ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ม่านรักลิขิตฟ้า

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 248
      3
      30 พ.ค. 52

     

     

     

    ม่านรักลิขิตฟ้า

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    1

     

    ลมหนาวกรรโชกผ่านหมู่แมกไม้ พัดให้ใบสีแดงสดใบหนึ่งปลิดปลิวจากกิ่ง ต้นฟง[1] ซึ่งบัดนี้พุ่มที่เคยเขียวสดใสยามคิมหันต์ฤดูกลับกลายเป็นสีแดงฉานทั้งต้น ใบรูปแฉกหมุนคว้างอยู่เหนือยอดไม้สองสามครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ล้อลม ร่อนลงแตะผิวน้ำเกิดเป็นวงกระเพื่อมแผ่วเบา ฝูงปลาไนที่นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ร่มไม้พลันตื่นเงา พากันว่ายโฉบลดเลี้ยวหายไปในกอบัวเผื่อน

    ยามนี้เป็นเวลาย่างสู่ฤดูเหมันต์ เหล่าพรรณพฤกษ์ในรั้วคฤหาสน์ตระกูลเจียงล้วนพากันทิ้งใบเกลื่อนกล่น บนถนนอิฐที่ทอดโค้งโอบสระบัวจากริมกำแพงรั้วมุ่งไปยังเรือนคฤหาสน์นั้นเขียวคร่ำไปด้วยตะไคร่ ใบไม้สีเหลืองสีแดงทับถมกันมองราวกับพรมบุปผาชาติผืนใหญ่   

    ที่ปลายถนนด้านหนึ่ง ปรากฏร่างเด็กชายในชุดผ้านวมเนื้อหนา ในมือขวาของเขากวัดแกว่งไปมาด้วยกิ่งหลิวกิ่งน้อยๆ สองเท้าก้าวกระโดดอย่างร่าเริง ปากก็พึมพำบทเพลงชื่อเล่อ อันเป็นบทเพลงพื้นบ้านที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวเหนือ

    จากยอดเขาอินซาน ทัศนาเห็นลำน้ำชื่อเล่อ

    นภาประดุจหลังคาใหญ่ ครอบคลุมทั่วผืนพนา

    ยามท้องฟ้าไร้เมฆหม่น สายลมโชยผ่านท้องทุ่ง

    ยอดหญ้าพลิ้วระบัด มองเหล่าสัตว์และเล็มกิน

    บทเพลงนั้นพรรณนาถึงทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ของทุ่งหญ้าทางภาคเหนือ แม้ว่าตัวเด็กชายจะอาศัยอยู่ในตัวเมืองฟุเผิงซึ่งอยู่ค่อนลงมาทางใต้ ไม่เคยมีโอกาสพบเห็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์, ภูเขาอินซาน หรือลำน้ำชื่อเล่อก็ตาม แต่บทเพลงนี้ก็เป็นบทเพลงที่ไพเราะสดใสและเป็นบทเพลงเดียวที่เขาจดจำได้อย่างขึ้นใจ

    เสียงเด็กชายร้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ห้าหกรอบ ขาทั้งสองข้างก็พาร่างก้าวกระโดดมาถึงโคนต้นเกาลัดใหญ่ที่ริมกำแพงอิฐสีเทา เท้าข้างหนึ่งพลันเหยียบลงบนผลเกาลัดแก่ที่ซุกซ่อนปะปนอยู่กับซากใบไม้ เขาสะดุ้งโหยง ร้องโอยออกมาด้วยความตกใจ สะบัดลูกหนามแห้งกรอบกระเด็นไปตกกลิ้งบนพื้นถนน

    หนามเล็กละเอียดของมันไม่แข็งแรงพอจะทิ่มทะลุพื้นหนาของรองเท้าผ้าได้ กระนั้นก็ยังทำให้เด็กชายต้องเจ็บตัวพอดู เขานั่งลงกับพื้น สำรวจใต้เท้าจนพบว่าไร้ร่องรอยบาดแผลใดๆ แล้ว ค่อยเหลือบมองเจ้าสิ่งที่เพิ่งซุ่มทำร้ายตัวเองด้วยสายตาเป็นประกาย ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอยิ้ม กล่าววาจาเบาๆ

    ดีแล้ว.. เจ้าบังอาจตำเท้าข้า วันนี้ข้าจะเก็บเจ้าไปให้ท่านแม่

     เด็กชายโยนกิ่งไม้ในมือทิ้งแล้วย่อตัวลงนั่งยองๆ สองมือคุ้ยซากใบไม้ที่กองอยู่รอบกาย พลิกไปมาเพื่อมองหาบรรดาลูกหนามสีน้ำตาลเข้มที่ร่วงกระจัดกระจายอยู่ใต้ร่มเงากิ่งก้านของไม้ใหญ่ต้นนั้น จากนั้นค่อยคว้ามาวางไว้ข้างตัว เพียงชั่วน้ำเดือด เขาก็รวบรวมผลเกาลัดได้ยี่สิบสามสิบลูกแล้ว

    ลูกเหยา.. ลูกเหยา.. เจ้าอยู่ที่ไหน รีบเข้าบ้านมากินข้าวเร็วเข้า เสียงอ่อนหวานร้องเรียกมาจากสุดถนน เจียงเหยา (รุ่งเรือง) หันไปมองตามทิศทางเสียง เห็นสตรีในชุดผ้านวมหนาลายเดียวกันกำลังยืนเหลียวไปมา มองหาตัวเขาอยู่ลิบๆ

    ข้าอยู่นี่ ท่านแม่!!” เด็กชายตะโกนกลับไป ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ

    เขาละมือจากกองใบไม้ ปัดเศษดินที่แปดเปื้อนบนฝ่ามือทั้งสองข้าง ปัดป่ายเส้นผมที่ระบนใบหน้าให้เข้าที่ จากนั้นรีบหยิบผลเกาลัดซึ่งกองสุมอยู่ข้างกายห่อไว้ด้วยชายเสื้อยาว ลุกขึ้นสาวเท้าตรงไปหาท่านแม่ของเขา โดยเร็ว

    ดูเจ้าสิ.. ตัวเปื้อนไปหมดแล้ว ไปเล่นซนอะไรมาอีก เจียงฮูหยินดุบุตรชายเบาๆ นางล้วงผ้าเช็ดหน้าแพรสีอ่อนออกจากอกเสื้อ บรรจงเช็ดคราบดินชื้นๆ ที่ติดข้างแก้มให้กับเด็กชาย ดวงตาจับจ้องใบหน้าของเขาด้วยแววแห่งความรักใคร่

