ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเหล่าอลวนคนจิตป่วน

    ลำดับตอนที่ #2 : เพื่อนใหม่ผู้ไม่ธรรมดา

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ย. 49


    บทที่ 2 เพื่อนใหม่ผู้ไม่ธรรมดา

                   

                    ณ โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของประเทศใจกลางกรุงเทพมหานคร    เป็นโรงเรียนที่มีพื้นที่กว้างขวางอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีได้ในมหานครเมืองหลวงที่แสนแออัดเช่นนี้  มีประวัติยาวนาน....    และมีสิ่งบางอย่างรอการถูกค้นพบอยู่ "โรงเรียนประสานพหุพิภพ"


     
                  
    "สิบสาม   รู้ข่าวยัง"


     
                  
    'สิบสาม' ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงตัวเลข   หรือรหัสลับอะไร   แต่เป็นชื่อของเด็กหนุ่มเจ้าของแว่นกรอบดำผู้นั่งสงบเสงี่ยมนั่งอ่านการ์ตูนอยู่บนขอบหน้าต่าง    ผมสีน้ำตาลเข้มซอยสั้นเลี้ยงรากยาวตามแบบที่วัยรุ่นกำลังนิยมพัดลู่   เพราะสายลมที่พัดเข้ามาภายในห้องเรียนแห่งนี้    

                    อาคารสำหรับมัธยมศึกษาปีที่สามตั้งอยู่ในตำแหน่งท้ายสุดในโรงเรียนติดกับป่าอันกว้างใหญ่ที่คงสภาพไว้ตั้งแต่ในอดีต   สมัยที่กรุงเทพมหานครยังเคยเป็นป่า    เพราะการที่มันเป็นป่ารกล้างจึงไม่มีใครคิดจะแยแส   หรือใช้สถานที่นี้ทำประโยชน์อะไร   อาคารม.3จึงเป็นสถานที่ค่อนข้างลับหูลับตา   ไม่ค่อยมีคนผ่าน   จึงได้สมยานามว่า  "ตึกหลังเขา"   แต่หารู้ไม่ว่า   การมาเรียนที่นี้ไม่จำเป็นต้องทุกข์ทรมานกับความร้อนระอุสุดแสนจะนรกเหมือนอาคารอื่นๆ   เพราะสายลมธรรมชาติพัดที่พัดมาจากป่า   เย็นสบายกว่าการเปิดพัดลมเสียอีก   แถมแถบนี้พวกอาจารย์ไม่ค่อยสนใจที่จะเดินตรวจเลยจะทำอะไรรอดพ้นสายตาอาจารย์ได้

                    และห้องที่เลืองลือชาในระดับมัธยมต้นที่สุด   คงไม่เว้นห้องที่สิบสามเรียนอยู่   ม.3/9   อันเป็นแหล่งรวมเสือสิงกระทิงแรดของความสุดยอดทั้งชายและหญิงไว้ด้วยกัน  


     
                  
    "ข่าวอะไร" สิบสามเงยหน้าขึ้นจากหนังสือการ์ตูน    ไม่พอใจทีมีคนมาขัดจังหวะการอ่าน   แต่ก็ไม่ได้ทำให้สุดป่วนประจำห้องอย่าง'แองจี้'สะทกสะท้าน   "ฉันคิดว่าไม่มีเรื่องไหนน่าสนใจกว่าข่าวเรื่องหลังคาโรงยิมพังเป็นรูโหว่เมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วนะ"


     
                  
    "ข่าวเก่าไปแล้ว   นายไปขุดหลุมฝังหูไว้ที่ไหน" เด็กหนุ่มบ่นใส่เพื่อนจอมเฉื่อยชา "ข่าวเรื่องมีคนย้ายเข้ามาเรียนที่นี่ไง"


     
                  
    "พอๆ" สิบสามรีบหยุดการสนทนาที่แสนน่าเบื่อ "ฉันไม่อยากฟังเรื่องไม่เป็นเรื่อง   ไร้สาระ"


     
                  
    "อย่างกับการ์ตูนที่เธออ่านมีสาระมากนักนะพ่อคุณ" แองจี้กระชากหนังสือออกจากมือเพื่อนอย่างหงุดหงิด   "เห็นเพื่อนดีกว่าการ์ตูนหรอไง" 


