57.ปฐมกาลหลุมดำ Genesis Black hole (The Galaxy : Super cluster)

57. Genesis Black hole เจนีซิส แบล็คโฮล [อีจิส - เพเนต]

เพเนต ดาวเคราะห์แรกกำเนิดอายุขวบเดือน ดาวต้นแบบเกิดใหม่ไม่รู้เอกภพ ทารกหนีตายไฟแรงสูง พุ่งชนมวลขอบฟ้าเหตุการณ์ที่บีบอัดพลังงานจนเหลือขนาดเท่ากำมือ

อีจิส อดีตราชันยักษ์แดงใหญ่แห่งกลุ่มดาวโล่ เขาระเบิดไฮเปอร์โนวาทำลายล้าง เปลี่ยนสถานะจากดาวพลังงานมวลมากสู่หลุมดำยิ่งยวด ก้าวข้ามมหานวดาราเพื่อตามหาอีกครึ่งของชีวิต

ในเอกภพไร้สิ้นสุด การรอนแรมแห่งปริภูมิ-เวลากว่าแสนล้านปี ทั้งอดทน ทุกข์ทน กระทั่งเขาดำมืด ทึบแสง อำมหิตขีดสุด และในตอนที่เขาไม่เผื่อใจให้ใคร ครึ่งชีวิตที่เขาตามหากลับเพิ่งเกิดและโดนไล่ฆ่า วิ่งเข้ามาในฝ่ามือ!

DIN THINKR : เขียน

หมวดหมู่ : BL งานเขียนลำดับที่ 57.3

สงวนลิขสิทธิ์ทางปัญญา พ.ร.บ ลิขสิทธิ์ พ.ศ  2537

---

Year of Galaxy 660 - 1874

After the collapse of the third interstellar civilization

How long before Aegis performed a hypernova, I don't remember, I only remember what was left of the shadows. The whole body was free of energy or scorching gamma rays like the past. Identity becomes a pitch black hole ^[1] , emitting a fleeting but powerful radiation at the center of the event horizon.

Transform yourself from what it used to be to move your identity across the galaxy. Give up the enormous heat energy and the giant title. into the unfathomable darkness He traveled through the universe in search of something called the Other Half-Life, but never found it.

Aegis was originally the prototype star. Born into an energy-forming destroyer. called the Great Red Giant One of the oldest hypernova stars. More than ten billion years old

He lived a solitary life. It devours the stars and objects in the universe. The hypernova itself then became the master of the Schwarzschilt aura ^[2] , reaching the peak of a full star assassin.

Aegis explodes himself. Convert matter into black holes to teleport identities across galaxies. because the universe is vast and dangerous Being a black hole makes it easier for him to fight black holes together. Especially since he was once a powerful star. So he was almost completely uncontested.

Yet, although he grew stronger and stronger But he never searched for matter. Or a conscience capable of sparking a soul with a depressed killer like him found a single piece.

ten thousand years later After patrolling tens of thousands of galaxies through the movement of matter Seeing miracles in the dark countless times In the end, the gods ^[3] known as death like Aegis were so exhausted that they wanted to die.

but unfortunately past life No other black hole is powerful and wide enough to engulf a single black hole formed by a giant star like him. Thus, the E-citta crystallized the mind, enveloping itself in a weary mass of inertia. He let the slow flow of deep space drag him home.

However, with such a great distance and probably a long time to reach home, he would have killed him during hibernation. Aegis therefore uses the ultimate compression of matter. He shrinks the enormous black hole to the size of a handful. Transfiguration at the meteor level Prevents accidental killing on long routes. and entered a state of deep sleep for thousands of years

His space road was clear. A thousand years later, a handful of darkness drifts through the Kuiper Belt. The material belt, which is like the mother of all objects in the Milky Way. It is also a mighty gate of entry and exit.

Incidentally, the Kuiper Belt is the only thing in the vast galaxy that can fight black holes. because even if he touched its object He could not eliminate it or devour it entirely. Moreover, the Kuiper Belt was one of the spiritual objects that transcended infinity. not less heroic deeds

For example, the Kuiper belt once smashed a single black hole. because the black hole is trying to engulf the white ^[4] that it loves.