    ท่านแม่ ข้าเก็บเกาลัดมาให้ เจียงเหยายิ้มภูมิใจ สองมือก็ยกชายเสื้ออวดผลหนามกองใหญ่แก่มารดา เจียงฮูหยินส่ายหน้าอย่างเอ็นดู

    แค่ลูกเกาลัด... เจ้าให้น้าไฉ่ออกไปเก็บก็ได้ แล้วนี่ถูกหนามตำเอาบ้างหรือเปล่า

    ไม่หรอก ท่านแม่.. ตอนข้าเก็บข้าระวังตัวอย่างดีเขาแย้ง แอบไขว้ปลายเท้าที่ยังเจ็บนิดๆ ซ่อนไว้ข้างหลัง

    เอาเถอะ เจ้ารีบเอาเกาลัดไปให้ป้าจูที่ในครัวแล้วกลับมากินข้าวให้เรียบร้อย... อย่าลืมล้างมือให้สะอาดเสียด้วยล่ะ

    ข้าทราบแล้ว ท่านแม่ เด็กชายเหลือบตาขึ้นมองผู้เป็นมารดา รับคำก่อนจะวิ่งหายไปทางเรือนครัวด้านหลัง ทิ้งให้มารดาเฝ้ามองเงาร่างเบื้องหลังอย่างกังวลใจ

     

    ด้วยวัยสิบสองขวบ เจียงเหยาบุตรชายคนเดียวของ เจียงเฉิง คหบดีแห่งเมืองฟุเผิง แทนที่จะรู้จักออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน เด็กชายกลับมีนิสัยเป็นเด็กขี้อาย เอาแต่เก็บเนื้อเก็บอยู่ในรั้วบ้าน ถึงแม้สติปัญญาของเขาจะเฉลียวฉลาดและมีจิตใจดีงาม นางก็อดนึกโทษสามีไม่ได้ว่าเป็นเพราะการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมเกินไปนี่เอง ที่ทำให้บุตรชายต้องกลายเป็นคนไม่รู้จักสังคม

    เจียงเหยาไม่ต้องออกไปเล่าเรียนร่วมกับเด็กอื่นๆ เพราะเศรษฐีเจียงได้ว่าจ้างบัณฑิตผู้มีความรู้ให้เข้ามาสอนบุตรชายอ่านเขียนถึงในบ้าน แม้จะเป็น เสื้อผ้า, ของเล่น หรือขนมชนิดใดก็ตาม เพียงคุณชายน้อยเอ่ยปาก อาไฉ่ คนรับใช้หนุ่มที่คอยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและเพื่อนเล่น จะต้องรีบวิ่งออกไปซื้อหามาให้แทบจะทันที

    ตัวเจียงฮูหยินนั้นในอดีตนางเป็นเพียงบุตรสาวชาวนา เคยใช้ชีวิตยามเด็กเช่นชาวบ้านทั่วไป ยามนี้เป็นถึงภรรยาของคหบดีผู้หนึ่งแต่ก็ยังอดเป็นห่วงเป็นใยในพฤติกรรมของบุตรชายอยู่ไม่น้อย

    ด้วยเวลานี้ยังอยู่ในยุคสมัยแห่งสงคราม ประชาชนยังต้องเสี่ยงกับการอพยพย้ายถิ่นฐานเพื่อหลบหนีภัย คฤหาสน์ตระกูลเจียงที่แม้ได้ชื่อเรียกว่าคฤหาสน์ แท้ที่จริงคือเรือนไม้สองชั้นขนาดกลางเท่านั้น ตามฝาผนังบุด้วยกระดาษสาเนื้อหยาบ นอกเรือนแขวนเพียงโคมกระดาษสี่ห้าใบ นอกจากเครื่องกระเบื้อง, เครื่องไม้แกะสลักสิบกว่าชิ้นที่ตั้งอยู่ตามตู้โต๊ะมุมห้อง และภาพเขียนหมึกดำสองสามใบที่แขวนประดับบนฝาผนังแล้ว ไม่มีความหรูหราใดๆ ปรากฏอยู่ในบ้านอีกเลย แต่หากเปรียบเทียบขนาดตัวบ้านและอาณาบริเวณของคฤหาสน์ตระกูลเจียงกับบ้านเรือนของราษฎรทั่วไปแล้ว นี่นับว่าความเป็นอยู่ยังสมฐานะ

    หลังยุคสมัยสามก๊ก พระเจ้าจิ้นหวู่ตี้ หรือ ซือหม่าเอียน (สุมาเอี๋ยน) ก่อตั้งราชวงศ์จิ้นขึ้นปกครองประเทศ แต่บ้านเมืองยังมิทันเป็นปึกแผ่นดี เพียงสิ้นสุดรัชสมัยของพระองค์ประเทศก็เริ่มระส่ำระสายเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง เชื้อพระวงศ์ตระกูลซือหม่าไม่อาจทานกองกำลัง ชนเผ่าต่างๆ[2] ซึ่งเดิมเคยเป็นเมืองขึ้นภายใต้การปกครองที่พากันลุกฮือขึ้นแข็งข้อ จึงอพยพย้ายราชธานีไปทางตะวันออกเฉียงใต้สืบราชวงศ์จิ้นตะวันออก (ตงจิ้น) ต่อไป

    ล่วงมาหกสิบเก้าปี นับจากสิ้นสุดรัชสมัยพระเจ้าจิ้นหวู่ตี้ ราชวงศ์จิ้นตะวันออกก็ล่มสลายไป พื้นที่แถบเจียงหนานปรากฏกลุ่มกำลังทางการเมืองหลายกลุ่มเข้ายึดอำนาจ เรียกรวมกันว่าราชวงศ์ใต้ ในช่วงเวลาเดียวกัน ทวอปากุย นักรบชาว เซียนเปย[3] ทางภาคเหนือก็สามารถรวบรวมดินแดนของชนเผ่าต่างๆ ยึดครองความเป็นใหญ่ได้ ตั้งตนเป็น เต้าหวู่ตี้ สถาปนาราชวงศ์วุ่ยขึ้นปกครองประเทศจีนทางตอนเหนือ ทำให้ยามนั้นแผ่นดินจีนถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน ไม่ขึ้นต่อกัน เรียกว่า ยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้

