ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุราร้อน กระบี่เย็น

    ลำดับตอนที่ #3 : สตรีงาม

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ย. 49



    ศาสตราวุธใดในโลกหล้าล้วนถูกหล่อหลอมขึ้นมาเพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ในการใช้งานเฉกเช่นเดียวกันทั้งหมด
    พวกมันถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการประหัตถ์ประหาร ทำร้ายและหมายปองชีวิตคู่ต่อสู้ทั้งสิ้น
    สิ่งที่แตกต่างกันของยอดศาสตราวุธแขนงต่างๆนั่นคือวิธีใช้ อาวุธแต่ละชนิดล้วนมีวิธีใช้งานแตกต่างตามแต่ชนิดของมัน
    หากท่านรู้แจ้งในวิธีใช้ศาสตราวุธชิ้นใดชิ้นหนึ่งแล้ว การบรรลุวัตถุประสงค์ในการประหัตประหารอริศัตรูดูเป็นเรื่องสะดวกดายยิ่งนัก

    หากท่านใช้กระบี่ ท่านควรรู้เพลงกระบี่
    หากท่านใช้อาวุธลับ ท่านควรรู้จังหวะเวลา
    หากท่านใช้น้ำตา  ท่านควรรู้เรื่องอันใด...?

    ในยุทธภพมีผู้ใช้กระบี่อยู่มากมายนัก มีผู้อาวุธลับสร้างชื่อล้วนมีมากหลาย หรือแม้กระทั่งอาวุธนอกสาระบบต่างๆ ที่แม้ดูแปลกประหลาดแต่ก็มีผู้คนนิยมใช้
     
    แล้วน้ำตาเล่า ในโลกนี้จะมีผู้คนกี่มากน้อยกันที่สามารถใช้น้ำตาท่องทั่วยุทธภพได้

    หากจะมีผู้ใดใช้น้ำตาท่องทั่วยุทธภพคนผู้นั้นย่อมเป็นสตรีงามผู้หนึ่ง นางมีนามว่า พิรุณสองสาย นั่นเอง ทอดสายตาทั่วหล้ายามนี้มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถทำเช่นนั้นได้  ด้วยใบหน้างดงามหวานซึ้งถึงเพียงนั้น ช่างตรึงใจต่อผู้คนที่พบเห็นนัก ไม่ว่าบุรุษหรือสตรี เด็กหรือชรา ล้วนยอมรับรับว่านางมีเค้าความงดงามคล้ายนางสวรรค์ในงานจิตรกรรมล้ำค่าอยู่หลายส่วน นี่ยังไม่รวมด้วยรูปส่วนที่อ้อนแอ้นน่าโอบกอดสัมผัส เอวที่กอดกิ่ว ช่วงอกที่เต่งตูมราวช่อบุพผาแรกแย้มปานนั้น หากชายใดในยุทธภพได้มีโอกาสพบเห็นนางแม้เพียงครั้ง ประกันว่ายากเย็นนักที่จะลืมเลือนลงได้

    แต่ยามนี้นางกลับก้มใบหน้าอันสวยซึ้ง แอบซุกลงในฝ่ามืออันเรียบเนียน ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่แตกต่างจากทารกน้อยอยู่บนถนนดินสกปรกที่ผู้คนใช้สัญจรขวักไขว่ไปมา ข้างกายนางมีบัณฑิตหนุ่มยืนเก้ๆกังๆกระทำการอันใดไม่ถูกอยู่ผู้หนึ่ง

    “...ท่าน....เอ่อ...แม่นาง...ท่าน....อย่าได้ร้องแล้ว...” บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นละล่ำละลักกล่าวออกมา

    เสียงร่ำไห้ดูไม่มีทีท่าจะลดน้อยลง นางกลับสะอึกสะอื้นหนักข้อขึ้นกว่าเดิม น้ำตาเม็ดน้อยไหลพรั่งพรูผ่านซอกนิ้วมือที่งดงามประดุจลำเทียนทั้งห้าออกมา ดูคล้ายกับน้ำตกน้อยสายหนึ่งเกิดขึ้นเช่นนั้น

