ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( exo ) The Demigod ปฏิบัติการป่วนโอลิมปัส chanbaek , kadi

    ลำดับตอนที่ #7 : THE DEMIGOD :: 4

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 56






    #4

     

    ทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในบ้านพักหมายเลขสิบเอ็ด สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้ก็คงจะเป็นความรู้สึกแปลกๆหลายอย่างปนเปกัน ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเป็นกันเอง ผ่อนคลาย บ่อยครั้งที่ได้ยินมุกตลกที่ผมไม่เคยรู้จัก คงเป็นเพราะสายตาทุกคู่ของผู้ที่อยู่ภายในบ้านพักหลังนี้ที่กำลังจับจ้องมายังผมนั้นเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความขี้เล่นและแววซุกซน เหมือนกับว่าพวกเขามีเรื่องสนุกๆให้ทำอยู่ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น ผมยืนบื้ออยู่เกือบนาทีก่อนที่จะมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาทักทายผมโดยการยื่นมือขึ้นมาดีดนิ้วดังเป๊าะต่อหน้าผมทีนึงจนผมที่กำลังเหม่อได้ที่สะดุ้ง

     

    "หวัดดี บ้านพักหมายเลขสิบเอ็ดยินดีต้อนรับ พวกเราคือบุตรธิดาของเฮอร์เมสเทพเจ้าแห่งคนเดินทางและการสื่อสาร และบลาๆๆๆ นายเป็นเด็กใหม่ใช่มั้ย? ฉัน ลูน่า เป็นที่ปรึกษาประจำบ้านพักหลังนี้ ยินดีที่ได้รู้จัก จะให้พวกเราเรียกนายว่าอะไรดีพ่อตัวโย่ง?" เด็กหญิงพูดประโยคยาวๆนั้นออกมาแบบแทบจะลืมหายใจ ผมใช้เวลาประมวลคำถามนิดหน่อยก่อนจะตอบออกไป

     

    "เอ่อ ฉันชื่อ ชานยอล... ปาร์ค ชานยอล"

     

    "โอเคชานยอล ฉันว่าตอนนี้นายคงต้องการพื้นที่ที่เพียงพอกับร่างโย่งๆของนายไว้นอนคืนนี้สินะ" ลูน่าเอ่ย

     

    เธอพาผมเดินเข้าไปในมุมๆหนึ่งที่พอจะให้ผมยัดตัวลงไปนอนได้อย่างพอดิบพอดี

     

    "เฮ้ ทอม นายช่วยไปหาถุงนอนกับเสื้อผ้าให้ชานยอลชักสองสามชุดสิ" ผมหันมองตามที่เธอสั่ง คนที่ชื่อว่าทอมพยักหน้ารับทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไปจากบ้านพัก ผมยืนรอเงียบๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไร นอกจากเสื้อผ้าที่สวมอยู่ตอนนี้ผมก็ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย

    แต่เหมือนผมจะลืมอะไรไปบางอย่าง...

    ความรู้สึกเหมือนวัตถุแข็งๆครูดไปกับต้นขาของผมทำให้ผมนึกขึ้นได้ ผมจึงล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง

     

     


    ที่อยู่ในมือผมตอนนี้คือฟิกเกอร์รูปบัลลังก์ตัวเดิมที่บุบเบี้ยวเล็กน้อย

    "นี่นาย จะไปเดินชมค่ายต่อกับแบคฮยอนไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวฉันจัดการทางนี้ต่อให้เองไม่ต้องห่วง" ลูน่าเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มขี้เล่นมาให้ผม ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะวางฟิกเกอร์ลงไว้บริเวณที่เป็นอาณาเขตชั่วคราวของผม คงไม่มีใครอยากจะได้ฟิกเกอร์ธรรมดาๆหน้าตาบุบๆเบี้ยวหรอกถึงแม้ว่าที่นี่จะเต็มไปด้วยบุตรธิดาของเฮอร์เมส ซึ่งก็เป็นเทพแห่งการขโมยด้วยก็เถอะ

     

     

    ผมเดินออกมาแล้วก็สวนกันกับทอมที่หน้าประตู แบคฮยอนยืนคุยกับใครบางคนที่หน้าบ้านพักหมายเลขเจ็ด บ้านพักของเขา ยืนชั่งใจอยู่สักพักว่าควรจะเข้าไปหาเขาดีไหม แต่เหมือนเขาจะสังเกตเห็นผมแล้วจากนั้นเขาจึงกวักมือเรียกผม

