คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : THE DEMIGOD :: 2
#2
แม่พาเราทั้งหมดมุ่งหน้าออกมาจากตัวเมืองแมนฮัตตันท่ามกลางสายฝนที่เริ่มกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรง ตอนนี้ก็เป็นเวลาสามทุ่มกว่าๆ แล้ว โชคดีที่การจราจรบนท้องถนนแห่งนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเหยียบคันเร่งจนมิดเข็มไมล์ของแม่เลย
“เอาล่ะ ตอนนี้จะมีใครบอกผมได้รึยังว่าที่เราต้องออกจากบ้านมาตอนนี้เพราะเรื่องอะไร” ผมถามออกไปทันทีเมื่อเห็นว่าในที่นี้ไม่มีใครที่คิดจะปริปากพูดอะไรกันออกมาเลย
“ชานยอล ก่อนอื่นลูกต้องทำความเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้าง...”
“ออกจะเหลือเชื่อหน่อยๆ” เจมิน หรือว่า ไค (ก็ในตอนนี้เขายืนยันให้ผมเรียกเขาว่างั้นน่ะนะ) เสริมประโยคของแม่ให้สมบูรณ์ ผมนิ่งรอฟังต่อ
“ชานยอล...” แม่สูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมา “ลูกเชื่อเรื่องเทพเจ้าปรกรณัมพวกนั้นมั้ย?” แม่เอ่ยถามประโยคที่ผมไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ตรงไหนออกมา
“เอ่อ... แล้วมันเกี่ยวอะไรกันเหรอครับ... คือผมคิดว่า เรื่องพวกนั้นมันเป็นแค่ตำนานนี่ครับ” ผมตอบออกไปตามที่คิด ในขณะที่ตอนนี้เราออกมาจากแมนฮัตตันได้ประมาณห้า-หกไมล์แล้ว
โว้~ ผมไม่ยักทันสังเกตเลยแฮะ พวกเราคุยกันได้แค่ไม่กี่ประโยคเองเมื่อตอนที่เรายังอยู่ในเขตตัวเมือง
“แบ๊ะๆ แบ๊ อีกไม่นานนายก็จะได้รู้เองว่ามันไม่ใช่แค่ตำนานปรัมปราหลอกเด็กหรอกนะ” ผมเบิกตากว้างๆมองไค เพื่อนของผมอย่างไม่อยากจะเชื่อ นอกจากใบหน้าคมแบบชาวเอเชียที่ตอนนี้ดูตื่นกลัวและจริงจังนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรบนร่างกายของเขาที่ผิดปกติไปเลย หรือเสียงแปลกๆที่ผมได้ยินเมื่อกี้อาจจะเป็นเสียงกระเพาะที่กำลังต้องการอาหารของผมก็เป็นได้
“ผม... ผมไม่เข้าใจ ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแล้วเรากำลังจะไปไหนกันครับ” เอาล่ะ ผมไม่ชอบสถานการณ์อะไรแบบนี้เลย ทุกคนเหมือนจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผม แต่ยังไม่ยอมบอก ซึ่งมันเยี่ยมไปเลยล่ะ... ผมเดาเอาว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับฟิกเกอร์ประหลาดนั่น...
