คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ล่ากระต่าย
หลังจากภูตกระชากขวัญกลับไป
แสงตะวันก็ลาลับไปเช่นกัน ความมืดมิดในป่าใหญ่แห่งนี้ถูกขับให้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว เหลือเพียงแสงสว่างจากตะเกียงด้วยน้อยที่เล็ดลอดออกมาจากบ้านต้นไม้หลังหนึ่งเท่านั้น
ภายในบ้านต้นไม้ กระต่ายแดงยังคงนั่งอ่านตำราที่ได้รับมาจากภูตกระชากขวัญอยู่อย่างตั้งใจ ยิ่งอ่านไปมากเท่าใด ยิ่งไม่คล้ายตำราที่บ่งบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์หรือคัมภีร์ใดๆตามที่ผู้คนกล่าวขาน อ่านไปก็คล้ายกับอ่านบันทึกประจำวันของผู้สร้างยอดศาสตราชนิดนี้ก็ไม่ปาน
“ท่านอาจารย์เทวาประดิษฐ์สรรค์สร้างยอดกระบี่ขึ้นเพื่อมอบแด่ผู้มีวาจาเป็นสัจจะ ตัวเรามิอาจคิดเทียบเท่าท่านอาจารย์ เราจึงไม่ขอสร้างศาสตรามีคมใดๆขึ้นมาสักเพียงครึ่งเล่ม”
“ศาสตราใดในโลกหล้า หากไร้ความคมกล้า ย่อมมิอาจสร้างจุดเด่นที่ยอดศาสตราพึงมี หากเราคิดสร้างศาสตราที่ไร้คมขึ้นมาสิ่งหนึ่ง คงได้แต่นั่งเหลาไม้เท้าเพื่อสร้างชื่อกระมัง”
"ไฉนมนุษย์ถึงต้องการอาวุธในการเชือดเฉือนเลือดเนื้อ ฆ่าล้างกันและกันด้วย หากโลกนี้เต็มไปด้วยศาสตราที่ไร้ความคม จะยังมีผู้ที่รอดชีวิตจากคมหอก คมดาบอยู่มากน้อยเท่าใด จะสามารถลดสายลำธารโลหิตและน้ำตาไปได้เท่าใด
คงไม่มีผู้ใดตอบได้ เพราะสิ่งที่เราคิดนั้นมันไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง”
นี่เป็นข้อความส่วนหนึ่งที่ท่านดาราอับแสงกล่าวถึงสาเหตุการสร้างเกาทัณฑ์หมื่นลี้ขึ้นมา
“เกาทัณฑ์นี้ ไม่อาจสร้างสรรค์ขึ้นมาจากเบ้าหลอมหรือตีขึ้นจากโลหะวิเศษอันใดในใต้หล้า จำต้องเสาะหาวัตถุดิบล้ำค่าจากหลายแห่ง ในที่สุดเราที่เพียรพยายามค้นหามานานนับสิบปี ก็ได้พบกับวัตถุดิบที่เรียกได้ว่าพิเศษไม่แพ้ชนิดใดๆ”
“ต้นไม้โลหิตต้นนี้ มันนับเป็นพันธุ์ต้นไม้โลหิตที่หาได้ยากยิ่งชนิดหนึ่งเพราะนอกจากมันจะดื่มกินโลหิตสดแล้ว มันยังดูดซับลมปราณเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตด้วย เราได้มาจากจอมยุทธ์จากต่างแดนผู้หนึ่ง ที่เลี้ยงดูมันด้วยโลหิตและลมปราณของตนเอง แม้เราต้องเสียนิ้วก้อยไปถึงสี่นิ้วบวกกับเงินทั้งชีวิตที่หามาได้ เพื่อแลกกับต้นไม้โลหิตต้นนี้เพียงต้นเดียว ก็นับว่าคุ้มค่านัก”
“แม้ต้นไม้โลหิตจะถูกขนานนามว่าเป็นสิ่งของแห่งอธรรม ตามการเจริญเติบโตที่ผิดธรรมดาของมัน แต่หากจะเหมารวมว่าศาสตราที่สร้างขึ้นจากต้นไม้โลหิตนี้เป็นศาสตราแห่งอธรรมด้วยนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่ผิดอย่างมหันต์ วัตถุดิบที่สร้างอาวุธมิใช่ตัวกำหนดว่าอาวุธนั้นจะถูกใช้ไปในทางใด หากกระบี่ที่สร้างมาด้วยเหล็กวิเศษเลิศล้ำ แต่กลับถูกใช้เพื่อเข่นฆ่าผู้คนบริสุทธิ์ กระบี่นี้จึงเรียกว่ากระบี่อธรรมมิใช่กระบี่วิเศษเลิศล้ำดั่งเช่นวัตถุดิบที่สร้างมันขึ้นมา
เราขอให้เกาทัณฑ์นี้ตกไปอยู่ในมือของผู้มีคุณธรรม เพื่อขจัดของครหาที่กำเนิดขึ้นมาพร้อมกับเกาทัณฑ์ลงไปได้”
“ป่านเหล็กไหล ของเพียงสิ่งเดียวที่สามารถผูกรั้งติดกับต้นไม้โลหิตไว้ได้ เพราะเราจากการทดลองใช้เชือกหลากหลายชนิด หากผูกติดกับต้นไม้โลหิตไว้เพียงข้ามวัน แม้จะเป็นของวิเศษจากที่แห่งใดก็จะขาดออกในที่สุดไม่มีชนิดใดที่สามารถรั้งสายเกาทัณฑ์ที่สร้างจากต้นไม้โลหิตไว้ได้สักครั้ง จนเมื่อสหายเราเอ่ยถึงการค้นพบสินแร่ที่หายากชนิดหนึ่ง มันมีชื่อว่า ป่านเหล็กไหล มีคุณสมบัติที่ความเหนียวและยืดหยุ่นสูงมาก ยากแก่การชำรุดเสียหาย สหายเราค้นพบมันเส้นหนึ่งมีความยาวกว่าสองวาเศษ จนใจที่ไม่มีวัตถุใดตัดสายป่านนี้ขาดได้ เราจึงขอซื้อมันมาทั้งเส้นและผูกมันไว้ทั้งหมดที่สายเกาทัณฑ์นั่นเอง”
จบถึงตรงนี้กระต่ายแดงจึงหยิบเกาทัณฑ์ขึ้นมาสำรวจรอบหนหนึ่งว่ามันมีลักษณะตรงตามที่ท่านดาราอับแสงบอกไว้หรือไม่
“อยู่ตรงนี้เอง” กระต่ายแดงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสายป่านที่เหลือพันทดคันเกาทัณฑ์ไว้หลายรอบ
“ป๊ก!
