ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Au Fan Fiction Sengoku Basara ~Taboo Love~

    ลำดับตอนที่ #16 : รักที่ 5 : ดอกไม้ต้องห้ามสายลมแห่งโอชู

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.พ. 56


    Title : Taboo Love

    Author : FesenyAReseT

    Rating : PG-13

    Author Note : นิยายเรื่องนี้คือ Au ซึ่งหมายถึงไม่อิงความเป็นจริง เพราะเช่นนั้นจะมีตัวละครใหม่และสถานที่หรือเรื่องราวที่ไม่เหมือนจริง

     

    คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เป็นชายรักชาย ใครรับไม่ได้ปิดไปซะนะครับ ขอร้องว่าอย่าแบนหรือด่ากัน เพราะเราเตือนท่านแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือห้ามหลอกเลียนไปเป็นนิยายของตนเองครับ หากจะเผยแผ่กรุณาขออนุญาติกันก่อนและลงเครดิตด้วยนะครับ  หากใครต้องการลองของก็ได้นะครับ แล้วจะได้รู้กันว่าผมจะทำยังไง หึหึ....

     

     

    รักที่ 5 : ดอกไม้ต้องห้ามสายลมแห่งโอชู

     

               

                ดินแดนโอชู ดินแดนทางทิศเหนือของดินแดนอาทิตย์อุทัย ... ดินแดนของมังกรตาเดียว

    ดาเตะ มาซามุเนะ ...แบบว่า...สงบสุขมาก...จนไม่น่าเชื่อว่ามันเป็นดินแดนของคนหลงตัวเองคนนั้น...

                “เสือน้อย!!~” เสียงเริงร่านี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกเสียจากคนที่ทำให้เขาได้มาเดินในตลาดเต็มไปด้วยผู้คนอย่างดอกไม้ต้องห้ามแห่งโอชู ไอดะ ไอซากิ ที่วิ่งเข้ามาหาเข้าอย่างแรงพร้อมด้วยกังหันลมสีสดใส

    ด้านหลังเขามีชายพเนจรแห่งคางะอย่าง มาเอดะ เคย์จิ และไดเมียวแห่งชิโกกุอย่าง โจโซคาเบะ โมโตจิกะ เดินตามด้วยใบหน้าร่าเริงไม่แพ้กัน

                “เสือน้อย! ข้าให้เจ้า” ปิ่นสีแดงสดประดับด้วยดอกสึบากิถูกยื่นมาให้แก่พยักฆ์น้อยแห่งไคซึ่งยังคงสับสนอยู่ว่าทำไมเขาถึงได้รับอนุญาติให้มายืนอยู่ตรงนี้กัน

                “ไม่ต้องหรอกขอรับ ท่านไอซากิ” ว่าด้วยความเกรงใจ ชายคนนี้ดูจะไม่ระแวงศัตรูเช่นเขาแม้แต่น้อย สมกับที่เป็นพี่ชายฝาแฝดของดอกไม้งามจริงๆ

                “ข้าไม่ได้ถามความเห็นเจ้า!

     

                ...เห็นไหม เหมือนกันเปี๊ยบ

     

     

                มหาอนเมียวจิ ไทโร ซึ่งถูกไอซากิลากมาด้วยค่อยๆ ประดับปิ่นสีแดงนั้นบนเรือนผมสีน้ำตาลอย่างเบามือและชำนาญ

                “หืม? ไทโร เจ้าเคยติดปิ่นให้ใครด้วยหรือ ดูชำนาญเหลือเกิน” อาสึคากะเป็นผู้ทักขึ้นมาในขณะที่ใบหน้าของไทโรดูเศร้าหมองลง เขาละมือออกเมื่อติดเสร็จ ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนตอบ

                “ไม่หรอก...!!?

     

                ผิดคาด ผู้ปราดเปรืองแห่งโอชูจับเขาหันประจันหน้ากันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

                “บอกข้ามา!