    “..ท่าน...หยุดเถอะ...เพียงพอแล้ว...” บัณฑิตหนุ่มกล่าวขึ้นอีกครั้งดังน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม

    เมื่อเสียงดังขึ้น นางยิ่งร้องดังขึ้นอีก ยิ่งดึงเอาความสนใจจากผู้คนโดยรอบได้อย่างรวดเร็ว ผู้คนจำนวนมากต่างล้อมวงกันเข้ามายืนดูสตรีนางหนึ่งนั่งร้องไห้ฟูมฟาย ด้วยคิดว่าเป็นฝีมือบัณฑิตหนุ่มที่ยืนอยู่ผู้นี้รังแกนางแน่แล้ว

    ยิ่งมาผู้คนรายล้อมก็ยิ่งมากขึ้น ความอับอายของบัณฑิตหนุ่มนั้นยิ่งเพิ่มมากตามไปด้วย ความอับอายนั้นมากเสียจนใบหน้าของมันแดงฉานจรดใบหู เหงื่อกาฬไหลชโลมไปทั่วเนื้อตัวของมัน มือไม้สั่นเทาไปหมดสิ้น

    ความอับอายเพิ่มมากขึ้นจนมันทนรับไม่ไหว บัณฑิตหนุ่มจำต้องยื่นมือไปแตะไหล่หญิงสาวหมายปลอบใจนางสักครั้ง

    “ท่านคิดทำร้ายข้า!!” พิรุณสองสายร้องโพล่งขึ้น

    นางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นถนนอันแสนสกปรกอย่างรวดเร็ว ดังกับถูกชายหนุ่มผลักเอาฝ่ามือหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นความงดงามบนเรือนร่างนาง ใบหน้านาง ตลอดจนความงามจากชุดที่นางใส่ก็มิได้ถูกความสกปรกของพื้นถนนลดทอนลงไปซักเพียงส่วนเดียว

    คำด่าทอของชาวบ้านที่อยู่โดยรอบเริ่มดังขึ้น เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มมีการศึกษาเป็นถึงบัณฑิตแต่กลับมาข่มเหงรังแกต่อสตรีที่น่าทะนุทะนอนนางหนึ่งได้ลงคอ ไม่น่าแปลกใจที่คำด่าส่วนใหญ่นั้นจะมาจากฝ่ายบุรุษเพศมากกว่าสตรี ยังมีเหล่าบุรุษหลายคนที่คิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือทั้งที่ตนเองมิได้ทราบเรื่องราวผิดถูกประการใด นี่นับเป็นวิสัยชนิดหนึ่งของบุรุษเพศ สตรีที่สวยงามย่อมถูกต้องในสายตาของตน หากแม้แปรเปลี่ยนผู้ที่ร่ำไห้อยู่นี้จากพิรุณสองสายเป็นสตรีอัปลักษณ์ผู้หนึ่ง ต่อให้ร่ำร้องจนเจียนตาย ก็อาจไม่มีบุรุษผู้ใดเหลียวแลนางเลยก็เป็นได้

    พิรุณสองสายค่อยเงยใบหน้าอันสวยซึ้งที่ยามนี้เต็มไปด้วยน้ำตาเอ่อคลอเบ้า จับจ้องมายังทิศทางที่บัณฑิตหนุ่มยืนอยู่ ดั่งหมายความว่า “ท่านรังแกเราทำไม?” 

