ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุราร้อน กระบี่เย็น

    ลำดับตอนที่ #2 : จอกเปล่า

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ย. 49



    ...ค่ำคืนเหมันต์ไร้แสงดาว

    มีเพียงเมฆฝนปกคลุมทั่วท้องฟ้า สายฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้นทุกที กระแสลมเหน็บหนาวกรรโชกแรงราวกับจะหอบเอาต้นปังที่รายล้อมอยู่ตามเชิงเขาเขียวอมตะแห่งนี้หลุดลอยไปตามแรงลม ชาวบ้านล้วนปิดประตูหน้าต่างหลับนอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มอุ่น ดังกับเรื่องราวภายนอกยังคงเป็นเพียงราตรีสงบเงียบดังเช่นทุกวัน พายุฝนฟ้าคะนองยังโหมกระหน่ำรุนแรงหนักข้อขึ้นเรื่อย หยาดเม็ดฝนเม็ดเป้งๆส่งเสียงร้องระงม เมื่อตัวมันกระทบถูกทุกสิ่ง ไม้ยืนต้นหลากหลายชนิดถูกแรงลมพัดบังคับให้กิ่งก้านขัดกันไปมาเสียงดังเอี๊ยดอาด สลับกับเสียงฟ้าร้องครืนครานดังสนั่นไปทั่วบริเวณ

    ประกายแสงแวบวาบจากสายวิชชุเมื่อครู่ทำให้เห็นสิ่งหนึ่ง....
    เป็นสิ่งหนึ่งท่ามกลางสายฝนอันเกรี้ยวกราด....

    "....หงสาปีกขาว..........หงสาปีกขาว....." เสียงชายหนุ่มรำพึงขึ้น ด้วยดวงตาอันเลื่อนลอย ร่างกายที่ซูบโทรม ลากมาด้วยซากสังขารเสียซึ่งสภาพผู้คน ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำราวกับเลือดเนื้อของมันไหลทะลักออกทางเบ้าตา สองข้างแก้มอาบด้วยสายฝนหรือน้ำตา มิอาจทราบได้...

    สายฝนโหมกระหน่ำเข้าซาดซัดร่างกายของมันจนเกินทนทาน ซ้ำร้ายสายลมหนาวยังพัดเข้ากัดกร่อนแก่นกระดูกของมันอย่างเจ็บแสบยิ่งกว่า มันพยายามลากซากสังขารปานผ้าขี้ริ้วขาดๆผืนหนึ่งมาหยุดลงตรงหน้ากระท่อมร้าง กระท่อมที่มีสภาพไม่แตกต่างไปจากสารรูปของมันในยามนี้ หลังคาที่มุงเอาไว้เหลือเพียงแต่ชื่อ ประโยชน์ใช้สอยของหลังคากลับไม่มีเหลืออยู่สักนิด แต่ยังดีที่ยังมีผนังที่ยังคงเป็นผนัง เพียงพอให้มันซุกขดตัวหลบลมหนาว และพักผ่อนภายใต้พายุฝนอันแสนเกรี้ยวกราดในคืนนี้ เมื่อมันล้มตัวลงนอนช่างดูไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วเปียกๆกองสุมกันอยู่ข้างผนังอันมืดมิดเลยสักเพียงนิดเดียว…


    ...ณ ผาเสียดฟ้า

    หยาดพิรุณอันหนักหน่วงได้หยุดยั้งลงแล้ว
    อาทิตย์ยามอรุณรุ่งเริ่มสาดแสง แต่สายลมหนาวอ้อยอิ่งยังคงไม่หยุดพัดลง...

    ช่างเป็นลมหนาวในช่วงเหมันต์ฤดูที่เหน็บหนาวยิ่งนัก...มันยังคงโบกพัดอยู่เรื่อยไป...