     

     

    "ชานยอลนี่เฉิน บุตรแห่งเคซุส แล้วนี่ก็ชานยอลนะเฉิน คนที่มาใหม่เมื่อสองวันก่อน"
    แบคฮยอนแนะนำคนที่เขาคุยด้วยให้ผมรู้จัก เฉินคนนี้สินะที่แบคฮยอนหมายถึงในตอนที่อยู่บนบ้านใหญ่

    "หวัดดีชานยอล ยินดีที่ได้รู้จักนะ" เฉินส่งยิ้มร่าเริงมาให้ผม ผมพยายามฉีกยิ้มตอบกลับไป ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์แย่หรอกนะ จริงแล้วผมออกจะร่าเริงเกินเหตุด้วยซ้ำ แต่จะให้ผมจิตใจเป็นปกติก็คงไม่ได้ ก็อย่างที่คุณรู้

    "เฮ้ เสียใจด้วยนะเรื่องแม่ของนาย นายอยู่ที่นี่ได้ตลอดไปเลยนะถ้านายต้องการ รับรองว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์" เฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ผมบอกขอบคุณแล้วจากนั้นแบคฮยอนก็พาผมไปเดินชมค่ายต่อ

     

     

     

    "นี่เป็นลำธารสำหรับพายเรือแคนู" เขาสูดหายใจลึก "เป็นที่ที่ฉันชอบมานั่งร้องเพลงที่นี่บ่อยๆ" ผมหันไปมองใบหน้านั้นก็พบว่ามีรอยยิ้มร่าเริงที่ทำให้คนมองอย่างผมแทบจะตาบอดเพราะความสว่างเจิดจ้านั่นปรากฏอยู่

    "นายชอบร้องเพลงเหรอ?" ผมถาม

    "อื้ม ชอบมาก ฉันอยากเป็นนักร้อง" เขาพูดพร้อมยิ้มอย่างมีความสุข ผมพึ่งนึกได้ว่าเทพอะพอลฮุนก็เป็นเทพเจ้าแห่งดนตรีเช่นกัน

    จากนั้นแบคฮยอนก็พาผมเดินชมจุดต่างๆ อาทิ ไร่สตรอว์เบอร์รี่ เขตป่า(แบคฮยอนบอกว่าถ้านายยังไม่อยากตายก็อย่าได้เข้าไปเดินเล่นโดยไม่มีอาวุธป้องกันเชียว)คอกม้าเพกาซัส หน้าผาจำลอง(และสาบานได้ว่าผมเห็นมันมีลาวาเดือดปุดๆไหลออกมาด้วย) ลานประลอง โรงอาหารที่ไม่มีหลังคา(ผมแค่ลองถามดูว่าถ้าฝนตกจะทำยังไง แบคฮยอนเขาก็ส่งสายตาประมาณว่า 'นายถามออกมาได้ยังไง" มาให้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมไม่กล้าถามอะไรออกไปอีก)

    เขาพาผมเดินมาถึงบริเวณเนินซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นสน เขาอธิบายว่ามันเป็นอาณาเขตเวทมนต์ที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับค่าย ซึ่งป้องกันไม่ให้อสุรกายเข้ามาภายในค่ายได้ และยังลวงให้มนุษย์เห็นที่นี่เป็นเพียงแค่ไร่สตรอว์เบอร์รี่ธรรมดาๆเท่านั้น

    ผมภาวนาไม่ให้เขาพาผมเข้าไปใกล้บริเวณนั้นให้มากนักเพราะผมยังคงขวัญเสียกับเหตุการณ์นั้นอยู่ ซึ่งเขาก็เหมือนจะรู้ดีเพราะที่ตรงนั้นมีชาวค่ายสองคนกำลังง่วนทำอะไรสักอย่างกับต้นสนอยู่พอดี

    "พวกเขากำลังรักษาต้นสนอยู่น่ะ ตอนที่นายสู้กับหมูป่ายักษ์นั่นนายทำให้เจ้าหมูบ้านั่นทำความเสียหายให้กับต้นไม้นิดหน่อย.. เออ อันที่จริงก็มากอยู่"