                “เอ๋?...อ่า น้องสาวเจ้าไง อิซานากิไง ใช่ไหม ไอนาซะ?” หันไปขอความช่วยเหลือจากดอกไม้ต้องห้ามซึ่งกำลังเล่นกับยูเมะคิจิอยู่ปากก็เคียวปลาหมึกปิ้งไม่หยุด

                “หืม? ...อืม ใอ่แอ้วอะอาอึอาอะ”

     

                ...เคี้ยวให้หมดก่อนแล้วค่อยพูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าหรอกนะ

     

     

                เฮือก! ไทโรสะดุ้งเฮือกก่อนรีบหันไปมองด้านหลัง ...เมื่อกี้นี้มัน...

                “มีอะไรเหรออนเมียว?” โมโตจิกะเอ่ยถามก่อนกัดปลาหมึกคำโต ไทโรหันกลับมาส่ายหน้าก่อนที่จะดันหลังยูคิมูระและอาสึคากะให้เข้าไปรวมกลุ่ม

                “ไม่มีอะไรหรอก เราไปกันต่อเถอะ”


     

                กลีบดอกซากุระโรยตัวลงบนสระน้ำใสสะอาด แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำที่นายเหนือหัวแห่งโอชูเป็นผู้สั่งให้ขุดเอาไว้เพื่อรับน้ำยามที่ฝนตกลงมา ความคิดที่เป็นประโยชน์ขนาดนี้เป็นความคิดของเจ้าคนจองหองคนนั้นจริงๆ หรือเป็นของผู้ช่วยอย่างคาตาคุระ โคจูโร่กันแน่

                “รู้อะไรไหมเสือน้อย ต้นซากุระนี้เป็นต้นเดียวที่เหลืออยู่ในโอชู” ไอซากิว่าด้วยใบหน้าร่าเริงในมือของเขาก็ยังคงเป็นของกินอย่างลูกกวาดแอปเปิ้ลอยู่ดี

                “ข้าทราบดีขอรับ...” ...เพราะมันเป็นสถานที่แรกที่เขาได้เจอกับบงเท็น...

                “ไอซากิ!! เสือน้อย!!

     

                เสียงที่ดังมาแต่ไกลคือเสียงของคนพเนจรแห่งคางะ มาเอดะ เคย์จิ พร้อมด้วยโมโตจิกะและอาสึคากะซึ่งหอบของกินมาเพิ่มอีก ฝ่ายไทโรที่โดนใช้ให้จัดเตรียมที่นั่งสำหรับการชมซากุระก็โบกมือบอกให้เอาของกินมาวางไว้บนเสื่อเพื่อที่เขาจะจัดเตรียมให้สวยงาม

                “วันนี้มากับพวกข้า รู้สึกอย่างไรบ้างเรา เสือน้อย” ดอกไม้ต้องห้ามเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง ไม่นานพวกเคย์จิก็มานั่งลงข้างๆ ยูคิมูระด้วย

                “สนุกมากขอรับ ท่านไอซากิ แต่ว่ามันสมควรแล้วหรือขอรับที่ตัวประกันศึกเช่นข้าจะออกมาเดินเที่ยวเล่นสนุกสนานในขณะที่บ้านเมืองตกสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” เอ่ยความรู้สึกจริงๆ ด้วยน้ำเสียงขมขื่น การที่เขามาอยู่ตรงนี้สมควรแล้วหรือ?

                “...มาเอดะ โจโซคาเบะ อาสึคากะ ข้าขอคุยกับเสือน้อยตามลำพังได้หรือไม่?” น้ำเสียงเรียบของไอซากิแตกต่างไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ทั้งสามพยักหน้าก่อนลุกออกไปช่วยไทโรที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนักแต่ก็ไกลพอที่จะไม่ได้ยินเสียงสนทนา

     

                “ทำไมเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่าเสือน้อย...?