    บนยอดผาเสียดฟ้าปรากฏเงาร่างชายผู้หนึ่ง มันยืนอยู่บนปลายยอดผา สวมใส่อาภรณ์ชุดขาวบางเบาราวหิมะบริสุทธิ์ ยามเมื่อต้องลมหนาวอาภรณ์ชุดนั้นก็สะบัดโบกเอาหยดฝนเม็ดเล็กๆปลิวออกไปตามสายลม

    แต่สายลมจะรับรู้อันใด มันยังคงพัดพาเข้าสู่ยอดผาอย่างต่อเนื่อง คล้ายต้องการโค่นชายผู้นี้ให้ล้มลงให้ได้ก็มิปาน

    บุรุษชุดขาวยังคงยืนนิ่งแม้ลมหนาวกรรโชกรุนแรงสักเท่าไร ยืนนิ่งไม่แตกต่างไปจากตอไม้ตายซากที่หยั่งรากลึกลงไปในยอดผาตอหนึ่ง  มันยังคงยืนท้าลมหนาวอยู่เช่นนั้น ลมหนาวที่เหน็บหนาวยิ่งของเหมันต์ฤดู

    ...มันยืนอยู่เช่นนี้มาตลอดช่วงค่ำคืน

    อาภรณ์อันบางเบา ย่อมมิอาจต้านทานเม็ดฝนเมื่อคืนก่อนและลมหนาวบนยอดผายามนี้ได้ อย่าว่าแต่ชุดขนสัตว์ที่ตัดเย็บอย่างดี บางทีก็มิอาจทนทานต่อการทำร้ายของธรรมชาติสองชนิดนี้ได้

    ชายหนุ่มยืนนิ่งปล่อยให้ลมหนาวปะทะใบหน้าและลำตัวของมัน จนด้านชาขาดความรู้สึกไปเนิ่นนานหลายชั่วยามแล้ว ความเย็นยะเยียบดุจดั่งเข็มนับร้อยมีดนับพันที่รุมกระหน่ำกดกรีดทิ่มแทงเข้าไปในเลือดของมันอย่างไร้ซึ่งไมตรี โลหิตที่เคยอบอุ่นบัดนี้ไม่แตกต่างจากธารน้ำแข็งเย็นชาสายหนึ่งที่กำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง

    ...นี่นับว่ามันเจ็บปวดทรมานเท่าใด

    ตลอดค่ำคืนอันหนาวเหน็บ สายฝนและสายลมยะเยือกพัดผ่านยอดผาเสียดฟ้าไม่หยุดหย่อน ในหัวสมองของชายหนุ่มชุดขาวก็มิได้หยุดหย่อนเช่นสายลมฝน มันเฝ้าครุ่นคิดตลอดคืน

    มันเพียงหวังให้สายลมยะเยียบนี้ กดกรีดทิ่มแทงร่างกายมันให้เจ็บปวด เจ็บปวดจนด้านชา มิใช่เพียงแค่ร่างกายเท่านั้น มันยังต้องการให้จิตใจของตนเองด้านชาไปด้วย ต้องการอย่างยิ่ง

    น่าสายดายที่สายลมยังคงไม่รับรู้อันใด แม้จะยืนต่อไปอีกยาวนานสักเท่าไร สายลมก็ไม่อาจทำให้จิตใจของชายหนุ่มด้านชาจนไร้ความรู้สึกไปได้

    คนเรามีชีวิต ย่อมมีความรู้สึก
    เมื่อไร้ชีวิต ความรู้สึกย่อมหมดไป
    หากยังมีชีวิต แต่ต้องการไร้ความรู้สึกใดๆ นี่นับเป็นเรื่องที่ยากเย็นนัก

    ...มันไม่สามารถทำอย่างใจหวังได้ สายลมหนาวบนยอดผาเสียดฟ้านี้ก็ไม่สามารถทำสิ่งที่มันต้องการให้ได้
    จิตใจของมันยังคงมีความรู้สึก ทั้งยังรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าร่างกายที่ต้านทานสายลมหนาว เจ็บปวดยิ่งกว่าบาดแผลใดๆที่มันเคยได้รับ...เป็นการเจ็บปวดเพราะบาดแผลภายในจิตใจรอยหนึ่ง!