    จวบถึงยามนี้ ราชวงศ์วุ่ยเหนือสถาปนามาได้หกสิบสี่ปี สืบทอดมาถึงรัชสมัยของ พระเจ้าไท่หวู่ตี้ ผู้ทรงปกครองประเทศเป็นรัชกาลที่สาม แม้บ้านเมืองจะมีความสงบเรียบร้อยประมาณหนึ่ง แต่เนื่องจากบริเวณชายแดนโดยรอบยังคงมีปัญหาการรบพุ่งกับชาวเผ่าต่างๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ ชาวฮั่นเช่นครอบครัวของเศรษฐีเจียงและราษฎรส่วนใหญ่ในเมืองฟุเผิงก็ยังไม่อาจไว้วางใจต่อสถานการณ์ทางการเมืองได้ สิ่งปลูกสร้างและความเป็นอยู่ของประชาชนทุกผู้จึงมีลักษณะที่เรียบง่าย ไม่หรูหรานัก

     

     ท่านป้าจู ท่านแม่ให้ข้านำเกาลัดมาให้

    เด็กชายร่ำร้องเมื่อวิ่งมาถึงเรือนเล็กชั้นเดียวที่ปลูกสร้างไว้ด้านหลังตัวบ้าน ประตูไม้ถูกเปิดอ้าอยู่แล้ว มองเห็นกองไม้แห้งสำหรับเป็นเชื้อเพลิงสุมรวมกันอยู่ด้านขวา เตาไฟก่ออิฐหุ้มพอกด้วยดินเหนียวตั้งชิดผนังด้านใน ควันไฟยังคุกรุ่น ด้านบนเตามีลังถึงไม้ใบใหญ่ บรรจุด้วย หมั่นโถว[4] สีขาวนวลหกเจ็ดลูก ป้าจู หญิงกลางคนร่างท้วม แม่ครัวของตระกูลเจียงซึ่งมือหนึ่งกำลังยกฝาลังถึงค้างอยู่ ครั้นได้ยินวาจาคุณชายเจียงก็ต้องชะงักและหันมามองเจ้าของเสียงนั้นด้วยความเอ็นดู

    คุณชายไปเก็บเกาลัดในสวนมาหรือเจ้าคะ มิน่าล่ะ... ฮูหยินมาตามหาในครัวตั้งแต่เช้า นางพูดพลางวางฝาไม้ไผ่สานนั้นครอบลงบนลังถึง หยิบเอาตะกร้าหวายที่แขวนข้างฝาเดินตรงมาหาเจียงเหยา

    ข้าก็แค่ออกไปเดินเล่นชมนกชมปลาเท่านั้น เป็นห่วงกันไปเองแท้ๆ เด็กชายตอบฉลาดเฉลียว

    ออกไปตากน้ำค้างแต่เช้าอย่างนี้ ประเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกเจ้าค่ะ มาๆๆ... เดี๋ยวป้าจูจะจัดการให้เอง คุณชายจะกินอย่างไรดีเจ้าคะ ทำเป็นเกาลัดนึ่งหรือเกาลัดคั่ว หรือว่าจะผัดกับผักเป็นกับข้าวตอนเที่ยงดี

    ท่านป้าจูแค่นึ่งเฉยๆ ก็พอ ข้ากินข้าวเช้าเสร็จแล้วข้าจะกลับมาช่วยแกะเปลือกมันให้นะ เขายิ้มอ่อนหวาน ยิ่งทำให้แม่ครัวผู้นี้รักใคร่เข้าไปใหญ่ นางยกมือทั้งสองข้างขึ้นหยิกแก้มคุณชายน้อยเบาๆ พูดว่า

    ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวหนามจะตำมือช้ำเสียหมด ป้าจูจะให้อาไฉ่มาช่วยแกะแทน คุณชายไปกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ

    เอ.. เด็กชายยืนเกาหัวด้วยความลังเลใจ ถ้าอย่างนั้น.. นึ่งเสร็จแล้วท่านป้าจูก็แบ่งไว้กินกับน้าไฉ่ด้วยนะ ข้าไปกินข้าวกับท่านแม่ก่อนแล้วล่ะ พูดจบคำก็วิ่งออกจากเรือนครัวไปอย่างร่าเริง ทิ้งแม่ครัวร่างท้วมให้ยืนตื้นตันใจอยู่ผู้เดียว เพียงเกาลัดยี่สิบกว่าลูกคุณชายน้อยของนางยังมีน้ำใจเผื่อแผ่ให้กับบ่าวไพร่

    เจียงเหยาวิ่งลัดเลาะระเบียงไม้ไปจนถึงด้านหน้าตัวบ้าน สองมือผลักประตูไม้ ก้าวเข้าไปในห้องโถงรับแขกซึ่งถูกใช้เป็นห้องอาหารของครอบครัวในเวลาเดียวกัน บนโต๊ะกลางห้องวางด้วยกับข้าวสองสามอย่างและชามข้าวสองใบ ข้าวขาวในชามยังมีไอระอุอุ่น โชยกลิ่นหอมจางๆ ลอยมาแตะจมูก

    รีบมานั่งกินสิ เจ้ามัวแต่วิ่งไปวิ่งมาจนผัดผักกับเนื้อย่างเย็นหมดแล้ว เจียงฮูหยินกล่าว นางนั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนักตัวหนึ่ง แม้ชามข้าวและจานกับข้าวจะวางอยู่เบื้องหน้า นางก็ยังมิได้แตะต้องอาหารแม้แต่ชิ้นเดียว ทราบว่ายังรอที่จะร่วมรับประทานพร้อมบุตรชายสุดที่รัก

    ข้าขอโทษ ท่านแม่คงจะหิวมากแล้ว เด็กชายเลื่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวใกล้ๆ มือขวาคว้าตะเกียบข้างชามข้าว ยื่นออกไปคีบเนื้อย่างชิ้นใหญ่และผักกวางตุ้งจากจานกับข้าว วางลงบนชามข้าวของมารดา ข้าคีบกับข้าวให้ท่านแม่ ท่านแม่ต้องกินมากๆ  