ป๊ก!
”
เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นสองครั้ง ชายหนุ่มยุติการอ่านลงไปในทันที มันรีบห่อเกาทัณฑ์หมื่นลี้หลบซ่อนไว้อย่างมิดชิด ก่อนคว้าเอาเกาทัณฑ์ที่ภูตกระชากขวัญมอบให้แก่มันพร้อมถุงลูกศรสะพายไว้ด้านหลัง แล้วเดินไปที่ประตู
มันค่อยๆดันบานประตูออกอย่างช้าที่สุดด้วยมือข้างซ้ายที่ถือเกาทัณฑ์ มือข้างขวาของมันพาดรั้งสายเกาทัณฑ์ไว้จนสุด หัวลูกศรชี้ยังเบื้องหน้าเตรียมพร้อมจะยิงออกในทุกขณะจิต ทันทีที่ประตูบ้านต้นไม้เปิดออ กระต่ายแดงกลับไม่พบเห็นผู้ใดอยู่ภายนอก
เสียงเมื่อครู่นี้เกิดจากอะไร มันได้ยินเสียงเคาะประตูชัดๆ ไฉนไม่มีผู้ใดอยู่ภายนอก ทั้งสถานที่นี้มิได้มากมายไปด้วยผู้คน จึงไม่น่ามีผู้ใดมาเคาะประตูบ้านเล่นดั่งเช่นในเมืองใหญ่ทั่วไป
แล้วคำตอบก็ออกมา !!
เพียงชั่วกระพริบตาที่กระต่ายแดงเหลียวใบหน้ากลับเข้ามาภายในบ้านต้นไม้ ก็ปรากฏกระบี่เล่มหนึ่ง แทงปราดเข้ามาอย่างเร่งร้อน วิถีกระบี่มุ่งสู่ทรวงอกของชายหนุ่มแน่นอน ด้วยระยะกระบี่จู่โจมที่ใกล้เช่นนี้ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือจากที่ใดก็ยากที่จะรอดพ้นกระบี่สังหารนี้ไปได้
ไม่ละเว้นแม้แต่กระต่ายแดงตัวหนึ่ง
คมกระบี่สังหารทะลุตัดผ่านเสื้อผ้าหนังสัตว์ของชายหนุ่มเข้าไป ก่อนหยุดลมหายใจของกระต่ายแดงลงไปพร้อมกัน
“ชีวิตเจ้าไม่สั้นเกินไปนัก”
น้ำเสียงสตรีอ่อนนุ่มดังขึ้นกลางความมืดยามราตรี พร้อมกับดึงกระบี่ออกจากทรวงอกของกระต่ายแดงไป ชายหนุ่มค่อยๆระบายลมหายใจออกช้าๆ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะรอดจากกระบี่สังหารครั้งนี้ไปได้
สายตาที่มองเห็นแต่ความมืดมิดเบื้องหน้า ค่อยๆปรากฏภาพของหญิงสาวใหญ่นางหนึ่งขึ้น บนใบหน้านางสวมไว้ด้วยหน้ากากสีขาวสนิท เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่อ่อนโยนและสวยซึ้งถึงเพียงนั้น
“เด็กน้อยที่น่าตายนัก จดจำอาเจ้าไม่ได้แล้วหรือ?” สตรีผู้มาเยือนเอ่ยขึ้น
“เป็นท่าน! ท่านอาหญิง ไฉนท่านมาอยู่ที่นี่ได้ ท่านล้อเล่นข้าอย่างหนักนัก”
ความตื่นตระหนกเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง กระต่ายแดงยินดีใจยิ่งที่ได้พบกับสตรีผู้นี้อีกครั้ง นางคือหนึ่งในเจ็ดภูตแห่งสุสานหยกขาว ผู้อยู่ในตำแหน่งภูตลำดับที่หก นามว่า ภูตลวงร่าง นั่นเอง นางเป็นอีกผู้หนึ่งที่ช่วยกระต่ายแดงขโมยเกาทัณฑ์หมื่นลี้ออกจากสุสานหยกขาวด้วย
“เด็กน้อยช่างไร้มารยาทนัก จะให้ท่านอาเจ้ายืนตากน้ำค้างอยู่เบื้องนอกหรือ?”