“ชานยอล ลูกอยากรู้ใช่มั้ยว่าพ่อของลูกเป็นใคร เรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริงชองลูก” จบประโยคนั้นของแม่ หัวใจผมก็เต้นรัว เลือดถูกสูบฉีดไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
ที่ผมบอกว่าผมไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว
แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย
ผม... ผมอยากรู้
ลึกๆแล้วผมก็เอาแต่คิดเรื่องนี้ตลอดเวลา
“นายเป็นเดมิกอด ชานยอล” ไคพูดออกมาราบเรียบ แต่สีหน้าของเขาก็ยังกังวล และเริ่มหันหลังมองออกไปตรงกระจกหลังรถบ่อยขึ้น ผมหันมองตาม “ดะ เด เด อะไรนะ”
“เดมิกอด พวกเลือดผสม หรือที่เรียกว่ามนุษย์กึ่งเทพนั่นแหละ ลูกของเหล่าเทพเจ้า... เอ่อไม่สิ ลูกที่เกิดจากเทพเจ้ากับมนุษย์ธรรมดาน่ะ” ผมนิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ชั่วขณะหนึ่งผมนึกว่าตัวเองยังอยู่ใน CY27 และนี่ก็เป็นอาการหลอนทางจิตเนื่องจากกระเพาะของผมกู่ร้องหาอาหารอีกครั้ง
“ใช่แล้ว ลูกเป็นมนุษย์กึ่งเทพ ชานยอล แม่คิดเอาไว้ว่าจะบอกลูกเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้” เสียงของแม่เจือไปด้วยความกังวลอย่างแท้จริง ปกติแม่จะไม่กังวลกับเรื่องทั้งหลายแหล่เว้นเสียแต่ว่าเรื่องนั้นมันหนักหนามากจริงๆ
ในตอนนั้นเองที่ผมรู้ตัวว่าไม่ได้กำลังเกิดอาการหลอนทางจิตอย่างที่เข้าใจ
“ผม ผม... แม่เป็นเทพเจ้าเหรอครับ?” ผมถามออกไปอึกอักพร้อมกับพยายามจ้องเข้าไปในดวงตาของแม่ผ่านกระจกมองหลัง เพราะตอนนี้ผมกับไคนั่งอยู่เบาะหลัง
“โอ้คุณนายปาร์ค มันใกล้เข้ามาแล้วครับ!” ไคดูร้อนใจมากขึ้น อะไรกันที่ใกล้เข้ามา
“รอก่อน เราใกล้จะถึงแล้ว” จากนั้นแม่ก็ผ่อนรถก่อนจะหักเลี้ยวรถอย่างแรงเข้าไปในซอยแคบทางหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอุโมงค์ มันมืดจนน่าขนลุกเลยทีเดียว แล้วแม่ก็เหยียบคันเร่งจนมิดตามเดิม
“ชานยอล แม่ไม่ใช่เทพเจ้า พ่อของลูกต่างหาก คนที่ลูกคิดว่าเขาทิ้งพวกเราไป” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ให้ตายเถอะ วันนี้ผมสบถคำนี้ออกไปได้ล้านรอบแล้วล่ะมั้ง
“ใช่...“ ไคเสริม “นายสงสัยใช่มั้ยว่าทำไมพ่อนายถึงไม่เคยมาเยี่ยมหรือมาหานายกับแม่เลย นายน้อยใจใช่มั้ย?” ไคพูดประโยคจี้ใจดำผมออกมา แล้วมันก็ทำให้ผมพูดไม่ออกจริงๆ แต่ทำไมล่ะ เป็นเทพเจ้าแล้วมาเยี่ยมลูกๆบ้างไม่ได้เลยเหรอ ผมได้แต่คิด แต่ยังไงผมก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีแหละ จู่ๆก็มาบอกว่าผมเป็นลูกครึ่งคนครึ่งเทพเจ้า จะให้ผมเชื่อเหรอว่าผมสามารถปล่อยลำแสงออกมาจากมือได้แบบในการ์ตูนก่อนช่วงข่าวการเมืองในช่องฟรีทีวีของลุงยูชอนน่ะ
แต่จะว่าไป จริงๆแล้วผมก็เคยทำอะไรทำนองนั้นมาก่อนเหมือนกันนะ....
ผมรีบสลัดความคิดบ้าๆ และความทรงจำเลวร้ายนั้นออกไปจากสมอง พลางยกฟิกเกอร์ตัวที่ผมพึงสร้างเสร็จนั้นขึ้นมาดู
อะไรที่ทำให้ผมสร้างมันขึ้นมา
อะไรที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกแยกจากคนธรรมดามาตลอด
อะไรที่ทำให้ผมมาเจอเรื่องวุ่นๆในตอนนี้
“ที่ฉันจะบอกนายก็คือ การเป็นเทพเจ้าน่ะมันไม่ได้ง่ายเหมือนแกะห่อคิทแคทแล้วยัดเข้าปากหรอกนะ” ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาเปรียบ การเป็นเทพเจ้าน่ะมันไม่ได้ง่ายเหมือนแกะห่อคิทแคทแล้วยัดเข้าปาก ?
