คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เกาทัณฑ์ปรากฏ
รุ่งอรุณยังไม่ล่วงเลย
ประกายน้ำค้างเรืองแสงระยับยามจับต้องแสงอรุณ เจือด้วยไอหมอกจางๆที่ลอยละล่องอย่างเฉื่อยชา แลดูละมุนตาน่าสัมผัส เคล้าด้วยไอดินและกลิ่นใบหญ้าที่โชยฟุ้งมามาโดยรอบ เสียงมวลหมู่สกุณาต่างชนิดร่ำร้องขานรับแสงตะวันที่ค่อยๆเจิดจ้าขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไป เงาไม้ที่เคยมืดมิดยามราตรีกลับกลายเป็นสีเขียวชอุ่มดังเดิมไปทั่วทั้งผืนป่า
ไม่ห่างกัน ชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งตื่นขึ้นมาประกอบสัมมาอาชีพกันตามปกติ ถนนเพียงเส้นเดียวที่ตัดผ่านกลางหมู่บ้านกลับมาคึกคักดังเดิมหลังจากหลับใหลไปในยามราตรี เจ้าของร้านรวงเริ่มเปิดกิจการค้าขาย ชายชาวไร่ชาวนาล่ำลาบุตรและภรรยาทางบ้านออกมาทำงาน คนเลี้ยงสัตว์ลากจูงสัตว์เลี้ยงของตนออกมาหาอาหารกิน ส่วนเด็กเล็กก็ออกมาวิ่งเล่นสนุกตามประสา นี่เป็นภาพปกติธรรมดาของหมู่บ้านแห่งนี้
แต่กิจวัตรทั้งหมดในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ถูกยุติลง ด้วยการมาถึงของนกพิราบสีขาวตัวหนึ่ง ขาข้างหนึ่งของมันผูกไว้ด้วยผ้าสีดำสนิท ที่ชายผ้าด้านหนึ่งปักไว้ด้วยรูปพยัคฆ์คำรามดุดันน่าหวั่นเกรงยิ่ง ทราบโดยทั่วไปว่านกพิราบตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้คนรู้จักกันดีในนาม พยัคฆ์เวหาแห่งสุสานหยกขาวนั่นเอง
ทันทีที่เห็นนกพิราบตัวนั้น กิจวัตรประจำวันทุกอย่างในหมู่บ้านนี้ก็ถูกยุติลงโดยพร้อมเพรียง ร้านรวงที่กำลังเปิดกิจการกลับปิดประตูร้านอย่างเร่งรีบ ชาวไร่ชาวนากลับเข้าไปในบ้านอย่างเร่งร้อน คนเลี้ยงสัตว์ทิ้งแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงของตนก่อนจะวิ่งหนีหายไป เด็กตัวเล็กตัวน้อยถูกบิดามารดาวิ่งมาอุ้มพวกมันเข้าไปในตัวบ้านหมดสิ้น
ขณะนี้ทั่วทั้งหมู่บ้านมองไม่เห็นเงาผู้คนแม้สักครึ่งคน ชาวบ้านต่างหลบซ่อนปิดประตูลงกลอนสนิทหมดทุกครัวเรือน คล้ายสรรพสำเนียงแห่งชีวิตโดยรอบบริเวณหยุดชะงักลงไป เหลือไว้แต่เสียงลมพัดผ่านถนนอันว่างเปล่าเท่านั้น
เพียงชั่วน้ำเดือด เสียงฝีเท้าอาชาหนักแน่นกลุ่มหนึ่งควบมาถึงหน้าหมู่บ้านแล้วหยุดลง มีเสียงผู้คนพูดพึมพำมิอาจจับใจความอันใดได้ ก่อนจะมีเสียงคนผู้หนึ่งลงจากหลังม้าเดินนำหน้าเข้ามาภายในหมู่บ้าน
“นี่ไม่คล้ายเป็นหมู่บ้านร้าง” น้ำเสียงแหบกร้านของบุรุษที่ลงจากหลังม้าเอ่ยต่อพรรคพวกที่อยู่ด้านหลัง
กลุ่มคนด้านหลังมิได้กล่าวอันใด นี่เป็นสถานการณ์ที่พวกมันประสบพบเห็นมาจนเคยชิน เมื่อคนของสุสานหยกขาวมาถึงที่ใด แม้เป็นหมู่บ้านที่สับสนวุ่นวาย กลับกลายเป็นป่าช้ารกร้างไปทั้งสิ้น
“ย่อมไม่มีผู้ใดคิดตอแยกับคนจากสุสานหยกขาว” เสียงบุรุษสูงวัยผู้หนึ่งกล่าวขึ้นจากกลุ่มผู้มาเยือน
“ท่านเห็นว่าควรทำเช่นไร?” คนอยู่ด้านหน้าสุดเอ่ยถาม
“มาเพื่อทวงของคืน มิได้มาคร่าชีวิตผู้คน” น้ำเสียงสตรีดังออกมาจากด้านหลัง
“สมควรเช่นนั้น” บุรุษสูงวัยสนับสนุน
ชายผู้ลงจากหลังม้าพยักใบหน้ารับเบาๆคราหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นต้องขออภัยพวกท่านล่วงหน้าก่อนแล้ว” จบคำปรากฏคลื่นลมปราณสายหนึ่งก็แผ่ขยายครอบคลุมทั่วทั้งหมู่บ้านไว้ทั้งหมด ก่อเกิดเสียงสะท้านกึกก้องความว่า
“โจรน้อย หากยอมไสหัวมาให้แก่บิดา บิดาจะละเว้นทุกชีวิตในหมู่บ้านแห่งนี้”
นี่เรียกว่าวิชาเสียงพันลี้ของชายเสียงแหบกร้านผู้นั้นเอง แต่เสียงมิได้ถ่ายทอดไปไกลพันลี้แต่กลับสะท้อนไปมาอยู่ภายในหมู่บ้านนั่นเอง หากผู้ที่ได้ยินมิใช่ผู้ฝึกยุทธ์แก้วอาจเสียชีวิตในทันที แม้แต่ชาวยุทธ์หากไม่สกัดจุดชีพจรไว้เมื่อได้ยินเสียงนี้จำต้องสิ้นสติอย่างแน่นอน
ไม่นานเสียงสะท้อนอื้ออึงก็ยุติลง
“วิชาปราณคันฉ่องอันยอดเยี่ยม” เสียงบุรุษสูงวัยเอ่ยชม
“ยกยอเกินไป” ชายคนเดิมกล่าวพร้อมกับกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ พบเห็นโลหิตหลายสายหลั่งไหลเล็ดลอดออกมาทางใต้ช่องประตูบ้าน เห็นชัดว่าผู้อยู่ด้านในคงมิอาจเหลือชีวิตรอดจากเสียงเมื่อครู่ไปได้ ทำให้มันบังเกิดความพอใจลึกๆในฝีมือของตนเอง
“โหดร้ายเกินไปแล้ว” น้ำเสียงสตรีด้านหลังดังขึ้น ทำให้มันต้องหยุดความเบิกบานใจลง
“นี่ต้องว่าพวกมันอ่อนแอเอง” มันหันกลับไปบอกต่อนางด้วยความไม่พอใจนัก มันไม่ชมชอบสตรีนางนี้มาก่อนหน้า ด้วยความคิดที่ว่าสตรีนั้นใจอ่อนเกินไปและยุ่งยากมากเกินไป
“หัวขโมยนั่นมันหลบอยู่ที่นี่จริงหรือ?”น้ำเสียงบุรุษอ่อนนุ่มอีกผู้หนึ่งดังขึ้น
“นกพิราบของประมุขนำมายังสถานที่นี้ ย่อมต้องเป็นสถานที่นี้ไม่ผิดเพี้ยน”
“หากผิดพลาดไป ถือว่าชาวบ้านพวกนี้สมควรตายเพียงแค่นั้น” ชายเสียงแหบตอบ
“ชีวิตคนในหมู่บ้านมากมาย ตายตกไปด้วยการมาของพิราบเพียงตัวเดียว นี่สมควรหรือ?” เสียงแก่ชราดังออกมาจากด้านหลังประตูบานหนึ่ง
“สุนัขโสโครกนิยมหดหัว!” ชายเสียงแหบตะโกนด่า
“สุนัขรับใช้สมควรตาย!” เจ้าของเสียงแก่ชราพลันปรากฏตัวออกมาพร้อมกระบี่ในมือ มันคือชายแก่ชราผู้หนึ่ง ดังเช่นน้ำเสียงของมัน แต่การเคลื่อนไหวมิได้เชื่องช้าตามอายุขัย กลับพุ่งทะยานออกไปหมายปลิดชีวิตศัตรูเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
“คนในหมู่บ้านซ่อนกระบี่ขอเสี่ยงกับพวกเจ้าแล้ว!”ชายชราคนเดิมตะโกนออกมา พร้อมกับการปรากฏร่างของนักบู๊หลายสิบคนที่เข้าตีวงล้อมคณะผู้มาเยือนไว้หมดสิ้น
“จำต้องทำให้ผู้อื่นเสียโลหิตอีกครั้งแล้ว” เสียงบุรุษสูงวัยบนหลังม้าเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงชักอาวุธออกจากฝัก
..
