คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : THE DEMIGOD :: 8
#8
พวกเรานั่งอยู่บนเตียงของตัวเองในบ้านพักหมายเลขเก้า อาจะเป็นเพราะตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้ามากอยู่จึงไม่มีใครออกจากบ้านพักไปไหน วันนี้หัวหน้าบ้านพักทุกคนจะต้องไปที่บ้านใหญ่เพื่อประชุมกันอีกครั้งอย่างจริงจังเรื่องการออกเดินทาง เมื่อคืนนีโอบอกให้ผมไปเข้าประชุมในฐานะผู้ช่วยหัวหน้า ผมตกใจนิดหน่อยที่จู่ๆเขาก็บอกแบบนั้นแต่ทุกคนในบ้านก็เห็นเป็นเสียงเดียวกัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมแอบดีใจลึกๆกับการที่ครอบครัวใหม่ของผมดูจะยอมรับและไว้ใจผมมากทีเดียว เท่านั้นไม่พอ พวกเขายังรวมหัวกันคะยั้นคะยอให้ผมมออกเดินทางอีกด้วย(แน่นอนว่าเด็กบ้านเราไม่ค่อยได้มีโอกาสออกไปทำการเดินทางกันนักหรอก)
“พวกเราเชื่อมั่นในตัวนายนะชานยอล นายน่ะมีความพิเศษในตัวเองมากกว่าที่ตัวนายและพวกเราจะคาดถึง” เวนดี้เอ่ยพร้อมกับบีบไหล่ผมแน่น “จากที่เราได้เห็นในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ฉันคิดว่านายน่าจะลองดู” ผมอยากจะแย้ง แต่ทุกคนก็โวยวายและยืนกรานให้ผมขันอาสา ผมผู้ซึ่งหมดคำจะโต้แย้งเลยได้แต่บอกกับทุกคนว่าผมจะทำให้ดีที่สุด
ผมกับนีโอมาถึงบ้านใหญ่ในเวลาต่อมา พวกเราเข้ามานั่งในห้องประชุมขนาดเล็ก รอบโต๊ะรายล้อมไปด้วยหัวหน้าบ้านพักคนอื่นๆ คุณดีนั่งที่หัวโต๊ะและมีไครอนนั่งอยู่ข้างๆเขาทางฝั่งขวา
“จากที่เมื่อวานได้ตกลงกันแล้วว่าจะให้มีการเดินทาง วันนี้เราจะมาหาผู้อาสาเข้ารับการเดินทางครั้งนี้” ไครอนเอ่ยขึ้นในขณะที่คุณดีนั่งจิบไวน์อย่างเหม่อลอย ผมคิดว่าเขาคงจะฟังเราอยู่ สังเกตได้จากการที่เขาเหลือบตามาทางผมในตอนที่ผมแอบนินทาเขาในใจอยู่แบบนี้
“ผมขออาสาครับ” เคน ลีเดน เอ่ยขึ้นเบาๆท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่แบคฮยอนที่นั่งตรงข้ามผมจะโพล่งขึ้นมา
“นายคงจะลืมไปแล้วว่าเมื่อวานนายโดนเจ้าอสุรกายทำขานายหักไปนะ” เคนทำท่าเหมือนจะแย้งแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่แบคฮยอนพูดมาคือความจริง
“ฉันดีใจที่นายเสนอตัวเองทั้งที่ได้รับบาดเจ็บอยู่อย่างห้าวหาญนะคุณลีเดน” คุณดีที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา เรียกทุกสายตาให้จ้องมองไปที่เทพเจ้าในตอนนี้
“แต่ฉันเชื่อมั่นว่าจะมีคนอื่นขันอาสาอีกแน่นอน” เขาพูด ริมฝีปากมีรอยยิ้มที่ทำเอาผมรู้สึกถึงคำว่าหายนะในครั้งแรกที่มอง