“คือฉันหมายถึง... ถ้านายเป็นเทพเจ้านะชานยอล นายไปตกหลุมรักหญิงสาว อย่างน้อยก็มากกว่าหนึ่งคนแน่ๆ จากนั้นนายก็มีลูกกับพวกเธอ แต่นายก็มีภาระหน้าที่อื่นๆที่จะต้องทำมากมาย นายแทบจะไม่มีเวลามาให้นมลูกๆของนายด้วยซ้ำ นายต้องปกครองโลก ปกป้องอารยธรรมของเหล่ามนุษย์ชาติ แบบว่า... ฉันไม่คิดว่าคนเป็นล้านๆจะดูแลง่ายเหมือนลูกค้าในอู่ซ่อมรถของแม่นายเลยนะ” ผมมองค้อนเขานิดหน่อยเพราะประโยคสุดท้าย “อะ เอ่อ ขอโทษที ฉันแค่เปรียบเทียบน่ะ” เขาก้มหน้าหลุบต่ำ
“ชานยอล แม่อยากให้ลูกเขาใจ ว่าฐานะของเรากับพ่อมันไม่เหมือนกัน แม่เคยบอกลูกไปแล้ว พะ...”
“พ่อไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเราไป เขามีสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำ” ผมต่อประโยคของแม่เรียบๆ โดยยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากฟิกเกอร์ในมือด้วยซ้ำ
“โถ่ ชานยอลลูกรัก แม่ขอโทษที่ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับลูก แต่แม่สาบานได้ว่าแม่ไม่ได้จะปิดบังลูกเลย แค่มันยังไม่ถึงเวลา เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ มันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชีวิตลูก” ผมได้ยินเสียงแม่ที่เริ่มสั่นเครือ ผมเงยหน้าขึ้น ตรงหลังพวงมาลัยนั้น ไหล่ของแม่กระเพื่อมน้อยๆ ผมรู้ได้เลยว่าแม่กำลังจะเริ่มร้องไห้ แล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“เราจะถึงแล้ว!” ไคพูดขึ้นเสียงดังทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ ผมเห็นแม่เช็ดน้ำตาก่อนจะเริ่มผ่อนความเร็วลงและจอดรถ ผมไม่รู้เลยว่าเรามาที่นี่ทำไม และมันคือที่ไหนผมก็ยังไม่รู้ ผมไม่ได้มองหรือสังเกตป้ายข้างทางเลย เราไม่ค่อยมีเวลานักอย่างที่คุณก็คงเห็น แต่ไม่ไกลจากที่ที่จอดรถมีป้ายขนาดใหญ่ตั้งอยู่ซึ่งผมพอจะอ่านข้อความบนนั้นได้แม้ว่าโรคดิสเลกเซียและสายฝนที่กระหน่ำลงมาจะเป็นอุปสรรค ใจความบนป้ายนั้นเขียนไว้ว่า ไร่สตอวร์เบอร์รี่ลองไอส์แลนด์
ลองไอส์แลนด์เหรอ ผมไม่รู้ว่ามันไกลจากแมนฮัตตันเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าเราทั้งหมดจะใช้เวลาคุยกันระหว่างเดินทางเกือบๆหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง
“มันไม่ได้ตามเรามาแล้วใช่มั้ยไค” แม่ถามไคอย่างร้อนรนพร้อมกับถอดเข็มขัดนิรภัย ไคมองออกไปรอบๆพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดเหมือนสุนัขเวลาดมกลิ่น... เอ่อ ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆนะ
“บ๊ะ แบ๊ะๆ ไม่แล้วครับ เอ่อ... ผมไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันยังตามเรามา แค่มันยังตามมาไม่ทันน่ะครับ” ผมยังไม่รู้หรอกนะว่ามีอะไรตามเรามา ผมไม่ได้สังเกตอะไรเลยจริงๆ แต่คำพูดและน้ำเสียงของไคก็ยังทำให้ผมอดที่จะตื่นกลัวไปกับเขาไม่ได้ แม่ทำสีหน้าเป็นกังวลนิดหน่อยก่อนจะบอกให้เราทุกคนลงจากรถ ผมคิดว่าเราคงต้องได้ค้างที่นี่กันแน่ๆ เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว แต่เราไม่ได้เตรียมอะไรมาจากบ้านเลย เสื้อผ้า ทุกๆอย่าง แล้วเราก็ยังไม่ได้บอกลุงยูชอนด้วย เท่าที่ผมรู้นะ แต่ตอนที่พวกเราออกมาจากบ้านผมก็ไม่เจอลุงแกเลย
ผมช่วยพยุงไคออกมาจากรถ อ้อ ผมลืมบอกไป ไคเขาพิการน่ะครับ ผมก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ ผมรู้แค่ว่าเขาเดินไม่ค่อยสะดวกและต้องใช้เครื่องช่วยเดินด้วย แต่คุณต้องได้มาเห็นวันที่โรงอาหารที่เซนต์บูตัสมีแฮมเบอร์เกอร์สูตรมังสวิรัตินะ เขาจะวิ่งเร็วจี๋ไปที่ร้านนั้นเลยล่ะ
โอเค นี่คงไม่ใช่เวลาที่จะมาสนทนาเกี่ยวกับเมนูอาหารที่โรงเรียนสินะ
สายฝนที่กระหน่ำลงมาให้เสื้อผ้าของพวกเราเปียกไปหมด ผมเดินไปอยู่ข้างๆแม่ ไคเดินนำพวกเราไปยังเนินเล็กๆ เนินหนึ่ง ไกลออกไปประมาณเกือบไมล์เลยเนินนี้ไปมองเห็นต้นสนต้นใหญ่ต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่อย่างมั่นคงท่ามกลางพายุฝนนี้ มาจนถึงตอนนี้ผมไม่แปลกใจอะไรกับแค่เรื่องต้นสนต้นหนึ่งที่ไม่เอนลู่ตามลมพายุแล้วล่ะครับ
“เราไม่มีเวลาแล้ว ต้องรีบแล้ว!” ไคตะโกนแข่งกับสายฝนที่กระหน่ำลงมา ตอนนี้เขานำผมกับแม่ไปได้ไกลมากแล้ว เขาวิ่งเหยาะๆ(ได้ยินไม่ผิดหรอกครับ) ขึ้นไปตามเนิน ถึงผมจะมองไม่ค่อยชัดแต่ก็เห็นว่าไคไม่ได้ใช้เครื่องช่วยเดินแล้ว ผมกับแม่รีบวิ่งตามขึ้นไป
เปรี้ยง!!
ผมกับแม่หันไปมองทางด้านหลังของเรา ตรงจุดที่เกิดเสียงฟ้าผ่าขึ้นเมื่อกี้ รถฟอร์ดห้าประตูของเราถูกสายฟ้าฉีกออกเป็นสองซีก ผมหมายถึงว่ามันเป็นสองซีกจริง เป็นสองส่วนเลย แต่ผมรู้ว่าเราไม่มีเวลาให้กังวลเรื่องนี้มากนัก
แม่ฉุดผมให้วิ่งเร็วกว่าเดิมโดยที่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นผมก็กะว่าจะทำอยู่แล้ว เราวิ่งได้เร็วจนเกือบจะทันไคแล้ว ต้องขอบคุณที่แม่เป็นผู้หญิงที่รูปร่างสูงทีเดียว และผมก็โชคดีที่ได้ลักษณะส่วนนี้มาจากแม่ด้วยเช่นกัน
ผมได้ยินเสียงฝีเท้า... อืม ไม่สิมันเป็นเสียงเหมือนกับกีบเท้าของสัตว์สักชนิดที่ผมไม่รู้จัก เพราะมันเป็นเสียงที่ฟังดู... ไม่น่าจะใช่สัตว์มีกีบทั่วไปที่ผมรู้จัก เหมือนกับว่ามันกำลังวิ่งอย่างรวดเร็ว และกำลังมุ่งตรงมาทางนี้
ผมคงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนั้นไม่ได้ มันดังกึกก้องราวกับสิ่งของหนักหลายตันกระแทกกับพื้นแข็งๆ แต่ถึงอย่างนั้นในขณะที่ผมกำลังจะหันไปมองก็โดนแม่ฉุดผมไปข้างหน้าเร็วขึ้น
“อย่าหันไปมอง ลูกต้องรีบไป เราไม่มีเวลาให้เสียแล้ว” แม่ตะโกนแข่งกับสายฝนบอกผม
แต่ความอยากรู้ของผมก็มีชัยเหนือทุกอย่าง
ผมหันไปมองในวินาทีหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาผมนั้นมันไม่น่าเป็นไปได้ ผมเห็น..