     
                   สิบสามพยายามเอื้อมมือแย่งหนังสือจากแองจี้   
    "อย่าพาลน่า   เอามา   กำลังมันๆ"


     
                   เกิดเหตุการณ์แย่งชิงกันขึ้น   สิบสามล็อคตัวไว้ไม่ให้หนี   ส่วนแองจี้ก็พยายามดิ้นให้หลุดจากการยึดเกาะอันเหนียวแน่นเหมือนตุ๊กแก    ความแตกต่างระหว่างขนาดร่างกายทำให้แองจี้ได้เปรียบด้านพละกำลัง    สิบสามรูปร่างสูงโปร่งเก้งก้าง   ผิดกับแองจี้ที่เป็นถึงนักกีฬาบาสซึ่งนอกจากสูงใหญ่แล้วยังรูปร่างกำยำได้สัดส่วนตามแบบฉบับนักกีฬา


     
               ไม่มีใครคาดคิดว่า   มันจะทำให้เกิดเรื่องจนได้


     
                   ด้วยแรงผลักของแองจี้   ทำให้สิบสามเสียหลัก   หงายหลังหล่นจากขอบหน้าต่าง


     
                  
    "เฮ้ย!!"  เพื่อนๆผู้ชายที่นั่งอยู่แถวนั้นอุทานออกมาอย่างตกใจ


     
                   สิบสามมองเห็นหน้าต่างที่ตัวเองเคยนั่งอยู่เมื่อวินาทีก่อนเคลื่อนออกห่างจากตัวเขาอย่างรวดเร็ว   ความจริงตัวอาคารมันยังอยู่ที่เดิม   แต่ตัวเขาดำลังดิ่งพสุธาอยู่ต่างหาก    สิบสามยึดจับมือของแองจี้ที่ยื่นออดมาฉุดไว้ได้ทัน   เหงื่อที่ซึมอ่านผิวหนังทำให้เกิดสารหล่อลื่นระหว่างสองฝ่าย    มือค่อยๆเลื่อนหลุด    แม้ว่าจะพยายามจับให้แน่นแค่ไหนไม่สามารถดึงรั้งเอาไว้ได้   มือของเขากำลังลื่นหลุด     ไม่สามารถยึดเกาะอะไรไว้ได้อีกแล้ว     ร่างกายเอนลง   หัวดิ่งลงจากชั้นสามเป็นอะไรที่แม้แต่พระเจ้ายังช่วยไม่ได้    เขากำลังจะตาย.....
    !!


     
               เขาไม่กล้าแม้จะกระพริบตาแม้แต่นิดเดียว   วินาทีแห่งความเป็นความตายต่างราวกับด้ายบางๆ    ใบหน้าแองจี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก   ร่างใหญ่โตถูกเพื่อนๆคนอื่นดึงรั้งไว้ไม่ให้กระโดดตามลงไป


     
                   สิบสามเอื้อมแขนไปมาพยายามไขว่คว้าทุกอย่าง
    ที่ยึดเกาะได้    ดิ้นรนจนถึงวินาทีสุดท้าย   มีเพียงธาตุอากาศเท่านั้นที่สัมผัสได้   ไม่มีอะไรแล้ว   ไม่มีอะไรที่จะช่วยเขาได้   นอกจากปาฏิหาริย์


     
                   ตุบ..
    !!

    +*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+**+*+*

                   

                    ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินประกายสีเขียวแปลกตาในเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนประสานพหุพิภพกำลังนอนนั่งขัดดาบประจำกายให้สะอาด    หน้านิ่วคิ้วขมวด   บรรยากาศรอบตัวกลับมีแต่ความขมุกขมัวด้วยความฉุนเฉียวที่คลุกกรุ่นอยู่ในใจจนล้นออกมา  


     
                  