หลายวันต่อมา
ข่าวการเสียชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านซ่อนกระบี่ก็แพร่กระจายไปทั่วยุทธภพ
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ชาวยุทธ์ด้วยกันว่า หมู่บ้านซ่อนกระบี่นั้นเป็นสถานที่เร้นกายของเหล่านักบู๊ที่ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นในยุทธภพอีกต่อไป จึงซ่อนเงางำประกายมาใช้ชีวิตเฉกเช่นชาวบ้านธรรมดาสามัญ อาศัยหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่พำนัก โดยชาวยุทธ์ที่มีความคิดเช่นนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย ภายในหมู่บ้านซ่อนกระบี่นี้จึงมีชาวยุทธ์เข้ามาอยู่อาศัยไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน และในจำนวนนั้นก็มียอดฝีมือรวมอยู่ด้วยมากมาย นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หมู่บ้านซ่อนกระบี่อยู่มาได้อย่างสงบสุข จนกระทั่งนกพิราบขาวตัวหนึ่งบินมาถึงนั่นเอง
แม้มีคนส่วนใหญ่ทราบดีว่า มีเพียงคนจากสุสานหยกขาวเท่านั้นที่สามารถกระทำเรื่องชั่วช้าและโหดร้ายเช่นนี้ได้ แต่ถึงกระนั้นทางการก็ยังไม่สามารถเสาะหาคนทำผิดมารับโทษจากการฆ่าล้างหมู่บ้านซ่อนกระบี่ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้จึงสร้างชื่อให้แก่สุสานหยกขาวได้อีกมากมายนัก
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการฆาตกรรมหมู่ครั้งนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในยุทธภพ
ไม่เว้นแม้แต่ในเหลาสุราแห่งหนึ่ง
“พวกเจ้าว่ามันเกิดขึ้นจากเรื่องราวใด” นักบู๊ชั้นปลายแถวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นกลางวงสุรา ในมือมันเทสุราเรี่ยราดทิ้งพื้นไปด้วยความเมามาย
นักบู๊อีกคนตอบกลับมาด้วยใบหน้าแดงฉานจากฤทธิ์สุราเช่นกัน
“คงเป็นหนึ่งในพวกมัน เคยมีเรื่องบาดหมางกับคนในสุสานหยกขาวมาก่อนหน้าที่จะเข้าไปอาศัยในหมู่บ้านกระมัง?”
“คาดว่ามิใช่ คนในหมู่บ้านซ่อนกระบี่ล้วนไม่ยอมรับคนที่สะสางเรื่องหนหลังในยุทธภพไม่จบสิ้นเข้าไปในหมู่บ้าน คนที่เข้าไปอาศัยในหมู่บ้านได้ ต้องเป็นผู้ชำระเรื่องราวบุญคุณความแค้นจบสิ้นแล้วเท่านั้น” นักบู๊คนที่สามเอ่ยพร้อมเอามือสองข้างจับศีรษะไม่ให้มันโยกไปมา
“แต่ข้าคิดว่า คนจากสุสานหยกขาวตั้งใจฆ่าล้างหมู่บ้านนั่นอยู่แต่เดิมแล้ว มิได้มีเหตุผลอื่นใดเลย” คนที่สี่ในวงสุราบอกด้วยดวงตาหรี่ปรือ พิษจากสุราทำให้พวกมันแปรสภาพเป็นผู้คนไม่ปกติไปสิ้น
“พวกเจ้าผิดทั้งหมด
ดดด!!!” นักบู๊คนแรกตะโกนบอก ถามทำสีหน้ายิ้มย่องที่ตนเองรู้มากกว่าสหายร่วมวงสุรา ทั้งสามคนที่เหลือต่างนิ่งชะงัก มองใบหน้ากันและกัน ก่อนทำทีทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังสหายของพวกมันเล่าเรื่องราวต่อ
“กล่าวตามความสัตย์
ข้ารู้มาว่าคนของสุสานหยกขาวนั้น
ตามหาของบางอย่างอยู่
”
“เรื่องเกี่ยวอันใดกับหมู่บ้านซ่อนกระบี่เล่า?” นักบู๊ใบหน้าแดงสอดขึ้นกลางคัน ผู้เล่ากระดกสุราขึ้นอึกใหญ่ก่อนตะหวาดมันกลับไป
“เพราะมันเป็นของสำคัญมาก!!”
“คงมิใช่ยอดเกาทัณฑ์นั่น” นักบู๊ตาหรี่ปรือคาดเดา
“ใช่!!” เสียงนักบู๊คนแรกย้ำเสียงหนักแน่น ทำเอาสหายทั้งสามแทบร่วงลงจากที่นั่งของตน
“เป็นของวิเศษเกาทัณฑ์หมื่นลี้คันนั้น !?”
“มิผิด
ข้าได้ยินมาเช่นนั้น” มันตอบด้วยสีหน้าภูมิใจในตนเองอย่างมากมาย แต่ความภูมิใจก็ถูกขัดจังหวะลงไปในทันที จากซุ่มเสียงหนึ่งทางด้านหลังพวกมัน เป็นกลุ่มชายฉกรรจ์หกคนสวมชุดสีน้ำตาลไหม้ในมือกุมกระบี่มั่น ชายผู้ที่ดูเหมือนเป็นผู้นำกลุ่มใช้กระบี่ที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่ามีราคาค่างวดมากกว่าคนอื่นอยู่มากนัก
“ไม่ทราบสหายท่านนี้ ได้ยินข่าวมาจากที่ใด” ผู้นำกลุ่มคนชุดสีน้ำตาลไหม้เอ่ยถาม
“เจ้าเป็นใคร ไยไม่รู้จักคำว่ามารยาท” นักบู๊หน้าแดงบอก
“พวกเราเรียกว่า กิ่งไม้ผุ ขออภัยที่มิได้แนะนำ” ชายผู้นั้นตอบ
“เป็นท่าน!”
นักบู๊คนที่ตาหรี่ปรือแทบหลับกลับเบิกตาโพล่งมองบุรุษตรงหน้า พบเห็นว่าใบหน้าของบุรุษผู้นี้ยาวแหลม คิ้วยาวเข้มประดุจปีกเหยี่ยว นัยน์ตาหยาบกร้านดังผู้สูงวัย ทั้งที่อายุของมันไม่น่าจะเกินสามสิบปี
“เป็นท่านจริงๆ”มันย้ำ
“ท่านรู้จักเราหรือ?”