“เชิญท่านอา”
กระต่ายแดงผายมือให้อาหญิงของตนเข้าไปภายในบ้าน
“ทำไมท่านอาหญิงถึงมาที่นี่ได้ หรือเป็นท่านอาสามบอกต่อท่าน”
“เพ้ย! เจ้าสองคนอาหลาน หนึ่งทารกหนึ่งชรา คิดทำการอันใดมีหรือจะเล็ดลอดสายตาข้าไปได้ ท่านอาสามของเจ้านั้นไปมาล้วนเต็มไปด้วยร่องรอย หากมิได้ข้าคอยติดตามมาลบล้างให้ เกรงว่าป่านนี้คงถูกศิษย์พี่ใหญ่จับได้ตั้งนานแล้ว”
กระต่ายแดงยิ้มรับ เช่นนี้ก็ตีความได้ว่านางลอบติดตามภูตกระชากขวัญมานั่นเอง
“รังลับของพี่สามนี่ดูน่าอยู่นัก ไม่ทราบว่ากาลก่อนสร้างที่แห่งนี้ไว้ทำอะไร หรือเอาไว้กระทำเรื่องไม่ดีไม่งามเยี่ยงนั้น” นางส่งเสียงหัวเราะคิกคักเล็ดลอดออกมาจากหน้ากากสีขาวสนิทนั่น
ถึงแม้อาหญิงของมันจะชมชอบกล่าววาจาไร้สาระ แต่กระต่ายแดงก็ยินยอมรับฟัง เพราะตั้งแต่จำความได้ กระต่ายแดงผู้นี้ไม่เคยมีมารดา มีแต่อาหญิงท่านนี้เลี้ยงดูมันมาตั้งแต่เล็ก เปรียบดั่งมารดาของมันผู้หนึ่ง
“เจ้ากินอะไรบ้างหรือยัง” ภูตลวงร่างเอ่ยถาม
“กินไปบ้างแล้ว”
“ของที่พี่สามเก็บไว้นานกี่สิบปีแล้วก็ไม่รู้ เจ้ากินเข้าไปได้ยังไง ข้าเอานี่มาให้เจ้ากิน”
นางพูดพลางล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ ดึงเอาซาลาเปาหมั่นโถวมานับสิบลูก และสุราขึ้นชื่ออีกหนึ่งป้านหนี่ง
“ขอบคุณท่านอา”
“ไม่ต้องขอบคุณอันใด รีบกินซะก่อนมันจะเย็นชืดเสียหมด”
“เชิญท่านกินด้วยกัน”
“เด็กประหลาดน่าตาย หากข้ากินด้วยกับเจ้า นี่จะเรียกนำมาให้หรือ เจ้าจะอยู่นี่ไปอีกนานเท่าไรไม่อาจรู้ได้ กินเข้าไปให้มากๆเถอะ”
กระต่ายแดงไม่คิดกล่าวอะไรอีก ได้แต่นั่งกินซาลาเปาลูกใหญ่ที่อาหญิงนำมาให้อย่างเอร็ดอร่อย
“ช่วงหลายวันมานี้ ศิษย์พี่ใหญ่ใช้คนของเราตามหาตัวเจ้าทั่วทุกสารทิศ แล้วยังจับตาดูข้าและพี่สามเป็นพิเศษ หลังจากวันนี้ไป ข้าและอาสามของเจ้าคงไม่อาจมาหาเจ้าได้อีกหลายวัน”
เรื่องนี้ภูตกระชากขวัญเคยกล่าวกับกระต่ายแดงไว้ก่อนแล้ว และมันเองก็เข้าใจดี
“กระต่ายน้อย เจ้าต้องเร่งฝึกวิชาฝีมือไว้ เพื่อรับกับสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเบื้องหน้า” นางบอกพร้อมมองดูหลานรักอย่างเอ็นดู
“อายุเจ้ายังไม่เท่าใด กลับต้องประสพเรื่องราวที่น่าสงสารนัก มานี่ข้าจะป้อนให้” ภูตลวงร่างหยิบเอาซาลาเปามาบิออกเป็นคำเล็กๆแล้วป้อนใส่ปากกระต่ายแดง คล้ายมารดาผู้หนึ่งป้อนอาหารแก่บุตรของตนเองเช่นนั้น
แม้ตลอดทั้งชีวิตของกระต่ายแดงไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของอาหญิงผู้นี้ แต่ภายใต้หน้ากากสีขาวสนิทนั้น กระต่ายแดงรับรู้ได้ถึงรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นที่มอบให้แก่มันมาโดยตลอด
“ผู้ใด!”
ภูตลวงร่างสะบัดก้อนซาลาเปาในมือพุ่งเข้าปลิดชีวิตของแขกที่มิได้รับเชิญตายลงในทันที
“มีคนมา”เสียงภูตลวงร่างบอกต่อกระต่ายแดง
“มากเท่าใด?”
“ไม่เกินยี่สิบคน”
ชายหนุ่มวิ่งไปฉวยเกาทัณฑ์มาไว้ในมือ และหยิบเอาห่อผ้าผืนสำคัญสะพายขึ้นหลังมาด้วย
“ข้าจะช่วยท่านรับมือ” มันบอก
“เจ้ารีบหนีไป”
“ท่านต้องไปด้วย”
“ทารกน้อย ยังเร็วเกินไปที่จะห่วงข้า” พูดจบร่างของอาหญิงก็เลือนหายไป เห็นแต่เศษซาลาเปาหมั่นโถวที่พุ่งปลิดชีวิตผู้บุกรุกคนแล้วคนเล่า
“เป็นที่ข้านำความเดือดร้อนมาให้แก่เจ้า” เสียงภูตลวงร่างบอกต่อหลานรักของนาง
“มิใช่ ท่านอย่าได้ตำหนิตัวเอง”
“เจ้าไปได้แล้ว” นางบอกพร้อมเจาะฝาผนังบ้านต้นไม้จนเกิดเป็นช่องใหญ่ช่องหนึ่ง เพียงพอที่จะให้กระต่ายแดงมุดลอดออกไป
“ท่านอาโปรดรักษาตัวด้วย”
“เจ้าด้วยเช่นกัน”
กระต่ายแดงพุ่งลอดตัวจากช่องว่างที่อาหญิงของมันเจาะไว้ให้ หลบหนีออกจากบ้านไป
แต่มิทันได้รอให้เท้าตกถึงพื้น ก็ปรากฏนักลอบสังหารชุดดำสี่คนซัดอาวุธลับนานาชนิดเข้าใส่ตัวมัน เสียงของอาวุธลับเหล่านั้นยามแหวกฝ่าอากาศดุจดั่งเสียงปีศาจโหยหวนกรีดร้องอยู่ไม่ขาดสาย
เป็นฝ่ายกระต่ายแดงที่รวดเร็วกว่าพายุอาวุธลับ มันพลิกตัววูบหนึ่งก่อนยิงเกาทัณฑ์ออกไปสามดอกในคราวเดียว ดอกหนึ่งพุ่งเข้าใส่คอยหอยของผู้ซัดอาวุธลับตายไปคนหนึ่ง ดอกหนึ่งพุ่งเข้าขัดขวางวิถีอาวุธลับมิให้เข้ามาทำร้ายตนเอง อีกดอกหนึ่งพุ่งออกหายไปในความมืดมิด มิใช่การยิงครั้งนี้พลาดเป้าหมาย เพียงแต่กระต่ายแดงรู้สึกว่าภายในความมืดมิดนั้นมีบางสิ่งที่คุกคามตัวมันอยู่