    เจ้าเองก็ต้องกินมากๆ นางแย้มยิ้ม ตะเกียบในมือคีบเนื้อชิ้นเล็กๆ ยื่นออกมาวางบนชามข้าวของบุตรชายบ้าง ทางหนึ่งก็ยกชามข้าวขึ้นพุ้ยใส่ปากคำละน้อย ทางหนึ่งก็มองดูเด็กชายรับประทานด้วยความเอร็ดอร่อย

    ท่านพ่อกับท่านลุงเกาจะกลับจากเมืองหลวงเมื่อไหร่ ข้าอยากให้ท่านได้กินเกาลัดที่ข้าเก็บมาด้วย รับประทานได้เพียงสามคำ เด็กชายก็หยุดถาม

    อีกสักสองวันก็คงกลับมาถึง ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยออกไปเก็บให้ท่านพ่ออีกครั้งเถอะ

    แต่ว่า... ข้าเก็บเกาลัด บนพื้น... มาจนหมดแล้วเขาพูดทั้งปากยังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ เมล็ดข้าวส่วนหนึ่งกระเด็นออกมาไม่น่าดู

    เกาลัดบนต้นยังเหลืออยู่ไม่ใช่หรือ ถ้ามันไม่ยอมร่วงลงมา.. แม่จะให้น้าไฉ่ปีนขึ้นไปเก็บให้เจ้าดีไหม มือนางเอื้อมไปหยิบเศษข้าวที่ติดแก้มของบุตรชายออก นั่งจ้องท่าทีเขาด้วยความรัก ปราศจากความเดียดฉันท์ เจียงเหยาทราบว่าเสียมารยาทจึงรีบกลืนข้าวที่ยังเคี้ยวไม่ทันแหลกลงคอแล้วตอบคำมารดา

    ข้าอยากเป็นคนปีนขึ้นไปเก็บเองนี่นา

    ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องกินมากๆ จะได้โตเร็วๆ มีแรงปีนต้นไม้เหมือนน้าไฉ่

    ข้าจะกินมากๆ ข้าจะโตเร็วๆเจียงเหยาพูดเพียงเท่านั้น ตะเกียบในมือก็รีบพุ้ยข้าวใส่ปากอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักข้าวและกับบนโต๊ะก็สูญหายไปจนหมด

     

    แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบผิวน้ำในสระเป็นประกายระยิบระยับ บัวเผื่อนในสระส่วนใหญ่ล้วนเฉาใบหลับใหลไปตามฤดู มีเพียงบางกอที่ยังหลงเหลือดอกสีชมพูเข้ม ใบเขียวเป็นมัน ชูสั่นไหวๆ ต้านลมเหมันต์และความเย็นเยือกของผืนน้ำ แต่เมื่อพ้นเดือนนี้ไป สีสันทั้งมวลที่ยังสะท้อนอยู่บนผิวน้ำก็คงสาบสูญไปจนหมดสิ้น มีเพียงสีขาวของหิมะน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณจนกว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาเยือนใหม่ในปีหน้า

    เจียงเหยานั่งนิ่งบนโขดหินริมสระน้ำ สายตาของเขาทอดมองออกไปกลางสระ เฝ้าสังเกตแมลงปอสีแดงตัวโตที่กำลังร่อนโฉบเหนือผิวน้ำ ฝูงปลาไนยังคงว่ายเกาะกลุ่มกันอยู่อย่างแช่มช้อย ลัดเลาะตามกอกกริมน้ำที่ล้วนพากันแห้งเฉาไปด้วยความหนาวเหน็บ แสงแดดอันอบอุ่นอาบไล้ไปทั่วร่างกายของเด็กชายจนรู้สึกไม่อยากขยับตัวไปไหน ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรที่เขานั่งเหม่อมองเจ้าแมลงปอสีแดงตัวนั้นอยู่ด้วยใบหน้าเปี่ยมความสุข กระทั่งมันบินวนกลับมาเกาะอยู่บนกิ่งกกแห้งไม่ห่างจากตัวเขา

    เด็กชายแย้มยิ้ม ขยับตัวลุกจากหินที่นั่งอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ ย่องเข้าใกล้เจ้าแมลงปอทีละน้อยๆ มือทั้งสองข้างยื่นออกไปเชื่องช้า ยังไม่ทันจะสัมผัสกับมัน พลันบังเกิดเสียงโครมดังมาจากด้านหน้าประตูใหญ่ของรั้วคฤหาสน์ แมลงปอเบื้องหน้าก็ตกใจโผบินจากไปทันที เจียงเหยารีบหันกลับไปมองตามทิศทางของเสียงด้วยสัญชาตญาณ ปรากฏภาพของชายสูงวัยคนหนึ่งกำลังผลักประตูไม้เข้ามาอย่างยากลำบาก เขาเดินโซเซข้ามธรณีประตูมาได้เพียงสองสามก้าวร่างอันกะปลกกะเปลี้ยก็ล้มคว่ำลงบนพื้น

    ท่านลุงเกา!!” เด็กชายอุทานเสียงดังลั่น เขาย่อมจำเสื้อผ้าของพ่อบ้านเกาได้แม่นยำ

    เจียงเหยารีบวิ่งเลาะริมสระน้ำมุ่งไปยังประตูรั้วที่ชายคนนั้นล้มตัวอยู่อย่างรวดเร็ว ทันทีที่วิ่งเข้าไปถึงเขาก็ทรุดตัวลง พยายามประคองร่างของชายดังกล่าวให้ลุกขึ้นนั่งเท่าที่เรี่ยวแรงของเด็กชายวัยสิบสองขวบจะทำได้

    ท่านลุงเกาผู้เป็นพ่อบ้านและผู้ช่วยคนสนิทของบิดาที่น่าจะอยู่ในช่วงกำลังเดินทางกลับมาพร้อมๆ กับเศรษฐีเจียง ไฉนจึงเดินทางมาถึงก่อนกำหนด ทั้งยังอยู่ในสภาพทุลักทุเลและเหนื่อยอ่อนขนาดนี้ แล้วเจียงเฉิงบิดาของเขาเล่า ทำไมจึงไม่เห็นวี่แววเลยแม้แต่น้อย