“จริงไหม คุณปาร์คชานยอล”
เห็นไหมละ เทพเจ้าเอ็นดูผมจะตาย
แน่นอนว่าเกิดเสียงฮือฮาขึ้นในหมู่ผู้เข้าร่วมประชุม แอมเบอร์ตะโกนขึ้นมาว่าควรจะให้คนที่แข็งแกร่งที่สุดออกไปทำการเดินทางในครั้งนี้(และแน่นอนว่าเธอคงจะหมายถึงตัวเธอเอง) หลังจากการถกเถียงกันอยู่นาน คุณดีก็ทำให้ทุกคนเงียบโดยการอุดปากทุกคนด้วยพวงองุ่นสีม่วงที่สุกงอมลูกโต(แน่นอนว่าเขาเสกขึ้นมา) ไม่เว้นแม้แต่ผมที่เงียบอยู่แล้วก็โดนไปด้วย คุณดีสั่งให้ทุกคนกินองุ่นให้หมดพวงไม่อย่างนั้นเขาจะเสกให้มันลงไปติดอยู่ที่หลอดลมของพวกเรา(ซึ่งพวกเราก็ได้แต่นั่งกินมันอย่างเงียบๆ)
“ฉันขอเสนอให้ปาร์คชานยอลบุตรแห่งยูลเฟตัสคนนี้เป็นผู้รับการเดินทางในครังนี้” เขากล่าวช้าๆพร้อมกับส่งสายตาเย็นยะเยือกมาให้ผม “เธอจะรับมันใช่ไหมคุณชานยอล”
ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนต่างก็มองตรงมาที่ผม(ที่รู้สึกเหมือนกับมีลูกองุ่นมาติดอยู่ที่คอหอยจริงๆ) ผมกวาดตามองชาวค่ายคนอื่นอย่างหวั่นๆ โดยเฉพาะแบคฮยอนที่ตอนนี้ถลึงตาใส่ผมจนแอบหวั่นๆ เขาอาจจะอยากไปทำการเดินทางในครั้งนี้ละมั้ง
นี่มองดูเหมือนจะเป็นสถานการณ์บังคับที่ดีโอนีซุสต้องการจะแกล้งผมด้วยซ้ำ ถ้าผมปฏิเสธไม่รับการเดินทางครั้งนี้อะไรจะเกิดขึ้น? ผมจะโดนคนในค่ายบางกลุ่มเกลียดไหม หรือผมควรจะตอบรับคำขอนี้ พวกเขาคงจะดีใจที่มีคนขันอาสาออกเดินทางเพื่อช่วยปกป้องค่าย
และผมไม่ปฏิเสธเลยว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าความคิดของเพื่อนร่วมค่ายก็คือคุณดี ถ้าผมตอบปฏิเสธไปผมจะมีชีวิตอยู่รอดอีกไหมนะ บางทีเขาเกิดอาจจะอยากได้ปาร์ค ชานยอลหินอ่อนประดับทางเดินขึ้นมาเฉยๆก็ได้ละมั้ง
นอกจากสายตากดดันพวกนั้นแล้ว นีโอยังส่งซิกให้ผมด้วยการเตะขาผมเบาๆอยู่ใต้โต๊ะอีกด้วย
“ครับ ผมจะรับการเดินทางครั้งนี้” ทันทีที่ผมพูดจบเดมิกอดเกือบทั้งหมดในห้องประชุมก็ระเบิดเสียงและเริ่มการถกเถียงขึ้นมาอีก คราวนี้คุณดีไม่ได้หยุดพวกเขาแต่เป็นอีกบุคคลซึ่งเกือบทุกคนในค่ายต่างก็ไม่กล้าแย้งเขาเช่นเดียวกัน
“เงียบเถอะ!” แบคฮยอนเอ่ยขึ้นพร้อมกับทุบโต๊ะเสียงดังลั่น
“หวังว่านายจะไม่ทำให้ชาวค่ายผิดหวังนะ นายเด็กใหม่หูกาง” พูดจบแบคฮยอนก็เบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนกับว่าการมองหน้าผมนานเกินกว่านี้จะทำให้เขาติดเชื้อโรคร้ายแรง
