ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( exo ) The Demigod ปฏิบัติการป่วนโอลิมปัส chanbaek , kadi

    ลำดับตอนที่ #10 : THE DEMIGOD :: 7

    • อัปเดตล่าสุด 13 มิ.ย. 57


    #7

     

     

     

                ผมกำลังคิดว่าตัวเองค่อนข้างปวดหัวนิดหน่อยกับการกลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน

                ถึงแม้ว่าคนที่นำธงกลับมาที่ฝั่งเราคือวีก็ตาม แต่เขากลับบอกทุกคนที่เข้ามาแสดงความยินดีว่าผมต่างหากที่เป็นคนปีนขึ้นไปหยิบธงลงมาได้ เอาล่ะ ที่นี้คุณพอจะนึกอะไรออกไหม มันเหมือนมีสายตาคาดหวังและชื่นชมถูกส่งมาให้ผมตลอดเวลา ไม่ว่าจะในชั้นเรียนขี่ม้า ชั้นเรียนต่อสู้ หรือแม้แต่ตอนที่ผมนั่งปรบมือและร้องเพลงเหมือนคนบ้าบนอัฒจรรย์ที่เราใช้ซ้อมกัน

                ผมกลายเป็นคนที่ทุกคนชื่นชมงั้นหรอ ผิดถนัด สถานการณ์ที่เรียกได้ว่ากลับกันแบบสุดขั้วก็เกิดขึ้นกับผมเช่นกัน เพราะสำหรับทีมสีแดงแล้ว เด็กใหม่ปาร์คชานยอล ประมวลผลออกมาได้เท่ากับสิ่งที่ต้องกำจัด ผมพบว่ามีรังสีอาฆาตส่งผ่านมาทุกครั้งที่ผมเดินผ่านบริเวณของค่ายที่พวกเขากำลังทำความสะอาด ผมระแวงถึงขนาดได้ยินเสียงพึมพำว่าระวังตัวไว้ให้ดีด้วยซ้ำ(แน่ล่ะว่าหูของผมอาจจะแว่วไปเอง)

                ชั้นเรียนต่อสู้วันนี้ยังคงแน่นขนัดไปด้วยพวกเราเหมือนทุกวันๆ ผม(ซึ่งดวงซวยสุดๆ)ถูกไครอนจับคู่ให้ต้องดวลดาบกับลีเดน ไครอนยังบอกอีกว่าผมน่าจะพัฒนาแบบก้าวกระโดดได้ถ้าได้ฝึกกับคนเจ๋งๆสักคน และโชคร้ายที่เขาเลือกลีเดน

                ผมเคยบอกคุณไปรึยังนะว่าบุตรของมหาเทพทั้งสามองค์ (เคซุส โพซีวอน ทาโอเดส)จะมีพลังมากกว่าเด็กเลือดผสมทั่วไปอยู่มาก บ่อยครั้งที่พลังอำนาจพวกนี้ชักจูงพวกเราไปในทางผิดๆ  เพราะในขณะที่พวกเราบางส่วนมีอยู่เพื่อรักษาความสงบและอารยธรรมตะวันตกนี้ไว้ พวกเราอีกส่วนก็ทำให้โลกเผชิญกับปัญหาที่ไม่สามารถคาดเดาต้นเหตุได้เช่นกัน

                เพราะแบบนั้น เหล่าเทพเจ้าจึงจัดตั้งค่ายเลือดผสมขึ้น แน่นอนว่าการจับเดมิกอดซึ่งมีพลังของเทพเจ้าครึ่งหนึ่งมารวมกันไว้เป็นการกระทำที่เสียงอันตราย เคซุสจึงส่งดีโอนีซุส(หรือที่พวกเราได้รับอนุญาตให้เรียกแค่ว่าคุณดี)ลงมาควบคุมค่าย และคอยสอดส่องไม่ให้พวกเราทำอะไรนอกลู่นอกทาง

     

                หลังจากทนดูลีเดนซัดผมจนเกือบจะได้เลือดอยู่นานไครอนก็สั่งให้ผมไปพักก่อนจะจับคู่เขากับผู้โชคร้ายคนใหม่แทน... เฮ้ คุณคงไม่คิดว่าผมที่มาใหม่จะเก่งได้เท่าเขาหรอกนะ ผมชอบทำงานกับเครื่องจักร ตีเหล็กอยู่เงียบๆมากกว่าจะให้มาออกแรงทำอะไรแบบนี้(ส่วนเรื่องเมื่อคืนวันศุกร์พวกคุณจะคิดเอาซะว่าเทพเจ้าบังเอิญอยู่ข้างผมก็ได้)