    เจียงเหยาเขย่าร่างพ่อบ้านเฒ่า ปากก็ร้องเรียกชื่อท่านลุงเกาๆ ไม่หยุด สายตาลอดผ่านประตูใหญ่ที่เปิดอ้าอยู่ มองกวาดออกไปนอกถนนเพื่อมองหาเงาของบิดาอย่างไม่สบายใจ แต่สิ่งที่เด็กชายเห็นก็มีเพียงรถม้าที่ว่างเปล่าจอดอยู่ ม้าเทียมรถทั้งสองตัวยังยืนโซเซไปมา สะบัดหน้าหายใจฟืดฟาดน้ำลายแตกฟอง บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยอย่างหนัก แน่นอนว่ามันเป็นรถคันเดียวกันกับคันที่เศรษฐีเจียงและพ่อบ้านเกาใช้เดินทางเมื่อตอนเดินทางจากบ้านไป

    ท่านลุงเกา ท่านพูดอะไรสักคำสิ... ท่านพ่อข้าไปไหน ท่านลุงเกา... ท่านอย่าเพิ่งเป็นอะไรไป ใบหน้าของคุณชายน้อยซีดเผือด มองเห็นหน้าตาอันฟกช้ำ หนวดเครา และผมเผ้าอันยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบของพ่อบ้านเกาที่ยังไม่ได้สติ ก็รีบร้องเรียกขอความช่วยเหลือ

    น้าไฉ่... ท่านแม่... ใครก็ได้ รีบมาช่วยท่านลุงเกาด้วย

    คุ... คุณชายน้อย ท่าน.. ท่านตามฮูหยินมา... ตาม... ฮูหยินให้ลุงเกาเร็วเข้า ดวงตาพ่อบ้านเฒ่าเบิกกว้างขึ้นมากะทันหัน ริมฝีปากสั่นระริก พยายามยันกายให้ลุกขึ้นแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ได้แต่เกาะกุมมือของเจียงเหยาเอาไว้แน่น ปากสั่งละล่ำละลักด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง

    เกิดอะไรขึ้นขอรับคุณชายเสียงขานรับของชายหนุ่มร่างเล็กดังขึ้นด้านหลัง เจียงเหยาหันไปมองก็เห็นคนรับใช้หนุ่มที่กำลังวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา

    น้าไฉ่... ท่านลุงเกา... ท่านรีบมาช่วยท่านลุงเกาเร็วเข้า เด็กชายรีบเร่งร้องเรียกปากคอสั่น

    ลุงเกาหรือ อาไฉ่ชะงักฝีเท้าลง ทวนถามด้วยความสงสัย ยังไม่ทันมองเห็นใบหน้าของผู้ที่นอนอยู่เบื้องหน้าของคุณชายเจียงเหยา เพียงสิ้นเสียงถาม พ่อบ้านเกาก็หมดสติล้มฟุบลงไปอีกครั้ง

     

    ภาพพร่ามัวของคานไม้บนหลังคาปรากฏต่อสายตา พ่อบ้านเกากะพริบตาช้าๆ เพื่อปรับสายตาของตนเอง เมื่อค่อยๆเลื่อนสายตาลงต่ำ มู่ลี่ไม้ไผ่ที่ม้วนอยู่บนขอบหน้าต่างกับภาพเขียนหมึกดำรูปทิวทัศน์ที่คุ้นตาบนผนังห้องก็เตือนให้เขารับรู้ว่าตนกำลังนอนอยู่บนพื้นในห้องโถงรับแขกด้านหน้าคฤหาสน์ เมื่อชายชราขยับใบหน้ามองสำรวจผู้คนที่รายล้อมอยู่โดยรอบ พบว่าเป็น อาไฉ่, อาเฟินสาวใช้ และคุณชายน้อย ทันใดนั้นสติสัมปชัญญะก็กลับคืนครบถ้วน รีบผลุดลุกขึ้นจากพื้น เหลียวมองไปมาด้วยท่าทีตื่นตระหนก ปากพลางร่ำร้อง

    ฮูหยิน... ฮูหยินไปไหน ตามฮูหยินมาให้ข้าเร็วเข้า

    ท่านอย่าเพิ่งรีบขยับตัวนัก ท่านลุงเกา ฮูหยินกับป้าจูเตรียมยาให้ท่านอยู่ที่ครัว เดี๋ยวก็มา สาวใช้คนสนิทของเจียงฮูหยินปราม ขยับกายเข้ามาประคองร่างพ่อบ้านเฒ่า

    ไม่ได้แล้ว... อาเฟิน... อาไฉ่... เจ้ารีบไปตามฮูหยินมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เลย

    น้ำเสียงและสีหน้าอันร้อนรนของลุงเกาสร้างความไม่สบายใจให้กับทุกคนอย่างยิ่ง มันเป็นลางบอกเหตุนัยๆ ว่าต้องเกิดเรื่องร้ายกับเศรษฐีเจียงระหว่างการเดินทางกลับ และในเวลานี้ผู้เดียวที่กล้าซักถามออกไปตรงๆ ก็คือเจียงเหยา

    ท่านลุงเกา ท่านพ่อล่ะ ท่านพ่อของข้าอยู่ที่ใด เด็กชายร้องอย่างเป็นกังวล

    นายท่าน... นายท่าน... ถ้อยคำของพ่อบ้านเกาชะงักหายไปในลำคอ เปลือกตาที่เต็มไปด้วยร่องรอยเหนื่อยล้าและริ้วรอยแห่งความชราสั่นระริก หยาดน้ำใสๆ กลั่นตัวออกมาคลอสองข้างคลองจักษุ ยังมิทันจะรวบรวมคำพูดใดๆ บอกเล่าต่อไป เจียงฮูหยินที่รีบรุดเข้ามาในห้องก็พลั้งมือปล่อยถ้วยยาที่ถือมาร่วงหล่นแตกกระจาย

    ท่านพี่... เกิดอะไรขึ้นกับท่านพี่ ลุงเกา... ท่านบอกข้ามา ใบหน้าของนางตกประหวั่น

    นายท่านถูก... ถูกทางการจับกุมไปแล้วชายชราโพล่งออกมาพร้อมกับเสียงร่ำไห้

    ว่าอย่างไรนะ เจียงฮูหยินทวนถามอย่างไม่เชื่อหู บรรดาคนรับใช้ที่ยืนรายล้อมอยู่ต่างพากันตกตะลึงไม่แพ้กัน

