ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic pokemon OC]10 days in Pokemon world

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 1 มาริโบยบิน บ่อคอยคิงแห่งเกาะโพนิ

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ค. 63


    ตอนที่ 1 มาริโบยบิน ฝูงคอยคิงแห่งเกาะโพนิ

              [พ็อคเก็ตมอนสเตอร์ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าโปเกมอน เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้

              โปเกมอนบางตัวมีรูปร่างคล้ายคลึงกับสัตว์ แต่พวกมันก็ไม่ใช่สัตว์

              และถึงแม้พวกมันจะไม่ใช่สัตว์ ก็ใช่ว่าพวกมันจะไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกับสัตว์]

              "อย่าเข้ามาน้า!!!!"

              ผู้ถูกล่าส่งเสียงกรีดร้องและวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ไม่แม้แต่จะเหลียวมองผู้ล่าที่กำลังไล่ตามหลังมาติดๆ

              โฮชินามิ มาริ เด็กสาววัยสิบสี่ปีจากญี่ปุ่นผู้ถูกใครบางคนส่งมาที่โลกโปเกมอนในร่างของเอมอนก้า(Emolga)สวมแว่นพยายามเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเพื่อสลัดคาเอ็นจิชิ(Pyroar) โปเกมอนราชสีห์เพลิงผู้สูงศักดิ์ให้หลุด แต่ร่างกายของเธอในตอนนี้กลับไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย แขนและขาได้หดสั้นลงกว่าตอนที่ยังเป็นมนุษย์มาก โชคดีที่ผู้ล่ากำลังหิวจัดจนแทบไม่มีแรงวิ่งตามจึงทิ้งระยะห่างได้พอสมควร

              แต่ตราบใดที่ยังสลัดเจ้านี่ไม่หลุด ก็ยังวางใจไม่ได้!

              "กรรรรร!!!"

              คาเอ็นจิชิคำรามข่มขวัญ หวังจะให้เจ้าเหยื่อตัวจ้อยหวาดกลัวจนตัวสั่น ไม่มีความกล้าแม้แต่จะขยับขา แต่มาริในตอนนี้นั้นคิดแค่เพียงเรื่อง 'หนี! หนี! หนี!!' การข่มขู่ด้วยเสียงคำรามของราชสีห์เพลิงจึงไร้ผล

              "ออกป๊ายยยยย!!!!"

              มาริยังคงกรีดร้องและวิ่งหนีด้วยขาสั้นๆ ทั้งสอง ความกลัวตายทำให้เธอวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดโดยไม่สนความเหน็ดเหนื่อย แต่พละกำลังนั้นมีขีดจำกัดและเธอก็อาจจะหมดแรงวิ่งในไม่ช้า ในเวลานั้นเอง นัยน์ตาสีดำสนิทภายใต้แว่นหนาก็มองเห็นสิ่งหนึ่งที่น่าจะช่วยชีวิตตนได้

              "อ๊ะ! ต้นไม้!?"จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว ถ้าเป็นต้นไม้ต้นนี้ล่ะก็ มันอาจจะช่วยให้เธอหลบคาเอ็นจิชิที่หิวโซนั่นได้"ดีล่ะ! ได้เวลาแสดงพลังของลิงภูเขาแล้ว!"

              ขออธิบายสักนิด คำว่า'ลิงภูเขา'เป็นคำที่คนรู้จักใช้เรียกมาริ ถึงในรูปตอนแนะนำตัวละครจะดูเป็นเด็กเรียยเรียบร้อยก็เถอะ แต่ในความเป็นจริง เธอซนยิ่งกว่าลิงเสียอีก! ความสามารถในการปีนป่ายต้นไม้ได้อย่างรวดเร็วของเธอทำให้ทุกคนที่รู้จักพากันขนานนามเธอว่าลิงภูเขา แว่นสายตาหนาเตอะที่สวมอยู่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการปีนเลยแม้แต่น้อย เอ่อ..ถึงจะบอกว่าเป็นลิงภูเขา แต่บ้านของเธอก็อยู่ในเมืองอะนะ

              ถึงแขนขาจะหดสั้นลง แต่พลังแห่งลิงภูเขา(?)ยังคงสถิตอยู่ในกาย มาริใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของตนปีนป่ายต้นไม้ขึ้นไปได้ทันเวลา คาเอ็นจิชิที่วิ่งตามมาไม่ทันคิดว่าเหยื่อที่ตนไล่ล่ามาจะหนีขึ้นต้นไม้แบบความเร็วแสง มันจึงหยุดตัวเองไว้ไม่ทันชนเข้ากับต้นไม้เต็มๆ

              โครม!!!