    “..ข้ามิได้ต้องการทำร้ายท่าน.....” บัณฑิตหนุ่มรีบบอก

    ความหวังดีกลับกลายเป็นเลวร้าย บัณฑิตหนุ่มคิดกระทำการใดไม่ออก สมองที่แสนปราดเปรื่องเมื่อครั้งศึกษาจนได้เป็นบัณฑิต กลับกลายเป็นโง่งมเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีผู้หนึ่ง มันคิดปลอบใจนาง แต่ไฉนกลายเป็นผลักนางล้มลงไปได้  จนทำให้นางร้องไห้หนักกว่าเดิม

    “ย่ำแย่จริงๆ”ประโยคนี้เฝ้าวนเวียนอยู่ในสมองบัณฑิตหนุ่ม  ท่าทีของมันเริ่มสับสนวุ่นวาย มือที่คิดยื่นไปปลอบนางนั้นยามนี้กลับโบกไปมาทั่ว ราวกับไม่สามารถควบคุมมือข้างนั้นเอาไว้ได้แล้ว

    “ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว” บัณฑิตหนุ่มคุกเข่าลง มันได้แต่กระทำเช่นนี้เท่านั้น

    “ข้าขอโทษ ขอแม่นางอย่าได้ร้องไห้แล้ว”

    “ได้โปรด...”

    น่าประหลาดใจยิ่ง คำขอโทษของบัณฑิตหนุ่มประสบผล น้ำตาที่ดุจดังน้ำตกของพิรุณสองสายค่อยๆหยุดไหลลง เสียงสะอึกสะอื้นลดระดับความดังลงทีล่ะน้อยจนกระทั่งเงียบหายไปในที่สุด

    เรื่องราวสงบลง ผู้คนเริ่มกระจัดกระจายแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตนต่อไป มีบ้างที่รู้สึกผิดหวังที่ไม่เกิดเรื่องราวรุนแรงขึ้นต่อไป

    “ท่านหยุดร้องแล้ว”บัณฑิตหนุ่มพูด

    พิรุณสองหันมองหน้ามันแล้วกล่าวว่า

    “หรือท่านไม่ต้องการเช่นนี้” นางเอ่ยพร้อมน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้าคล้ายชนวนระเบิดพร้อมจุดประทุขึ้นอีกครั้ง

    “ข้าพเจ้าต้องการ! ต้องการเป็นที่สุด!!”

    “ถ้าหากแม่นางไม่เป็นไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน” สิ้นเสียงบัณฑิตหนุ่มหันหลังขวับ เดินกลืนหายลับเข้าไปกับฝูงชนที่กำลังสัญจรไปมามากมายอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเร็ว

    ในใจของมันเฝ้าครุ่นคิดแต่เพียงว่า “ไฉนแม่นางคนนั้นถึงร้องไห้ เราเพียงแค่เอ่ยถามเส้นทางนางเพียงเท่านั้น”
    เนื่องจากบัณฑิตผู้นี้เป็นคนต่างถิ่นจึงคิดถามเส้นทางผู้คนในพื้นที่ดูสักครั้ง กลายเป็นทำให้สตรีงดงามนางร้องไห้ได้อย่างหนักหน่วงแทน

    “หรืออาจจะไปกระทบกระเทือนบาดแผลในใจของนาง?” มันยังคงครุ่นคิด

    “หรือว่าเราอาจพูดผิดไป ทำให้นางเข้าใจเจตนาผิด?”

    “หรือว่าด้วยเหตุอันใด??”

    นับเป็นปริศนาตลอดชั่วชีวิตของบัณฑิตหนุ่มแล้ว

    บางสิ่งอาจเป็นเรื่องหนักใจจนเป็นปัญหาชั่วชีวิต แต่บางสิ่งกลับเป็นที่เบิกบานใจยิ่งของพิรุณสองสาย
    นางนิยมทำตัวให้เป็นที่วุ่นวายใจต่อบุรุษเพศทั้งในเรื่องดีและเรื่องไม่ดี การกระทำเรื่องเช่นนี้นับเป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งของนางด้วย

    “บีบน้ำตาเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยคำขอโทษ ทั้งที่ตนเองมิได้กระทำอะไรผิด นี่ยังไม่เป็นเรื่องที่สนุกอีกหรือ?” นางคิดพลางยิ้มน้อยๆออกมา