“ย่อมรู้ รู้ดียิ่ง ท่านคือ บุรุษชรา ฉายาเจ็ดก้าวมรณะ นักล่าเงินรางวัลจากส่วนกลาง”
“ชื่อเสียงเป็นเพียงสิ่งจอมปลอม เราแก่ชราไม่นานก็ตกตายแล้ว ขออภัยที่จำสหายท่านมิได้” บุรุษชราตอบ
“เรามิใช่สหายกัน แต่หากท่านจำได้สามเดือนก่อน ขณะพวกท่านตามล่าฆาตกรที่ทางการต้องการตัวจนมาถึงหมู่บ้านข้า พวกท่านถึงขนาดวางยาพิษลงในแหล่งน้ำเพื่อปลิดชีวิตฆาตกรรายนั้น” มันเล่าด้วยสีหน้าคับแค้น
“อ้อ
ผู้นั้นมีค่าหัวเพียงไม่กี่ร้อยตำลึง แม้แต่ชื่อข้าก็ลืมเลือนมันไปแล้ว...เราแก่ชราจริงๆ” ผู้นำคนชุดน้ำตาลพูด
“เจ้า
เพื่อเงินไม่กี่ร้อยตำลึง
ยาพิษที่เจ้าใส่ลงในบ่อน้ำ
กลับฆ่าล้างครอบครัวข้าหมดสิ้น” พูดจบน้ำตาทั้งสองข้างของมันก็เอ่อล้นออกมา มันกัดฟันแน่นสนิทจนเส้นโลหิตบนขมับเป่งพอง สองมือมันกำแน่นราวกำจะหลอมรวมนิ้วทั้งหมดเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แค้นที่สูญเสียครอบครัวถึงคราวที่ต้องชำระแล้ว
“
เชิญท่าน” บุรุษชราพูด
จบคำ เสียงกระบี่ฟาดตัดผ่านลำคอดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาครั้งหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงสอดกระบี่คืนฝักดังเดิม
“อย่าได้คับแค้นใจเกินไป ท่านได้อยู่กับครอบครัวท่านแล้ว
ทิ้งคนแก่ชราตายตามไปทีหลัง”บุรุษชราบอกต่อร่างไร้ศีรษะของนักบู๊คนนั้นที่ล้มลงไปจมกองโลหิต ทั้งใบหน้าที่น้ำตายังไม่หยุดไหลริน
เมื่อเห็นภาพการเข่นฆ่ากันดังนี้ ผู้คนภายในเหลาสุราก็ทยอยออกจากเหลาไปเกือบหมดสิ้น หลงเหลือไว้แต่ผู้นิยมชมชอบเห็นการหลั่งโลหิตนั่นเอง
“พวกเรากิ่งไม้ผุ หากหมายหัวผู้ใดย่อมไม่มีใครหนีพ้นไปได้”
“คราวนี้ท่านบอกต่อเราได้หรือยังว่า ท่านได้ยินข่าวนี้มาจากที่ใด?” บุรุษชราถามคำถามเดิม
“กล่าวตามความสัตย์
.ข้า
ข้าไม่รู้” นักบู๊คนที่หนึ่งตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ สหายของมันตายไปอย่างงมงายนัก ความแค้นมิทันได้ชำระ ก็มาตายไปอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเองก็ไม่ต้องการเป็นอย่างสหายมันเช่นกัน
“โอ
หรือว่าเราแก่ชราแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านกล่าวว่าท่านทราบ ต่อมาท่านกล่าว่าไม่ทราบแล้ว นี่เรียกว่าความสัตย์หรือ?” ใบหูข้างหนึ่งของนักบู๊ผู้นั้นถูกตัดสะบั้นออกมาอย่างรวดเร็ว เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาในทันที
”พวกท่านอย่าได้บีบคั้นเรามากเกินไป อย่างไรเสียพวกเรา...” ยังมิทันจบประโยค กระบี่จากชายชุดน้ำตาลไหม้ผู้หนึ่งพุ่งเสียบทะลุกลางหน้าอกของนักบู๊หน้าแดงสิ้นใจไปในทันที
“เราถาม ท่านตอบ เรามิได้ถาม ท่านมิต้องรีบตายเกินไป”
“เราเปลี่ยนคำถามแล้ว เราอยากรู้ว่าท่านทราบเรื่องใดบ้าง” บุรุษชราบอก
“
เรา
เราทราบมาว่า เกาทัณฑ์หมื่นลี้ถูกขโมยออกจากสุสานหยกขาวไป ผู้ขโมยหลบหนีไปทางหมู่บ้านซ่อนกระบี่ คนจากสุสานหยกขาวนึกว่าหมู่บ้านซ่อนกระบี่ให้การช่วยเหลือโจรผู้นั้น พวกมันจึงฆ่าล้างหมู่บ้านสิ้นไป” คำตอบเช่นนี้นับว่าเป็นที่น่าพอใจต่อบุรุษชราอยู่บ้าง
“คนจากสุสานหยกขาวได้เกาทัณฑ์กลับไปหรือไม่?” มันถามต่อ
“ข้าไม่แน่ใจ แต่คาดว่าคงยังมิได้กลับไป เพราะคนจากสุสานหยกขาวยังกระจายกำลังกันอยู่ทั่วทุกสารทิศยามนี้” นักบู๊ตอบพลางใช้มือทั้งสองพยายามห้ามเลือดที่ใบหูข้างซ้ายของมันอย่างยากเย็น
“แสดงว่ายามนี้เกาทัณฑ์เข้ามาอยู่ในยุทธภพแล้ว” ผู้นำกลุ่มกิ่งไม้ผุหันกลับไปบอกต่อสหายร่วมแนวทั้งห้าคนที่เหลือ สายตาของพวกมันล้วนสื่อความหมายไปในแนวเดียวกันคือ ตามล่าเกาทัณฑ์เพื่อนำมาเป็นช่องทางสร้างความร่ำรวยในอนาคตต่อไป
“ขอบคุณท่านที่เมตตาเราคนแก่ชรา นี่เป็นยาห้ามโลหิตมอบเป็นรางวัลแด่ท่าน”บุรุษชราจึงโยนถุงยาให้ แต่ไม่ทันที่นักบู๊จะรับถุงยา คมกระบี่จากฝีมือบุรุษชราก็พุ่งเข้าตัดผ่านลำคอของนักบู๊คนนั้นไป
ซึ่งความจริงบุรุษชราหมายจะให้มันเป็นเช่นนั้น แต่มันหาได้เป็นเช่นต้องการไม่
กระบี่ของบุรุษชราหยุดยั้งลงห่างจากลำคอของนักบู๊ใบหูขาดอยู่ไม่ถึงหนึ่งนิ้ว มันถูกหยุดไว้ด้วยอาวุธชนิดหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในผ้าดิบสีขุ่นมัว เผยเพียงสีดำสนิทลอดออกมาตรงรอยขาดเมื่อผ้าถูกกระบี่ของบุรุษชราตัดขาดไป
“จอมยุทธ์ท่านไยเข้ามาขัดขวางเราผู้แก่ชราแล้ว”
บุรุษชราที่คิดฆ่าปิดปากนักบู๊พวกนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวเกาทัณฑ์หมื่นลี้กลับคืนสู่ยุทธภพแพร่กระจายออกไปได้อีก หากข่าวนี้ตกถึงหูยอดฝีมือทั้งหลาย เกรงว่าพวกมันยากที่จะชิงเอามาไว้เป็นสมบัติของกลุ่มตนเองได้
ด้านผู้ยื่นมือเข้ามาขวางกระบี่สังหารเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ประมาณอายุเพียงยี่สิบต้นๆ สวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากหนังสัตว์ป่า ใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเคราคล้ายเป็นพรานป่าผู้ไม่นิยมการดูแลรักษาความสะอาดของตนเองนัก มันไม่คิดกล่าวกระไรต่อบุรุษชรา แต่กลับก้มกายลงเก็บถุงยาห้ามโลหิตที่ตกอยู่แล้วยื่นใส่มือนักบู๊ใบหูขาดผู้นั้น
“ขอให้บาดแผลท่านหายในเร็ววัน” มันบอก
นักบู๊ผู้นั้นรับถุงยาพร้อมเอ่ยคำขอบคุณอยู่ไม่ขาดปาก หากไม่มีชายผู้นี้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไว้ บาดแผลที่หูข้างซ้ายของมันอาจไม่ต้องรักษาอีกแล้วตลอดชีวิต
“ท่านนำสหายของท่านไปรักษาตัวเถิด”