    น...นายท่านกับเจ้าเมืองหลงซี ถูก... ทางการจับกุมตัวไปแล้ว ท่านสั่งให้ข้าน้อยมาแจ้งฮูหยิน ให้... ให้รีบพาคุณชายหลบหนีไปก่อนที่ทางการจะส่งคนมาถึง ฮูหยิน... ฮูหยินต้องรีบเก็บข้าวของแล้วขอรับพูดพลางลุงเกาก็ยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตา ก้มลงโขกศีรษะต่อหน้า ข้าน้อยไม่อาจปกป้องนายท่านได้ ขอฮูหยินโปรดอภัยด้วยขอรับ เวลา... เวลาเหลือน้อยแล้วขอรับ ท่านรีบเก็บข้าวของพาคุณชายน้อยหลบหนีเร็วเข้าเถอะ

    แม้เสียงร่ำร้องอันอาดูรของชายชราจะเร่งกำชับให้เจียงฮูหยินต้องตัดสินใจโดยด่วน แต่นางกลับยืนนิ่งราวกับถูกตรึงร่างทั้งร่างไว้ด้วยตะปูที่มองไม่เห็น แขนขาไร้เรี่ยวแรง น้ำจากดวงตาไหลลงพรากสองข้างแก้ม นางย่อมทราบดีว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และนางย่อมทราบดีว่าเศรษฐีเจียงผู้เป็นสามีนั้นคงไม่มีโอกาสกลับมาพบนางและบุตรชายอีกแล้ว

    เจียงเฉิง และ เผิงเหลียง เจ้าเมืองหลงซี เป็นสหายสนิทของ ฉู่ห้าว อำมาตย์ใหญ่ในฮ่องเต้ไท่หวู่ตี้ แต่ในปลายรัชสมัยของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยความผันผวนทางการเมือง ด้วยไท่หวู่ตี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการกรีฑาทัพปราบปรามกบฏรอบดินแดน อำนาจภายในวังหลวงจึงตกอยู่ในมือของ จงอ้าย มหาขันทีชาวเซียนเปยผู้ใช้เวลานับสิบปีสร้างขุมกำลังและลอบซ่องสุมผู้คนรอคอยโอกาสที่จะล้มราชบัลลังก์

    ฉู่ห้าวแม้เป็นชาวฮั่นโดยกำเนิด แต่ก็เป็นข้าราชการตงฉินที่จงรักภักดีและเห็นแก่ประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหลัก การที่จงอ้ายถืออำนาจบาตรใหญ่ปลอมแปลงราชโองการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งสำคัญๆ ให้กับข้าราชการในสังกัดตนเองจึงเป็นสิ่งที่อำมาตย์ใหญ่ฉู่ห้าวไม่พอใจ คอยทัดทานและแสดงความเป็นปฏิปักษ์ตลอดมา เผิงเหลียง เจียงเฉิงผู้เป็นสหายสนิทจึงมีส่วนช่วยสืบหาข้อมูลและหลักฐานการในการติดต่อสมคบกับกองกำลังกบฏของจงอ้ายเพื่อคอยรายงานให้กับฉู่ห้าว

    ช่วงเวลานั้นฮ่องเต้ไท่หวู่ตี้ได้ยกทัพออกไปปราบปรามชนเผ่าโหรวหรันทางตอนเหนือ หมากที่จงอ้ายวางไว้ก็ดำเนินมาถึงจุดพลิกผัน มหาขันทีสร้างสถานการณ์และแผนลวงจนอำมาตย์ใหญ่ติดกับ ทั้งยังสืบเสาะจนล่วงรู้ถึงผู้มีส่วนร่วมในแผนการโค่นอำนาจตน อาศัยข้อมูลการติดต่อระหว่างฉู่ห้าวกับบรรดาแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์ตั้งข้อหากบฏ ออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการมาสังหารเสียให้สิ้น

    เศรษฐีเจียงเดินทางไปหลงซีครั้งนี้ก็เพื่อปรึกษาหารือกับเจ้าเมืองเผิงเหลียงผู้เป็นสหายเรื่องที่อำมาตย์ฉู่ถูกประหารล้างโคตร เจียงฮูหยินแม้พอจะล่วงรู้ในเรื่องเหล่านี้ แต่ทุกคนก็คาดไม่ถึงว่าทางการจะสืบสาวมาจนถึงตัวเจียงเฉิงได้รวดเร็วขนาดนี้

    ฉู่ห้าวต้องอาญาข้อหาก่อการกบฏย่อมหมายถึงการถูกประหารชีวิตทั้งครอบครัว ส่วนโทษของผู้ให้ความช่วยเหลือหรือมีส่วนร่วม อย่างน้อยๆ ที่สุดก็ต้องถูกประหารชีวิตและยึดทรัพย์สินลูกเมียไปเป็นข้าทาสหลวง นึกถึงทัณฑ์ที่สามีของตนต้องรับแล้วเจียงฮูหยินก็แทบจะล้มทั้งยืน แต่นางไม่อาจทำตัวอ่อนแอได้ในเวลาเช่นนี้ ชะตากรรมทุกชีวิตในคฤหาสน์ตระกูลเจียงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางเพียงผู้เดียว

    เจียงฮูหยินกัดฟันแน่นเพื่อสะกดกลั้นความเศร้าโศกเสียใจ ดวงตาแดงก่ำหันไปมองใบหน้าคนรับใช้แต่ละคนที่ล้วนยืนหน้าสลดอยู่ไม่ห่าง ออกคำสั่งด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก

    อาเฟิน, ป้าจู... พวกเจ้ารีบไปบอกเด็กรับใช้ที่เหลือให้เก็บเสื้อผ้าของใช้เท่าที่จำเป็นแล้วให้ทุกคนมาพบข้าที่นี่โดยเร็วที่สุด อาไฉ่... เจ้าช่วยเก็บเสื้อผ้าให้ลุงเกาด้วย

    ฮูหยิน... ให้ข้าน้อยช่วยท่าน...อาเฟินออกปากลังเลใจ

    ไม่... ทุกคนรีบทำตามคำสั่งข้าเดี๋ยวนี้

    นางไม่รอให้ผู้ใดเอ่ยปากอีก ยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาที่ไหลเนืองอยู่บนสองแก้ม รีบรุดกลับขึ้นไปบนห้องนอนชั้นบน ทิ้งบ่าวไพร่และผู้เป็นบุตรชายไว้ด้านหลัง เจียงเหยายืนตะลึงอยู่กับที่ ไม่สามารถจับต้นชนปลายในเรื่องใดได้ วัยเช่นเขาหรือจะเข้าใจถึงเหตุการณ์ใดๆ ในขณะนี้