    ไม่ใช่ความผิดของผมซะหน่อยนี่ (ก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละ ถ้าผมพูดออกไปคงได้เรื่องแน่ๆ)

     

    "ช่างมันเถอะ ตอนนี้ใกล้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว นายกลับไปอาบน้ำแล้วรอลงมากินข้าวพร้อมกันเถอะ เดี๋ยวลูน่าจะช่วยนายเอง ตอนนี้หมดหน้าที่ฉันแล้ว หวังว่าเราอาจจะเป็นพี่น้องกันนะ" เขาส่งยิ้มให้ผมแล้วก็หันหลังเดินจากไป อย่างไรก็ตามผมไม่ได้มีความคิดว่าอยากจะเป็นพี่น้องกับใครในที่นี้เลย ผมพึ่งนึกได้ว่าอะพอลฮุนยังเป็นเทพแห่งคำพยากรณ์ด้วย ผมน่าจะถามแบคฮยอนเรื่องแม่ของผม ตอนนี้ฝันร้ายนั่นก็ยังรบกวนจิตใจผมอยู่ตลอดๆ ผมยังคงมีความเชื่อว่าแม่ยังไม่ได้จากผมไปตลอดกาลจริงๆ ถึงมันจะฟังดูงี่เง่าก็เถอะ แต่แล้วผมก็ต้องพับเก็บความคิดนี้ไว้เหมือนเดิม

    ผมเดินกลับบ้านพักหมายเลขสิบเอ็ด จัดการธุระส่วนตัวต่างๆให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนจะรีบไปสมทบกับคนอื่นๆในบ้าน


    เมื่อพวกเรามาถึงโรงอาหารแล้ว ไครอนก็ประกาศกำหนดการต่างๆสำหรับฤดูร้อนนี้

    "และอีกเรื่องที่ฉันอยากจะบอกกับพวกเธอเหล่ามนุษย์กึ่งเทพทั้งหลาย นั่นคือเรามีชาวค่ายที่มาใหม่เมื่อสองวันก่อน หวังว่าพวกเธอจะให้การต้อนรับแก่เขาเป็นอย่างดีนะ"

    ผมรู้สึกว่าตัวหดลงไปสิบเท่าหลังจากจบประโยคของไครอน รู้สึกได้ว่าทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่ผม ลูน่าสะกิดบอกให้ผมยืนขึ้น ผมไม่ค่อยอยากทำแต่ไครอนก็ส่งสายตาเป็นเชิงยืนยันว่าผมต้องทำมันจริงๆ

     

    และผมก็รู้สึกว่าตัวหดลงกว่าเดิมอีก

    รอบตัวผมตอนนี้มีแต่เสียงจอแจของบทสนทนาที่หลากหลาย ผมได้ยินคนจากบ้านพักหมายเลขหก(ดูเอาจากโต๊ะที่เขานั่งน่ะ)พูดประมาณเรื่องหมูป่ายักษ์อีริแมนเธียน แล้วก็อะไรซักอย่างเกี่ยวกับบ้านพักหมายเลขสิบ ไซคล็อปส์ เท่าที่ผมได้ยิน ดูเหมือนว่าคนในบ้านพักหลังนั้นคงจะฉลาดมากเลยทีเดียว ผมพยายามนึกว่าพวกเขาเป็นลูกของใครแต่ก็นึกไม่ออก และดูจากหลายๆอย่างผมคงไม่ใช่พี่น้องกับพวกเขาหรอก

     

    “เอาล่ะ นั่งลงได้แล้วเด็กน้อย” เป็นเสียงของคุณดีที่สั่งให้ผมนั่งลง ผมรีบทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข

    ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเนิบนาบในบรรยากาศที่ดีท่ามกลางหุบเขาไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่สวยงามนี้ ผมไม่สามารถที่จะบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงแม่ได้เลย ความจริงแล้วนอกจากการขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานแม่ก็ยังชอบสถานที่แบบนี้เอามากเลยทีเดียว

     

                ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านของวัน

     

    หลังจากมื้อค่ำที่ไม่ได้น่าเบื่อจนเกินไปจบลง ไคก็เดินมาหาผมพร้อมกับชวนคุยและยิงมุกตลกต่างๆ ในแบบฉบับอย่างที่มนุษย์กึ่งเทพเข้าใจกัน ซึ่งผมก็แค่ยิ้มให้เขา หัวเราะบ้างถ้าผมพอจะเข้าใจ เขาชวนผมไปเดินเล่น ซึงผมก็ไม่ปฏิเสธ เพราะตอนนี้ผมไม่มีทีท่าว่าจะนอนหลับได้เลย(แหงสิผมนอนไปสองวันเต็มๆ)