              "หวา~ ต้นไม้สะเทือนเลยแฮะ"มาริมองลงมาที่ราชสีห์เพลิงที่มึนงงหลังจากที่เอาหัวโขกกันต้นไม้เข้าเต็มๆ "โชคดีชะมัดเลยที่เจ้านั่นไม่ใช่สายกายภาพ ไม่งั้นต้นไม้นี่ได้หักโค่นลงแหง"

              [อ้างอิงค่าพลังและข้อมูลตามโปเกเด็กซ์ในเกมที่เคยเล่น คาเอ็นจิชิเป็นโปเกมอนสูงศักดิ์ มีพลังโจมตีพิเศษกับความเร็วที่ค่อนข้างสูง แต่มีพลังโจมตีกายภาพต่ำ มีข้อมูลกล่าวถึงมันว่าปกติแล้ว คาเอ็นจิชิเพศผู้จะขี้เกียจ แต่ถ้าหากเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง มันก็พร้อมจะสู้เพื่อพวกพ้องโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวมันเอง(อ้างอิงจาก Database Pokedex entries:Pokemon ultra sun)]

              ข้อมูลที่พูดถึงข้างบนคงจะทำให้ภาพลักษณ์ของมันเป็นราชสีห์ผู้สูงศักดิ์และรักพวกพ้อง แต่ข้อมูลข้างล่างเนี่ยสิ

              [ลมหายใจของคาเอ็นจิชิมีอุณหภูมิสูงถึง 10,000 องศาฟาเรนไฮต์ แต่มันจะไม่ใช้ลมหายใจอันร้อนระอุนี้กับเหยื่อที่มันหมายตาเพราะพวกมันชอบที่จะกินเนื้อสดๆ มากกว่า(อ้างอิงจาก Database Pokedex entries:Pokemon ultra moon)]

              นั่นไง! เห็นใช่มั้ย!? คำว่าเหยื่อกับเนื้อสดๆ นั่นน่ะ!

              ถ้าเมื่อกี้หลบขึ้นต้นไม้ไม่ทันล่ะก็ มีหวังได้กลายเป็นอาหารอันโอชะของมันแน่ ไหนจะลมหายใจโคตะระร้อนยิ่งกว่าแดดไทยแลนด์แดนภูเขาไฟนั่นอีก 10,000 องศาฟาเรนไฮต์แปลงเป็นเซลเซียสก็ราวๆ 5,538 องศาเซลเซียสเชียวนะ! โดนเข้าไปได้กลายเป็นกระรอกย่างแหง

              แถวนี้นี่มันอันตรายจริง

              "กรรรรร!!!!!"

              เสียงคำรามของราชสีห์ที่หิวจัด โปเกมอนตัวเล็กๆ ในบริเวณใกล้เคียงต่างพากันหลบซ่อนในพุ่มไม้เพื่อไม่ให้ผู้ล่าเจอตัว เด็กสาวในร่างเอมอนก้าพยายามหลบซ่อนอย่างสุดชีวิต ทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวต่อความตาย

              'ไปสิ ไป ไปทางโน้นเลยไป๊!'

              เธอได้แต่ภาวนาให้มันเดินจากไปเสียที แต่เจ้าคาเอ็นจิชินั่นก็เอาแต่เดินวนไปวนมาอยู่ที่ใต้ต้นไม้ไม่ยอมไปไหนเสียที

              "มิล~"

              ในระหว่างที่คาเอ็นจิชิกำลังหัวเสียเพราะว่าที่อาหารกลางวัน(?)หนีรอดไปได้ก็ได้มีโปเกมอนวัวนม 'มิลแทงค์(Miltank)' ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความถึกทนและเป็นโปเกมอนที่บรรดาผู้เล่นลงความเห็นว่า 'น่ารำคาญที่สุด' ในยิมสามของโจโต(โคงาเนะยิม/Goldenrod gym) ด้วยพลังป้องกันที่โคตะระหนาทำให้การโค่นล้มมันเป็นเรื่องยาก

              และในตอนนี้ เจ้าวัวนมสุดถึกทนนั่นก็กำลังเผชิญหน้ากับราชสีห์เพลิงผู้หิวโหยอยู่

              "กรรรร!!"

              คาเอ็นจิชิกระโจนใส่หมายจะขย้ำมิลแทงค์ตรงหน้า แต่ก็ใช่ว่าเจ้าวัวนมจะยอมให้จัดการง่ายๆ มันกลิ้งหลบแล้วตั้งท่าเตรียมสวนในทันที

              "อ๊ะ!? เจ้าวัวDef(Defense)หนาเจน 2 นี่นา!"มาริผู้เป็นอดีตว่าที่อาหารกลางวันของคาเอ็นจิชิชะโงกหน้ามองลงมาจากบนต้นไม้ ในตอนนี้ความหวาดกลัวต่อคาเอ็นจิชิกำลังแปรเปลี่ยนเป็นความสนใจในเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้"จะแบทเทิลกันสินะ!?"

              เด็กสาวในร่างโปเกมอนพูดพลางขยับแว่นของเธอขึ้นเล็กน้อย

              อ้อ ถ้าถามว่า'การแบทเทิล'คืออะไรน่ะแล้วล่ะก็

              พวกเราก็พร้อมที่จะชี้แจงแถลงไข

              เพื่อปกป้องไม่ให้โลกถูกทำลาย

              เพื่อปกป้องสันติสุขของโลกใบนี้--

              พอก่อนๆ เดี๋ยวมันจะยาวเกินไป

              แก๊งร็อคเก็ตมาไงเนี่ย!?