                “ข้าเป็นผู้แพ้ศึกจึงได้มาเป็นตัวประกันอยู่ที่นี่นะขอรับท่านไอซากิ หากแต่ว่าข้ากลับมาสนุกสนานโดยไม่คำนึงถึงการคงอยู่ของบ้านเมือง เพียงแค่เอาตนเองมาเป็นตัวประกันแทนที่จะส่งทหารขั้นยศต่ำกว่ามาเป็นแล้วตนคอยดูแลบ้านเมืองก็แย่พออยู่แล้ว...” ...ในตอนนั้นเขาไม่ควรเอาตนเองมาอยู่ตรงนี้ แม้นว่าจะสาบานไว้แก่นายเหนือหัวก็ตาม

     

     

                “เจ้าเหนื่อยรึเปล่าละ?

                “...หา?” ยูคิมูระอุทานอย่างงุนงงกับคำพูดของดอกไม้ต้องห้ามซึ่งชาวเมืองโอชูเรียกเขาว่า

    สายลมแห่งโอชู เปรียบดั่งสายลมอบอุ่นที่โอบล้อมเมืองโอชูที่หนาวเย็น

                “เจ้าหนักหรือเปล่า? ที่ต้องแบกทั้งบ้านเมืองเอาไว้”

                “...ท่านหมายความว่าอย่างไร?

               

     

                “อย่าทำหน้าเหมือนคนที่แบกโลกเอาไว้ทั้งใบเช่นนั้นสิ เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกรับความเจ็บปวดของคนทั้งหมดเอาไว้เช่นนี้ก็ได้ ใช่ว่าเจ้าจะต้องรับมันไว้เพียงคนเดียวเสียเมื่อไร.... เรื่องของบ้านเมือง เรื่องของประชาชนที่คงอยู่ ไทโรก็พยายามช่วยเหลือเจ้าอย่างสุดความสามารถ ประชากรแห่งไคเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่ให้เจ้าต้องกังวล... แล้วเจ้ายังกังวลเรื่องอะไรอยู่อีกเล่า? เสือน้อย”

                “จริงอยู่ที่มหาอนเมียวคอยดูแลบ้านเมืองแทนข้า แต่เขาเป็นเพียงอนเมียวธรรมดาคนหนึ่ง มันจะไม่หนักหนาสำหรับเขาจนเกินไปหรือขอรับ?” เอ่ยถามอีกครั้ง เขาไม่ได้ดูแคลนมหาอนเมียวไทโร แต่มันเป็นอีกความจริงที่เขาเพิ่งคำนึงได้หลังจากที่ปีศาจร้ายโอทานิว่ากล่าวเอาไว้ แต่ว่าไอซากิกลับขมวดคิ้ว

                “ไทโรเป็นอนเมียวธรรมดา? เขาธรรมดาตรงไหนกัน ข้าไม่เห็นเข้าใจเลยเสือน้อย เท่าที่ข้ารู้จักกับเขามา เขาอันตรายกว่าเจ้ามังกรสองเท่าเชียวละ!

                “ท่านหมายความว่ายังไง?

                “....” ไอซากิสะดุ้งเฮือกก่อนที่จะทำเพียงฉีกยิ้มออกมา หากเขาพูดมากไปกว่านี้คงไม่ดีเท่าไรสำหรับทั้งสองฝ่าย มันจะเหมือนว่าเขาเป็นไส้ศึกให้แก่โอชูประมาณนั้น

                “ข้าสอนเคล็ดลับให้เอาไหมเสือน้อย”

     

                “เคล็ดลับ?

     

                “หากมันขมขื่นนักก็ยิ้มเข้าไว้แล้วพุ่งชนมันสุดแรง หรือไม่...ก็หาคนที่เชื่อใจได้ไว้สักคนระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจให้เขาฟัง เพียงแค่นั้นทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง เชื่อข้าสิ”

     

                ...เพราะเขาก็เคยทำมาก่อนเช่นกัน จนในที่สุดก็สามารถเป็นสายลมได้เช่นปัจจุบัน

     

     