The Kuiper Belt is now stronger than the past. through fusion with a half-life known as a white hole must understand that The white hole is the true ray of spacetime. is the first white hole The only prototype object in the Milky Way Galaxy Plus, he's younger than him as a claw.

It was a space where nothing could enter. But matter and light can come out like weaving. as opposed to a black hole that absorbs everything. The white hole is considered powerful enough. Even in the past, it had missed out on being attacked by the Schwarzschult aura because of its youth. Too new to be able to control his own power.

After bonding with the white hole The badass Kuiper belt has undergone a massive upgrade. It made full use of the abilities of the white hole. Coat the object itself with a powerful aura. sparkle Reflecting the gravity of all black holes...

---

[1] หลุมดำ (black hole) เทหวัตถุในเอกภพที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก ไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสงยกเว้นหลุมดำด้วยกัน เราจึงมองไม่เห็นใจกลางหลุมดำ หลุมดำมีพื้นที่เป็นขอบ เขตของตัวเองเรียกว่าขอบฟ้าเหตุการณ์ ที่ตำแหน่งรัศมีชวาร์สชิลด์ ถ้าวัตถุหลุดเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ วัตถุต้องเร่งความเร็วมากกว่าความเร็วแสง จึงจะหลุดออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่วัตถุใดจะมีความเร็วมากกว่าแสง วัตถุนั้นจึงไม่สามารถออกมาได้อีกต่อไป

[2] รัศมีชวาซชิลต์ (Schwarzschild Radius) หรือขอบฟ้าเหตุการณ์ (event horizon) คือขอบเขตของปริภูมิ-เวลา ซึ่งโดยมากมักเป็นพื้นที่โดยรอบหลุมดำ ที่ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ไม่อาจส่งออกมาถึงผู้สังเกตการณ์ภายนอกได้ แสงที่แผ่ออกมาจากภายในขอบฟ้าเหตุการณ์จะไม่มีวันเดิน ทางมาถึงผู้สังเกต และวัตถุใดๆ ที่ล่วงผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ไปจากฝั่งของผู้สังเกต จะมีสภาวะที่ช้าลงและดูเหมือนจะไม่สามารถข้ามผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ไปได้

[3] เทหวัตถุคือ ก้อน ชิ้น หรือส่วนหนึ่งของสสาร ซึ่งอาจเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊สก็ได้

[4] หลุมขาว (White hole) ในสัมพัทธภาพทั่วไปของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หลุมขาวเป็นพื้นที่สมมติชนิดหนึ่งในทางทฤษฎีของกาลอวกาศซึ่งไม่มีสิ่งใดสามารถเข้าไปได้ แต่สสารและแสงสามารถหนีออกมาได้ (ตรงกันข้ามกับหลุมดำ) หลุมขาวปรากฏอยู่ในทฤษฎีหลุมดำนิรันดร์ อย่างไรก็ตามการเกิดหลุมดำสามารถเกิดได้ผ่านการยุบตัวอันเกิดจากแรงโน้มถ่วง แต่หลุมขาวยังไม่สามารถเกิดได้ผ่านกระบวนการทางกายภาพที่รู้จัก

(วัตถุต้นแบบในที่นี้หมายถึงสิ่งที่ถือกำเนิดในเอกภพนับร้อยหรือล้านปีด้วยตนเอง เช่น หินอวกาศ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ หรือหลุมดำจากการไฮเปอร์โนวาเป็นต้น ส่วนวัตถุลูกหมายถึงการแบ่งภาคชิ้นส่วนของวัตถุโบราณชิ้นนั้นๆ ครับผม)

หลุมดำ (black hole) หลุมดำเป็นซากที่สิ้นสลายของดาวฤกษ์ที่ถึงอายุขัยแล้ว สสารที่เคยประกอบกันเป็นดาวนั้นได้ถูกอัดตัวด้วยแรงดึงดูดของตนเองจนเหลือเป็นเพียงมวลหนาแน่นที่มีขนาดเล็กยิ่งกว่านิวเคลียสของอะตอมเดียว ซึ่งเรียกว่า ภาวะเอกฐาน เมื่อดาวฤกษ์ที่มีมวลมหึมาแตกดับลง มันอาจจะก่อกำเนิดวัตถุที่ดำมืดที่สุด ทว่ามีอำนาจทำลายล้างสูงสุดไว้เบื้องหลัง