    เรื่องน่าสนุกไหนเลยจบลงอย่างสะดวกดาย ควรทราบว่าโลกนี้มีบุรุษอยู่สองประเภท หนึ่งเมื่อเห็นสตรีร่ำไห้แล้วจะใจอ่อน ไม่ว่าเรื่องราวใดล้วนกระทำได้เพื่อให้นางหยุดร่ำร้อง สองเมื่อเห็นสตรีร่ำไห้แล้วจะนิยมชมชอบ ยิ่งอยากแสดงถึงสันดานดิบของตน คิดข่มเหงรังแกให้สตรีผู้นั้นหลั่งน้ำตาออกมาอีกเรื่อยๆ

    บัดนี้พิรุณสองสายกำลังเผชิญหน้าอยู่กับกลุ่มบุรุษประเภทที่สองกลุ่มหนึ่งแล้ว

    “ท่านมีธุระอันใด?” พิรุณสองสายเอ่ยถามต่อหน้าชายสูงวัยที่เดินเข้ามาหานางคนหนึ่ง

    ชายสูงวัยผู้นี้มีใบหน้าหยาบกร้าน แต่มีใบหูที่เล็กนัก คิ้วหนาโตชูชัน ดวงตากลับแผงแววกรุ้มกริ่ม ริมฝีปากมันหนาบาน แต่กลับไว้หนวดมุสิก องคาพยพบนใบหน้ามันล้วนขัดกันทั้งสิ้น มันเรียกว่าพยัคฆ์ขนยาว

    พยัคฆ์ขนยาวผู้นี้ถือเป็นผู้กว้างขวางที่พำนักอยู่ในละแวกนี้ ด้วยกำลังนักบู๊สิบกว่าคนในสังกัด และวิชาดาบล้างตระกูลที่ได้สืบต่อมาจากป้อมห้าเสือล้างตระกูลในยุคก่อน ก็เพียงพอที่จะอาศัยชื่อเสียงเบียดเบียนผู้คนที่สัญจรไปมาในหมู่บ้านนี้ได้ไม่น้อย ซ้ำร้ายชื่อเสียงด้านมักมากในกามของมันนั้นยังโด่งดังกว่าวิชาฝีมือมากมายนัก

    พยัคฆ์ขนยาวก้มตัวลงเล็กน้อยเบื้องหน้านางแล้วกล่าวว่า

    “เราผู้เฒ่าเห็นแม่นางน้อยรูปร่างงดงามนัก คิดเชิญไปเสพสุขที่บ้านของเราสักครา”

    วาจาตรงไปตรงมามิได้อ้อมค้อมประดานี้ แม้สตรีเช่นพิรุณสองสายยังอดหน้าแดงขึ้นมามิได้ หากมิใช่พยัคฆ์ขนขาวที่มักมากในกามคุณแล้ว จะมีผู้ใดกล้าเอ่ยคำเช่นนี้ออกมาท่ามกลางฝูงชน

    พิรุณสองสายได้แต่ยืนนิ่งไม่อาจกล่าววาจาใด ทางหนึ่งนางขุ่นแค้นจนจุกแน่น ทางหนึ่งนางคิดฆ่าเฒ่าโสโครกนี้ให้ตายด้วยวิธีทรมานที่สุด

    “หากแม่นางน้อยไม่ปฏิเสธ เราผู้เฒ่าขอเชิญ”

    จบคำกลุ่มชายฉกรรจ์ใต้สังกัดพยัคฆ์ขนยาวก็ลงมือฉุดดึงตัวพิรุณสองสายไปปรนนิบัติให้แก่หัวหน้ามัน เป็นการฉุดคร่าในที่ชุมนุมชนอย่างอุกอาจยิ่งนัก

    แม้บนถนนสายนี้แม้มีผู้คนสัญจรไปมามากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดเข้าช่วยเหลือสตรีที่ถูกคร่ากุมโดยพยัคฆ์ขนยาวเลยสักคน เพราะผู้คนทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนทราบดีว่า หากมีผู้ใดตอแยกับพยัคฆ์ขนยาว ย่อมมิอาจมีชีวิตอยู่อาศัยในละแวกนี้ได้อีกต่อไป ชีวิตตนเองย่อมสำคัญว่าผู้อื่น สตรีเช่นพิรุณสองสายจึงถูกคร่ากุมตัวไปอย่างง่ายดายยิ่ง

    “โปรดอย่าฉุดรั้งเราแล้ว เรายินดีไปกับท่าน”เสียงของพิรุณสองสายดังขึ้น

    พยัคฆ์ขนยาวหันใบหน้ากลับมา

    “แม่นางน้อยพูดความจริง?”