              ที่จริงแล้ว โปเกมอนแบทเทิลมันก็แค่การประชันความแข็งแกร่ง หรือก็คือการต่อสู้ระหว่างโปเกมอนนั่นแหละนะ

              ถึงแม้การถูกคาเอ็นจิชิไล่งาบจะเป็นโชคร้ายของมาริ แต่การที่จะได้เห็นโปเกมอลแบทเทิลอย่างใกล้ชิดติดขอบสนามตามที่เคยวาดฝันเอาไว้นั้นนับเป็นโชคดี

              "เอาล่ะ ฝ่ายไหนจะชนะกันน้า~"

              เธอพูดพลางมองไปที่โปเกมอนสองตัวข้างล่างอย่างตั้งใจ

              คาเอ็นจิชิเปิดการโจมตีด้วยเขี้ยวไฟ(Fire fang) เปลวเพลิงลุกโชติช่วงอาบคมเขี้ยวของเจ้าป่า มันกระโจนเข้าหวังปลิดชีวิตเจ้าวัวนมผู้โชคร้าย

              แต่ทว่าเจ้ามิลแทงค์กลับงัดไม้เด็ดมาใช้ตั้งแต่เริ่ม มันกลิ้งชน(rollout)คาเอ็นจิชิจนกระเด็นไปไกล แต่เจ้าราชสีห์เพลิงก็ไม่ยอมแพ้ มันพุ่งเข้ามาใหม่อีกครั้งเพื่อฝังคมเขี้ยวลงบนตัวมิลแทงค์ด้วยท่ากัดขย้ำ(Crunch)

              "คาเอ็นจิชิตัวนั้นโง่กว่าที่คิดแฮะ คิดจะเอาพลังโจมตีกายภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดินนั่นไปสู่กับพลังป้องกันโคตะระหนาของมิลแทงค์รึไง"มารินั่งวิจารณ์การต่อสู้อยู่บนต้นไม้พลางถอนหายใจ"ตายๆ โดนกลิ้งชนสวนตายแน่ๆ"

              เป็นไปตามที่เธอคำนวณ การโจมตีของคาเอ็นจิชิไม่ระคายผิวของมิลแทงค์เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังโดนกลิ้งชนที่ยิ่งโจมตียิ่งแรงจนเจ็บหนัก เมื่อเห็นว่าไม่มีทางชนะ มันจึงยอมละทิ้งความเป็นสัตว์กินเนื้อแล้วหันไปกินผลไม้รูปร่างแปลกๆ แทนเพื่อประทังความหิวโหย

              สิงโตเป็นสัตว์กินพืชสินะ

              "อา..หมดกั๊น ความเท่ของท่านเจ้าป่า"

              มาริพูดพลางมองไปที่คาเอ็นจิชิที่กลายเป็นสัตว์กินพืชไปซะแล้ว ทันใดนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงประหลาดราวกับเสียงคำรามของสัตว์ประหลาดดังมาจากใกล้ๆ ตัวของเธอ

              โครกกกกก!!!!!!

              สัตว์ประหลาดในท้องอะนะ

              "อ่า…."มาริก้มลงมามองท้องของตนที่ส่งเสียงประท้วงเมื่อครู่"จะว่าไป เมื่อวานฉันไม่ได้กินข้าวเย็นนี่นา จนถึงเมื่อกี้ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย"

              "ต้องรีบหาอะไรกินแล้ว!"

    .

    .

    .

              ยี่สิบนาทีผ่านไป

              หลังจากที่หนีคาเอ็นจิชิ(ที่ขณะนี้กลายเป็นสิงโตกินพืชไปแล้ว)มาได้สำเร็จ มาริได้ตัดสินใจว่าจะไปหาอะไรกินสักหน่อย แต่ทว่า…

              โครก!!!!

              "หิวข้าว…."

              ในขณะนี้ได้มีร่างของโปเกมอนกระรอกบินนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้า สัตว์ประหลาดภายในท้องได้ส่งเสียงประท้วงดังสนั่น ที่เดินมายี่สิบนาทีนี้เธอหาของกินอะไรไม่ได้เลย(เนื่องจากต้นเบอรี่ใกล้ๆ โดนสิงโตกินพืชนั่นซัดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ใบ) แถมเรี่ยวแรงทั้งหมดก็ใช้ไปกับการวิ่งหนีคาเอ็นจิชิแบบความไวแสงจนไม่เหลือแรงเดินต่อ

              "รัตต้า!!"

              "เอแปม! เอปา~"

              โปเกมอนที่อยู่บริเวณนั้นชี้มาที่เด็กสาวในร่างเอมอนก้าพลางส่งเสียงร้องน่าหนวกหู น่าแปลก ทั้งๆ ที่ตอนนี้เธอเป็นโปเกมอนอยู่แท้ๆ แต่กลับฟังภาษาโปเกมอนด้วยกันไม่ออกซะงั้น

              โครก!!!!