อี๊ดดดดดดดดดด
“หมูป่ายักษ์อีริแมนเธียน!” สิ่งที่แม่พูดออกมามันทำให้ผมแทบตัวแข็งทื่อ แม่หมายถึง หมูป่าตัวมหึมาที่ผมเคยได้ยินในตำนานเฮอร์คิวลีสตอนเด็กๆ ป็นภารกิจชิ้นหนึ่งของเขา และผมก็เถียงไม่ออกเพราะเจ้าตัวบ้าเลือดที่ตามพวกเรามาตอนนี้เป็นหมูป่าจริงๆ แล้วมันยังมีขนาดตัวเท่ารถบรรทุกขนาดใหญ่อีกด้วย
สรุปแล้วผมควรเชื่อเรื่องบ้าๆพวกนี้อย่างจริงจังแล้วจริงๆเหรอ
ตอนนี้เราเข้าใกล้ต้นสนแล้ว ไคหันมาตะโกนให้เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เราเกือบจะทำสำเร็จแล้ว ถ้าไม่ติดว่าผมมันเป็นพวกดวงซวยชนิดที่ว่าต่อให้คุณคิดว่าคุณดวงซวยที่สุดแล้วมาเห็นเข้าคงขำก๊ากเลยล่ะ ผมสะดุดกิ่งไม้ใหญ่แถวนั้นลมแบบพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง ส่งผลให้แม่ล้มลงมาพร้อมกับผม แม่รีบฉุดผมลุกขึ้น แต่อาการเจ็บแปลบที่ข้อเท้าก็ส่งผลให้ผมล้มพับไปอย่างเก่า
“ชานยอลอีกแค่นิดเดียว อดทนไว้ลูกรัก เร็วเข้า” ผมพยายามกัดฟันลุกขึ้น ให้ตายสิ นี่ผมควรจะปกป้องแม่ได้แล้ว ไม่ใช่ให้แม่มาคอยช่วยผมในสถานการณ์แบบนี้ อย่างน้อยผมก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว และผมก็ตัวโตกว่าแม่หลายเท่า น้ำหนักตัวของผมที่ทำให้แม่แทบทรุดขณะที่พยายามพยุงผมให้ลุกขึ้นนั้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจไม่น้อย
“มันเข้ามาแล้ว!” ไครีบวิ่งลงมาช่วยประคองผม เรากึ่งเดินกึ่งวิ่ง เพราะความเจ็บปวดที่ข้อเท้าของผมมันไม่ใช่เล่นๆเลย
อีกนิดเดียว สิบหลา ห้าหลา ผมนึกในใจ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลยต้นสนลงไปในหุบเขาไร่สตรอว์เบอร์รี่นั้นจะเป็นที่ปลอดภัยสำหรับเรา แต่ไคก็ยืนยันกับผมอย่างนั้น
อี๊ดดดดดดดด!
เสียงคำรามแบบหมูๆของเจ้าหมูป่ายักษ์นั้นทำให้ผมอยากจะขำออกมาถ้าไม่ติดว่านี่เป็นสถานการณ์คอขาดบาดตายล่ะก็นะ
ตึงๆๆๆๆๆ
เสียงกีบเท้าใหญ่ยักษ์ที่แทบจะทำแผ่นดินสะเทือนของมันใกล้เราเข้ามา ผมแทบไม่กล้าจะหันไปมองด้วยซ้ำว่ามันเข้าใกล้เรามากขนาดไหน แต่พนันได้เลยว่าในมันช้ามันต้องเหยียบพวกเราเข้าอย่างจังแน่ๆ
ตึง!!!
และสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเป็นจริงจนได้ เจ้าหมูป่ายักษ์พุ่งเข้าชนเราอย่างแรง แรงกระแทกส่งผลให้ผมกลิ้งหลุนๆลงไปตามทางลาดของเนิน ผมได้ยินเสียงกรีดร้องของแม่อย่างน่าสยดสยอง ผมพยายามลุกขึ้น ความเจ็บแล่นแปลบไปทั่วร่างกายจากการกระแทกจนทำให้ผมแทบหมดสติ จากที่เจ็บข้อเท้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมพยายามมองไปที่ที่แม่กับไค ไคพยายามลุกขึ้น ผมมองเห็นร่างของแม่ที่นอนนิ่ง
ผมไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนก็ไม่รู้พาตัวเองลุกขึ้นและวิ่งไปยังที่ที่ร่างของแม่นอนอยู่ เหมือนกับว่าผมไม่เคยได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าเลยอย่างไรอย่างนั้น เจ้าหมูป่าพ่นลมหายใจเสียงดังฮึดฮัดและใช้กีบเท้าตะกุยพื้นดินจนเป็นหลุมขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลจากเรา มันส่ายหัวไปมาพยายามมองหาอะไรบางอย่าง ผมเดาว่ามันคงมีสายตาที่ไม่ดีนัก และให้ตายเถอะ ผมพึ่งสังเกตเห็นเขี้ยวแหลมที่ยื่นออกมาตรงปากของมันทั้งสองข้างนั้นมีขนาดใหญ่ยิ่งกว่างาช้างเสียอีก
ผมกำลังจะไปถึงตรงนั้น ร่างของแม่ที่แน่นิ่งทำให้ร่างกายของผมชาวาบไปหมด แต่ทันใดนั้นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้น
ร่างของแม่กำลังเปล่งแสง เป็นแสงสีทองสว่างวาบ ชั่วพริบตาตรงที่ที่แม่ของผมควรนอนอยู่กลับว่างเปล่า...
ผมแทบล้มทั้งยืน ชาไปทั้งตัว แล้วความโกรธมากมายก็เข้าครอบงำ แม่ของผมตายแล้วงั้นเหรอ?
มันเป็นเพราะเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้น
ไคก็นิ่งไปเช่นกันจากเหตุการณ์เมื่อกี้ แต่เขาก็ได้สติเร็วกว่าผม และเหมือนจะดูออกว่าผมกำลังคิดอะไร เขาเข้ามารั้งตัวผม พยายามฉุดลากผมขึ้นไปบนเนิน ถึงเขาจะมีร่างกายกำยำอยู่ก็จริง แต่ผมก็ยังสูงและตัวใหญ่กว่าเขามาก ผมดิ้นจนหลุด ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกรีดร้องเสียงดังขนาดไหน สติของผมขาดผึง ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ผมรักที่สุดในโลกจะจากผมไปแล้ว ปาร์คยูรา แม่ของผม เธอจากไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ผมพุ่งเข้าใสเจ้าหมูป่าสุดกำลัง ถึงจะดูเหมือนเป็นการกระทำที่งี่เง่าและไร้ประโยชน์ แต่ผมก็ยังทำ เจ้าหมูป่าเซไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ก่อนจะตั้งตัวได้และหันมาจ้องมองผมด้วยดวงตาสีแดงเลือด วินาทีนั้นผมไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ผมโมโหและไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มันพุ่งมาทางผมอย่างรวดเร็ว ผมยืนรอ เมื่อมันใกล้เข้ามาผมจึงหลบฉากพร้อมกับใช้มือฉวยจับเข้าที่เขี้ยวข้างหนึ่งของมัน ถีบตัวเองส่งให้ขึ้นไปนั่งบนแผงคอของเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ ผมไม่มีเวลามาสงสัยว่าตัวเองทำแบบนี้ได้ยัง มันคงเป็นสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์คนหนึ่งล่ะมั้ง