    "ราฟา...เลิกทำหน้าบูดเป็นตูดหมึกซักทีได้ไหม" เด็กสาวในชุดมัธยมต้นที่ยืนพิงต้นไม้ห่างออกไปหนึ่งเมตรบ่นออกมาอย่างระอาในอาการของผู้สมรู้ร่วมคิด   "เราไม่ได้ใช้ให้นายมาเรียนด้วยซักหน่อย   ไม่พอใจก็กลับไปเฝ้าบ้านซะ"


     
               "ใครจะกล้าปล่อยให้ยัยบ้าอย่างเธอมาคนเดียวล่ะ" เขาตอบ    ราชองครักษ์หนุ่มราฟาเอลผู้สง่างามองอาจ   เมื่อลงมายังพื้นพิภพบัดนี้กลายมาเป็นแค่เด็กนักเรียนธรรมดาโดยใช้ชื่อว่า ราฟา   มันไม่ใช่ความต้องการของเขาแม้ซักนิดเดียว   เขาโดนสถานการณ์บังคับ   เพราะไอ้คนชอบสร้างปัญหาดันลองดี    อยากลองใช้ชีวิตแบบคนบนพื้นพิภพ    แอบหนีไปสมัครเรียนที่โรงเรียนประสานพหุพิภพ    เขาจึงต้องตามมาคุมพฤติกรรมถึงที่นี่  


     
               "นายนี่มันยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ"คนก่อเรื่องขมวดคิ้วไม่พอใจในคำตอบของอีกฝ่าย   "จำไว้นะ   เราชื่อ แจน   ส่วนนายชื่อ ราฟา   พวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย    เป็นแค่เด็กนักเรียนธรรมดาที่พึ่งย้ายมาเรียนที่กรุงเทพ   แล้วเด็กธรรมดาเขาไม่นั่งขัดดาบจนมันวับเป็นงานอดิเรกหรอกนะ"


     
               "ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน   ทีบนเกาะโมเม้น    เด็กๆอายุเท่านี้ก็เดินถือดาบไปไหนมาไหนเป็นเรื่องปกติ"


     
                  
    "นั่นมันเด็กชาวโมโมเน่อ   ไม่ใช่เด็กของพื้นพิภพ" แจนตะหวาด "เก็บมันไปให้พ้นหูพ้นตาเสียที   ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว"


     
                   ราฟาจับด้ามดาบยื่นออกไปสุดแขน ปลายดาบชี้ไปยังตำแหน่งพื้นดิน พร้อมกับกล่าวร่ายคำสั่งอาคม  
    "ผลึกดาบจตุธาติ!!" ดาบสีดำมันวาวค่อยๆย่อขนาดเหลือเพียงแค่นิ้วชี้    เพื่อให้เหมาะกับการพกพา   ราฟาจึงทำเป็นจี้ห้อยคอรูปแทนไม้กางเขน   เขาไม่มีวันทำให้มันห่างตัวเด็ดขาด


     
                   แจนเดินนำละลิ่วทิ้งห่างจากชายหนุ่มไปไกลโข    ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน   แบบไหน   เวลาไหน   ราฟาก็ยังคงความเจิดจรัสเปล่งประกายงดงามจนเจิดจ้าออกมาได้อยู่ดี    การอยู่ไกลคนแบบนี้มีแต่จะทำให้อาการกำเริบหนักกว่าเก่า   โชคดีที่เรียนคนละระดับชั้น    อาคารก็อยู่ไกลคนละมุมโลก   ไม่ต้องเดินเจอกันตลอดเวลาเหมือนอยู่ในวัง


     
                   ทั้งคู่เดินออกจากดงป่าหลังโรงเรียนที่แอบไปนั่งงีบพักรอเวลาเลิกพักเที่ยง   ความจริงเด็กสาวตั้งใจจะมารายงานตัวแต่เช้า   แต่ไอ้คนตกกระไดพลอยโจนมาเป็นผู้คุมมัวแต่อืดอาดยืดยาด   ไม่ยอมมา   และไม่ให้เธอมาด้วย   จึงต้องต่อปากต่อคำปะทะคารมจนมาสาย   กว่าจะมารายงานตัวกับอาจารย์ประจำชั้นก็เที่ยงพอดี


     
                  
    "เฮ้ย!!"