    “ย่อมจริง”

    นางตอบด้วยสีหน้าเป็นปกติ ไม่ปรากฏร่องรอยน้ำตาบนใบหน้านาง ปรากฏแต่ความสวยซึ้งสดใสและรอยยิ้มที่น่าประหลาดใจชนิดหนึ่ง

    พยัคฆ์ขนยาวส่งสัญญาณมือว่าให้ปล่อยตัวนาง เหล่าบริวารทั้งหลายกระทำตาม แต่ก็ยังล้อมวงนางไว้ เพื่อเป็นการป้องกันมิให้นางเล่นลูกไม้อุบายใดๆ

    “เด็กที่ดี” พยัคฆ์ขนยาวพูดพร้อมจ้องใบหน้าของพิรุณสองสาย สายตาหื่นกระหายของมันแทบจะกลืนกินนางลงไปทั้งตัวแล้ว อีกทั้งลมหายใจของมัน ยิ่งมายิ่งรุนแรงเร่งร้อนขึ้นจนน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก

    “รีบไปกันเถอะ” มันบอก

    “ไปไม่ได้!! ”

    เมื่อประโยคนี้ดังขึ้น พิรุณสองสายก็ยิ้มแจ่มชัดขึ้นกว่าเดิม

    “รอยยิ้มภูตเทพ!” พยัคฆ์ขนยาวอุทานในทันที

    ...ตัวของพิรุณสองสายนั้น นับเป็นศิษย์คนสุดท้ายของ แม่เฒ่ากระบี่เมตตาแห่งสำนักกระบี่โฉมสะคราญ สำนักกระบี่เก่าแก่ที่รับเฉพาะศิษย์หญิงอย่างเดียวเพียงเท่านั้น อาศัยเพลงกระบี่สวยงามและพลิกแพลงหลากหลาย อันเป็นแนวทางเด่นล้ำที่สร้างขึ้นได้ในเฉพาะสตรีเพศ สร้างสมชื่อเสียงจนโด่งดังขึ้นมาได้ในยุทธภพ

    ศิษย์สำนักกระบี่โฉมสะคราญทุกนาง นอกจากฝึกปรือเพลงกระบี่ร้ายกาจแล้ว ยังถูกฝึกสอนให้รู้จักการแต่งรูปปรุงโฉมให้งดงามอยู่เสมอ เปรียบดั่งเป็นวิชาแขนงหนึ่งในเพลงกระบี่ของสำนัก

    ศิษย์สำนักกระบี่โฉมสะคราญทุกนางจึงนับเป็นดอกไม้งามที่เบ่งบานอยู่ในยุทธภพเฉกเช่นนั้น

    แต่ถ้าจะกล่าวถึงเพลงกระบี่ของพิรุณสองสายแล้ว แม้จะไม่มีบทบัญญัติใด ที่บอกให้ศิษย์คนสุดท้ายย่อมมีฝีมือรั้งท้ายสุด นางได้แต่บัญญัติกฎข้อนี้ขึ้นเองแล้ว เพราะสิ่งอื่นนอกจากน้ำภายในตาของนางนั้น ทั้งกระบี่และลมปราณของนางล้วนยากจะบังคับควบคุมได้ดังใจ นางจึงมีเพลงกระบี่เสื่อมโทรมที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของสำนัก

    แม้กระนั้นผู้คนชั่วร้ายเช่นพยัคฆ์ขนยาวในเวลานี้ ที่คิดย่ำยีความงดงามสวยสะอาดที่ติดตรึงใจของรูปร่างนางนั้น กลับไม่กระทำได้ง่ายดายนัก แม้นางมีเพลงกระบี่เสื่อมโทรม ลมปราณอ่อนด้อย แต่เหล่าศิษย์พี่ของนางมิได้เป็นเช่นนั้น