“เอาล่ะ คุณดีมีเหตุผลที่จะเจาะจงให้เป็นชานยอลนะ และฉันก็จะเคารพในการตัดสินใจของผู้อำนวยการค่ายของเราในครั้งนี้” ไครอนกล่าวสรุป “ขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคาที่อยู่ชั้นบนนะ ปาร์ค ชานยอล เมื่อเธอกลับลงมาและยังมีสติดีอยู่ เราจะมาคุยกันต่อ”
เมื่อเดินมาถึงห้องใต้หลังคา ผมดึงเชือก ประตูเปิดลงมาพร้อมกับบันได
อากาศอุ่นๆ จากข้างบนนี้มีกลิ่นเหมือนเชื้อรา ไม้เน่า หรืออะไรทำนองนั้น...มันเป็นกลิ่นที่ผมเคยดมในห้องชีววิทยา กลิ่นของสัตว์เลื้อยคลานพวกงูหรืออะไรประมาณนั้น
ผมกลั้นหายใจและปีนขึ้นไปข้างบน
ข้างบนนี้เต็มไปด้วยขยะของเหล่าวีรบุรุษกรีก เช่นดาบที่หักครึ่งและมีสนิมเขรอะ หีบเก่าๆที่มีป้ายติดว่า ‘เกาะเซอซี’ ‘ดินแดนอะเมซอน’ และบลาๆอีกหลายชื่อที่ผมไม่รู้จัก โต๊ะยาวตัวหนึ่งเรียงรายไปด้วยขวดโหลแก้วเต็มไปหมด มันเหมือนขวดดองในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่อยู่ในขวดเหล่านั้นกลับเป็นกรงเล็บขนาดใหญ่ ดวงตาสีเหลืองดวงโต และอวัยวะของปีศาจมากมาย รวมถึงอาวุธอื่นๆที่ดูเหมือนจะเป็นอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวของวีรบุรษทั้งหลาย
ริมหน้าต่างมีเก้าอี้ไม้สามขาตั้งอยู่ ที่อยู่บนนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวสุดๆเท่าที่ผมเคยเห็นมา... มัมมี่...ไม่ใช่แบบที่มีผ้าพัน แต่เป็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งทั้งเหี่ยวย่นทั้งแห้งกรัง เธออยู่ในชุดกระโปรงย้อมสี สวมสร้อยประคำและกำไลข้อมือหลายเส้น เธอคาดผ้าโพกหัวซึ่งรวบเก็บผมยาวสีดำเอาไว้ ผิวหนังบนใบหน้าบางและแห้งตอบติดกระดูก ดวงตาของเธอเหมือนลูกแก้วสีขาวอย่างกับมีใครเอาหินอ่อนไปใส่ไว้แทนดวงตาของจริง
จู่ๆผมก็คิดว่าเธอตายมานานแสนนานแล้ว
แค่มองดูเธอผมก็รู้สึกเสียวสันหลังไปหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่เธอลุกขึ้นนั่งและอ้าปาก มีหมอกควันสีเขียวลอยออกมาจากปาก มันลอยม้วนอยู่บนพื้น ส่งเสียงชี่ๆ เหมือนงูสักสองหมื่นตัวได้ ผมสะดุดขาตัวเองล้มลงในขณะที่วิ่งหนีกลับไปทางประตู แต่แล้วประตูก็ปิดเองโดยอัตโนมัติ ในหัวของผมได้ยินเสียง...มันดังอยู่ในหูข้างหนึ่งของผมก่อนจะเลื้อยไปยังอีกข้าง จากนั้นเสียงก็ไหลมาขดอยู่ในหัวสมองผม มันพูดว่า
‘ข้าคือดวงวิญญาณแห่งเดลฟี ผู้อ่านคำพยากรณ์แห่งฟีบัสอะพอลฮุน ผู้สังหารงูยักษ์ไพธอน เข้ามาสิผู้ค้นหา และจงถาม’
ผมอยากจะตอบไปว่า ไม่เป็นไรครับ ผมแค่เข้าห้องผิด... ห้องน้ำอยู่ทางไหนครับ
แต่ผมก็บังคับให้ตัวเองให้สูดหายใจลึกและถามออกไป
“ผมจะช่วยค่ายได้ยังไงครับ”