     
                   เสียงอุทานดังขึ้นฉับพลันทันใดเรียกความสนใจจากผู้มาใหม่ทั้งสองได้    สายตามุ่งไปยังต้นเสียง


     
                   ร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังหงายหลังหล่นจากชั้นสาม    ไม่สามารถยึดเกาะอะไรไว้ได้


     
                   ราฟารีบวิ่งเข้ามารับร่างที่กำลังดิ่งสู้พื้นคอนกรีตแข็ง    แต่ระยะทางมันห่างเดินไป    ร่างนั้นเฉียดผ่านแขนที่ยื่นออกไปเพียงแค่สองเซนฯเท่านั้น


     
                   ตุบ
    !!


     
                   ไม่มีอะไรแล้ว


     
                   ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นแล้ว  


     
                   ภาพที่ร่วงหล่นผ่านแขนที่ยืนรับ    ชีวิตของคนๆหนึ่ง...ได้เลยผ่านไป

                    ร่างนั้นปะทะเข้ากับสิ่งอยู่ที่เบื้องล่างบริเวณเท้าของชายหนุ่ม


     
                  
    "เกือบไป" แจนผ่อนลมหายใจเฮือก   วิกฤติความเป็นความตายน่าหวาดเสียวจนลืมหายใจ


     
                   เด็กสาววิ่งไถลรอดผ่านใต้ระหว่างขาของคนตัวสูงกว่ามารับร่างที่หล่นสู่พื้นได้พอดี   ถือว่าเป็นโชคของเขาแล้วกันที่วันนี้เธอใส่รองเท้านักเรียนธรรมดา   ไม่ได้ใช้ร้องเท้าหนังตุ่นคู่เดิม


     
                  
    "ผมเพิ่งได้เห็นคุณค่าของไอ้ร้องเท้าประหลาดของเธอก็วันนี้" ราฟาพูดชมผสมกับกวนโทสะคนตัวเล็กไปในตัว   ก่อนหันไปถามอาการคนที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของเด็กสาว   เด็กหนุ่มใส่แว่นกรอบสีขาวค่อยๆลืมตาแล้วมองสำรวจตัวเองอย่างงุนงง    ใบหน้าแสดงความรู้สึกแปลกใจ


     
                  
    "สมองกระทบกระเทือนรึเปล่า" แจนลูบหัวอีกฝ่าย


     
                  
    "เอ่อ.....ขอบคุณมาก" เขาตอบคนละคำถาม   พร้อมกับรีบดันแว่นที่เลื่อนลงมากลับขึ้นไปยังที่เดิม

                    "ดวงตาของนายสวยดีนะ" เด็กสาวเอ่ยชม   "แล้วนายชื่ออะไร   เราชื่อแจน   เป็นเด็กนักเรียนธรรมดาที่พึ่งย้ายมาเรียนที่กรุงเทพ"


     
                   เด็กหนุ่มกำลังอ้าปากตอบคำถาม   แต่ดันถูกคนต้นเหตุที่วิ่งพรวดออกมาจากตึกตอบคำถามแทนไปโดยอัตโนมัติ


     
               "สิบสาม!!" แองจี้วิ่งมาเอาหน้าซุกอกเพื่อน   น้ำตาบนใบหน้าไหลพรากเหมือนจงใจจะทำให้กรุงเทพกลายเป็นเมืองบาดาล "ฮือๆๆ   ฉันขอโทษ    ฉันไม่ได้ตั้งใจ   ฉันนึกว่าจะกลายเป็นฆาตกรแล้วเสียอีก"  


     
                  
    "พ่อแม่ตั้งชื่อผิดเพศก็เพียงพอแล้วนะแองจี้   นี่นายยังจะทำตัวผิดเพศจริงๆอีกรึไง" เด็กหนุ่มพยายามดันตัวเพื่อนร่างใหญ่ออกห่างก่อนที่จะถูกทับตาย   "หยุดร้องไห้ซักที   รำคราญ"


     
                  
    "นายให้อภัยฉันแล้วใช่ไหม"


                   
    "ฝันไปเถอะ   เดี๋ยวพ่อจะเอาสันหนังสือปกแข็งเฉาะกระบาลแยกเลย" สิบสามบ่นฆาตโทษไว้ล่วงหน้า   