เมื่อเท้าของกระต่ายแดงสัมผัสพื้น มันก็สะกิดเท้าโผพุ่งไปด้วยวิชาตัวเบาทิ้งระยะห่างจากนักล่าสังหารที่เหลือไปอีกหลายสิบก้าว มันระบายลมหายใจออกจากปากครั้งหนึ่งเมื่อเห็นว่าหลบรอดพ้นจากนักล่าสังหารชุดดำนั้นได้แล้ว
ไม่กี่อึดใจต่อมา กระต่ายแดงก็หยุดยั้งลง ณ สถานที่สวยงามที่หนึ่ง ที่แห่งนี้มีแสงจันทร์สีเงินส่องแสงเล็ดลอดจากหลังคาใบไม้ลงมาสู่พื้นดิน มองไปคล้ายเสาสีเงินต้นเล็กๆตั้งเป็นแนวเฉียงอยู่หลายสิบต้น
แสงจันทร์สีเงิน ส่องให้เห็นทุกสรรพสิ่งที่มันตกกระทบ ภายใต้เสาสีเงิน เกิดแสงสะท้อนเงากระบี่ออกมาวูบหนึ่ง ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็นสี่ในช่วงเวลาต่อมา
ดูท่าครั้งนี้ผู้มาเยือนจะเป็นยอดฝีมือเชิงกระบี่สี่คน ผิดจากสี่คนก่อนที่กระต่ายแดงพบเจอมาเมื่อครู่ เพราะถ้าเป็นผู้ใช้อาวุธลับก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวเองออกมาเช่นนี้
กระต่ายแดงพาดสายเกาทัณฑ์เตรียมพร้อมรับการจู่โจมจากอาคันตุกะชุดดำ สถานการณ์ยามนี้เป็นฝ่ายตัวมันเสียเปรียบอยู่หลายส่วน หากเกาทัณฑ์ลูกแรกยิงพลาดเป้าหมายไปแล้ว คมกระบี่ทั้งสี่คงไม่ละเว้นให้มันมีโอกาสยิงอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน เช่นนั้น ต่างฝ่ายต่างรั้งรอช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การลงมือ
“ทิ้งของบนหลังเจ้าไว้ พวกเราไม่ต้องการฆ่าเจ้า”
เสียงจากใครคนหนึ่งดังออกมา ที่แท้นักล่าสังหารชุดดำนี้ก็มีเป้าหมายอยู่ที่เกาทัณฑ์หมื่นลี้บนหลังมันจริงๆ
“พวกท่านเป็นใคร?” เสียงกระต่ายแดงเอ่ยถาม
เป็นดั่งคาด ไม่มีผู้ใดตอบกลับมา
“พวกท่านมีสี่คน คิดรุมกลุ้มเราเพียงคนเดียวย่อมเสื่อมเสียหน้าต่อชาวยุทธ์นัก” กระต่ายแดงบอก
“หากพวกเราฆ่าเจ้า ย่อมมิต้องกลัวเสียหน้าอันใด” เสียงหนึ่งบอก เงากระบี่เริ่มประชิดเข้ามาใกล้ขึ้น
“พวกท่านโปรดลดอาวุธลงก่อน ข้าจะวางสิ่งที่ท่านต้องการไว้แล้วจะจากไปโดยดี” กระต่ายแดงยื่นข้อต่อรอง ชายหนุ่มค่อยๆลดสายเกาทัณฑ์ลง สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
“ตกลง! อย่าได้เล่นลูกไม้อื่นใด” เสียงเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เงากระบี่เบื้องหน้าก็เริ่มลดลงเช่นกัน
เมื่อเห็นดังนั้น ชายหนุ่มค่อยปลดห่อผ้าด้านหลังของตนออกอย่างเชื่องช้า แล้วก้มตัวลงวางห่อผ้าของตนไว้กับพื้นอย่างแผ่วเบา เมื่อห่อผ้าสัมผัสพื้น กระต่ายแดงก็ดีดตัวหงายหลังหายลับไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเร็ว
“ตาม!”
“ไม่ต้อง!” เสียงจากคนเดิมบอก มันเดินเข้าไปหยิบห่อผ้าขึ้นมาไว้ในมือตนแล้วบอกว่า
“ได้ของที่ต้องการแล้ว รีบนำกลับไปให้ท่านหัวหน้า” เงากระบี่ทั้งสี่คนก็หายลับไป
ระยะทางยิ่งห่างออกไป แสงสว่างเริ่มมีมากขึ้น หลังคาใบไม้ที่เคยมีอยู่แต่เดิมเริ่มเบาบางลง เผยให้เห็นพื้นนภายามราตรีชัดเจนกว่าเดิม แต่กระต่ายแดงไม่คิดหยุดดู
วิ่งมานานเท่าใดแล้วกระต่ายแดงก็ไม่ทราบได้ มันทราบเพียงแค่ว่ามันต้องรีบวิ่งไปให้ไกล หากคนทั้งสี่จับอุบายมันได้คนที่ย่ำแย่ครานี้ต้องเป็นมันอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะในมือของมันถือไว้ด้วยเกาทัณฑ์ที่มิอาจยิงออกได้คันหนึ่ง เป็นเกาทัณฑ์หมื่นลี้นั่นเอง!
เบื้องหน้าปรากฏถ้ำหินแห่งหนึ่ง ไม่ต้องรั้งรออันใด กระต่ายแดงพุ่งเข้าถ้ำไปอย่างเร่งร้อน ก่อนคว้าเอาก้อนหินที่ด้านหน้าถ้ำก้อนหนึ่ง ขว้างไปไกลสุดแรง เพื่อดึงความสนใจจากนักลอบสังหารชุดดำที่อาจตามมาด้านหลัง
ตัวถ้ำนั้นลึกเท่าใด กระต่ายแดงก็มิอาจทราบได้ มันทราบเพียงแต่ว่าจำต้องเข้าไปให้ลึกที่สุดเพื่อความรู้สึกปลอดภัยจากภายนอก นี่เป็นความรู้สึกตามสามัญสำนึกของมนุษย์ทั่วไป โดยมิได้คำนึงว่าภายในอาจมีอันตรายซ่อนอยู่เช่นกัน
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง
ตอนนี้กระต่ายแดงยังทราบอีกว่า ต้องหยุดฝีเท้าตนเองลง เพื่อไม่ให้เหล็กแหลมด้ามหนึ่งทะลุคอหอยมันไป
.