    บุรุษชุดขาวก้าวถอยหลังจากปลายผามาก้าวหนึ่ง มันเคลื่อนไหวร่างกายแล้ว หลังจากยืนนิ่งประดุจตอไม้มาตลอดค่ำคืน มันเงยใบหน้าขึ้นช้าๆแสงอรุณยามเช้าสาดให้เห็นรอยแผลเป็นบริเวณใต้ตาซ้ายของมันสายหนึ่ง วางพาดเป็นแนวขวางกับใบหน้า หากไม่มีแผลเป็นเส้นนี้มันย่อมมีใบหน้าที่งดงามผู้หนึ่งแล้ว

    แสงอาทิตย์ยามเช้าส่งความอบอุ่นไปทั่วยอดผาเสียดฟ้า ไม่ละเว้นแม้กระทั่งตัวชายหนุ่ม
    มันรีบหันกายกลับอย่างรวดเร็ว จนเม็ดฝนมันอาภรณ์ของมันถูกสะบัดปลิวไปอีกครั้ง ก่อนมุ่งหน้าเดินลงจากยอดผาไป

    มันจากผาเสียดฟ้าไปแล้ว จากไปพร้อมแสงอรุณยามเช้า

    บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งข้างทางลงผาเสียดฟ้าปรากฏตัวอักษรจมลึกเข้าไปในลำต้น

    "ตัดสินใจกระทำการหนึ่ง ณ ยอดผาเสียดฟ้านี้"          

    "หงสาปีกขาว"


    ...ยามเที่ยง


    ดังเช่นทุกวันเหลาสุขทรัพย์ร่ำรวยของแมงมุมเก้าขายังคงเนื่องแน่นไปด้วยผู้คน ชาวยุทธและพ่อค้าวาณิชย์ที่ต้องการมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
    ทุกคนต้องแวะหาสุราอาหารอันเลิศรสจากเหลาแห่งนี้โดยทั่วกัน นอกจากอาหารที่ขึ้นชื่อแล้ว สุราก้อนหินหวานแห่งเหลาสุขทรัพย์ร่ำรวยของแมงมุมเก้าขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ ด้วยเช่นกัน

    "ขอสุราก้อนหินหวานสามชั่ง !"    เสียงตะโกนร้องสั่งเด็กรับใช้ดังขึ้นอยู่ตลอดเวลา

    "สุราก้อนหินหวานหกชั่ง !"          เสียงเหล่านี้ยืนยันถึงรสชาดของสุราขึ้นชื่อของเหลาเป็นอย่างดี

    "เด็กน้อย สุราไผ่เขียวหนึ่งช่าง !" แต่สุราดีย่อมมีราคาแพง ผู้คนฐานะยากจนจึงยากที่จะได้ลิ้มลอง

    "นำสุราก้อนหินหวานมาหกสิบช่าง!"    ผู้ที่มีฐานะดีย่อมมีสิทธิลิ้มลองรสสุราได้มากกว่า

    "........"

    " หกสิบช่าง !!??" เด็กรับใช้ร้องเสียงหลงมาจากหลังร้าน ทั่วทั้งเหลาเงียบสงัดดุจเหลาร้างทุกสายตาจับจ้องมองมายังต้นเสียงที่สั่งสุรา

    แม้กระทั่งเถ้าแก่อย่างแมงมุมเก้าขาเองก็ไม่มีข้อยกเว้น

    "ถูก หกสิบช่าง" มันย้ำชัดอีกครั้ง กลับสร้างความหนักใจให้กลับเด็กรับใช้เพิ่มขึ้น

    เมื่อชาวยุทธเห็นหน้าของผู้สั่งสุราจำนวนมหากาฬเป็นคนผู้นี้ บ้างถึงกับเบือนหน้าหนี บ้างหันกลับไปใส่ใจกับสุราอาหารเบื้องหน้าของตนดังเดิม  หลงเหลือแต่เพียงพ่อค้าวาณิชย์เท่านั้นที่ยังคงงุนงงไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    "เป็นเกียรตินักที่ผู้อาวุโสแวะมาเยี่ยมเยียน" แมงมุมเก้าขารีบเดินมาคำนับให้แก่ผู้อาวุโส ผู้ท่านนี้