     
                  
    "ไม่เป็นไรแน่ๆใช่ไหม"ราฟาเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงคนร่างบางจะโดนหมีล้มทับ   เมื่อสิบสามยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรจริงๆ    ใบหน้างามแสดงอาการโล่งใจ    เรียกเอาหัวใจแองจี้ที่บังเอิญสบตาเข้ากระตุกวูบไปชั่วขณะหนึ่ง    ผู้ชายอะไร   อันตรายจริงๆ    พลังฟรีโรโมนดึงดูดทางเพศสุดแสนจะทรงอำนาจ    พวกสาวๆในโรงเรียนคงกระอักความเจิดจ้าตายไปหลายรายแน่ ขนาดตัวเขาเองที่เป็นผู้ชายยังเกือบเคลิ้มแล้วไหมล่ะ


     
                  
    "คงใกล้ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว" ราฟายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา   "ขอถามหน่อยได้ไหมว่าห้อง ม.3/9 อยู่ที่ไหนหรอ"


     
               "นายคือนักเรียนใหม่ทีพึ่งย้ายมาหรอเนี่ย" แองจี้เลิกคิ้ว


     
               "ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก    ยัยนี่ด้วย" ชายหนุ่มชี้ไปที่คนข้างๆ   "ผมชื่อราฟา" เขาแนะนำตัว


     
                  
    "เราชื่อ แจน   ยินดีที่ได้รู้จักนะ สิบสาม   แองจี้"


     
               "รู้ชื่อฉันได้ไง" แองจี้ทำท่าตกในสูดขีดเหมือนกำลังดูหนังเรื่องผีในคอห่าน   "เธอคือสปายของพวกแฟนคลับที่แอบมาสืบประวัติฉันใช่มะ"


     
                  
    "ทำท่าซะโอเว่อ"สิบสามเอาศอกกระทุ้งเพื่อนแรงๆ   "พวกเราออกจะคุยกันเสียงดังขนาดนั้น   ไม่รู้ชื่อก็บ้าแล้ว"


     
                   เพื่อเป็นการตอบแทนเล็กๆน้อยๆ    สิบสามจึงออกคำสั่งบังคับเพื่อนตัวดีให้ไปส่งราฟาที่ตึกที่อยู่กันคนละฝากของโรงเรียน   ส่วนตัวเขาเองจะเป็นคนพาแจนไปส่งให้


     
                  
    "เธอเรียนห้องไหนล่ะ"


     
                  
    "รู้สึกจะเป็นห้อง ม.3/8"


     
                   แค่ก
       แค่ก   แค่ก

                    สิบสามสำลักน้ำลายตัวเอง      เขาควรทำยังไงดี   กับเด็กสาวคนนี้ที่ดันบังเอิญมารล่วงรู้ความลับของเขาเข้าจนได้

    +*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+

                ในชั่วโมงภาษาไทยที่แสนจะน่าเบื่อ    ทุกคนต่างก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างเงียบเชียบ   ความจริงแล้วนั่นคือเทคนิคการนิทรารมณ์ในห้องเรียน...ความสามารถเฉพาะตัวที่มีกันเกือบทุกคนในห้องม.3/9แห่งนี้    คนไหนยังฝึกวิชาไม่แก่กล้าพอก็อาจมีของเหลวสีใสเหนียวหนืดเวลาทำปฏิกิริยากับอากาศจะกลายเป็นฟองไหลย้อยหยดเยิ้มยาวอาบนองบนโต๊ะ หรือไม่ก็นั่งผงกหัวเป็นจังหวะตามการพูดของอาจารย์      มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้    เสียงเอื้อนกลอนของอาจารย์ช่างเป็นดุจดั่งอาวุธร้ายคอยขับกล่อมให้สู่ฝัน   ประกอบเป็นคาบสุดท้ายของวันนี้   จิตจึงจดจ่อกับกิจกรรมกลังเลิกเรียนมากกว่าบทเรียนที่แสนง่วงนอน