อีกด้านหนึ่ง
นักลอบสังหารใช้กระบี่ทั้งสี่กลับมายังบ้านต้นไม้ ที่บัดนี้เหลือแต่เพียงเศษซากไม้เท่านั้น ไม่ห่างกันเท่าใด ภายใต้แสงคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นทั่วบริเวณ เงาร่างของบุรุษคนหนึ่งกำลังยืนดูลูกน้องมันค้นหาบางสิ่งจากซากไม้เหล่านั้นด้วยสีหน้าที่ยากอธิบายออกมาได้ด้วยวาจา
“ได้มาแล้ว”
เพียงหนึ่งประโยคสั้นๆ พลันเปลี่ยนใบหน้าบุรุษผู้นั้นกลับกลายเป็นอัปลักษณ์ยิ่งกว่าเดิม จนไม่มีผู้ใดกล้าสบสายตามันโดยตรงแม้กระทั่งลูกน้องของมันเอง นี่นับเป็นความน่าสะพรึงกลัวชนิดหนึ่งของมัน
“ดี! นำมาให้ข้า”
พูดจบลูกน้องคนหนึ่งก็นำห่อผ้าที่ได้มาจากกระต่ายแดงมามอบให้ โดยมันยังก้มหน้ามองแต่ปลายเท้าตัวเอง
บุรุษหน้าอัปลักษณ์เปิดผ้าออกดูในทันที เสียงท่อนไม้หักโดยถูกบดละเอียดป่นปี้เป็นผุยผง ดังออกมาในทันทีเดียวกันนั้น ลูกน้องทั้งสี่ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า บัดนี้ใบหน้าที่สุดแสนอัปลักษณ์นั้นบวกเพิ่มเข้าไปอีกเท่าทวี เมื่อมันทราบว่าถูกหลอกลวง
“มันอยู่ไหน!”
บุรุษหน้าอัปลักษณ์ยื่นมือไปบีบใบหน้าของลูกน้องมันคนหนึ่งให้เงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าของมันโดยตรง
“
ข้าน้อยไม่อาจทราบ
เป็น
เป็นเด็กนั่นหลอกลวงพวกเรา!”
หนึ่งในสี่มือกระบี่เมื่อครู่ตอบเสียงสั่นพร้อมดวงตาหวาดผวาดั่งได้เห็นภาพที่น่าหวาดกลัวที่สุดในชีวิตก็ไม่ปาน
“ไปนำตัวมันมาให้ข้า”
บุรุษหน้าอัปลักษณ์บอกพร้อมมือที่ชุ่มโชกไปโดยซากใบหน้าที่เละแหลกเหลวของลูกน้องมันเอง
ใต้ฝ่าเท้าของมันเหยียบไว้ด้วยลูกเกาทัณฑ์ลูกหนึ่งที่กระต่ายแดงยิงมาครู่
...ภายในถ้ำมืดมิด กระต่ายแดงยังพบกับอันตรายอีกทางหนึ่งคุกคามตนเองอยู่มิต่างจากเมื่อครู่ที่อยู่ด้านนอก
“ข้าน้อยเรียกว่า กระต่ายแดง ขอภัยที่เข้ามารบกวนผู้อาวุโสในนี้ เบื้องนอกมีผู้หวังชีวิตข้าน้อยอยู่หลายคน หวังเพียงผู้อาวุโสเมตตาสักครั้ง” ชายหนุ่มบอกต่อผู้ที่ถือเหล็กแหลมจี้เข้าใส่ลำคอของตน
ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้กระต่ายแดงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าตนนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร ได้ยินแต่เพียงเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาและเป็นช่วงจังหวะแน่นอน คล้ายผู้ฝึกปรือวรยุทธ์มานานหลายปีเพียงเท่านั้น
“. . .”
ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา
กระต่ายแดงทิ้งระยะเวลารอไปอีกชั่วครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆก้าวเท้าถอยหลังออกมาอย่างเชื่องช้า แต่ยังมิทันก้าวถอยออกมาครบก้าว เหล็กแหลมด้ามกลับพุ่งกดลึกเข้าไปในลำคอเลือดเนื้อของมันอย่างไร้ปราณี ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งรับการคุกคามของผู้ที่ถือเหล็กแหลมผู้นี้อย่างไม่อาจหลบหนีพ้น
“ข้าอนุญาตให้เจ้าออกไปแล้วหรือ ?” เสียงทุ้มหนักแน่นเอ่ยขึ้นมา
โลหิตอุ่นสายหนึ่งไหลอาบลำคอของกระต่ายแดงจนมันสามารถรู้สึกได้
“ท่านยัง” มันตอบ
หากการคาดเดาของกระต่ายแดงไม่ผิดพลาด ผู้ที่ถือเหล็กแหลมด้ามนี้ ต้องเป็นบุรุษวัยกลางคนหรือมากกว่านั้นเป็นแน่
“ข้ายังไม่อนุญาต เจ้าไฉนคิดไป”
“หากมีอาคันตุกะผู้ใดถูกเจ้าบ้านคุกคามจนถึงโลหิตเช่นนี้ยังคิดรั้งอยู่ก็แปลกเกินไปแล้ว” กระต่ายแดงยังคาดเดาได้อีกว่าผู้อาวุโสท่านนี้มีนิสัยเมตตา เพราะหากไร้เมตตาคงปลิดชีวิตตนเองลงไปพร้อมการจู่โจมเมื่อครู่แล้ว
“. . .พูดได้ดี หากข้าละเว้นเจ้าตอนนี้ เจ้าจะออกไปหรือไม่?” เสียงทุ้มดังหนักแน่นเอ่ยถาม
“ย่อมไม่ออกไป”
“ผู้คนด้านนอกนั้นร้ายกาจกว่าข้างั้นหรือ?”