    ท่านลุงเกา... ท่านพ่อข้า... ทำไมทางการจึงต้องจับกุมท่านพ่อของข้า เขาหลั่งน้ำตา เดินสะอื้นเข้าไปจับชายเสื้อของพ่อบ้านเฒ่าเขย่า เด็กชายรู้สึกสับสนไปหมด บิดาเขาทำผิดอะไร เหตุใดมารดาและลุงเกาจึงพากันร้องไห้

    คุณชาย... ลุงเกา... ชายชราก้มหน้า ไม่อาจพูดสิ่งใดออกมาอีก

    คุณชายมาหาอาเฟินเถิดเจ้าค่ะ สาวใช้ขยับกายเข้าโอบกอดคุณชายน้อยของนางไว้แน่นแม้ว่านางเองจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

    ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว เด็กชายที่ย่างเข้าสู่วัยหนุ่มไม่ควรใกล้ชิดสนิทสนมกับหญิงสาว แต่ไม่ว่าผู้ใดในตระกูลเจียงก็ล้วนแต่มองเห็นคุณชายผู้นี้เป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสาที่น่าเอ็นดูตลอดมา ยิ่งในเวลาเช่นนี้ อาเฟินย่อมต้องการจะปลอบประโลมเขาเท่าที่พอจะทำได้

     

    ลมหนาวกรรโชกผ่านอีกระลอก พัดใบไม้แห้งกรอบสองสามใบบนถนนอิฐเขียวให้หมุนคว้าง ลอยเรี่ยไปตามพื้น นอกจากเสียงลมที่พัดผ่าน ภายในเขตรั้วคฤหาสน์ตระกูลเจียงกลับสงัดเงียบราวกับรกร้างมาแรมปี รถเทียมม้าด้านหน้าประตูใหญ่ถูกอาไฉ่ย้ายไปจอดพักบริเวณประตูหลัง เวลาล่วงไปไม่ทันถึงครึ่งชั่วยาม บ่าวไพร่ทั้งสิ้นจำนวนสิบกว่าชีวิตที่แยกย้ายกันไปเก็บข้าวของก็พากันกลับมายืนออในห้องโถงด้านหน้าของตัวเรือนตามคำสั่งผู้เป็นนายหญิง ทุกคนถือห่อผ้าน้อยใหญ่อยู่ในมือ ใบหน้าแสดงถึงอาการหวั่นวิตกและความงุนงงสงสัย หากแต่ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุที่มาของคำสั่งอันน่าประหลาดใจ

    เจียงฮูหยินหอบเอาหีบไม้ขนาดเล็กเดินลงมาจากบันได โดยมีอาไฉ่ยกหีบไม้ขนาดใหญ่ค่อยๆ เดินตามหลังมาด้วย นางเดินมาถึงกลางห้องก็วางหีบนั้นลงบนโต๊ะ เปิดฝาของมันออก เผยให้เห็นแท่งเงินจำนวนหนึ่งวางซ้อนกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ ขอบตาของเจียงฮูหยินยังบวมช้ำ มีร่องรอยเปียกชื้นปรากฏอยู่บนร่องแก้ม

    ทุกคนคงได้ยินแล้วว่า... นายท่านถูกทางการจับกุมตัวที่เมืองหลงซี ขณะนี้ทางการก็กำลังส่งทหารมาเพื่อยึดทรัพย์สินและควบคุมตัวข้า ลูกข้า... รวมถึงพวกเจ้าทุกคน... กลับไปยังเมืองหลวง นางหยุดพูดชั่วขณะ แขนเสื้อถูกยกขึ้นซับหยดน้ำหยดใหม่ที่เริ่มไหลย้อยจากดวงตาอีกครั้ง ข้าไม่สามารถอธิบายเรื่องใดได้ในยามนี้... แต่ก่อนที่ทหารจะเดินทางมาถึง พวกเจ้าจงรีบแยกย้าย... รีบพากันหนีไปยังบ้านเกิดของพวกเจ้าเสีย ข้า... มีเงินจะมอบให้พวกเจ้าคนละส่วน จงนำไปใช้เป็นทุนรอนต่อไปเถอะ

    สิ้นสุดพูด บรรดาข้ารับใช้ในคฤหาสน์ตระกูลเจียงก็พากันส่งเสียงคร่ำครวญ บ้างถึงกับยกมือปิดหน้าทรุดตัวลงร่ำไห้ โดยเฉพาะบ่าวคนสนิทที่อยู่ร่วมกันมานานนับสิบปีเช่น ป้าจู, พ่อบ้านเกา, อาเฟิน และอาไฉ่ ไม่อาจหักห้ามใจอุทานคำ ฮูหยินออกมาทั้งน้ำตา แม้จะเป็นเพียงบ่าวไพร่ซึ่งขายตัวเข้ามาอยู่ร่วมตระกูลเจียง แต่ทุกคนย่อมรักและเคารพในตัวผู้เป็นนายราวกับเป็นญาติพี่น้องร่วมสายเลือด  

    เจียงเหยาในความดูแลของอาเฟินยังคงกอดชายเสื้อของนางเอาไว้แน่น ยืนสะอึกสะอื้นฟังมารดาขานชื่อบ่าวไพร่ให้ก้าวออกมารับแท่งเงินจากนางทีละคนๆ จนครบ เมื่อแบ่งสรรเงินทองและข้าวของในคฤหาสน์ที่พอจะมีราคาค่างวดให้กับคนรับใช้ทุกคนแล้ว อาไฉ่ก็รีบขนย้ายหีบเสื้อผ้าของนายหญิงไปรอที่รถม้า เจียงฮูหยินจูงมือบุตรชายที่ยังสับสนให้เดินตามหนุ่มรับใช้ออกไปทางด้านหลังตึก มีอาเฟินและพ่อบ้านเกาเดินถือห่อผ้าตามมาไม่ห่าง

    ฮูหยิน... ให้ข้าน้อยตามไปรับใช้ท่านด้วยเถอะเจ้าค่ะ สาวใช้คนสนิททรุดตัวลงคุกเข่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนขณะมองนายหญิงก้าวเท้าขึ้นบนรถ

    นายท่านฝากฝังให้ข้าน้อยคอยดูแลท่านและคุณชาย ท่านจะให้ข้าน้อยเอาตัวรอด ทิ้งท่านสองแม่ลูกไว้ได้อย่างไรขอรับ พ่อบ้านเฒ่าร่ำร้องขึ้นบ้าง สร้างความสะเทือนใจให้แก่บ่าวไพร่อีกหลายคนซึ่งพร้อมใจกันยืนรอส่งนายหญิง