              เสียงท้องร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง ตามด้วยเสียงร้องของโปเกมอนในบริเวณนั้นที่ฟังดูคล้ายกำลังหัวเราะเยาะ

              'เงียบไปเลยเจ้าท้องบ้า!'

              เด็กสาวคิด ทันใดนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง

              "กินนี่มั้ย?"

              มาริพยายามเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งแรกที่เห็นก็คือผลไม้สีเหลืองรูปร่างประหลาดที่ไม่มีอยู่ในโลกความเป็นจริง

              และที่สำคัญ มันกินได้!

              "ผลโอบง(sitrus berry)!?"

              เด็กสาวในร่างเอมอนก้าลุกขึ้นฉวยผลไม้ประหลาดมารับประทาน ความหิวโหยทำให้เธอลืมเรื่องมารยาทในการรับประทานอาหารไปเสียสนิท(ว่าแต่โปเกมอนนี่จำเป็นต้องมีมารยาทด้วยเหรอ?) ในเวลาไม่ถึงนาทีผลไม้ประหลาดก็หายวับไปกับตา

              โปเกมอนตัวอื่นๆ ที่มารุมล้อมเอมอนก้าสวมแว่นได้แต่ยืนตะลึงเมื่อเห็นเธอมนต์เสกผลโอบงทั้งผลเข้าไปอยู่ในท้อง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นตัวอะไรที่กินเร็วขนาดนี้มาก่อน

              'อดอยากมาจากไหนเนี่ย!?'

    .

    .

    .

              "ขอบคุณสำหรับอาหารค่า~"

              เด็กสาวพูดพลางพนมมือตามความเคยชินในโลกเก่า หลังจากที่เธอเพิ่งจะโชว์พลังเสกให้ผลไม้ลูกใหญ่หายวับเข้าไปในท้องก็มีโปเกมอนนิสัยดีนำผลไม้มาให้ประทังชีวิต เพราะงั้นในตอนนี้เรี่ยวแรงของเธอจึงกลับมาแล้ว

              "เธอนี่พูดเหมือนกับพวกมานุดเลยนะ"

              โปเกมอนที่นำอาหารมาให้เธอพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์

              ไม่สิ พวกมันพูดเป็นภาษาของโปเกมอนปกติ เพียงแต่มาริได้ยินสิ่งที่มันพูดเป็นภาษามนุษย์คงจะคงถูกต้องกว่า

              "มานุด?"

              มาริถามด้วยความสงสัยพลางเอียงคอโดยอัตโนมัติ

              อะไรคือมานุด?

              ชื่อโปเกมอนสายพันธุ์ใหม่เหรอ?

              "ก็เจ้าพวกนั้นไงล่ะ พวกตัวใหญ่ที่ชอบเดินเข้ามาในป่าแล้วก็ใช้เจ้าลูกกลมๆ แปลกๆ นั่นจับพวกเราน่ะ"

              โปเกมอนตัวนั้นพูดพลางทำท่าทางให้เด็กสาวในร่างโปเกมอนเห็นภาพ แก้มสีเหลืองมีกระแสไฟฟ้าแลบออกมาเปรี๊ยะๆ ราวกับว่ามันชิงชัง'มานุด'ที่ตนกำลังพูดถึง

              'อ๋อ หมายถึงมนุษย์สินะ'

              มาริคิด

              "ไม่ใช่ๆ เจ้าพวกนั้นคือหมาหนุดต่างหากล่ะ"อีกตัวหนึ่งพูดขึ้น

              เอาเข้าไป

              'มนุษย์ต่างหากล่ะ-w-;'

              มาริพยายามกลั้นขำเมื่อได้ยินคำที่โปเกมอนเหล่านั้นพูดถึงมนุษย์ นี่พวกโปเกมอนส่วนใหญ่ออกเสียงคำว่ามนุษย์ไม่ชัดแบบนี้เหรอเนี่ย

              "จะว่าไป เธอมาจากไหนเหรอ? ดูต่างจากพวกเรานิดนึงนะ"

              เอาแล้วไง คำถามนี้

              ตอบไงดีล่ะเนี่ย

              "เอ๊ะ!? เอ่อ...ว่าไงดีล่ะ"

              เด็กสาวนั่งคิดหาข้ออ้าง

              ใช่แล้ว โปเกมอนนิสัยดีที่นำผลไม้มาให้กับเธอก็คือเอมอนก้านั่นเอง ด้วยความที่รูปลักษณ์ภายนอกของเธอในตอนนี้เหมือนกับเอมอนก้าทำให้พวกเอมอนก้าคิดว่าเธอเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ถึงจริงๆ ภายในจะเป็นมนุษย์ก็เถอะนะ นอกจากนี้ เด็กๆ พวกนี้ก็เป็นเพียงสายพันธุ์เดียวที่สื่อสารกันรู้เรื่อง