    ศิษย์ผู้พี่ของนางผู้หนึ่งมีนามว่า รอยยิ้มภูตเทพ นางเป็นสตรีที่บุรุษหลายคนในยุทธภพยอมหลบหน้าไม่ยอมประมือ ทั้งใบหน้าที่สวยซึ้งจนหาที่เปรียบประดุจมิได้ของนาง รูปร่างทรวดทรงที่เข้ารูปและชวนหลงใหลถึงเพียงนั้น ก็หามิได้เป็นรองศิษย์ผู้น้องหรือสตรีงามคนใดในใต้หล้า นางมีเพลงกระบี่ที่ร้ายกาจและมีลมปราณที่ล้ำลึก แม้แต่แม่เฒ่ากระบี่เมตตาผู้เป็นอาจารย์ ยังยกย่องในเพลงกระบี่ของนางว่าอยู่เหนือกว่าตนเองอยู่สองส่วน

    สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนมีสองด้าน รอยยิ้มภูตเทพนางนี้ก็เช่นกัน นางมีเพลงกระบี่ที่ดี รูปกายที่ดี แต่อารมณ์นางไม่ดี

    รอยยิ้มภูตเทพ กลับไม่เคยยิ้ม แม้นางเคยหัวเราะ แต่นางไม่เคยยิ้ม  ผู้ที่สนิทสนมกับนางที่สุดเช่นพิรุณสองสาย ก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มนางเลยเช่นกัน รอยยิ้มภูตเทพจะมีความสวยงามเพียงใด คงไม่สามารถมีใครบ่งบอกได้แน่ หากภูตเทพไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า

    รอยยิ้มภูตเทพรักใคร่พิรุณสองสายดุจดั่งทารกร่วมครรภ์เดียวกัน เนื่องเพราะนางเองเข้าใจในนิสัยซุกซนและเอาแต่ใจของศิษย์น้อง เช่นเดียวกับที่พิรุณสองสายเข้าใจในความเงียบขรึมและรุนแรงของศิษย์พี่ ต่างฝ่ายต่างทดแทนกันในส่วนที่ตนเองขาดหายไป ไยนี่มิใช่คู่พี่น้องที่เหมาะสมยิ่ง

    เมื่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นเช่นนี้ แม้พิรุณสองสายจะกระทำการน่าปวดหัวประการใด หากภูตเทพยังคงมีรอยยิ้ม ถ้าผู้ใดทำร้ายพิรุณสองสาย รอยยิ้มภูตเทพย่อมไม่ละเว้นชีวิตมันเป็นแน่

    ในครั้งนี้ก็เช่นกัน

    รอยยิ้มภูตเทพปรากฏกายแล้ว ผู้ใดคนทำร้ายพิรุณสองสายจำต้องหลั่งโลหิตแล้ว

    พยัคฆ์ขนยาวแม้รับทราบกิตติศัพท์ร่ำลือของรอยยิ้มภูตเทพมานาน แต่ตัวมันก็มิได้เกรงกลัวรอยยิ้มภูตเทพเลยสักนิด ยามนี้ศิษย์น้องของนางยังอยู่ในเงื้อมของมือตนเอง อีกทั้งเพลงดาบล้างตระกูลของมันนั้นมิได้อ่อนด้อยกว่าผู้ใดในยุทธภพด้วย มันจึงกล่าวออกว่า

    “มิคาด วันนี้ผู้เฒ่าได้มีโอกาสเสพสุขกับสองสตรีงามพร้อมกัน”สีหน้าของมันยังไม่ลดแววหื่นกระหายลงสักนิด

    “ท่านไม่สามารถแล้ว!”