     

                พวกเราเดินมาจากโรงอาหารจนถึงลำธาร ไคชวนผมนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

                “นายจะทำยังไงต่อไปเหรอ” ผมหันมองไคที่พูดประโยคนี้ออกมา และเขาก็กำลังจ้องมองผมอยู่ด้วยสายตาฉายแววเป็นกังวลมากเช่นกัน

     

                “ทำอะไรเหรอ?”

                “เอ้า! ก็นี่นายกลับไปบ้านแล้วไม่ได้นี่ เอ่อ นายจะทำยังไง จะอยู่ที่นี่ตลอดไปมั้ย หรือจะกลับไปอยู่กับลุงของนาย?” ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง(อีกแล้ว) ก่อนจะเหม่อมองออกไปข้างหน้า ตอนนี้ผมยังไม่คิดอะไรทั้งนั้น ความจริงผมไม่อยากจะรอดชีวิตมาด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่มีแม่อยู่ชีวิตนี้ผมคงไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี ผมโตแล้ว ใช่ ผมบอกกับตัวเองตลอดว่าผมโตพอแล้ว แต่สุดท้ายทุกครั้งที่ผมต้องการความช่วยเหลือผมก็ต้องกลับไปหาแม่ ให้แม่ช่วย ผมนึกภาพวันที่ไม่มีแม่อยู่กับผมไม่ออกเลยจริงๆ

                “ไม่รู้สิ ฉันคงไปไม่รอดหรอกถ้าออกไปอยู่กับลุง เราคงต้องฆ่ากันตายวันละหลายๆรอบ” ผมแค่นหัวเราะนิดหน่อย ไคก็หัวเราะตาม เขารู้เรื่องผมดีพอๆกับแม่ของผมเลยล่ะ

     

                “งั้นนายก็คงต้องอยู่ที่นี่กับฉันแล้วล่ะ” เขาพูดพร้อมส่งยิ้มขี้เล่นมาให้ผม ผมยิ้มตอบ คราวนี้ผมไม่ได้ฝืนมันเลย มันออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง

                “เอ่อ แล้วนายพอจะรู้สึกได้มั้ยว่านายเป็นลูกของใคร?... แบบว่าฉันไม่ค่อยจะอยากให้นายอยู่บ้านพักหลังนั้นนานเกินไปน่ะ มันค่อนข้างแออัดมาก นายคงเห็นแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเป็นกฎน่ะนะ ฉันคงขอให้นายมาอยู่ที่บ้านใหญ่กับฉันไปแล้ว”

                “ไม่เป็นไรหรอก ฉันอยู่ได้น่า แล้วก็นะ การที่มนุษย์กึ่งเทพจะรู้ได้ว่าพ่อหรือแม่ของพวกเค้าคือใครนี่ต้องใช้ความรู้สึกเหรอ ฉันไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลยนอกจากเหลือเชื่อกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น”

                “เออ ก็ไม่รู้นะ ฉันไม่ใช่เดมิกอดแบบพวกนาย แต่เท่าที่เคยเห็นมันก็แบบว่า... พวกเขาส่งสัญญาณมา แล้วเราก็จะรู้ทันทีว่านายเป็นลูกของใครน่ะนะ” ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ มือพลางหยิบใบไม้แห้งที่ร่วงอยู่แถวนั้นมาสร้างเป็นเรือเล่น ไคพูดต่อ

                “แล้วก็ที่นายเห็นบ้านเฮอร์เมสคนเต็มเอี้ยดเลยนั่นก็เพราะ เฮอร์เมสเป็นเทพที่ไม่เรื่องมาก ในนั้นมีคนที่ไม่ใช่ลูกของเขาเกินครึ่งเพราะยังไม่ได้รับการรับรองไงล่ะ บางคนได้รอเป็นเดือน เป็นปี หรือบางคนอาจจะทั้งชีวิต น่าสงสารคนพวกนั้นนะที่แม้กระทั่งพ่อแม่แท้ๆยังไม่เคยสนใจเลย... ก็อย่างที่ฉันบอกนาย พวกเขาไม่ได้จะอยากทำอย่างนี้หรอก พวกเขายุ่งเกินไป” ผมพูดไม่ออก มีพ่อแม่แบบนั้นด้วยเหรอ อืม... คงเป็นเพราะผมถูกเลี้ยงดูมาแบบให้มองโลกในแง่ดีเกินไปละมั้ง ผมเลยรับไม่ค่อยจะได้กับเรื่องโหดร้ายพวกนั้น