              แต่ช่างเรื่องนั้นไปก่อน จะเอายังไงกับสิ่งที่เด็กๆ พวกนี้ถามดีล่ะเนี่ย

              ก็จริงอยู่ที่ตอนนี้เธอมีรูปร่างเหมือนกับเอมอนก้าปกติ แต่เอมอนก้าปกติเขาไม่ใส่แว่นกันเนี่ยสิ จะบอกว่าเป็นมนุษย์ที่จู่ๆ ก็มาโผล่ที่นี่คงไม่ใช่ความคิดที่ดีด้วยสิ ดูจากไฟฟ้าที่แลบออกมาจากแก้มตอนพูดถึงมนุษย์ก็เดาได้อยู่ว่าเด็กๆ พวกนี้ไม่ค่อยชอบมนุษย์เท่าไหร่

              'อ๊ะ! นึกออกแล้ว!'

              "คือว่านะ! ฉันถูกมนุษย์จากที่ไกลๆ โน่นพามาปล่อยทิ้งไว้ที่นี่น่ะ"

              "ที่ไกลๆ เหรอ?"

              "อื้ม ที่ไกลๆ"

              "ถูกหมานุดทิ้งมาเหรอ? กะแล้วเชียว พวกหมานุดนี่นิสัยไม่ดีเลย จับพวกเราใส่บอลแปลกๆ นั่นยังไม่พอ ถ้าสู้ไม่ได้ก็ถูกทิ้งอีก แย่จริงๆ"

              "ใช่ๆ มานุดนิสัยไม่ดี!"

              'หวา มุมมองต่อมนุษย์ของเด็กๆ พวกนี้แย่กว่าที่คิดแฮะ'

              แต่เดิม โปเกมอนป่าบางตัวก็ไม่ค่อยชอบพวกมนุษย์ที่จู่ๆ ก็บุกรุกเข้ามาในป่าแล้วจับพวกพ้องของตนไปอยู่แล้ว พอได้ยินที่เด็กสาวในร่างเอมอนก้าพูดว่าถูกทิ้งมาก็ยิ่งเกลียดมนุษย์ขึ้นอีก

              'แต่ในอนิเมะบอกว่ามนุษย์กับโปเกมอนในอโลล่าเข้ากันได้ดีนี่นา ไหงพวกโปเกมอนที่นี่ถึงอคติกับมนุษย์ล่ะเนี่ย?'เด็กสาวครุ่นคิด'หรือว่า..เพราะฉันบอกว่าถูกมนุษย์ทิ้งมาเหรอ!?'

              ขอโทษละกันนะมนุษย์

              อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนก็คงจะสงสัยกันสินะว่ามาริรู้ได้ยังไงว่าที่นี่คือภูมิภาคอโลล่า ทั้งๆ ที่เสียงประหลาดในบทนำแทบไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับสถานที่ปัจจุบันเลย ก็ง่ายๆ ด้วยความรู้ด้านโปเกมอนในระดับแฟนพันธุ์แท้ ขอแค่เห็นโปเกมอนที่อาศัยอยู่แถวนี้ก็สามารถคาดเดาสถานที่ได้แล้ว

              เอาล่ะ กลับมาที่ปัจจุบัน

              "แล้ว..พวกเธอมีชื่อรึเปล่า?"

              มาริถามพวกเอมอนก้า

              ก็นะ เด็กๆ พวกนี้เป็นเอมอนก้าหมดเลยนี่นา จะให้เรียกว่าเอมอนก้าเหมือนกันคงสับสนแย่

              "ชื่อ?X3"

              เอมอนก้าทั้งสามเอียงคอพร้อมกัน

              "ก็ที่ไว้เรียกแทนตัวเองไงล่ะ อย่างชื่อของฉันก็คือมาริน่ะ"

              "อ้อ มีสิๆ"

              ทุกตัวพยักหน้า

              "ฉันชื่อเอมอนก้า!"เอมอนก้าตัวที่หนึ่งตอบ

              "ฉ..ฉันชื่อเอมอนก้า"เอมอนก้าตัวที่สองตอบ

              "ผมชื่อเอมอนก้า"เอมอนก้าตัวที่สามตอบ

              ……..ฮะ?

              "อ่า..โทษทีนะ ช่วยพูดใหม่อีกทีได้มั้ย? เมื่อกี้ฉันฟังไม่ทันน่ะ"

              มาริพูดพลางเกาหัวแกรกๆ

              "ฉันชื่อเอมอนก้า!"

              "ฉัน..ช..ชื่อ..เอมอนก้า"

              "ผมชื่อเอมอนก้า"

              อืม…..

              ชื่อเดียวกันเลยนี่หว่า!!

              "เอ๊? ชื่อเดียวกันแบบนี้เวลาเรียกไม่สับสนแย่เหรอ?"

              "ไม่ได้ชื่อเหมือนกันสักหน่อยX3"

              ทั้งสามตัวตอบพร้อมกัน

              ว่าแต่..ความแตกต่างมันอยู่ตรงไหนเนี่ย!?