“ร้ายกาจกว่า” กระต่ายแดงบอก ผู้อาวุโสผู้นั้นแค่นภายเสียงในลำคอ คล้ายไม่เชื่อถือมันเท่าใดนัก
“ข้าหลบอยู่ในนี้ยังมีโอกาสรอดชีวิตได้”กระต่ายแดงบอกซ้ำ
“เฮอะ. . .เจ้าหลบอยู่ในนี้ใช่ว่าจะรอดชีวิตออกไปได้”
บทสนทนาของทั้งคู่จำต้องหยุดยั้งลงเมื่อเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาถึงหน้าปากถ้ำ พวกมันคือนักลอบสังหารชุดดำที่ไล่ติดตามกระต่ายแดงมาจากกระท่อมของภูตกระชากขวัญนั่นเอง คบไฟหลายดวงถูกจุดขึ้นอยู่บริเวณหน้าปากถ้ำนั้น แต่ยังไม่มีดวงใดก้าวล้ำเข้ามาภายในตัวถ้ำสักดวง แสดงว่าพวกมันยังคงกริ่งเกรงภยันตรายจากความมืดมิดของถ้ำนี้อยู่บ้าง
“ไอ้ลูกเต่า! เมื่อครู่เจ้ากล้าหลอกลวงบิดาหรือ!!” เสียงหนึ่งตะโกนกรอกเข้ามาทางปากถ้ำ กระต่ายแดงจดจำได้ว่านี้คือเสียงของนักลอบสังหารถือกระบี่ที่สนทนากับมันเมื่อครู่ก่อนเอง
“หากเจ้ายังไม่ออกมา บิดาจะไปกระชากคอเจ้าออกมาจากถ้ำเอง!!” มันตะโกนขึ้นอีกครั้ง
ด้านนอกสว่าง ด้านในมืด กลุ่มคนชุดดำจึงไม่อาจมองเห็นกระต่ายแดงได้ กลับเป็นฝ่ายกระต่ายแดงที่สามารถมองเห็นพวกมันจากคบไฟที่จุดขึ้นเบื้องนอกอย่างชัดเจนยิ่ง ชายหนุ่มนับคบไฟเบื้องนอกได้สิบสองดวง แบ่งเป็นกลุ่มซ้ายสี่ดวง ขวาสี่ดวง ด้านหน้าสองดวงและด้านหลังอีกสองดวง วางตำแหน่งคล้ายเป็นค่ายกลของกลุ่มผู้มีฝีมือกลุ่มหนึ่ง
“นี่เรียกว่าค่ายกลตาข่ายป่า นิยมใช้กันในค่ายสำนักคุ้มภัยต่างๆ”เสียงทุ้มหนักเบื้องหลังกระต่ายแดงดังขึ้น
“ที่แท้พวกมันตามล่าโจรนั่นเอง”
กระต่ายแดงไม่ได้ตอบกลับไป ผู้อาวุโสถือเหล็กแหลมกลับหัวเราะ “เฮอะๆ” ออกมาเบาๆ
คำพูดของผู้อาวุโสเมื่อครู่ได้ยินไปถึงกลุ่มนักลอบสังหารชุดดำเบื้องนอก มันจึงตะโกนกลับเข้ามาภายในอีกครั้ง “ที่แท้ลูกเต่าน้อยสุมหัวกับชนชั้นมุสิกอยู่ภายใน บิดาจะไปลากคอพวกเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้” พูดจบกลุ่มคบไฟทั้งสิบสองดวงก็รุดเข้ามาภายในตัวถ้ำอย่างรวดเร็ว
“ไม่ทราบฝ่ามือทรายเหล็กแห่งสำนักคุ้มภัยธงแดงมีธุระอันใดกับเราหรือ?” เสียงทุ้มหนักกังวานกึกก้องออกมาจากภายในตัวถ้ำ
ทำเอาร่างของผู้นำกลุ่มนักลอบสังหารชุดดำคนนั้นหยุดยั้งการเคลื่อนไหวลงในทันทีได้ฟัง
“ยังมีดัชนีทวนทองแห่งสำนักบ่อน้ำทิพย์กับศิษย์ทั้งสาม ท่านเจ้าสำนักเขาฟ้าดินกับศิษย์สองคน ส่วนที่เหลือคาดว่าเป็นเด็กรุ่นหลังที่เราไม่รู้จักแล้ว” เสียงเดิมยังดังก้องกังวานออกมาอย่างต่อเนื่อง
นี่สร้างความประหลาดใจให้แก่กระต่ายแดงนัก ไฉนผู้อาวุโสเหล็กแหลมผู้นี้จึงรู้จักกับพวกกลุ่มคนชุดดำนี้ได้ ทั้งที่พวกมันล้วนปิดบังอำพรางหน้าตา และยังมีบ้างถือกระบี่ ถือดาบ ถือเกาทัณฑ์ เหตุใดจะกลายเป็นยอดฝีมือผู้สร้างชื่อจากอาวุธมือเปล่าไปได้
ผู้ฝึกวิชายุทธทุกคนต่างทราบดีว่า ไม่ว่าจะใช้ฝ่ามือเลือดเนื้อต่อสู้กับสรรพาวุธใดๆ หากตนเองได้ใช้ออกด้วยวิชาฝีมือที่ตนเองถนัดแล้ว ล้วนไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก แต่หากตนเองฝึกวิชาหมัด กลับไปใช้กระบี่ ฝึกดัชนี กลับใช้เกาทัณฑ์ จะเป็นการบดบั้งความร้ายกาจของฝีมือตนเอง รั้งแต่จะเพิ่มช่องทางฆ่าตนเองไปเสียเปล่า
เหตุใดพวกมันจำต้องปกปิดฐานะตนเองถึงเพียงนั้น ?