ขอบคุณเหล่าเทพเจ้า ผมยังมีสติครบถ้วนอยู่
ผมเดินเข่าอ่อนลงมาจากห้องใต้หลังคา ทุกคนนั่งรอผมอยู่ในห้องประชุมเหมือนเดิม มีเสียงกระซิบและเสียงหัวเราะคิกคักนิดหน่อยตอนที่พวกเขาเห็นสีหน้าของผม ไคที่นั่งอยู่ข้างหลังคุณดี(เหมือนกับเป็นเลขาส่วนตัวยังไงยังงั้น)รีบเข้ามาประคองผมและพาผมไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิมแถวๆท้ายโต๊ะ ผมกล่าวขอบคุณเขาก่อนที่เขาจะเดินกลับไปนั่งยังที่เดิม ผมเงียบรอ ยังไม่กล้าปริปากพูดอะไรทั้งนั้น
“ว่ายังไงล่ะชานยอล ผู้หยั่งรู้ว่ายังไงบ้าง คำพยากรณ์น่ะ” ไครอนเอ่ยถามอย่างใจเย็น ผมนึกถึงบทกลอนอันเป็นปริศนาและซับซ้อนสองบทนั้นได้
ผมขยับปากถ่ายทอดทั้งหมดนั่นออกไป
‘ผู้ค้นหามุ่งยังทิศประจิม สู่แดนดินยังถิ่นสิ้นคนเป็น
ศาสตราวุธพิชิตอสุราเร้น จงเยือกเย็นจึ่งพบประสบทาง
แสงสว่าง เวหา แลดวงไฟ ทั้งสหายพงไพรจงใจกว้าง
ความสำเร็จเห็นอยู่ไม่เลือนราง ผู้สิ้นหวังจักได้พบประสบชัย’
ชั่วขณะหนึ่งที่ทั้งห้องประชุมนี้เงียบงันอีกครั้ง คุณดีดูจะไม่สนใจและไม่เดือดร้อนกับคำพยากรณ์นี้เท่าไหร่นัก ผมก็ไม่เก่งเรื่องกวีหรืออะไรเทือกๆนั้น แต่ก็พอจะจับใจความสำคัญได้ ถ้าคำพยากรณ์เป็นจริงก็แปลว่ายังไงเราก็ต้องทำมันสำเร็จแน่นอน(ถึงผมจะแอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อยก็เถอะ)
“ทิศประจิมคือทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของนรกใต้พิภพ จึงสอดคล้องกับกลอนในวรรคที่สอง ถิ้นสิ้นคนเป็น นั่น” ไครอนกล่าว “ฉันจำได้ว่าท้าวทาโอเดสจ้าวแห่งความตายนั้นมีอาวุธวิเศษอยู่ชิ้นนึง ที่สามารถสั่งความตายได้”
“นั่นหมายความว่าถ้าเราได้อาวุธชิ้นนั้นมาเราก็จะสามารถสังหารเจ้าสิงโตนีเมียนได้” แบคฮยอนเสริม “และถ้าผมเข้าใจไม่ผิด แสงสว่าง เวหา แลดวงไฟ... หมายถึงผู้ที่จะต้องไปทำการเดินทางจะต้องเป็นบุตรหรือธิดาของ เทพแห่งแสงสว่าง เทพแห่งท้องฟ้า และเทพแห่งไฟใช่ไหมครับไครอน” เขาอธิบายอย่างมีเหตุผลก่อนจะหันไปถามไครอนเพื่อความแน่ใจ
จริงสินะ อะพอลฮุนพ่อของเขานอกจากจะเป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างและเสียงดนตรีแล้ว ยังเป็นเทพเจ้าแห่งการทำนายอีกด้วย
“ใช่แล้วเด็กเอ๋ย เทพแห่งแสงสว่างนั่นก็คืออะพอลฮุน ส่วนเทพแห่งท้องฟ้าจ้าวแห่งเวหาก็คือเคซุส และเทพเจ้าแห่งไฟก็คือยูลเฟตัสนั่นเอง” ผมรู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัวเมื่อได้ยินชื่อของเทพทั้งสาม ฟังดูแล้วนั่นมัน....
“ฉันจะไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าฉันเป็นบุตรแห่งเคซุสคนเดียวในที่นี้” เฉินเอ่ยเรียบๆหลังจากที่เงียบมานาน น้ำเสียงของเขากึ่งๆตื่นเต้นและหวาดกลัวในขณะเดียวกัน นั่นเป็นโชคชะตาที่เขาไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลย
“แน่นอนเฉิน มันคือโชคชะตาของนาย และก็แน่นอนว่ามันเป็นโชคชะตาของชานยอลด้วย” ไครอนกล่าว “และถ้าพวกเธอทุกคนเห็นด้วยกับฉัน ฉันขอเสนอ แบคฮยอน บุตรแห่งอะพอลฮุนหัวหน้าบ้านพักหมายเลขเจ็ดของค่ายเราให้ร่วมรับการเดินทางครั้งนี้”
แบคฮยอนยืดตัวขึ้นด้วยสีหน้าที่งงๆ เขาคงไม่ทันตั้งตัวเมื่อไครอนเอ่ยข้อเสนอนี้ออกมา เขามองดูผมแวบนึงแล้วหันหน้าไปทางอื่นอย่างเดิม
“เอ่อ ผมไม่มีทางเลือกมากใช่ไหมครับ ถ้ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และแน่นอนว่ามันถูกต้องแล้ว ผมก็เห็นด้วยกับคุณครับไครอน” ผมพยายามพูดอย่างมีเหตุผลที่สุดเท่าที่พอจะทำได้ และมันก็ถูกต้องจริงๆ แบคฮยอนเป็นชาวค่ายอีกคนที่เก่งที่สุด ผมไม่เถียงเลย แล้วเขาก็ยังเป็นคนที่ตรงกับคำพยากรณ์อีกด้วย
แน่นอนว่าคำพยากรณ์ที่ได้มานั่นฟังดูกำกวม ผมละความสนใจจากคำพยากรณ์นั่น ยังมีเวลาอีกมากให้เราค่อยๆแปลความหมายของมัน
“ผมว่ายังมีอีกส่วนหนึ่งนะครับ สหายพงไพรที่ว่านี่ควรเป็นใคร ผมว่าเขาจะต้องเป็นหนึ่งในผู้เดินทาง” แบคฮยอนพูด(ซึ่งผมคิดว่ามันฟังดูมีประเด็นทีเดียว)
“คงจะเป็นแซทเทอร์ที่เก่งที่สุดในค่ายเรานี่ล่ะมั้ง” คุณดีโพล่งขึ้นมาพลางจิบไวน์ ทุกคนหันไปมองเขาเป็นตาเดียว
“อะไร ฉันหมายถึงแซทเทอร์นะ ไม่ใช่ฉัน มามองฉันทำไม อยากกินองุ่นอีกเหรอ” ฉับพลันทุกสายตาเปลี่ยนไปมองยังไคที่นั่งอยู่ข้างหลังคุณดีแทน
“อา... ใช่แล้ว สหายพงไพรอาจหมายถึงแซทเทอร์ก็เป็นได้ เพราะแซทเทอร์นั้นเป็นจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติไงล่ะ” ไครอนกล่าวสรุป
“เอ่อ... เดี๋ยวนะครับ ทุกคนคงไม่ได้หมายถึงผม” ไคยกมือขึ้นพร้อมถามเสียงแหลม เขามีสีหน้าที่ค่อนข้างตื่นตกใจ
“ฉันไม่รู้ว่าทุกคนคิดยังไง แต่ฉันหมายถึงนายนั่นแหละ สาวกที่ภักดีของฉัน” คุณดีกล่าวราบเรียบโดยไม่หันไปมองสีหน้าของไคด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ เป็นอันว่าเราได้ผู้เข้าร่วมการเดินทางทั้งหมดแล้ว ไปเตรียมข้าวของที่จำเป็นซะ บ่ายวันนี้ฉันจะพาพวกนายไปส่งที่สถานีรถบัส”
TBC
----------------------------------------------------------
สวัสดีครับ -/|\- พบกันอีกแล้วกับร้ายการไรท์หมึกชวนชิม #ผิดส์ 5555555555555
แชปนี้ไม่มีไรมากกก เป็นเพียงคำพยากรณ์และกลอนแปดง่อยๆของเค้าเอง ซึ่งตอนที่ไปพบผู้หยั่งรู้เราก็ลอกหนังสือมาเกือบทั้งดุ้นเลย ไม่ว่ากันเนาะ ._. แฮ่ะๆ 555555555 คุณดีโหดมากไม่ว่ากันนน 5555 รักคนอ่านค่า จุ้บๆ
ความคิดเห็น