ผู้มาใหม่บอกต่อนักบู๊อีกคนหนึ่งที่ยังนั่งตัวสั่นกับเหตุการณ์ระทึกขวัญตรงหน้า เพียงชั่วครู่สหายร่วมไหสุราของมันสิ้นลมหายใจไปแล้วถึงสองราย เมื่อได้ยินคำบอกกล่าวเช่นนี้คล้ายได้ยินเสียงสวรรค์ประทานลงมา ตัวมันรีบลุกขึ้นพาสหายใบหูขาดของมันออกจากเหลาแห่งนี้ไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเร็ว
เมื่อนักบู๊ทั้งสองจากไปแล้ว ชายหนุ่มที่แต่งตัวคล้ายพรานป่าก็หันกายคิดเดินกลับยังโต๊ะที่ตนนั่งดื่มกินอยู่ก่อนนี้ หากแต่ทางเดินกลับถูกปิดไว้ด้วยกิ่งไม้ผุทั้งห้าคน ขวางกั้นเป็นกำแพงมนุษย์มิให้มันเดินผ่านไป
“ไม่ทราบจอมยุทธ์ท่านนี้เรียกว่าอะไร” บุรุษชราเอ่ยถามผู้ขัดขวางการสังหารของตน
“หลีกทาง” มันตอบ
บุรุษส่งสายตาบอกต่อสหายทั้งห้าคนให้เตรียมพร้อม เพราะมันสังเกตได้ว่ามันผู้นี้มีฝีมือมิใช่ชั่ว ทั้งความแม่นยำและความรวดเร็วยามลงมือนั้นจัดว่าเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง หากปล่อยให้พรานป่าผู้นี้ชิงลงมือก่อน เกรงว่าพวกมันทั้งหกอาจตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำได้อย่างง่ายดาย
“ท่านคงไม่คิดบาดหมางกับเรากิ่งไม้ผุกระมัง” บุรุษชรากล่าวซ้ำ
“ย่อมไม่อยาก”
กล่าวจบคำพรานป่าผู้นั้นกลับเดินไปถึงโต๊ะของตนเองแล้วนั่งลงอย่างสะดวกดาย คล้ายไม่มีผู้ใดสามารถสกัดขัดขวางตนเองเอาไว้ได้ การเคลื่อนไหวเมื่อครู่กำแพงมนุษย์ทั้งห้าได้แต่ยืนตะลึงงัน พวกมันคล้ายถูกวิญญาณร้ายหลอกหลอนจนซึมเซา ไม่อาจเข้าใจได้ว่าพรานป่าผู้นั้นเดินผ่านพวกมันไปได้อย่างไร
“หยุดไว้!!” เสียงบุรุษชราตะโกนบอก
มันทะยานติดตามไปหมายชำระความอับอายแทนสหายทั้งห้าของมัน แต่ก็ต้องยั้งฝีเท้าของตนไว้เมื่อเห็นว่าพรานป่าผู้นั้นมิได้นั่งอยู่เพียงลำพัง ด้านตรงข้ามของมันนั่งไว้ดูชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบางคนหนึ่ง โดยนั่งหันหลังให้แก่บุรุษชรา หากมองจากทางด้านหลัง ดูมันเป็นชาวบ้านธรรมดาสามัญไม่คล้ายมีพิษสงอันใด แต่บรรยากาศโดยรอบชายธรรมดาผู้นั้นกลับเคลือบไว้ด้วยรังสีการฆ่าฟันชนิดหนึ่ง ที่มีแต่ชาวยุทธ์เท่านั้นจึงจะรับทราบได้ บุรุษชรารับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าหากเข้าใกล้มันทั้งสองไปมากกว่านี้ อาจไม่มีโอกาสชำระล้างความอับอายให้สหายทั้งห้า รั้งแต่จะสร้างความอับอายใส่ตัวเองเสียอีกด้วย
“ไม่ทราบมียอดฝีมือมาดื่มกินในที่นี้ เราบุรุษชราได้แต่แสดงความขายหน้าออกมาแล้ว” มันบอก
“พวกเราต่างแก่ชราไยต้องมากพิธีไป ข้ามาทำกิจธุระเล็กน้อย เสร็จแล้วสมควรจากไป”ชายผู้นั่งหันหลังบอก
“ขอท่านหมั่นฝึกปรือให้มากไว้” ครานี้ชายคนเดิมกล่าวกับพรานป่า ก่อนมันจะลุกยืนขึ้น หันกายแล้วเดินจากเหลาไป
บุรุษชรามิอาจสังเกตเห็นใบหน้าของชายชาวบ้านผู้นี้ได้ชัดนัก เนื่องจากมันก้มศีรษะต่ำคล้ายผู้เหนียมอายยามถูกผู้คนจ้องมอง แต่เพียงช่วงพริบตาที่มันเดินผ่านบุรุษชรา ผู้นำกลุ่มกิ่งไม้ผุรู้สึกคล้ายลมหายใจขาดห้วงไปชั่วขณะ สายตาที่เคยสดใสกลับมืดบอดลงไป ดั่งมีพญามัจจุราชกระชากเอาขวัญอันแข็งกล้าของมันไปทิ้งเสียหมดสิ้น เมื่อสติสัมปชัญญะหวนคืนมาดั่งเดิมได้บุรุษชราก็พบว่าตนเองเหงื่อกาฬหลั่งไหลจนชุ่มฝ่ามือไปหมดแล้ว
“ท่านโปรดรักษาสุขภาพ” นี่เป็นประโยคที่ชายชาวบ้านผู้นั้นทิ้งไว้ก่อนเดินจากเหลาไป โดยไม่อาจทราบได้ว่ามอบไว้ให้แก่ผู้ใด
“เมื่อครู่ท่านสนใจเรื่องเกาทัณฑ์หมื่นลี้ใช่หรือไม่?” เสียงพรานป่าดังขึ้น กระชากขวัญอันกระจัดกระจายของบุรุษชราเข้าสู่สภาพปกติ
“ไม่แน่นักว่าจะสนใจ”
“ข้ามั่นใจว่าท่านต้องสนใจ”
บุรุษชราไม่อาจเข้าใจความหมายที่พรานป่าพูด แต่เรื่องความสนใจเกาทัณฑ์หมื่นลี้นั้น ย่อมสนใจแน่นอน
“ท่านดู!”
พรานป่าผู้นั้นกระชากห่อผ้าดิบให้ขาดออก เผยให้เห็นหนึ่งในจตุรศาสตราที่ขนานนามกันเลื่องลือทั่วยุทธภพชนิดหนึ่ง มันคือยอดเกาทัณฑ์ที่สามารถยิงได้ไกลเท่าเส้นขอบฟ้านามว่าเกาทัณฑ์หมื่นลี้นั่นเอง
ทันทีที่ผ้าถูกกระชากออกผู้คนโดยรอบแทบไม่เชื่อสายตาว่าจะได้เห็นหนึ่งในจตุรศาสตราอันล้ำค่าในที่แห่งนี้ ได้แต่ส่งเสียงอื้ออึงไม่เชื่อในสองตาของตนเองทั้งสิ้น มีแต่เพียงบุรุษชราที่มิอาจกล่าวคำใดออกจากปากได้ ความรู้สึกตื่นตระหนกใจจากชายชาวบ้านเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น มีแต่เพียงความยินดีปรากฏอยู่ทั่วทั้งใบหน้า ประหนึ่งได้ยอดเกาทัณฑ์มาครอบครองไว้แล้วก็ไม่ปาน
“มันเป็นของจริง?” บุรุษชราเอ่ยถาม
“ย่อมจริง” พรานป่ามิได้พูดเปล่า กลับปล่อยให้บุรุษชราหยิบเกาทัณฑ์คันนั้นไปพิจารณาดู บุรุษชราประคองมันขึ้นด้วยสองมืออย่างแผ่วเบาด้วยเกรงว่าของวิเศษล้ำค่านี้จะแตกออก หากลงมือกับมันโดยแรง
“โอ
หากสายตาเราไม่แก่ชราเกินไป นี่คือยอดเกาทัณฑ์ที่แท้” บุรุษชรากล่าวเมื่อพิจารณาทุกสัดส่วนของเกาทัณฑ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน คันเกาทัณฑ์รมด้วยสีดำสนิทดุจนภาไร้สรรพแสง ซ้ำยังเคล้ากลิ่นโลหิตจางๆจากเนื้อไม้ที่ใช้ กอปรกับสายป่านเหล็กไหลสีเทาละมุนตาที่ผูกรั้งสายอยู่ นี่เป็นสมบัติล้ำค่าของยุทธภพอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“ท่านคิดราคามันเท่าใด? พึงบอกต่อท่านไว้ว่าอย่าได้ขูดรีดกันเกินไปนัก อย่างไรเราต่างแสวงหากำไรด้วยกันทั้งสองฝ่าย” บุรุษชราบอก
“ท่านผู้แก่ชรา ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
“ไฉนเข้าใจผิด เราเป็นนักล่าเงินรางวัล ถึงท่านเรียกราคามากมายเท่าไร ประกันข้าสามารถหามาจ่ายให้แก่ท่านได้”
“มิใช่เรื่องราคา”
“หากท่านต้องการอื่นใดข้าสามารถหามากำนัลให้แก่ท่านได้ พวกเราเองรู้จักกับขุนนางในวังหลวงอยู่บ้าง การที่จะสนับสนุนท่านในตำแหน่งหน้าที่คงไม่ยากเย็นอันใด” มันอธิบาย
“ท่านต้องการมันจริงหรือ?”