     

                “ถ้าพ่อของฉันไม่อยากยอมรับว่าฉันเป็นลูกก็ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อฉันไม่รู้จักเขามาตั้งแต่แรก ให้ฉันไม่รู้จักเขาแบบนี้ต่อไปก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่” ผมไม่รู้ว่าน้ำเสียงของผมตัดพ้อมากขนาดไหน ผมรู้สึกโมโห ก้อนความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดแล่นไปทั่วร่างกาย สู้ให้ผมไม่รับรู้เรื่องแบบนี้แต่แรกยังจะดีกว่า ให้ผมได้อยู่กับแม่แค่สองคนมันก็มีความสุขดี

                ผมคิดว่าตัวเองคงเผลอแสดงสีหน้าแย่ๆออกไปตอนที่ไคร้องออกมา

                “ไม่เอาน่าชานยอล นาย ยะ... โอ้ เทพเจ้าทั้งหลายได้โปรด....” ไคชะงักไป ผมหันมองเขาแล้วก็แปลกใจเมื่อตอนนี้เขากำลังจ้องมองผม ไม่สิ ในมือของผม ผมไม่รู้ว่าผมเผลอทำเรือใบไม้นี่ไหม้ไปตอนไหน

     

    เหนือมือของผมปรากฏเป็นเปลวเพลิงเล็กๆสีส้มแดง มีสัญลักษณ์ค้อนทุบแบบที่คนตีเหล็กใช้กันปรากฏเด่นชัด ด้วยความตกใจ ผมรีบสลัดเรือใบไม้นั่นทิ้ง ดวงไฟดับลงเหลือเพียงแค่ควันจางๆที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ ไคจ้องหน้าผมด้วยแววตาตื่นตระหนก เขาพึมพำออกมาว่าทำไมเขาถึงนึกไม่ออกๆ เป็นร้อยๆรอบ

     

     

                “ทำไมฉันถึงนึกไม่ออกนะว่าพ่อนายคือยูลเฟตัส

     

    TBC



     

    ----------------------------------------------------------


     

    #หมึกน้อย

    แฮ่ๆๆๆๆๆๆ รอนนานไหมเอ่ยสำหรับแชปนี้ 555555555555 ขอโทษด้วยนะคะ TOT พึ่งจะสอบเสร็จเลย แทบไม่มีเวลา เข้าใจกันโน๊ะๆๆๆ แฮ่ๆๆๆๆ

                ยูลเฟตัสคือใคร?????

    เฉลย ก็พ่อชานยอลไงคะ #โดนตรบ 555555555555 ใช่แล้วค่ะ ยูลเฟตัส ก็คือ ยูลยูริ ป้ายูลๆ ของพวกเรา(?)นั่นเอง 55555555555555555555555555 เราจะสร้างคู่ชิปยูลยูรากันค่ะ เอิ้กๆๆๆๆ ก็พอดีว่าไรท์ทั้งสองเห็นพี่ยูราหน้าเหมือนยูริเอามากๆๆๆๆๆ ฉะนั้นชานยอลก็ต้องหน้าเหมือนป๋ายูลด้วยเช่นกัน 55555555555 ไรท์เรื่องนี้ไม่ค่อยปกติค่ะ เอาผู้หญิงมาเป็นผู้ชาย ไม่ว่ากันๆๆๆ เอาความฟินพอ -.,- 5555555555555555 วันนี้แค่นี้ก่อนโน๊ะ ตอนนี้ที่ปั่นจบแชปปาไปตีสี่ล้ะค่า 555555555 ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ แชปหน้าของหมึกเล็กเค้า รอดูว่าจะยาวมั้ย เพราะนางบอกไว้ว่า 10+ ถ้าไม่ถึงก็ตัวใครตัวมันนะคะ #อ่าว ล้อเล่นๆๆๆ 555555555555 ฝันดีค่า จุ้บๆรีดเด้อ อิอิ

     

     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×