     
                   นิ้วเรียวยาวของคนเหม่อลอยตวัดไปมาขีดเขียนตัวอักษรลงบนแผ่นกระดาษสมุด   ถึงดวงตาหลังกรอบแว่นจะมุ่งตรงไปยังหน้าห้องแต่ก็ไม่ได้จับจุดโฟกัสที่ใด   ห้วงคำนึงแห่งความนึกคิดกำลังดำดิ่งลงไปสู่ก้นบึ้งของจิตใจ   สติสัมปชัญญะหลุดลอยไปในที่ห่างไกล   หากแต่มือกลับยังคงขยับขีดเขียนความ


     
                  
    "สิบสาม   เลิกเรียนแล้วนะ...เว่ย"


     
                   เสียงทักทายจากคนโต๊ะหน้าเรียกเอาสติของชายหนุ่มกลับคืนมา    หันหน้ามองซ้ายขวาเลิกลัก   เพื่อนร่วมห้องทั้งหลายกำลังเก็บอุปกรการเรียนใส่ประเป๋าเตรียมกลับบ้าน


     
                  
    "หมดเวลาตอนไหนล่ะนั่น" สิบสามผ่อนลมหายใจ   พร้อมกับปิดขี้เกียจคลายกล้ามเนื้อที่ตรึงเครียดมาทั้งชั่วโมง


     
                  
    "เสียงอ๊อดโรงเรียนออกจะดังสะเทือนฟ้าขนาดนั้นไม่ได้ยินรึไง" แองจี้เอี้ยวตัวหันหลังให้กระดานเพื่อสนทนากับคนโต๊ะหลังสุดของห้อง "เก่งจริงเลยพ่อคุณ...ทำได้แม้กระทั่งลืมตาหลับ"


     
                  
    "ก็ไม่เชิง" ชายหนุ่มยักไหล่   "แล้วแจนหายไปไหน"


     
                   แองจี้ชี้ไปตำแหน่งข้างขวามือของเพื่อน   
    "นายปลุกเองเถอะ   เป็นคุณเธอหลับแล้วไม่กล้าปลุก   ท่าทางมีความสุขเสียเหลือเกิน"   เด็กหญิงผมสีดำซอยสั้นกำลังตั้งอกตั้งใจฟุบหลับราวกับวิญญาณกระเด็นหลุดไปพร้อมกับอาจารย์เจ้าของอาวุธร้ายสยบการเคลื่อนไหว   หนังสือภาษาไทยเล่นใหม่เอี่ยมบัดนี้เจิ่งนองไปด้วยคราบน้ำลายที่หลั่งไหลออกมา 


     
                  
    "แจน    ตื่นได้แล้ว" สิบสามสะกิดคนข้างตัวแรงๆ    หากสิ่งที่ตอบกลับมาคือความสงบนิ่งไม่ไหวติ่งและเสียงโกรน   เขาจึงต้องใช้มาตรการสุดท้าย   หยิบขนมปังโรยน้ำตาลที่เหลือตอนเที่ยงเข้าอังตรงจมูกอีกฝ่ายซึ่งทำปฏิกิริยาตอบสนองโดยการหายใจฟุดฟิดสัมผัสกลิ่นเป็นอย่างแรก    ก่อนตามด้วยอ้าปากงับขนมปังมาเคี้ยวตุ้ยๆในทันใด    


     
                   ง่ำ ง่ำ ง่ำ  เสียงเคี้ยวไร้มารยาทดังมาจากเด็กหญิงผู้มีใบหน้าซีกหนึ่งเปียกน้ำ 


     
                  
    "คราวหน้าขอเปลี่ยนเป็นกล้วยแทนนะ" แจนพูดขึ้นพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำลายทั้งบนตัวและบนโต๊ะ


     
                  
    "ถ้าไม่ลืมก็จะซื้อมาให้"


     
                   แองจี้ยิ้มแหยๆให้กับการเข้ากันได้อย่างลงตัวของทั้งสอง    สิบสามเป็นคนใจเย็นชนิดถึงจุดเยือกแข็ง   ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แทบจะไม่ทำให้สะทกสะท้านใดๆ    ตอนแรกๆพวกเขายังอึ้งกิมกี่ในความประหลาดของแจน    แต่หลังจากผ่านไปซักอาทิตย์ก็เริ่มชิน   โดยเฉพาะสิบสามที่สามารถหากลวิธีมารับมือได้ตลอด