              โจทย์ปัญหาข้อที่ 1 คะแนน 100 คะแนน จงหาความแตกต่างระหว่าง เอมอนก้า,เอมอนก้า และ เอมอนก้า

              …..เฮ้อ!

              จนปัญญาจริงๆ โจทย์ข้อนี้

              "พูดตามตรงนะ ฉันหาความแตกต่างระหว่างเอมอนก้า เอมอนก้าแล้วก็เอมอนก้าไม่ได้จริงๆ"

              "ต่างกันจะตายX3"

              ทั้งสามตัวพูดเป็นเสียงเดียวกัน

              "ฟังดีๆ นะ ชื่อของฉันคือเอ-ม่อน-ก่า! เอม่อนก่า! ไม่เหมือนกับสองตัวนั้นสักหน่อย!"

              "ข..ของฉันคือเอ-หม่อน-ก้า เอหม่อนก้าน่ะ"

              "ส่วนชื่อของผมคือเอ้-มอน-ก่า เอ้หม่อนก่าไงล่ะ"

              "เห็นมั้ย แตกต่างกันจะตายX3"

              "......."

              ขณะนี้ สมองของมาริได้ล่องลอยไปที่ไหนสักที่ที่ไกลแสนไกลไปแล้วเรียบร้อย เนื่องจากไม่สามารถทำความเข้าใจถึงความแตกต่างเพียงเล็กน้อยของชื่อทั้งสามตัวได้

              บ้าอะไรเนี่ย!?

              "เดี๋ยวๆ ฉันจะลองเรียกนะ เธอ...เอม่อนก้า?"

              "เอม่อนก่าต่างหากล่ะ"เอมอนก้า 1(เอม่อนก่า)

              "เอม่อนก้ามันชื่อปู่ของผมนะ"เอมอนก้า 3(เอ้มอนก่า)

              อะไรเนี่ย=_=?

              "งั้นเธอ..เอ่มอนก๊ะ?"

              "นั่นยายฉัน"เอม่อนก่า

              "....................."

              ถึงกับแดร๊กจุดเลยทีเดียว

              หัดตั้งชื่อให้มันแตกต่างกันหน่อยไม่ได้รึไงเล่า!!!?

    .

    .

    .

              "เอาล่ะ! เธอ..เอม่อนก่า"

              "โอ้! ถูกต้อง!"

              "แล้วก็เธอ...เอหม่อนก้า?"

              "อ..ถ..ถูกต้อง"

              "สุดท้ายก็นาย..เอ้มอนก่า?"

              "ใช่!"

              "สำเร็จ!! ในที่สุดก็จำชื่อพวกเธอได้สักที!!"

              "เย้!!!!X3"

              ถ้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น บทสนทนาเมื่อกี้นี้มันอะไรกันน่ะแล้วล่ะก็

              พวกเราก็พร้อมที่จะชี้แจงแถลงไ--(พอ!!//คนอ่าน)

              ฟิวเจอร์ เพื่ออนาคตสีขา--(ผิดภาค!!//คนอ่าน)

              พักตร์พริ้มเอวองค์ จันทร์--(พอสักทีเถอะ!!//คนอ่าน)

              เมื่อครู่นี้มาริได้พยายามจดจำชื่อของสามหน่อเอมอนก้าที่ชื่อแทบไม่ต่างกันเลย เล่นเอาสมองแทบระเบิด บางทีจู่ๆ ก็เผลอไปล้อชื่อเครือญาติโดยที่ไม่รู้ตัวอีก เฮ้อ~ ปวดหัวจริง

              เสียเวลาชีวิตไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง ยอดเลย

              "ทีนี้มาริก็จำชื่อพวกเราได้แล้ว จากนี้จะไปไหนต่อล่ะ?"

              "อืม..นั่นสินะ"มารินั่งนึกไปครู่หนึ่ง"ก็คงจะไป..สำรวจรอบๆ ล่ะมั้ง"

              ต้องรีบหาคนที่มาจากโลกฝั่งโน้นอีกเก้าคนให้เจอด้วยสิ

              จากที่เสียงปริศนาบอกเธอเมื่อตอนนั้นว่าให้ออกตามหาผู้ที่มาจากโลกใบเดียวกับเธออีกเก้าคน ดูแล้วคงจะไม่ค่อยยากเท่าไหร่ ถ้ามาริยังมีสิ่งที่โปเกมอนปกติไม่มีอย่างสติปัญญาของมนุษย์กับแว่นตาแล้วก็จะงอยผมอยู่ งั้นอีกเก้าคนที่เหลือก็คงจะมีเหมือนกัน เผลอๆ บางคนอาจจะมีอะไรที่เด่นมากๆ ชนิดที่เห็นจากไกลๆ ก็รู้ได้ในทันทีเลยก็ได้

              ปัญหาคือ…

              "ว่าแต่..จะไปยังไงดีล่ะเนี่ย?"