หลุมดำ คือเทหวัตถุในเอกภพที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก และไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสง เราจึงมองไม่เห็นใจกลางของหลุมดำ หลุมดำจะมีพื้นที่หนึ่งที่เป็นขอบเขตของตัวเองเรียกว่าขอบฟ้าเหตุการณ์ ที่ตำแหน่งรัศมีชวาร์สชิลด์ ถ้าหากวัตถุหลุดเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ วัตถุจะต้องเร่งความเร็วให้มากกว่าความเร็วแสงจึงจะหลุดออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่วัตถุใดจะมีความเร็วมากกว่าแสง วัตถุนั้นจึงไม่สามารถออกมาได้อีกต่อไป

โพรโทแพลนเนต (Protoplanets) Proto แปลว่าแรกเริ่ม และ Planet แปลว่าดาวเคราะห์วัตถุในอวกาศที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ เป็นดาวเคราะห์แรกเริ่มมีขนาดใหญ่กว่าดาวเคราะห์น้อย แต่เล็กกว่าดาวเคราะห์แคระ นักดาราศาสตร์เชื่อว่า protoplanet เป็นเศษเหลือที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่ระบบสุริยะจักรวาลเกิดขึ้น แต่ไม่ได้รวมตัวจนเป็นดาวเคราะห์ดังนั้นลักษณะของดาวเคราะห์แรกเริ่มจึงไม่กลมเหมือนดาวเคราะห์แคระ

บิกแบง (Big Bang, "การระเบิดครั้งใหญ่") เป็นแบบจำลองของการกำเนิดและวิวัฒนาการของเอกภพในจักรวาลวิทยาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และจากการสังเกตการณ์ที่แตกต่างกันจำนวนมาก นักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปใช้คำนี้กล่าวถึงแนวคิดการขยายตัวของเอกภพหลังจากสภาวะแรกเริ่มที่ทั้งร้อนและหนาแน่นอย่างมากในช่วงเวลาจำกัดระยะหนึ่งในอดีต และยังคงดำเนินการขยายตัวอยู่จนถึงในปัจจุบัน

อนึ่ง บิกแบงไม่ใช่การระเบิดของสสารที่เคลื่อนออกไปเพื่อเติมเต็มเอกภพอันว่างเปล่า ตัวอวกาศนั้นต่างหากที่ขยายตัวออกไปตามเวลาในทุกหนทุกแห่งและทำให้ระยะห่างทางกายภาพของจุด comoving สองจุดเพิ่มมากขึ้น แต่เนื่องจากมาตรวัด FLRW ถือว่าการกระจายตัวของมวลและพลังงานเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ มันจึงใช้กับเอกภพเฉพาะในระดับขนาดใหญ่เท่านั้น ส่วนการรวมตัวของสสารในระดับท้องถิ่นเช่นดาราจักรจะมีแรงโน้มถ่วงดึงดูดผูกพัน ไม่ได้รับผลกระทบจากการขยายตัวตามตัวประกอบขนาดของอวกาศ

หินออบซิเดียน (Obsidian) เกิดจากการระเบิดอย่างรุนแรงของภูเขาไฟ ลักษณะคล้ายแก้ว หินออบซิเดียนจึงถูกเรียกว่าแกรนิตเนื้อแก้ว ลักษณะหินมักมีสีดำเนื้อหินละเอียด มีความแข็งและขอบคม ในยุคโบราณมีการนำหินออบซิเดียนมาทำเป็นอาวุธ ในหินออบซิเดียนที่สัมผัสกับน้ำก็จะทำให้เกิดผลึกเส้นใยสีขาวกระจายคล้ายเกล็ดหิมะ 

ตัวอย่างทดลอง อ่านจบที่ readAwrite ขออภัยในความไม่สะดวกครับผม

"ur welcome, Thanks for all the comments and ratings. Have fun."

*เหตุการณ์ สถานที่ เนื้อเรื่อง คือจินตนาการของผู้แต่ง โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพสื่อ วรรณกรรมในมือท่านเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น