“เพียงท่านเสนอสิ่งที่ท่านต้องการมา หากผู้แก่ชราหากยังมีชีวิตจะนำมามอบแก่ท่านแน่นอน”
พรานป่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความจริงสิ่งที่มันอยากได้ก็มีอยู่มากหลาย เกรงว่าบอกไปบุรุษชราจะหามากำนัลให้แก่มันมิได้ แต่ในที่สุดมันก็นึกได้
“ท่านต้องการสิ่งใด”
บุรุษชราเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าพรานป่านึกสิ่งที่ตนต้องการออกแล้ว
“ข้าต้องการเกาทัณฑ์!!”
พอจบคำ ยอดเกาทัณฑ์ที่เคยอยู่ในมือบุรุษชรากลับถูกพรานป่าสะบัดผ้าม้วนชิงเอาเกาทัณฑ์กลับมาอยู่ในมืออย่างง่ายดาย คล้ายนิ้วมือทั้งสิบของผู้นำกิ่งไม้ผุนั้นไร้ซึ่งกระดูกเส้นเอ็นไปทั้งหมด สร้างความประหลาดใจต่อผู้ที่พบเห็นนัก
“เจ้า!!!!”
บุรุษชราตะลึงงันกับเหตุการณ์ตรงหน้า คิดพุ่งเข้าไปยิงชิงเกาทัณฑ์กลับคืนมา แต่ยังช้ากว่าพรานป่าผู้นั้นอยู่หลายช่วงตัว มันพุ่งทะยานออกไปหยุดยั้งอยู่ที่หน้าประตูเหลาแล้ว
“จับมันไว้!!”
เหล่ากิ่งไม้ผุทั้งห้าเมื่อได้ยินเสียงบุรุษชราสั่ง ก็โถมทะยานตัวเข้าไปหมายจับพรานป่าโดยพลัน แต่ก็ยังช้ากว่าอีกเช่นเดิม เป้าหมายของพวกมันกระโดดหายลับสายตาไปแล้ว
“
มันเป็นผู้ใดกัน!! ”
“มันคิดท้าทายพวกเรา” คนหนึ่งในกลุ่มมันกล่าวออกมา
“ตามข้ามา”บุรุษชราที่กำลังหัวเสียอย่างหนักที่ไม่อาจครองหนึ่งในจตุรศาสตราเอาไว้ในมือได้กล่าวออกมาก่อนทะยานออกไปด้วยวิชาตัวเบานำหน้าสหายร่วมกลุ่มของมันไป ในใจของมันนั้นหวังไว้ก็แต่เพียงเกาทัณฑ์หมื่นลี้จะยังไม่ตกอยู่ในมือของยอดฝีมือคนอื่นก่อนหน้ามัน
..
ดวงตะวันยามเที่ยงสาดแสงระอุอุ่น
ห่างจากเหลาสุราแห่งเดิมไปไกลโข บนทางถนนมีอาชาควบเหยาะสองตัวโดยมิได้ใส่ใจต่อสภาพอากาศโดยรอบ บนหลังของมันตัวหนึ่งนั่งไว้ด้วยชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดชาวบ้านธรรมดาสามัญ บนศีรษะสวมหมวกสานปีกกว้างดั่งเช่นนักเดินทางธรรมดาทั่วไป ถัดจากมันไปทางด้านหลัง อาชาอีกตัวหนึ่งนั่งไว้ด้วยชายหนุ่มอ่อนวัยกว่า สวมใส่อาภรณ์ที่ตัวเย็บจากหนังสัตว์คล้ายนายพรานผู้หนึ่ง บนศีรษะมันก็ใส่ไว้ด้วยหมวกชนิดเดียวกัน จะมีก็แต่ห่อผ้าขนาดใหญ่ที่มันสะพายไว้ด้านหลัง อันเป็นจุดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่งแก่ผู้พบเห็น
“ท่านอาสาม ท่านยังโกรธเรื่องเมื่อครู่นี้อยู่หรือ?”
เสียงชายหนุ่มที่ควบม้าอยู่ทางด้านหลังเอ่ยถามขึ้น ตัวมันมีนามว่า กระต่ายแดง มันเป็นคนเดียวกันกับผู้ก่อกวนบุรุษชราเมื่อครู่ และเป็นมันเองที่ขโมยเกาทัณฑ์หมื่นลี้ออกมาจากสุสานหยกขาว
“มิได้โกรธเจ้าอันใด เพียงแต่ไม่พอใจอยู่บ้าง
เจ้ารู้หรือไม่ว่ากลุ่มคนเมื่อครู่นั้นเรียกว่าอะไร?”