    เสียงรอยยิ้มภูตเทพดังขึ้นพร้อมฉุดดึงเอาพิรุณสองสายมายืนหลบด้านหลังตนเองด้วยความรวดเร็ว ความเร็วในการลงมือครั้งนี้แม้พยัคฆ์ขนยาวทราบล่วงหน้าก็มิอาจป้องกันได้ทันท่วงที

    พยัคฆ์ขนยาวได้แต่ขบฟันกรอด มันบันดาลโทสะขึ้นมาในทันที ดาบที่หว่างเอวของมันถูกออกมาอย่างเร่งร้อน หมายแย่งชิงสตรีของมันกลับคืนมา

    “จับนาง!”มันตะโกนสั่งบริวาร ก่อนพุ่งตัวนำหน้าไป

    บริวารทั้งหลายในสังกัดมันล้วนชักอาวุธขึ้น และกระทำตามคำสั่งโดยมิต้องยั้งคิดแต่อย่างใด
    แต่การกระทำใดมิได้ยั้งคิด ย่อมประสบผลร้ายอย่างมิอาจยอมรับได้

    ฝ่ายตรงข้ามชักอาวุธ รอยยิ้มภูตเทพก็ชักอาวุธ กระบี่เทพกำสรวลจึงถูกใช้ออกแล้ว

    “ชักกระบี่ย่อมต้องเห็นโลหิต”นิยามคำนี้ช่างรวบรัดนัก กระบี่เพียงชักออก ร่างของพยัคฆ์ขนยาวก็ถูกกระบี่สังหารไปในทันที!

    ยังมิทันที่บริวารคนสุดท้ายจะเริ่มก้าวออก หัวหน้าของมันก็สิ้นใจไปเสียแล้ว เพลงกระบี่ของรอยยิ้มภูตเทพนั้นร้ายกาจเท่าใด เกรงว่าบริวารของพยัคฆ์ขนยาวล้วนรับรู้ได้อย่างดียิ่ง

    หยาดโลหิตอาบชโลมกระบี่เทพกำสรวล มีบ้างที่ไหลร่วงจากคมกระบี่ลงไป หนึ่งหยดโลหิตคล้ายหนึ่งหยาดน้ำตา เป็นกระบี่หลั่งน้ำตาเพราะผู้คนหลั่งโลหิต

    การตายของพยัคฆ์ขนยาวคล้ายสะกดทุกสรรพสิ่งให้หยุดนิ่ง ไม่ว่าเหล่าบริวารในสังกัดหรือแม้แต่ผู้คนที่สัญจรไปมา ล้วนตกตะลึงต่อการลงมือครั้งนี้ไปทั้งหมด มีก็แต่เพียงรอยยิ้มภูตเทพผู้เดียวที่เคลื่อนไหว นางค่อยๆสอดกระบี่คืนฝักอย่างเชื่องช้าก่อนคืนสู่ท่าร่างที่แสนปลอดโปร่งของตนเอง

    ไม่นานเมื่อพิรุณสองสายได้สติแล้ว นางจึงเอ่ยชมออกมา

    “เพลงกระบี่ของศิษย์พี่รุดหน้าขึ้นอีกแล้ว”

    รอยยิ้มภูตเทพมิได้กล่าวว่ากระไร นางเพียงหันใบหน้ากลับมาบอกศิษย์น้องของตน

    “พวกเราไปกันเถอะ”

    พูดจบร่างของสตรีงามสองนางก็เดินกลืนหายเข้าไปในกระแสผู้คนที่สัญจรไปมาที่ถนนแห่งนี้ไปในทันที ปล่อยให้เหล่าบริวารของพยัคฆ์ขนยาวยืนตะลึงตะลานต่อหน้าศพของหัวหน้าพวกมันอยู่เช่นนั้น

    เมื่อเดินทิ้งระยะห่างจากจุดเกิดเหตุมาได้ช่วงเวลาหนึ่ง รอยยิ้มภูตเทพหยุดเดินแล้วหันมาสนทนากับศิษย์น้องของนาง

    “วันนี้เจ้าก่อเรื่องวุ่นวายมากแล้ว” รอยยิ้มภูตเทพเอ่ยปากตำหนิ
     
    “ไม่ใช่ความผิดข้า เป็นเฒ่าลามกผู้นั้นที่คิดร้ายต่อข้า”

    “นั่นเพราะเจ้าไปก่อกวนผู้คน จึงดึงดูดสายตามัน...ยังมีบุรุษที่โรงเตี๊ยม พ่อค้าวาณิชย์ นักบู๊กักขฬะ ทั้งหมดที่เจ้าปั่นหัวภายในวันเดียว ยังไม่นับเป็นเรื่องวุ่นวายอีกหรือ?  เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า...”