“เฮอะ . . . ในเมื่อท่านรู้ฐานะที่แท้จริงของเราแล้ว ก็มอบเด็กน้อยนั่นออกมาเสีย เราท่านต่างไม่มีความบาดหมางกันมาก่อน อย่าได้สร้างขึ้นมาในยามนี้เลย” เสียงฝ่ามือทรายเหล็กตะโกนบอก
“หรือผู้คนในสำนักคุ้มภัยธงแดงล้วนหูหนวกไปหมดแล้ว คนในสำนักจึงนิยมตะโกนคุยกัน” เสียงผู้อาวุโสเหล็กแหลมกล่าวขึ้นมา แม้เป็นเสียงพูดจาธรรมดาแต่กลับดังกลบเสียงตะโกนของฝ่ามือทรายเหล็กไปสิ้น แสดงถึงความล้ำลึกในพลังปราณของผู้อาวุโสท่านนี้อย่างชัดแจ้ง
“เราทราบว่าท่านมีฝีมือเหนือกว่าเรามากนัก โบราณว่านักบู๊มิอาจสู้พวกมาก ตัวเรามีฝีมือไม่อ่อนด้อย สหายเราในที่นี้ก็ไม่แตกต่างกันเท่าใด ซ้ำยังมีบางคนที่เด่นล้ำกว่าเรา สหายท่านโปรดคิดให้ดี หากจะให้ความช่วยเหลือผู้ใด” ฝ่ามือทรายเหล็กบอก
ผู้อาวุโสเหล็กแหลมมิได้กล่าววาจาใด
“ท่านรู้จักเราแสดงว่าท่านต้องมีอาวุโสอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มผู้นี้ลักขโมยของสำคัญไปจากผู้มีพระคุณของพวกเรา หากท่านถือความยุติธรรมและมโนธรรมของชาวยุทธ ก็ขอให้เด็กนั่นมอบของที่ขโมยมาให้แก่พวกเราเถอะ แล้วพวกเราจะจากไปโดยดี ข้าขอสัญญาด้วยเกียรติของเจ้าสำนักเขาฟ้าดิน” เจ้าสำนักเขาฟ้าดิน นาม เลี้ยงเมฆ กล่าว
ผู้อาวุโสเหล็กแหลมยังคงเงียบงัน
เจ้าสำนักเขาฟ้าดินถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา มันหมดปัญญาเกลี้ยกล่อมยอดฝีมือผู้นี้แล้วจริงๆ
“เช่นนั้นท่านอย่างหาว่าพวกเราไร้ไมตรี!!” ฝ่ามือทรายเหล็กกล่าวพร้อมปากระบี่ตนเองไปเบื้องหน้า บัดนี้ฝ่ามือของมันไร้พันธะจากกระบี่ที่มิใช่อาวุธสร้างชื่อ กลับกลายมาใช้วิชาฝ่ามือทรายเหล็กที่ตนเองถนัดอีกครั้งหนึ่งแล้ว เช่นเดียวกับดัชนีทวนทองทั้งสามที่จี้ดัชนีเข้าหาศัตรูเบื้องหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง มิใช่เพียงเท่านั้นเจ้าสำนักเลี้ยงเมฆผู้ใช้เพลงกระบี่แยกฟ้าดิน และนักลอบสังหารชุดดำที่เหลือต่างตามเข้ามารุมกลุ้มจู่โจมกันทั้งหมดสิ้น
ผู้อาวุโสเหล็กแหลมมิได้ว้าวุ่นใจอันใด กลับหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงดังกังวานกว่าเดิมนับสิบเท่า เสียงหัวเราะครั้งนี้ดังอื้ออึง กระแทกเอาผนังเพดานถ้ำบางส่วนหลุดกะเทาะออกมาเป็นฝุ่นผง
“ฮะ ฮา ฮ่า ฮ่า สมเป็นคนสำนักคุ้มภัยนิยมใช้พวกมาเข้ารุมทำร้าย ช่างต่ำช้านัก” พูดจบคล้ายเห็นเงาร่างของฝ่ามือทรายเหล็กปลิวกระเด็นออกไปนอกปากถ้ำ
“เกียรติของสำนักเขาฟ้าดินมีอะไร ฟ้าจะเป็นไร ดินจะเป็นไร เจ้ามันแค่สุนัขรับใช้ชัดๆ” ร่างของเจ้าสำนักฟ้าดินเลี้ยงเมฆลอยตามออกไปอีกคน
การโจมตีสองครั้งหยุดยั้งยอดฝีมือไปสองคน อีกสิบคนที่เหลือจึงไม่กล้าลงมือโดยพละการอีกต่อไป พวกมันได้แต่ยืนนิ่ง ตั้งท่าเตรียมตัวรับการจู่โจมของศัตรูเบื้องหน้า
“ท่านเป็นใคร ไฉนกล้าเพาะความบาดหมางกับพวกเราเช่นนี้” ครานี้เป็นดัชนีทวนทองแห่งสำนักบ่อน้ำทิพย์ที่เอ่ยปากขึ้น ความจริงนิสัยมันเป็นคนขลาดเขลามาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเห็นฝ่ามือทรายเหล็กและเจ้าสำนักเขาฟ้าดินปลิวลอยออกไป มันจึงเป็นคนแรกที่หยุดยั้งมือลง จึงทำให้ลูกศิษย์มันทั้งสองคนและนักลอบสังหารชุดดำคนอื่นๆพลอยหยุดยั้งลงไปด้วย
“ท่านรู้หรือไม่ ท่านมีความบาดหมางกับพวกเราแล้ว ชีวิตวันหน้าท่านจะเป็นอย่างไร?” มันกล่าวต่อพลางถอยหนีพลางไปเรื่อยๆ
ผู้อาวุโสเหล็กแหลมมิได้กล่าวาจามากความอันใด มันค่อยสืบเท้าก้าวเข้าไปหาดัชนีทวนทองอย่างไม่เร่งรีบ แต่สุดปัญญาที่ผู้ต้องการหลบหนีจะหนีทัน แสงจากคบไฟวูบหนึ่งตกกระทบเข้ากับใบหน้าของผู้อาวุโสเหล็กแหลม ทำเอาดัชนีทวนทองถึงกับตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า
แสงของคบไฟเผยให้เห็นใบหน้าแก่ชรามีเส้นผมสีดอกเลาที่ถูกรวบไว้อย่างไม่เรียบร้อย ดวงตาคมเข้ม นัยย์ตาสีหม่นที่แฝงไว้ด้วยเค้าดุร้าย คิ้วที่หนาดกเข้าสีเดียวกันกับเส้นผม รูปใบหน้าที่เรียวงามไร้ซึ่งหนวดเครา คงเค้าความหล่อเหลาเมื่อกาลก่อนเหลือไว้บนใบหน้า
ไม่เพียงแต่ดัชนีทวนทองเท่านั้นที่ตื่นตระหนกเมื่อเห็นใบหน้าของผู้อาวุโสท่านนี้ แม้แต่นักลอบสังหารที่เหลือรวมไปถึงฝ่ามือทรายเหล็กและเจ้าสำนักเขาฟ้าดินที่นอนกระอักโลหิตอยู่เบื้องนอก ก็ยังตื่นตกใจคล้ายพบเห็นผีสางอันน่าหวาดหวั่น
“. . .เป็น. . .เป็นท่าน. . .!?”