ชายผู้ถูกเรียกว่าท่านอาสามรั้งบังเหยีนม้าให้ช้าลงก่อนตอบคำถามแก่มัน คนผู้นี้คือ หนึ่งในเจ็ดภูตแห่งสุสานหยกขาว ผู้อยู่ในตำแหน่งภูตลำดับที่สาม นามว่า ภูตกระชากขวัญ ตัวมันมีศักดิ์เป็นอาของชายหนุ่มนามกระต่ายแดงและเป็นผู้ช่วยเหลือกระต่ายแดงขโมยเกาทัณฑ์หมื่นลี้ออกมาจากสุสานหยกขาวเช่นกัน
“ได้ยินว่ามันชื่อกิ่งไม้ผุ” ชายหนุ่มตอบ
“มิผิด มันทั้งหกเรียกว่ากิ่งไม้ผุ เป็นนักล่าเงินรางวัลมือดีของกรมเมืองส่วนกลาง หากไม่นับยอดมือปราบทั้งหมดแล้ว กลุ่มของมันนี้นับเป็นกลุ่มที่ทางการให้ความเชื่อใจอยู่มากหลาย ผู้นำกลุ่มของมันเรียกว่าบุรุษชรา มีวิชากระบี่อยู่ในระดับยอดฝีมือทั้งยังมีชื่อเสียงในยุทธภพอยู่บ้าง ส่วนผู้ติดตามทั้งห้านั้นคล้ายคิดอ่านดุจคนคนเดียวกันเป็นดั่งแขนขาให้แก่บุรุษชราโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เรียกว่าความสามัคคีของพวกมันนั้นเทียบได้เท่ากับเจ็ดนักพรตในอดีตก็ไม่ปาน ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้พวกมันจับกุมนักบู๊นำไปขึ้นค่าหัวมาแล้วไม่รู้กี่มากน้อย แม้แต่จอมยุทธ์ยอดฝีมือบางคนก็ยังเสียทีให้แก่กลุ่มมัน”
“เป้าหมายครั้งหน้าของพวกมันคงเป็นสิ่งที่อยู่บนหลังเจ้าแน่แล้ว” อาสามอธิบาย
ชายหนุ่มในชุดพรานป่ายิ้มรับ มันหาได้เกรงกลัวไม่ กระต่ายแดงเช่นมัน ถือกำเนิดมาให้ผู้อื่นไล่จับมันตั้งแต่แรกเริ่ม
“เรากำลังจะไปไหนกันหรือ?” ชายหนุ่มถาม
อาสามกระตุ้นอาชานำหน้าไปก่อนแล้วจึงบอกว่า
“เขตป่าเบื้องหน้ามีพื้นที่รกร้างผู้คนอยู่ ข้าเตรียมที่พักให้เจ้าไว้ที่นั่น”
ครึ่งชั่วยามต่อมา
กระต่ายแดงก็พบกับป่าดั่งคำอาสามของตนบอก เพียงแต่ป่านี้ดูรกชัฏเกินไป ต้นไม้ต่างๆดูใหญ่โตผิดไปจากขนาดจริงของมันทั้งหมด พืชพรรณหลากหลายชนิดขึ้นเบียดเสียดกันแน่นขนัดทั้งบริเวณ ต่างแยกกิ่งก้านสาขาคล้ายเป็นหลังคาใบไม้ขนาดใหญ่ปิดกั้นมิให้แสงแดดส่องเล็ดลอดลงมาสู่พื้นดินเบื้องล่างได้ ทำให้บรรยากาศทั้งผืนป่าปกคลุมไปด้วยไอความชื้นและกลิ่นแปลกประหลาดต่างๆนาๆ ยิ่งเดินลึกเข้าไปยิ่งคล้ายแสงตะวันยิ่งอ่อนแรงลง ความมืดค่อยๆกลืนกินผืนป่าไปตามระยะทางที่เดินเข้าไป ความชื้นเมื่อครู่กลายเป็นความยะเยือกขึ้นมาในทุกห้วงลมหายใจ หากมิใช่ขณะที่เดินเข้ามาในป่านั้นเป็นเวลากลางวันแล้ว ชายหนุ่มย่อมมิอาจเชื่อแน่ว่ายามนี้เป็นเวลากลางวัน เพราะบัดนี้ความมืดมิดปกคลุมไปทั่ว จนมันมิอาจมองเห็นกระทั่งมือของมันเอง
“ท่านอา” ชายหนุ่มส่งเสียงเรียกเมื่อเงาหลังของบุรุษวัยกลางคนหายลับไปในความมืด
คบไฟดวงหนึ่งถูกจุดขึ้นมาแทนที่ อาสามมิได้เอ่ยวาจาใดๆ เพียงส่งสัญญาณให้เดินมันต่อไป
“ที่นี่!”
คบไฟถูกดับลง แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องแสงเล็ดลอดใบไม้ลงมาได้อีกครั้ง แต่ความหนาวเย็นโดยรอบยังคงไม่เจือจางลงไป เบื้องหน้าชายหนุ่มเผยให้เห็นบ้านต้นไม้หลังหนึ่งที่ถูกสร้างไว้อย่างลวกๆระหว่างง่ามของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
สถานที่นี้ดูไปไม่สามารถสร้างบ้านต้นไม้หลังใหญ่ขนาดนี้ได้และไม่สามารถเชื่อได้ว่าจะมีคนมาสร้างทิ้งเอาไว้ เพราะมันเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอยู่นัก หรือเรียกได้ว่าไม่น่าอยู่อาศัยด้วยประการทั้งปวงผู้ใดที่คิดมาอยู่ที่นี่ คงเป็นผู้คนวิกลจริตเกินผู้คนนัก
“นี่เคยเป็นบ้านของข้าเอง”
ภูตกระชากขวัญเอ่ยขึ้นเมื่อนำทางมาถึง ก่อนจะเดินนำหน้าชายหนุ่มเข้าไปในตัวบ้าน หากเรียกว่าเดินขึ้นคงไม่ถูกนัก เพราะประตูทางเข้าบ้านนั้นอยู่สูงเหนือพื้นดินกว่าสามสิบวา หากมิใช่จอมยุทธ์เกรงว่าต้องนอนอยู่เบื้องล่างเป็นแน่แล้ว
เมื่อเข้าไปภายในตัวบ้าน กลับปรากฏบรรยากาศอบอุ่นขึ้นขับไล่ความยะเยือกเมื่อครู่ไปหมดสิ้น ภูตกระชากขวัญเดินไปจุดตะเกียงดวงน้อยสองดวงแล้วจึงชี้มือไปทางขวาของตนเอง แทบไม่น่าเชื่อว่าตะเกียงเพียงสองดวงกลับทำให้ทั่วทั้งตัวบ้านสว่างและสดใสขึ้นมาได้ในบัดดล
“ทางด้านนั้นเป็นห้องนอน ภายในหีบด้านหลัง มีเสบียงเพียงพอสำหรับสิบห้าวันเป็นอย่างต่ำ ที่เหลือล้วนแต่เจ้าจัดหาเอาเองแล้ว”
กระต่ายแดงเดินสำรวจบ้านต้นไม้ตามที่อาสามของมันบอก เมื่อเดินไปตามทิศที่มือชี้มาก็พบกับเตียงไม้ไม้ที่แข็งแรงอยู่ตัวหนึ่ง และหีบไม้ขนาดใหญ่ที่จัดวางไว้ไม่ห่างกันมากนัก ภายในบรรจุไว้ด้วยเนื้อสัตว์หลายชนิดตากแห้งเก็บไว้อยู่หลายชิ้น ข้าวสารอีกหนึ่งถุงและสุราอีกหนึ่งไห ชายหนุ่มอดที่จะส่ายใบหน้าเพราะความผิดหวังในอาหารไปไม่ได้
“อาหารที่ท่านจัดเตรียมไว้นี่ คาดว่าคงมีแต่สุราที่จะหมดไป” มันบอก
ชายวัยกลางคนเข้าใจว่าหลานมันไม่ชมชอบอาหารที่จัดเตรียมไว้ให้ แต่มันก็ไม่ว่ากระไร กลับเดินไปยังตู้ไม้ขนาดใหญ่ ก่อนจะเอื้อมมือเข้าไปคว้าเอาสิ่งหนึ่งจากอกเสื้อตนเองมาวางไว้บนโต๊ะกลางบ้าน แล้วมันจึงกล่าวว่า
“มันเป็นตำราของท่านดาราอับแสง ผู้ที่สร้างเกาทัณฑ์หมื่นลี้ขึ้นมา ภายในเขียนไว้ด้วยสิ่งที่เจ้าควรรู้มากมาย เจ้านำไปศึกษาเถอะ”
ชายหนุ่มละสายตาจากหีบใบนั้นแล้วเดินออกมายังโต๊ะกลางบ้าน มันพบตำราเล่มหนึ่งวางไว้ด้านบน ปกตำราเล่มนั้นทาด้วยสีดำสนิทดุจพื้นนภายามราตรีที่ไร้สรรพแสงใด
“
.ขอบคุณท่าน” มันบอกก่อนรับตำรามาเปิดอ่านดู โดยที่ตัวมันเองนั้นไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีตำราเล่มนี้อยู่ในโลกหล้า มิเช่นนั้นยามก่อนที่ได้เกาทัณฑ์หมื่นลี้มามันจะต้องนำตำราเล่มนี้ออกมาพร้อมกันด้วยอย่างแน่นอน
หรือนี่เป็นตำราวิเศษที่ผู้คนล้วนกล่าวถึง ดั่งคำว่าจตุรศาสตราแต่ล่ะชนิดจะนำไปสู่ขุมทรัพย์และคัมภีร์ฝีมือลึกลับอีกมากหลาย
แต่ภายในตำรากลับไม่เป็นอย่างเช่นกระต่ายแดงคาดคิด มันกลับเขียนถึงวันที่สร้างเกาทัณฑ์สำเร็จ เขียนถึงสาเหตุที่สร้างเกาทัณฑ์ขึ้นมา เขียนถึงวัตถุดิบที่ใช้สร้าง เขียนถึงชนิดของต้นไม้โลหิตที่ใช้ และเขียนถึงวิธีใช้เกาทัณฑ์อย่างละเอียดยิ่ง
ก่อนสายตาของชายหนุ่มจะหยุดลงที่หน้ากระดาษแผ่นหนึ่ง มันเขียนไว้ด้วยประโยคเพียงสามประโยค
“เลี้ยงมันด้วยโลหิต จับมันด้วยลมปราณ ง้างมันด้วยกำลัง”
“ตลอดหลายปีมานี้ ยังไม่มีผู้ใดสามารถใช้เกาทัณฑ์คันนี้ได้ เพราะมันมิได้อ่านตำราเล่มนี้” ภูตกระชากขวัญเอ่ยขึ้น ดึงความสนใจจากกระต่ายแดงออกจากสามประโยคนั้นไป
“เป็นเช่นนั้นจริง?”