    พวกเจ้า... พวกเจ้าจะตามข้าไปๆ ไม่ได้ หาก... หากทางการตามมาทัน พวกเจ้าจะต้องถูกจับไปเป็นทาสหลวงนะ ข้าให้พวกเจ้ามาเดือดร้อนด้วยไม่ได้

    แม้จะตื้นตันเพียงใด แต่เจียงฮูหยินไม่อาจยอมรับน้ำใจจากคนทั้งคู่ได้ ได้แต่บ่ายหน้าหลบไปอีกทางเพื่อซ่อนเร้นหยาดน้ำตา ยามนั้นอาไฉ่ที่วางหีบเสื้อผ้าและจัดแจงข้าวด้านของหลังรถม้าเสร็จ รีบก้าวขึ้นไปประจำยังที่นั่งคนขับ คว้าบังเหียนมาถือเอาไว้มั่นก่อนจะหันมากล่าวคำ

    พวกท่านรีบไปเถอะ อย่าให้ฮูหยินต้องลำบากใจเลย

    ฮูหยิน... อาเฟินยังตัดใจไม่ได้ ยื่นมือหมายไขว่คว้าเท้าของผู้เป็นนายไว้จนอาไฉ่ต้องตวาดเสียง

    พวกท่านจะพิร่ำพิไรรอให้ทหารมาถึงก่อนหรือ... ต่อให้ฮูหยินยอมให้พวกท่านติดตามไปด้วยก็รังแต่จะเป็นการถ่วงให้พวกเราหลบหนีช้าลง ท่านคิดว่ารถม้าคันเท่านี้จะแบกรับน้ำหนักคนสี่ห้าคนไหวหรืออย่างไรกัน

    พ่อบ้านเกาและอาเฟินพลันยอมรับเหตุผล ก้มหน้านิ่งไม่ทักท้วงใดๆ อีก เสียงตุบตับดังจากเบื้องหลังพร้อมกับร่างเทอะทะของป้าจูวิ่งกระหืดกระหอบมาจนถึงข้างรถ นางยื่นห่อผ้าเล็กๆ วางลงบนมือของเจียงเหยา จับมือทั้งสองข้างของเขาให้กุมมันเอาไว้ ดวงตาที่เปียกชุ่มเพ่งมองวงหน้าขาวลออของเด็กชายแล้วพูดเสียงเครือ

    เกาลัดที่คุณชายเก็บมาเมื่อเช้า ป้าจูนึ่งเอาไว้ให้แล้ว... คุณชายหิวเมื่อไหร่ก็แกะออกมากินนะเจ้าคะ

    ท่านป้าจู... ริมฝีปากแดงระเรื่องของเด็กชายบิดเบี้ยว น้ำตาที่คลออยู่ไหลลงพรากแก้ม

    คุณชายโตเป็นหนุ่มแล้ว ห้ามงอแง... ต่อไปนี้ท่านต้องดูแลฮูหยินนะเจ้าคะ นางพร่ำบอก สองมืออวบอ้วนยังกุมมือเจียงเหยาไว้แน่น

    ข้ารับปาก...

    เราช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว... ทุกคนรีบไปเถอะ ข้า... ข้าสัญญาว่าจะดูแลฮูหยินกับคุณชายน้อยด้วยชีวิต อย่าได้เป็น... เป็นห่วงไปกว่านี้เลย เสียงอาไฉ่ตัดบท ถึงคราวนี้ชายหนุ่มที่สะกดกลั้นน้ำตามาได้ตลอดกลับเป็นฝ่ายฟูมฟายบ้าง

    ฮูหยิน... ดูแลรักษาตัวนะเจ้าคะ

    คุณชาย ท่านต้องระวังร่างกายอย่าให้เป็นหวัดนะ

    อาไฉ่ เจ้าต้องดูแลฮูหยินและคุณชายให้ดี

    พวกเจ้า... พวกเจ้าก็จงรักษาตัวให้ดี สิ้นเสียงบ่าวทั้งสาม เจียงฮูหยินก็หันกลับมาร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย

    คุณชายน้อยตระกูลเจียงไม่อาจกลั้นใจทนมองภาพของใครได้อีก เขากอดห่อลูกเกาลัดแน่นในอ้อมแขน ซุกใบหน้าลงบนไหล่ผู้เป็นมารดา ปล่อยให้หยดน้ำที่ไหลซึมออกจากดวงตาซับลงบนเสื้อนวมของเจียงฮูหยินโดยไม่ส่งเสียงร้องอีกแม้แต่คำเดียว อาไฉ่สลัดบังเหียนทีหนึ่ง อาชาสีแดงร่างกำยำสองตัวก็ย่างเหยาะไปตามถนนดิน นำคันรถมุ่งหน้าออกจากตัวเมืองไปอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางสายตาของบรรดาบ่าวไพร่ที่ยังคงเฝ้ามอง ส่งผู้เป็นนายจนห่างออกไปลับสายตา

     

    ……………..



    1. ต้นฟง ( ) คือ เมเปิลจีน

    2. ชนเผ่าต่างๆ ที่ ชาวจีน หรือ ชาวฮั่นในสมัยนั้นนับแยกออกไปจากตนเอง ได้แก่ ซงหนู, เซียนเปย, เจี๋ย, ตี และ เชียง

    3. เสียนปี หรือ เซียนเปย เดิมเป็นชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนที่มีถิ่นฐานอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำเหลียว (ปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหลียวหนิง) ภายหลังถูกเผ่าซงหนูรุกราน จึงอพยพเข้ามาสู่ตอนกลางของประเทศเป็นสองสายใหญ่ๆ คือ เซียนเปยเหนือ และเซียนเปยตะวันออก ต่อมาตระกูลมู่หรงแห่งเซียนเปยตะวันออก ก่อตั้งแคว้นเอี้ยน (เยี่ยน) ขึ้น ภายหลังถูกราชวงศ์จิ้นตะวันออกล้มล้างและถูกกลืนหายไป

    4. หมั่นโถว ซาลาเปาไม่มีไส้ นิยมรับประทานเปล่าๆ แทนข้าว หรือรับประทานร่วมกับกับข้าว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×