    “ท่านอาจารย์กำชับให้เดินโดยไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย”พิรุณสองสายกล่าวขัดขึ้น

    “เจ้าเองก็รู้ดี แล้วทำไมต้องทำตัวให้วุ่นวายด้วย”

    “ท่านหาว่าข้าพเจ้าเป็นตัววุ่นวาย?”

    น้ำตาของพิรุณสองสายเริ่มเอ่อคลอเบ้า

    “ศิษย์น้อง ลูกไม้เช่นนี้ใช้กับข้าไม่ได้ผล อย่าลืมว่าข้ารู้จักเจ้าดีกว่าผู้ใด”

    “ท่านรู้จักข้าดี ไฉนดุด่าว่าข้าเป็นตัววุ่นวาย แล้วยังด่าว่าข้าเล่นลูกไม้ลวดลายด้วยเล่า!”

    น้ำตาของนางเริ่มหลั่งไหลแล้วและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งลงง่ายๆอีกด้วย

    “...เจ้าเสียใจจริงๆ?”

    ไม่มีคำตอบจากพิรุณสองสาย นางเบือนใบหน้าหนีเมื่อรอยยิ้มภูตเทพคิดดูแลนาง

    ควรทราบว่าหยาดน้ำตาเมื่อหลั่งไหลลงมาล้วนเป็นของจริง หากแต่มิอาจแยกแยะได้ว่าหลั่งออกมาด้วยจุดประสงค์ใด ถ้าเป็นการเสแสร้งแกล้งดัด น้ำตานั้นไม่มีคุณค่าเท่าไร แต่ถ้าน้ำตานั้นเป็นน้ำตาแห่งความจริงใจเล่า ผู้ใดที่มองผ่านหรือเหยียดหยามน้ำตาชนิดนี้ ย่อมเป็นผู้คนที่ไร้น้ำใจอย่างไม่น่าอภัยยิ่งนัก

    รอยยิ้มภูตเทพยังไม่ไร้น้ำใจ และนางเองก็เสียใจที่พลั้งปากเอ่ยวาจาทำร้ายจิตใจว่าศิษย์น้องตนเอง
     
    “ข้าขอโทษที่ใช้วาจารุนแรงเกินไป” นางบอกแล้วพยายามปลอบประโลมศิษย์น้องของนาง

    พิรุณสองสายยังไม่หยุดไหลลง

    “ท่านพี่ไม่รักข้าพเจ้าแล้ว”นางกล่าวเสียงสะอื้น

    “เด็กที่ดี หากเจ้าหยุดร้องไห้ ท่านพี่ก็จะรักเจ้ายิ่ง”

    พิรุณสองสายโผเข้ากอดศิษย์พี่ของนาง รอยยิ้มภูตเทพเองก็เฝ้าปลอบประโลมนางให้หยุดร่ำไห้คล้ายดังมารดาประโลมบุตรอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งเสียงสะอื้นของพิรุณสองสายค่อยเบาลง

    น่าเสียดายที่น้ำตาของพิรุณสองสายเมื่อครู่นี้ มิใช่น้ำตาแห่งความจริงใจ!
    นางเอาชนะศิษย์พี่ที่โกรธเกรี้ยวได้ด้วยน้ำตานางเอง


    หากท่านใช้น้ำตาเป็นอาวุธ  ท่านควรรู้เรื่องอันใด...?
    หากท่านใช้น้ำตาเป็นอาวุธ  ท่านควรรู้มารยาหญิงไว้ให้มาก

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×