“เจ้าลองนำมันออกมาทดสอบดูเถอะ”
กระต่ายแดงไม่อาจเข้าใจในคำพูดที่ภูตกระชากขวัญบอก แต่มันยังคิดทดลองดู นับตั้งแต่มันขโมยเกาทัณฑ์หมื่นลี้จากสุสานหยกขาวมา มันยังไม่เคยใช้ยอดศาสตรานี้เลยสักครั้ง เนื่องด้วยมันเป็นอาวุธที่สะดุดตาผู้คนมากเกินไป หากนำมาใช้อาจดึงภัยอันตรายเข้ามาใส่ตัวผู้ใช้ได้ แทนที่จะสามารถขจัดเภทภัยให้แก่ผู้ใช้ดั่งเช่นศาสตราทั่วไปพึงกระทำ แต่มีเพียงครั้งเดียวที่กระต่ายแดงทำผิดไปจากข้างต้น ย่อมเป็นในเหลาสุราครั้งก่อนที่มันละเมิดกฎข้อนี้ไป เพียงเพื่อยั่วยุบุรุษชราแห่งกิ่งไม้ผุเหล่านั้นเอง
ชายหนุ่มหยิบเกาทัณฑ์ที่สะพายไว้ด้านหลังมาเปิดออก ยอดศาสตราที่ซ่อนตัวอยู่ในผืนผ้าขนาดใหญ่ ยามนี้ได้ถูกเปิดเผยออกมาหมดสิ้น ตัวเกาทัณฑ์ที่รมด้วยสีดำสนิทดุจพื้นนภาไร้สรรพแสง เจือด้วยกลิ่นคาวโลหิตบางเบา ขึงไว้ด้วยสายป่านเหล็กไหลทอแสงสีเทาแลดูละมุนตา
“ทดลองดู” อาของมันบอกอีกครั้ง
ชั่วเสี้ยววินาทีแรกที่มือของกระต่ายแดงสัมผัสถูกเกาทัณฑ์ ความรู้สึกหนึ่งแล่นปราดเข้าสู่ประสาทสัมผัส จนทำให้มันต้องกระชากมือออกมาโดยเร็ว มันเป็นความรู้สึกคล้ายถูกบาดด้วยของมีคมชนิดหนึ่ง
กระตุ้นความสงสัยในใจกระต่ายแดงขึ้นมา ชายหนุ่มทดลองอีกครั้งโดยใช้สองมือหยิบยอดศาสตราขึ้นมา น่าประหลาดที่ครานี้กลับไม่มีความรู้สึกดั่งถูกของมีคมบาดเลยสักนิดเดียว
จนกระทั่งมันถือเกาทัณฑ์ไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวเท่านั้น ความรู้สึกดั่งเช่นกำคมกระบี่ไว้ในมือก็บังเกิดขึ้นอีก ความเจ็บปวดครั้งนี้กัดลึกลงไปถึงข้อกระดูกนิ้วมือ ปวดร้าวไปตลอดทั้งช่วงแขนจนมิอาจถือเกาทัณฑ์ได้มั่น ก่อนปล่อยเกาทัณฑ์หลุดร่วงจากมือลงไป
“มือข้า
”
ชายหนุ่มหงายมือขึ้นสำรวจดู แต่กลับไม่พบบาดแผลใดๆบนฝ่ามือ แล้วจึงหันมามองยังท่านอาของมันด้วยสภาพเหงื่อกาฬไหลโทรมใบหน้า มุ่งหวังให้ภูตกระชากขวัญสามารถอธิบายคำตอบให้แก่มันได้
ภูตกระชากขวัญพยักใบหน้ารับครั้งหนึ่งเบาๆ
“เพราะเหตุนี้จึงเรียกว่า ไม่มีผู้ใดสามารถใช้มันได้ หากผู้ที่ได้ยอดศาสตราไป ยังมิได้อ่านตำราเล่มนี้ คราวหน้าหากเจ้าคิดลักขโมยสิ่งใด อย่าลืมศึกษาวิธีใช้มันก่อนด้วย”
“น่าขายหน้าแล้ว” กระต่ายแดงขายหน้าดั่งคำบอกจริงๆ
“คราวนี้เจ้าทดลองทำตามตำราเล่มบอกนั้นดูอีกครั้ง” อาสามพูด
“เลี้ยงมันด้วยโลหิต จับมันด้วยลมปราณ ง้างมันด้วยกำลัง” กระต่ายแดงหลุดประโยคที่ตนอ่านเมื่อครู่ออกมา
ภูตกระชากขวัญพยักหน้ารับเบาๆอีกครั้ง แล้วบอกว่า
“ก่อนอื่นเจ้าต้องให้มันรับรู้รสโลหิตของผู้เป็นนาย
ชายหนุ่มรับคำ มันกัดปลายนิ้วมือตนเองครั้งหนึ่งทำให้เกิดบาดแผลจนมีโลหิตสายหนึ่งหลั่งไหลออกมา ชายหนุ่มจึงใช้นิ้วมือนั้นสัมผัสลงไปยังตัวเกาทัณฑ์ ดั่งคำที่เขียนไว้ในตำราว่า “เลี้ยงมันด้วยโลหิต”
ในชั่วพริบตาที่บาดแผลนิ้วมือสัมผัสถูกยอดเกาทัณฑ์ โลหิตที่ปลายนิ้วคล้ายถูกสูบออกไปอย่างรวดเร็ว คล้ายจะสูบดึงนิ้วมือของกระต่ายแดงจมลึกลงไปในตัวเกาทัณฑ์ด้วยเช่นนั้น
เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว ภูตกระชากขวัญจำต้องฟาดฝ่ามือผลักร่างกระต่ายแดงออกจากแรงดึงดูดโลหิตของเกาทัณฑ์หมื่นลี้ในทันที
“ขอบคุณท่านอา” เสียงกระต่ายแดงพูดออกมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
เมื่อหลุดจากแรงดึงดูดโลหิตเมื่อครู่แล้วชายหนุ่มดูที่ปลายนิ้วของตน นิ้วที่โลหิตเคยหลั่งไหลเมื่อครู่ กลับกลายเป็นขาวซีดเผือด ไร้ซึ่งร่องรอยการมีอยู่ของโลหิตไปตลอดทั้งนิ้ว
“อันตรายนัก” มันบอกกับตนเอง
ท่านอาสามของมันเดินเข้ามาตบลงที่บ่าเบาๆ เพื่อเรียกเอาสติของหลานตนเองกลับมาแล้วบอกว่า
“ศาสตราชนิดนี้สร้างขึ้นมาจากต้นไม้โลหิตที่กล่าวกันว่าเป็นต้นไม้พิสดารหายากชนิดหนึ่ง เมื่อนำมาสร้างเป็นเกาทัณฑ์ก็สมควรมีขั้นตอนการใช้พิสดารแฉกเช่นเดียวกัน”
“คราวนี้เจ้าคงสามารถหยิบจับมันได้แล้ว” ภูตกระชากขวัญบอก
กระต่ายแดงระบายลมหายใจเบาๆ ก่อนยื่นมือไปหยิบเกาทัณฑ์ขึ้น ความรู้สึกคล้ายถูกของมีคมบาดเหมือนครั้งแรกนั้น สูญหายไปหมดอย่างน่าประหลาดใจ แม้จะถือเกาทัณฑ์ไว้ด้วยมือเดียวก็ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเกิดขึ้น ทำให้ใบหน้าชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาสายหนึ่งแล้วจึงวางเกาทัณฑ์ลงเช่นเดิม
“ยามนี้เกาทัณฑ์ก็ได้รู้รสโลหิตของเจ้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปคงง่ายขึ้นกว่าเดิม”
“หากเมื่อครู่ไม่ได้ท่านอาช่วยเหลือ เกาทัณฑ์นี่คงไม่เพียงรู้รสโลหิตข้า แต่คงสูบโลหิตข้าแห้งไปทั้งตัวเป็นแน่” กระต่ายแดงบอกพร้อมบีบนวดนิ้วมือข้างนั้นให้กลับมามีสีเลือดฝาดดังเดิม
