นสะท้านของมารดา เอนกายลงไปกอดซบหวังบรรเทาความหนาวเหน็บให้แก่นาง ลมราตรีที่ยะเยือกเย็นพลิ้วผ่านช่องกรงขังทำให้หวั่นหมิงกระเถิบร่างเข้าหาเผิงฮูหยินจนชิดใกล้ เสียงลมพัดแมกไม้ขับกล่อมทุกชีวิตที่อยู่บนเกวียน ดวงดาวบนนภาส่งแสงระยิบพร่างพราวราวเป็นกำลังใจให้ผู้คนพ้นความทุกข์ยากไปอีกหนึ่งวัน    

     

    ……………..



    [1] สี่เชว่ หรือ เชว่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Magpie จัดเป็นจำพวกเดียวกับนกกางเขน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×