“ใช่ ! หมื่นปีกเดินเท้า จิ้งจอกจ้าวแห่งโจรเขี้ยวศิลาคือข้าเอง ! ”
เสียงคำรามของจิ้งจอกจ้าวดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง ขู่ขวัญนักลอบสังหารชุดดำผู้มาเยือนจนแตกกระเจิง บางคนได้แต่ยืนซึมเซาคล้ายวิญญาณในร่างมันหยุดลอยไปแล้ว บางคนปล่อยแขนสองข้างห้อยตกทรุดลงนั่งไปตรงนั้น ที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นดัชนีทวนทองที่ปล่อยของเสียเรี่ยราดทันทีที่ได้ยินชื่อนี้
อาการตื่นตะลึงครั้งนี้ก็ไม่ละเว้นกระต่ายแดงเช่นกัน นั่นเป็นเพราะชื่อเสียงของจิ้งจอกจ้าวผู้นี้มีมากเกินไป โด่งดังเกินไปจนทำให้ไม่มีผู้ใดกล้านึกถึง กระต่ายแดงเองก็คาดคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเหล็กแหลมผู้นี้คือหนึ่งในคำเล่าขานในยุทธภพ “โจรดาบอาบหิมะ” ผู้ครองดาบอาบหิมะหนึ่งในจตุรศาสตรานั่นเอง
เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับตัวจิ้งจอกจ้าวแห่งเขี้ยวศิลานี้มีมากกว่าเรื่องใดๆในยุทธภพ บ้างว่ามันเป็นเทพยดาลงมาจุติในร่างมนุษย์ บ้างก็ว่ามันผู้สำเร็จวิชาดาบถึงขั้นเซียน บ้างล่ำลือกันถึงขนาดว่ามันเป็นผู้ที่สวรรค์สร้างขึ้นมาเพื่อครองดาบอาบหิมะแต่เพียงผู้เดียว วีรกรรมของจิ้งจอกจ้าวนั้นได้รับการขนานนามขึ้นเทียบเท่ากับท่านฟ้าไม่กว้างพอในอดีต พฤติกรรมปล้นคนรวยช่วยคนยากไร้นั้นเป็นสิ่งที่เชิดชูกลุ่มเขี้ยวศิลาอยู่ตลอดมา ถึงแม้จะถูกทางการตั้งค่าหัวไว้สูงลิ่ว ที่เรียกว่าหากผู้ใดสามารถนำตัวมันมาขึ้นรางวัลได้ จะร่ำรวยเทียบเท่ากับมหาอุปราชในวังหลวงเลยเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะกระทำการเสี่ยงตายเช่นนั้นเลยสักคน เนื่องเพราะวิชาดาบของจิ้งจอกจ้าวนั้นสูงส่งเกินไป ผู้คนที่ตายใต้คมดาบวิเศษเล่มนี้มีมากจนเกินไปแล้ว
กระต่ายแดงเพ่งมองไปที่อาวุธของจิ้งจอกจ้าวแล้ว กลับพบว่าไม่ใช่หนึ่งในสี่จตุรศาสตรา”ดาบอาบหิมะ”ดังคำเล่าขาน แต่กลับเป็นเหล็กแหลมที่คล้ายเอาไว้ใช้เขี่ยถ่านด้ามหนึ่งจริงๆ
“กาลก่อนข้ามีเรื่องบาดหมางกับผู้คนทั้งยุทธภพไปแล้ว หากครานี้มีขึ้นอีกครั้งจะเป็นไรไป”จิ้งจอกจ้าวตวาดเสียงเข้ม พร้อมง้างเหล็กแหลมภายในมือ
“ผู้อาวุโสช้าก่อน!!” เสียงหนึ่งดังขึ้นทัดทานไว้
มิใช่เสียงของกระต่ายแดง มันแม้คิดร้องห้ามไปแต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงออกมา ต้นเสียงนี้กลับดังมาจากทางด้านหน้าปากถ้ำ เมื่อมองไปปรากฏเงาร่างบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ในเงามืดถัดออกไปจากร่างฝ่ามือทรายเหล็ก คล้ายสถานการณ์ก่อนหน้านี้แต่ยามนี้กระต่ายแดงอยู่ที่สว่างบุรุษผู้นั้นอยู่ที่มืด แม้ชายหนุ่มจะพยายามเพ่งสายตามองไปเท่าใดก็ไม่สามารถมองผ่านแสงคบไฟออกไปจนถึงบุรุษเบื้องนอกได้
“คนเหล่านี้เป็นสุสานหยกขาวจัดส่งมา ผู้อาวุโสท่านคงไม่ไร้เมตตาเกินไปนัก”
เพียงได้ฟังคำ “สุสานหยกขาว” จิ้งจอกจ้าวก็ลดมือลง หันกายเข้าหาความมืดภายในตัวถ้ำแล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มหนักดังเดิมว่า
“เห็นแก่หน้าคนจากสุสานหยกขาว ครั้งนี้ข้าจะละเว้นพวกเจ้า ไสหัวไปซะ!”
กระพริบตาต่อมานักลอบสังหารเหล่านั้นก็จากไปกันหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงความมืดมิดยามสิ้นแสงคบไฟเช่นเดิม ดั่งที่มันเคยเป็นมาก่อนหน้า ผู้อาวุโสเหล็กแหลมยามนี้กลับกลายเป็นจิ้งจอกจ้าวผู้ยิ่งใหญ่ เหลือไว้แต่กระต่ายแดงที่ยังเป็นกระต่ายแดง ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบงัน ไร้ซึ่งบทสนทนากันดังกาลก่อน
ภาพที่กระต่ายแดงจดจำได้ก่อนที่แสงคบไฟจะจางหายไปคือภาพของจิ้งจอกจ้าวผู้ยิ่งใหญ่ กับใบหน้าที่แสนขื่นขมเมื่อได้ยินชื่อของ“สุสานหยกขาว”
ความคิดเห็น