               

                “ชานยอล ทางนี้” ไคตะโกนเรียกผมที่กำลังมึนได้ที่จากการถูกซัด ผมเดินเข้าไปหาเขาและกล่องพยาบาลที่วางอยู่ เขาช่วยทำแผลให้ผมก่อนที่เราจะตัดสินใจเดินไปหามุมสงบๆที่ทะเลสาบ

     

                “ให้ตายเถอะ ฉันจะมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้เกินสามวันไหมเนี่ย” ผมถามในขณะที่เขานั่งมองด้วยสายตาแบบพ่อมองลูก

                “พูดกันตามตรงนะชานยอล นายอยู่ที่นี่มาเกินสามวันแล้ว” เขาพูด กลอกตาไปมาก่อนจะมองดูผมที่สมองกำลังประมวลผลช้าๆ

                จริงอย่างที่ไคบอก อีกสองวันก็จะครบรอบหนึ่งอาทิตย์ที่สูญเสียแม่ไปพอดี ผมรู้สึกหดหู่อีกครั้งเมื่อนึกถึงแม่

                โชคดีที่เหมือนไคจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เขาเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆก่อนจะพยายามพูดปลอบใจ “ฉันไม่คิดว่าแม่นายจะจากไปแล้วจริงๆหรอกนะ ฉันไม่เคยเห็นว่ามนุษย์คนไหนจะสามารถหายวับไปได้เลยนอกจากว่าเขาหรือเธอจะถูกพาตัวไป”

     

                “ฉันอยากให้แม่มาอยู่ที่นี่ด้วยจริงๆ แม่ต้องชอบอากาศที่นี่มากแน่ๆ” ผมพึมพำ “นายรู้ไหม ฉันฝันถึงแม่ด้วยนะ แต่ในฝันนั่นมัน...ไม่ดีเอาซะเลย แม่กำลังขอร้องให้ฉันไปช่วย ฉันคิดว่าฉันเห็นไซคลอปส์ด้วยแต่ก็นั่นแหละ มันเป็นแค่ฝัน”

                ไคหลบสายตา ไม่พูดอะไร จู่ๆเขาก็ทำเหมือนคนพูดไม่ออก

                ผมไม่คิดว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดีเท่าไหร่

               

                “นี่ มันเป็นแค่ฝันใช่ไหม มีอะไรที่ฉันต้องรู้อีกรึป่าว”

     

     

     

     

     

     

     

                ผมเดินด้วยความเร็วเกือบจะวิ่งมาที่บ้านใหญ่โดยมีไคตามมาติดๆ ที่นั่นผมพบคุณดีที่กำลังจดจ่ออยู่กับพีเอสพีในมือ

                เทพเจ้ากับพีเอสพีเนี่ยนะ ให้เคซุสสาปเหอะ

     

                “ผมฝัน” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเขา เออ โอเค ผมรู้ว่านี่มันไม่สุภาพและค่อนข้างจะไร้มารยาทแต่ถ้าคุณเป็นผมคุณก็คงจะทำแบบนี้เหมือนกัน ไครีบนั่งลงข้างๆก่อนจะหันไปพยายามอธิบายกับคุณดีที่ส่งสายตาไม่พอใจมากๆมาที่ผม ทันทีที่สบสายตานั้นผมก็รู้สึกถึงพลังอำนาจที่คุกคามเข้ามาจนผมตัวสั่น ความรู้สึกผมหดหู่กว่าเมื่อกี้หลายล้านเท่า

                เขากำลังทำให้ผมรู้สึกอยากจะระเบิดตัวเองทิ้ง

     

                “พอเถอะครับคุณดี เขายังเป็นเด็กใหม่” ไคเอ่ยแย้งขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมไม่มีแรงแม้แต่จะนั่งด้วยซ้ำ ทันทีที่คุณดีถอนสายตาออกไปผมก็รู้สึกราวกับมีคนยกหินหนักสิบตันออกไปจากตัว

                “ฉันเป็นเทพเจ้า เขาควรสำนึกแบบนั้นไว้เสมอ” คุณดีหันไปพูดกับไคด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก เขาวางพีเอสพีในมือลงก่อนจะยกไวน์ที่ถูกรินให้เต็มแก้วเองโดยอัตโนมัติขึ้นมาดื่ม