“จับมันด้วยลมปราณ” กระต่ายแดงเอ่ยประโยคต่อไปออกมา
“ทดลองง้างสายมันดู” คำของภูตกระชากขวัญบอกพร้อมพยักใบหน้าเบาๆเช่นเดิม
ครั้งนี้กระต่ายแดงมิกล้าลงมือทำตามโดยง่าย เพราะเพียงขั้นตอนแรกก็ย่ำแย่มากเกินไปแล้ว หากขึ้นตอนที่สองนี้พิสดารกว่าขั้นตอนแรก เกรงว่าก่อนใช้เกาทัณฑ์นี้ได้ มันต้องตายไปก่อนแน่
และก็เป็นดั่งกระต่ายแดงคาดการณ์ไว้ เพียงมันยื่นมืออีกข้างเข้าใกล้สายเกาทัณฑ์ ลมหายใจของมันเริ่มติดขัด แน่นหน้าอกจนไม่สามารถเอ่ยวาจาใดๆได้ และเมื่อมือข้างเดียวกันนั้น สัมผัสถูกสายป่านเหล็กไหล ลมปราณทั่วร่างมันพาลปั่นป่วน คล้ายอสรพิษนับร้อยตัวชำแรกผ่านไปตลอดทั่วร่าง สร้างความเจ็บปวดยิ่งกว่าคำอธิบายใดๆจะบ่งบอกได้หมดสิ้น
จนกระทั่งเสียงฝ่ามือหนึ่งกระแทกเอามือข้างที่จับสายเกาทัณฑ์หลุดออกไป สภาวะปกติจึงกลับคืนสู่ร่างกระต่ายแดง
“ขอบคุณท่านอาที่ช่วยชีวิต” มันบอก ตัวมันหอบหายใจอย่างถี่กระชั้น ใบหน้าซีดเผือด โลหิตสายหนึ่งไหลตีขึ้นจากอวัยวะภายใน ก่อนมันจะกล้ำกลืนไว้มิให้กระอักออกมา หากเรียกว่าสภาวะปกติอาจไม่ถูกต้องนัก สมควรเรียกว่าสภาวะรอดชีวิตย่อมถูกกว่า
“มีเวลาอีกหลายวัน เจ้าอย่าได้รีบร้อนเกินไปนัก พักผ่อนก่อนเถอะ” ภูตกระชากขวัญบอกเมื่อเห็นสภาพของหลานตนเอง
“ท่านอาเดินทางมาอย่างยากลำบาก เชิญท่านพักผ่อนก่อน”
กระต่ายแดงพูดดุจเจ้าของบ้านบอกต่อแขกคนหนึ่ง ทำให้ภูตกระชากขวัญอดหัวเราะขึ้นมาครั้งหนึ่งมิได้
“เด็กน้อยพึ่งมาที่นี่เพียงไม่เท่าไร กลับทำวางก้ามเป็นเจ้าของบ้านแล้ว”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน ใบหน้าของมันดูมีสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว แม้มันจะเข้ามาอยู่ในบ้านต้นไม้ไม่นาน แต่บรรยากาศที่อบอุ่นโดยรอบนี้ ชวนให้นึกถึงบ้านที่มันคุ้นเคยจริงๆ
“น่าเสียดายที่ข้าต้องกลับไปแล้ว”
คำตอบของภูตกระชากขวัญทำเอาเสียงหัวเราะของกระต่ายแดงหยุดยั้งลงในทันที
“ท่านอา ท่านเดินทางมานาน ซ้ำยังต้องเดินทางในระยะทางไกล อยู่พักที่นี่สักคืนหนึ่งเถอะ”
“เป็นเพราะเดินทางครั้งนี้ใช้เวลานาน จำต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด เพื่อมิให้เกิดพิรุธอันใด”
ภูตกระชากขวัญบอกพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“ข้ายังมีอีกสิ่งหนึ่งคิดมอบให้แก่เจ้า”
ภูตกระชากขวัญเดินไปยังตู้ไม้ที่วางไว้ติดกับฝาผนังด้านหนึ่งของตัวบ้าน มันเปิดแล้วหยิบเอาของสิ่งหนึ่งออกมา มันบอกว่า
“นี่เป็นสมบัติเก่าของสหายข้า เมื่อมันตายจากไปก็ไม่มีผู้ใช้มันอีก”
ของที่ภูตกระชากขวัญหยิบมาคือ เกาทัณฑ์ที่ทำมาจากไม้เนื้อดีคันหนึ่ง มันถูกเก็บรักษาไว้อย่างดียิ่ง บ่งบอกให้เห็นถึงความใส่ใจของเจ้าของคนเก่าได้อย่างดียิ่ง
“ในขณะที่เจ้ายังไม่สามารถใช้ยอดเกาทัณฑ์ได้ ให้เจ้าใช้สิ่งนี้ฝึกวิชาฝีมือไปก่อนแล้ว”
มันรับเกาทัณฑ์มาแล้วทดลองง้างสายดู เมื่อง้างสุดหล้าก็พบว่าความตึงของสายนั้นพอดีกับช่วงไหล่ของตนเอง ดั่งได้ถูกคำนวณไว้ก่อนหน้า
“เหมาะกับเจ้าจริงๆ”
กระต่ายแดงประสานมือคำนับแล้วกล่าวว่า
“ขอบคุณท่านอา”
ภูตกระชากขวัญเอื้อมสองมือมาวางบนไหล่ของหลานมันแล้วบีบกระชับไว้เบาๆ
“ของที่เจ้าสมควรได้รับ ยามนี้ก็ได้รับมาหมดแล้ว ที่เหลือก็แต่ความสามารถเจ้าจะทำได้แล้ว ข้าช่วยเหลือเจ้าได้แค่เพียงเท่านี้ ต่อไปภายหน้าขอให้เจ้าดูแลรักษาตัวเองให้มากไว้”
“ท่านอา
”
“กระต่ายน้อยเอ๋ย บัดนี้เจ้าโตเป็นหนุ่มแล้ว อย่าได้ออดอ้อนดั่งเช่นเด็กทารกน้อยอยู่เลย”
พูดจบมันก็หันหลังเดินตรงออกไปยังประตูทางเข้าบ้านต้นไม้ โดยมีกระต่ายแดงเดินติดตามไปส่งด้วย
“จากนี้อาคงมาหาเจ้าได้ยากกว่าเก่า ศิษย์พี่ใหญ่และเหล่าภูตที่เหลือคงเร่งค้นหาตัวเจ้าอยู่ทุกแห่งหน”
“ขอบคุณท่านอาที่คอยช่วยเหลือข้ามาโดยตลอด” กระต่ายแดงพูดพลางเปิดประตูบ้านออกอย่างเชื่องช้า
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าขอเตือนเจ้าให้ระวังไว้ จงอย่าได้เข้าไปทางทิศตะวันตกของป่านี้เป็นอันขาด ที่นั่นมีอันตรายที่แม้แต่ข้าเองก็มิอาจช่วยเหลือเจ้าได้”
“ข้าจะระวังตัวไว้”
ภูตกระชากขวัญพยักใบหน้าเบาๆ เมื่อได้ฟังคำพูดของหลานชาย แล้วจึงหันหลังทะยานร่างหายลับไปในเงามืด ทิ้งไว้ด้วยร่างกระต่ายแดงที่ระบายลมหายใจออกเฮือกหนึ่งก่อนปิดประตูกลับเข้าบ้านไปดั่งเดิม
โดยที่พวกมันทั้งสองไม่อาจรู้เลยว่า เบื้องนอกนั้นยังมีบุคคลอีกผู้หนึ่งที่เฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกมันมาเป็นเวลานานแล้ว
.
ความคิดเห็น