              ถึงร่างเอมอนก้าของเธอจะเป็นโปเกมอนประเภทบิน・ไฟฟ้าที่สามารถบินได้ก็เถอะ แต่จะให้คนที่ไม่มีแม้กระทั่งความรู้พื้นฐานเรื่องการบินกางปีกบินสำรวจโลกตั้งแต่วันแรกที่มาถึงคงเป็นไปไม่ได้

              แล้วก็ไม่อยากเดินด้วยขาสั้นๆ แบบนี้ด้วย ชาติหน้าก็คงสำรวจไม่เสร็จแหง

              เดินไปเดินมาก็เสียวโดนงาบตายไม่รู้ตัวอีก ก่อนหน้านี้ยังเห็นเจ้าสิงโตบ้านั่นเดินป้วนเปี้ยนอยู่เลย

              เอาไงดี?

              คุณคนที่กำลังอ่านอยู่มีไอเดียเจ๋งๆ รึเปล่า? คอมเมนต์บอกทีสิ

              ว่าไปนั่น

              ถึงจะคอมเมนต์มาก็เถอะ ตอนนี้ฉันก็อ่านไม่ได้อยู่ดี

              "......."

              เอมอนก้าทั้งสามตัวหันมาจ้องหน้ากันพลางเอียงคอด้วยความสงสัย

              "ไปยังไงน่ะเหรอ? ก็ต้องบินไปน่ะสิ"

              สำหรับเอมอนก้าทั่วไปแล้ว การบินไปที่ที่อยากไปถือเป็นเรื่องปกติ

              "แต่ฉันบินไม่ได้อะ;w;"

              ที่จริง ไม่ใช่ว่าบินไม่ได้หรอก แค่ไม่เคยลอง

              และไม่อยากลองด้วย!!

              "แปลกจัง?"เอม่อนก่า

              "ทำไมบินไม่ได้ล่ะ?"เอ้มอนก่า

              "ก..ก็ฉันไม่เคยลองนี่นา ไม่อยากลองด้วย;w;"

              "แต่แบบนี้ก็แย่สิ บินไม่ได้มันลำบากมากเลยนะ"เอหม่อนก้า

              "รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันลำบาก"

              ยังจำตอนที่วิ่งหนีแทบตายนั่นได้อยู่เลย

              ถ้าบินได้คงสบายกว่านี้เยอะ

              "งั้นพวกเราก็มาทำให้มาริบินได้กันเถอะ!"

              เอ้มอนก่าพูดแล้วจับแขนของเด็กสาวในร่างเอมอนก้าไว้แน่น

              "เอ๊ะ?"

              "โอ้! ปฏิบัติการฝึกบิน!"

              เอม่อนก่าเองก็จับแขนอีกข้างของเธอไว้แน่นเช่นกัน

              "อ..อาเร๊ะ!?"

              เด็กสาวในร่างเอมอนก้าเริ่มหน้าซีด

              "จ..จะทำอะไรเหรอ°w°;"

              "ฮี่ๆๆX2"

              เอม่อนก่าและเอ้มอนก่าแสยะยิ้มพลางหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ทันใดนั้นเอง เท้าของมาริก็เริ่มลอยขึ้นเหนือพื้น

              "ว..เหวอ!!!?"

              มาริร้องลั่นเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ

              "เอหม่อนก้า!! ช่วยด้วย!!!T[]T"

              เด็กสาวพยายามหันไปขอความช่วยเหลือจากเอหม่อนก้า แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มราวกับจะบอกว่า'สู้ๆ นะ'

              "เอ้า! จะปล่อยล่ะนะ!"

              "อ...°-°"

              เอม่อนก่าและเอ้มอนก่าพร้อมใจกันปล่อยมาริลงมาจากความสูงประมาณ...อ่า..กี่เมตรก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าสูงมาก มาริที่ยังตามไม่ทันสตั้นไปราวๆ 1 วิ

              "กรี๊ดดดดด!!!!"

              พอรู้ตัวก็แหกปากลั่น

              "กางแขนออกสิ!"

              "พยายามเข้า! การบินน่ะเรื่องพื้นๆ! เอมอนก้าที่ฟักออกจากไข่ได้วิเดียวยังทำได้เลย!"

              อันนั้นก็เวอร์ไป๊

              แค่พูดมันก็ง่ายน่ะสิ!!

              เด็กสาวหลับตาปี๋ พยายามกางแขนให้สุดตามที่ทั้งสองตัวบอก แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังร่วงอยู่ดี

              ตายๆๆ! ไม่รอดแน่!!

              "โธ่!! บินสิ!!"

              "อ๊า!!X3"

              เสียงร้องด้วยความตกตะลึงของเอมอนก้าทั้งสามตัว มาริค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ นัยน์ตาสีดำเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ

              เธอไม่ร่วงแล้ว และที่สำคัญ

              เธอกำลังบินอยู่!!

              "อ..เอ๊ะ?..เอ่อ..เอ๊!!!?"

              "เห็นมั้ยล่ะ!? เห็นมั้ย!? บินง่ายจะตายไป!"