                “ไอนาซะ! ท่านซานาดะ! อาหารพร้อมแล้วนะ!!” เสียงตะโกนเรียกของมหาอนเมียวเรียกให้ไอซากิหันกลับไปพยักหน้าตอบว่ารู้แล้ว ก่อนหันกลับมาบอกร่างสีแดงเพลิง

                “ไปกันเถอะเสือน้อย ข้าหิวจะแย่อยู่แล้วละ” ใบหน้ายิ้มแย้มของไอซากิกลับมาอีกครั้งครานี้ยูคิมูระส่งยิ้มกลับไปให้ด้วย เขา...อาจเชื่อใจคนๆ นี้ได้

                “ท่านกินเข้าไปมากขนาดนั้นแล้วยังหิวอีกหรือขอรับ?

                “ยะ...ยุ่งน่า!

     

     

     

                หลังจากนั้นกว่าสองชั่วโมงพวกเขาก็กินอาหารพูดคุยกันอยู่นาน แล้วก็ถึงเวลาที่เจ้าของแคว้นตกลงเอาไว้แล้วยูคิมูระต้องกลับไปที่เรือนเสียแล้ว

                “ข้าจะอยู่ตรงนี้ก่อน พวกเจ้าไปก่อนเถอะ” ดอกไม้ต้องห้ามแห่งโอชูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยูคิมูระจึงโค้งให้น้อยๆ ก่อนเดินคู่ไปกับไทโรโดยมีอาสึคากะ โมโตจิกะ และ เคย์จิเดินตาม

                “จริงสิ ไอซากิ! หากเจ้าไม่รีบไปข้าจะกินอาหารส่วนของเจ้าจนหมดไม่รู้ด้วยนะ!” โมโตจิกะหันกลับมาตะโกนบอกร่างสีม่วงด้วยรอยยิ้มกวนๆ

                “ก็ลองดูสิ แล้วศพของเจ้าจะเละไม่มีชิ้นดี เจ้ายักษ์!!

                “หวาๆ น่ากลัวชะมัด!

     

     

     

     

                ดวงเนตรสีเลือดมองร่างของคนทั้งหมดที่ลับตาไปด้วยความเหนื่อยอ่อนใจ ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจิบสาเกรสเลิศที่แอบซื้อมาโดยไม่ให้พี่ชายตัวดีรู้ ใครใช้ให้อาสึคากะบ้าบอขนาดที่แนะนำตัวเขาในฐานะดอกไม้งามแห่งโอชู ไอดะ อิซานากิ กันละ เขาเป็นผู้ชายนะจะต้องให้เขาปลอมตัวเป็นผู้หญิงนานแค่ไหนกัน!!

               

                แกร๊บ... เสียงใบไม้ดังขึ้นเบาๆ เรียกให้ไอซากิกระตุกรอยยิ้ม

     

     

                ...หึ

     

     

                “ออกมาได้แล้วน่า ข้ารู้ว่าเจ้าตามเรามาตั้งแต่แรก...” เอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางจิบสาเกหวานด้วยใบหน้าไม่ใส่ใจนัก ร่างที่หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เบิกหลังเขาค่อยๆ เดินออกมา ...เขารู้ว่าคนๆ นี้ตามเขามาถึงได้นั่งรออยู่ตรงนี้ “...ตามได้ไม่เนียนเสียเลยนะ...”

                “ดาเตะ มาซามุเนะ”

               

                “เจ้าอนเมียวนั้นมันเป็นแค่อนเมียวธรรมดาจริงน่ะหรือ” มังกรตาเดียวแห่งโอชูเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเรียบ หากแฝงไปด้วยโทสะ ...หากว่ามหาอนเมียวจิไทโรเป็นเพียงอนเมียวธรรมดาจริงๆ แล้วละก็ ทำไมชายคนนั้นถึงได้รู้ตัวว่าเขาตามอยู่
     
               “หืม? เขาก็เพียงอนเมียวธรรมดานั้นแหละเจ้ามังกร แต่ถ้าถามถึงใบหน้าของเขาละก็ อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ธรรมดาละนะ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงและใบหน้าติดกวนยิ่งเรียกโทสะให้แก่มาซามุเนะมากขึ้นกว่าเดิม

               

     

    “อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า ไอดะ ไอซานากิ!!!