    "มิได้มาเยี่ยมเยียน มาดื่มสุรา" มันพูดโดยไม่เหลือบตามอง

    คนผู้นี้คือบุคคลที่ยากตอแยที่สุดในยุทธภพยุคสมัยนี้ ตัวของมันแม้ไร้สังกัด สำนัก ค่าย แต่บุญคุณความแค้นที่สร้างสมมาตลอดชั่วชีวิตเพียงพอที่จะปั่นป่วนยุทธจักรเพียงชั่วข้ามคืน

    ชื่อของมันคือ เฒ่ายอดสน ซึ่งได้รับฉายาว่า หมื่นจอกไม่เมามาย ผู้คนเล่าขานกันว่ามาว่าเฒ่ายอดสนเคยเอาชนะ น้ำเต้าทอง จอกเหล็ก สองพี่น้องที่สร้างชื่อในยุทธภพด้วยการประลองดื่มสุรารสเผ็ดร้อน แต่พวกมันกลับพ่ายต่อการประลองสุรากับเฒ่ายอดสนอย่างหมดรูป โดยที่ตัวเฒ่าสอดสนเองนั้นไม่มีอาการเมามายซักเพียงส่วนเดียว หลังจากนั้นมันจึงตั้งชื่อสองพี่น้องนั้นใหม่ว่า น้ำเต้าน้อย จอกอ่อน จนพวกมันไม่กล้าหวนกลับเข้ามาในยุทธภพอีกเลยนับจากวันนั้น

    "ผู้น้อยทราบดีในวิสัยการดื่มสุราของผู้อาวุโส" แมงมุมเก้าขาโค้งตัวอ้อนน้อมพูดกับเฒ่ายอดสน

    "แต่สุรามากมายเช่นนั้น.....ข้าน้อยเกรงว่า..."

    "...เกรงว่า..."

    สีหน้าเฒ่ายอดสนเคร่งเครียดจนปั้นยากขึ้นทุกครั้งเมื่อได้ยินคำว่า เกรงว่า

    "ปัง!!!" เสียงถุงทองกระแทกพื้นโต๊ะดังสนั่น

    "เกรงว่าจะไม่เพียงพอต่อท่านผู้เฒ่า" แมงมุมเก้าขารีบวิ่งกุลีกุจอเข้าครัวไปหยิบสุรามาอย่างรวดเร็ว โดยมีเฒ่ายอดสนมองตามหลังมันอย่างไม่สบอารมณ์

    ทันทีที่สุราก้อนหินหวานหกสิบช่างถูกยกมา คนทั้งเหลามิได้ยินเสียงเฒ่ายอดสนเอ่ยปากอีกเลยสักเพียงครึ่งคำ

    ยังคงได้ยินแต่เสียงจอกกระทบโต๊ะ สุราไหลสู่จอก และหายเข้าไปในลำคอผู้เฒ่าอยู่เป็นระยะๆ เช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า


    ...อาทิตย์อัสดง

    ม่านราตรีเข้าใกล้เวลาคลี่กาง

    เหล่านกกา เริ่มโผทะยานเข้าสู่รังนอน น่าเสียดายที่อิสตรีดีงามอีกไม่ทราบจำนวนเท่าใด ไม่มีโอกาสหวนกลับคืนสู่หมู่บ้านที่ตนเองอยู่อาศัยในเวลาเช่นนี้ ก่อนจะมาพบเป็นซากศพในสภาพสุดรันทด ในวันต่อมา....

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×