     
               "
    นี่กี่โมงแล้ว" ชายหนุ่มถามเพื่อนร่างใหญ่


     
                  
    "ตัวเองก็มีนาฬิกา   แหกตาดูเองดิ"


     
                   สิบสามรู้สึกอยากจะเอาดินสอในมือกระแทกอัดเข้าลูกตาคนยียวนจริงๆเลย   
    "ลืมไปแล้วรึไงว่าซ้อมบาสกลังเลิกเรียน    ไม่อยากจะบอกว่าคราวนี้มี่รุ่นพี่ศิษย์เก่ามาซ้อมให้    ถ้าไปสายได้วิ่งรอบสนามตามวินาทีที่ไปสายนะแองจี้" เขาบิดข้อมือหันหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสามสิบห้าให้ดู   สายไปห้านาทีแล้ว


     
                   แองจี้เบิกตาโพรงด้วยความตื่นตระหนก   มือกวาดของบนโต๊ะใส่กระเป๋าเป้และวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว   โดยทิ้งไว้เพียงแต่คำว่าสบถด่าให้เพื่อนได้ฟัง


     
                  
    "เขียนอะไร"


     
                  
    "หืม??" สิบสามครางในลำคอเสียงสูง


     
                  
    "ไอ้ที่เขียนมาตลอดชั่วโมงนี่ไง" แจนชี้ไปยังแผ่นกระดาษบนโต๊ะข้าง


     
                  
    "ไม่รู้เหมือนกัน" เด็กหนุ่มเลื่อนกระดาษไปให้ถามได้อ่านไปพร้อมกัน  


    "ความมืด...ทำไมคนถึงกลัวความมืด

    เพราะสิ่งมีชีวิตอันน่าพิศวงสุดแสนสังเวชมักมาในความค่ำคืนที่แสนมืดมิด

    หลบซ่อนเร้นกายอยู่ในเงาที่มองไม่เห็น  

    ทุกหนทุกแห่ง

    จ้องมองอยู่หลังม่านดำของอากาศ  

    รอคอยเวลา...ให้เหยื่ออ่อนแรง

    การกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน   อ้อนวอนขอชีวิต

    คือชะตาเพียงหนึ่งเดียวที่ผู้พ่ายแพ้จะได้รับ"

               

                    "เขียนซะโหดเชียว" แจนบ่นอุบอิบ   เลิกสนใจข้อความในกระดาษ   แล้วหันมาเก็บข้าวของลงกระเป๋าเพื่อกลับบ้าน  


     
                   เด็กหนุ่ม....ยังคงจ้องกระดาษแผ่นนั้นไม่ว่างตา   อ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับจะให้ตัวอักษรฝังรากลึกอยู่ในดวงตา
    "ไม่ได้การ" เขากัดฟันกรอด   และลุกพรวดพราดหิ้วกระเป๋าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


     
                  
    "แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ" สิบสามบอกลาเพื่อน    เขาต้องรีบกลับไป...สะสาง


     
                   ปึก
    !!  โครม.....!!


     
                   เหมือนมีบางอย่างมากระทบข้างครั้ง    สิบสามล้มลงด้วยความเจ็บปวดที่ต้นคอ    เขาถูกทำร้าย.... จากบางสิ่งที่โถมเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว    ความร้อนลนทำให้เขาประมาท    สติกำลังหลุดลอย    ภาพสุดท้ายที่เห็นคือ  ใบหน้าของแจนที่กำลังจ้องมอง

    +*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+
    ติดตามชม...



    มุมสบายๆสไตย์นายสิบสาม
    + + ในที่สุดก็ได้ลงตอนสองเสียที   ความลับของหนุ่มน้อยนามว่าสิบสามจะเป็นเช่นไรนั้น  โปรดติดตามในครั้งต่อไปครับ++ 
    + + ปล. ช่วงนี้การ์บ้านเยอะจังเลยแหะ ++
    ++ อาจจะต้องมีกาเปลี่ยนแปลงในบทนี้นะครับ  แล้วจะแจ้งให้ทราบอีกที ++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×