     

     

     

                “ค่าอารมณ์ขันเป็นศูนย์เลยนะเจ้ามังกร ข้าขอเตือนความจำเจ้าเสียหน่อยแล้วกันเจ้ามังกร ตามข้อตกลงของเราตระกูลไอดะกับตระกูลดาเตะคือจะร่วมมือด้วยอย่างสุดความสามารถ แต่หากเมื่อคนของตระกูลไอดะไม่ยินยอมช่วยเหลือ คนของตระกูลดาเตะไม่สามารถเรียกร้องใดๆ ได้ ข้า...ไม่ยินยอมที่จะตอบ เพราะเช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถบังคับให้ข้าตอบได้เช่นกัน”

    ว่ากลับด้วยรอยยิ้มเรียกให้มาซามุเนะสบถออกมาก่อนหันหลังกลับไปสู่ปราสาทของตนเอง

     

    “เจ้าคนสองหน้า”

     

     

    ดวงเนตรสีเลือดทอดมองขึ้นบนท้องฟ้าสีนิล ราตรีนี้ดวงดาราส่องประกายยิ่งนัก แต่สิ่งที่งดงามมากกว่าคือดวงไฟแห่งชีวิตของคนสองคนนั้นต่างหาก

     

    ...หนึ่งคือดวงไฟแห่งความแค้น

     

    ...อีกหนึ่งคือดวงไฟแห่งความโศรกเศร้า

     

     

    ...ไม่ว่าดวงไหนก็ดูหอมหวานน่าลิ้มลองทั้งนั้น

     

     

    เลียริมฝีปากบางของตนเอง ดูเหมือนว่าการที่เขาได้มาอยู่แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ได้มองเห็นหลายๆ อย่างที่ตัวเขาในฐานะเดิมมองมันไม่ได้...

    เสียงสายลมคลอมากระทบใบหูขาว เรียกให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

     

    “โทยะ... ยามาโตะ” เอ่ยแผ่วเบาเรียกชื่อของคนสองคน ร่างของชายสองคนปรากฏขึ้นเบื้องหลังสายลมแห่งโอชู หนึ่งคือเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลชี้ไม่เป็นทรง ส่วนอีกหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับไอซากิ หากแต่ดวงเนตรคู่นั้นเป็นสีฟ้ากระจ่าง

    “โทยะปลอมเป็นอิซานากิ ส่วนยามาโตะปลอมเป็นไอซากิ ไปร่วมกินอาหารเย็นกับเจ้าพวกนั้นหน่อย ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการก่อน”

    “ขอรับ” สิ้นเสียงของคนทั้งสอง พายุซากุระก็พัดลงมาปกคลุมร่างคนทั้งสอง ร่างพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นดอกไม้งามและสายลมแห่งโอชู ก่อนที่จะสลายหายไปกับสายลมอ่อนๆ

     

    ร่างผมสีลาเวนเดอร์ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยล้า หน้ากากจิ้งจอกปรากฏขึ้นบนมือของเขาก่อนที่จะสวมมันบนในใบหน้าของตนเอง

     

     

     

    “เอาละ ได้เวลาไปล่าเจ้าพวกนั้นอีกแล้วสินะ”

     

     

     

     

    ติดตามตอนต่อไป

     

    กลับมาแล้วคร้าบ แล้วก็จะหายไปอีกรอบแล้วคร้าบ(*โดนเสย*) แบบว่าได้รับอนุญาติจากท่านโชกุน(?) ว่าเล่นคอมได้อาทิตย์หนึ่งก็เลยแว้บมาอัพให้ สารภาพบาปว่า...

    ...ยังนึกตอนต่อไปไม่ออกเลยครับ... (*โดนเสย*)

    แล้วพบกันใหม่ครับ ^w^Y


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×