ผมโอบรัดคอของมันไว้แน่นถึงแม้ว่าจะโอบได้ไม่รอบก็ตาม มันทั้งกู่ร้องเสียงหลงพยามสลัดตัวผมออก แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อย ผมฟัดกับเจ้าหมูป่าอยู่นาน ไคที่ยืนมองดูเหตุการณ์อย่างลนลาน กู่ร้องพยายามเรียกคนมาช่วย ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอย่างนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่ ตอนนี้แขนของผมก็เริ่มล้าไปหมดแล้ว ผมจำไม่ได้ว่าเฮอร์คิวลีสจัดการกับเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ยังไง ผมจำได้เพียงเขาต้องจับมันเป็นๆเพื่อให้ภารกิจสำเร็จ
เมื่อเจ้าหมูป่าเรียนรู้ว่าผมคงไม่ยอมปล่อยมันลงไปง่ายๆ มันจึงเริ่มออกวิ่งพร้อมกับเหวี่ยงสะบัดส่วนหัวไปมา ผมเริ่มทนไม่ไหว และตอนนั้นเองมือของผมกำลังจะเลื่อนหลุดในขณะที่มันพุ่งขึ้นไปทางต้นสน เมื่อผมไม่สามารถทนได้อีกต่อไป มือของผมหลุด ร่างของผมลอยหวือขึ้นไปบนอากาศ และตกลงมาบนพื้นอย่างแรงจนผมจุก เจ้าหมูป่าพุ่งชนเข้ากับต้นสนอย่างจัง จนลำต้นสั่นสะเทือน แต่ก็ไม่ได้โค่นล้มลงมา
ผมลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ถึงแม้ว่าผมจะยังโกรธและโมโหมากแค่ไหน แต่ผมก็คิดว่าคงไม่สามารถเอาชนะเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ได้เลย
ตอนนี้ร่างกายผมแทบจะไม่มีแรงแล้ว
“นายไม่เป็นไรนะชานยอล!” ไครุดเข้ามาประคองผม น้ำเสียงของเขาวิตกกังวลยิ่งกว่าครั้งไหน เจ้าหมูป่าเหมือนจะนิ่งไป ผมเพ่งมอง และก็รู้ได้ว่ามันคงจะเจอปัญหาใหญ่เข้าเสียแล้ว
อี๊ดดดดดดดดดด!
มันกู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง เพราะตอนนี้เขี้ยวแหลมคมของเจ้าหมูป่ายักษ์ได้ฝังเข้าไปในต้นสนจนแทบจะมิด
ไคพยุงผมขึ้นไปบนเนิน ก้าวเข้าไปในเขตไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่ไร้รั้วกั้น ผมรับรู้ถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ฝนหยุดตก อากาศสดชื่นและมีกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้ต่างๆ ผมได้ยินไคบ่นอะไรสักอย่างเกี่ยวกับความผิดพลาดของพรแห่งธรรมชาติ
และผมก็ไม่มีสติรับรู้อะไรอีกเลยหลังจากนั้น
TBC
------------------------------------------------------------------
หมึกน้อยเองง้าบบบบบ บอกอีกทีสำหรับคนที่งงๆว่าแยกไรท์ไม่ได้จำไม่ได้(แต่จริงๆก็ไม่ต้องแยกหรอกเนอะ555) มีหมึกเล็กและหมึกน้อยนะคะที่เขียนหลัก ส่วนน้องหมึกจิ๋วนั้นเป็นกองกำลังสนับสนุนค่ะ 555555
งิงิ แชปนี้แบบบู้ระห่ำมาก ซึ่งไรท์ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจินตนาการออกมาได้ยังไง แล้วก็กังวลมากๆเลยว่าภาษามันจะรื่นมั้ย เพราะไรท์ไม่เคยแต่งแนวแอคชั่นบู้ระห่ำล้างผลาญเลยค่ะ 5555555555 ถึงแม้จะอ่านจะเจอมาเยอะก็ตาม Y_Y
งืมๆ เอาเป็นว่าถ้าไม่ถูกใจไม่ชอบตรงไหน อย่าลืมติชมและให้กำลังใจพวกเราด้วยนะคะ มันเป็นกำลังใจสำคัญจริงๆค่ะ เม้นๆในนี้ หรือว่าจะติดแท็กในทวิต #ฟิคเดมิกอด กันก็ได้ ไรท์หมึกๆทุกคนตามอ่านแน่นอนค่ะ >_<
สุดท้ายเราก็ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ย้ำอีกทีว่าเรื่องนี้เป็นฟิคเรื่องแรกของหมึกน้อยเลยที่ได้เอามาลง U_U ทุกอย่างท้าทายมาก(เพราะไรท์ทั้งสองนั้นอยู่คนละฟากประเทศกันเลย 555555) เราเป็นมือใหม่ แต่ก็ได้คู่หูที่ดีอย่างหมึกเล็กและหมึกจิ๋วค่ะ
ขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งค่ะ
L.O.V.E
ความคิดเห็น