              "บ..บินได้แล้ว!? บินได้จริงๆ เหรอเนี่ย!?"

              ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไร แต่มาริก็สามารถบินได้แล้ว

              ปัญหาคือ….

              "ลงไงอะ0^0?"

              "ฮะ?0[]0X3"

              นี่แหละปัญหาใหญ่

              บินได้แล้ว! แต่ลงจอดไม่ได้!?

              เอมอนก้าทั้งสามยืนอึ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสอนเอมอนก้าฝึกบินตัว(คน)นี้ร่อนลงได้ยังไงเพราะพวกตนก็ทำได้เองตามสัญชาตญาณ แย่ล่ะ ทำไงดีล่ะทีนี้

              ฟิ้ววววว!!!!

              ซวยซ้ำซวยซ้อน เมื่อจู่ๆ ก็มีสายลมพัดมาอย่างรุนแรง พัดร่างโปเกมอนกระรอกบินสวมแว่นปลิวไปไกล ด้วยขนาดตัว รูปร่างและน้ำหนักของร่างนี้ทำให้ไม่สามารถต้านแรงลมได้

              "หวา!!!"

              พอถูกลมพัดปลิวแบบนี้ มาริก็ได้นึกถึงอะไรบางอย่าง

              'งี้นี่เอง! แก๊งร็อคเก็ตก็คงรู็สึกอะไรประมาณนี้สินะเวลาถูกซัดปลิว!'

              ใช่เวลาคิดเรื่องนี้มั้ยเนี่ย!?

              "ลางไม่ดีอีกแล้วววว!!!!!"

    .

    .

    .

              ณ สวนดอกไม้โพนิ(Poni Meadow//ชื่อไทยแปลจากชื่อญี่ปุ่น)

              สถานที่เป็นที่ร่ำลือกันของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคอโลล่า ที่ซึ่งเหล่าผกาสีม่วงเบ่งบาน ณ ที่แห่งนี้ได้มีโปเกมอนฝูงหนึ่งที่ไม่คู่ควรกับบุปผางามอาศัยอยู่ในบึงเล็กๆ

              "บุ๋มๆๆๆ"

              "กรรรร!!!"

              คอยคิง(Magikarp)และเกียราดอส(gyarados)ส่งเสียงร้อง(ว่าแต่ไอ้บุ๋มๆๆ นี่มันเสียงร้องแน่เหรอ?) มันจ้องมายังคอยคิงตัวหนึ่งที่ดูแปลกแยกพลางพูดเป็นภาษาโปเกมอนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

              "หุบปากไปเลย! เป็นแค่ปลาโง่ๆ แท้ๆ!"

              คอยคิงผู้ผิดแปลกไปจากพวกเอ่ยออกมาเป็นภาษามนุษย์ ครีบเล็กๆ ขยับเข้าหากันราวกับว่าเธอพยายามกอดอก แต่ด้วยครีบสั้นๆ นี้ทำให้เธอไม่สามารถทำมันได้เหมือนกับตอนที่อยู่ในร่างมนุษย์ การขยับครีบแบบนั้นทำให้มองเห็นตราประทับรูปมงกุฏบนครีบขวาอย่างชัดเจน

              'แล้วทำไมฉันถึงได้มาอยู่กับปลาโง่ๆ หน้าตาอัปลักษณ์นี่ด้วยนะ'

              คอยคิงผู้มีตราประทับคิด

              "หวา!!!"

              เสียงกรีดร้องดังมาจากบนฟากฟ้า ฝูงคอยคิงและเกียราดอสเงยหน้าขึ้นมองและสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่างที่กำลังร่วงลงมา และจุดที่มันจะตกลงมาก็คือเหนือหัวของคอยคิงผู้มีตราประทับ

              "อ….."

              แต่กว่าจะรู้ตัวก็หลบไม่ทันซะแล้ว

              สิ่งปริศนากำลังร่วงลงมาจากฟากฟ้า และจะร่วงใส่หัวของคอยคิงตราประทับในอีก 3..2..1

              โป๊ก!!!

    .

    .

    .

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    -*-*-*-*-*-*-*-

    ในที่สุด! ในที่สุดก็พิมพ์เสร็จแล้ว!!

    ช่างเป็นการพิมพ์ตอนที่ 1 ที่แสนยาวนานTwT

    รู้สึกว่าชื่อตอนนี้ไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับเนื้อหาเลยแฮะ=^=;

    ไรท์ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าตอนนี้คนอ่านอ่านแล้วรู้สึกสนุกกันรึเปล่า มีข้อแนะนำอะไรก็คอมเมนต์บอกได้เลย ไรท์อ่านทุกคอมเมนต์อยู่แล้ว

    ตัวละครที่ทุกคนส่งมาจะค่อยๆ ทยอยออกมาในตอนหน้าๆ ค่ะ บางคนอาจจะมาช้าแต่มีบทแน่นอน

    ในตอนนี้ไรท์ขอตัวไปล้างจานก่อนนะค้า เจอกันตอนหน้า บ๊ะบายยย!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×