               

                “เหอะ ฝัน ฝัน ฝัน เคซุสคิดอะไรอยู่ถึงส่งฉันมาดูเด็กตัวปัญหาพวกนี้” เขาบ่น ยกแก้วไวน์ขึ้นกระดกก่อนจะวางมันลงอย่างไม่แยแส

                ไคเล่าเรื่องที่ผมฝันถึงแม่ให้คุณดีฟัง เอาล่ะ เผื่อว่าคุณอาจจะสงสัย สำหรับพวกเรามนุษย์กึ่งเทพแล้ว มันไม่มีคำว่าฝันหรอก ส่วนมากแล้วสิ่งที่เราคิดว่าฝันมักจะเป็นภาพนิมิตที่พวกพ่อแม่ของเราต้องการให้เห็น หรือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆในอีกสถานที่หนึ่งมากกว่า มันอาจฟังดูน่าขนลุกแต่พวกเราไม่มีทางเลือก

                ครึ่งหนึ่งในตัวของพวกเราเป็นสายเลือดของเทพเจ้า

     

               

     

     

                “แล้วไง นายคิดว่าการที่เขาฝันถึงแม่นี่มันทำให้ฉันควรปล่อยเขาออกไปทำการเดินทางงั้นหรอ” คุณดีถามหลังจากที่ฟังเรื่องเล่าทั้งหมดจบเหมือนกับเขารู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ ไคเงียบ เขาส่งสายตาประมาณว่าขอร้องไปให้คุณดีแต่เทพเจ้าไม่สนใจ

     

                “คราวที่แล้วที่เราส่งคนออกไปทำการเดินทางนายก็รู้นี่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น สองคนเกือบเอาชีวิตไม่รอด หนึ่งคนสูญหาย แถมภารกิจนั่นก็ไม่สำเร็จ” คุณดีพูด

     

                ไคยังคงส่งสายตาอ้อนวอนไปที่คุณดีอยู่แบบนั้น

     

                “นี่ ! ฉันสาปนายได้นะเผื่อนายจะลืมไป อยากจะลองเป็นแซทเทอร์หินอ่อนประดับทางเดินดูไหม” เขาดูหัวเสียกับไคที่เอาแต่จ้องเขาอยู่แบบนั้น เอาจริงๆถ้าเป็นผม ผมคงเลิกจ้องเขาตั้งแต่ประโยคแรกที่เขาพูดแล้ว

     

                แต่นั่นแหละ บางทีระบบการคิดของแซทเทอร์กับเดมิกอดอาจจะต่างกันก็ได้มั้ง

     

                “จะไม่มีการเดินทางไปไหนทั้งนั้นถ้าเรายังไม่ได้เบาะแสมากขึ้นกว่านี้ นายคิดว่าไซคลอปส์มีแค่สามตัวบนโลกหรอ ตลกน่า” เขาหันมาตวาดใส่ผมแทนเมื่อเห็นว่าคำขู่ทำอะไรไคไม่ได้

     

                ตอนที่เดินออกมาจากบ้านใหญ่(แน่นอนว่าผมหัวเสียสุดๆ) ผมสวดภาวนากับเทพเจ้าทุกองค์ ขอให้คืนนี้ผมฝันอีกครั้ง

     

     

     

                เหมือนเดิมกับทุกๆเย็นที่เราจะต้องไปที่โรงอาหาร สวดภาวนาและโยนอาหารลงในกองเพลิงเพื่อเป็นการบูชาเทพเจ้า ผมนั่งลงที่โต๊ะของยูลเฟตัสในขณะที่พวกพี่น้องของผมก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน

     

                แน่นอนว่าผมไม่ได้เล่าเรื่องแม่ให้พวกเขาฟัง จริงอยู่ที่เรามีพ่อคนเดียวกัน แต่กับเรื่องแม่ของพวกเขานั้นผมแทบจะไม่รู้อะไรเลย ถ้าหากแม่พวกเขาตายไปแล้วล่ะ ถ้าหากพวกเขาไม่ถูกกับแม่ล่ะ ความคิดนี้รบกวนผมจนทำให้ผมตัดสินใจเก็บเรื่องนี้เอาไว้เงียบๆดีกว่า

     

                โรนัลด์กับเมลทัสเอาแต่พูดกันถึงเรื่องสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ที่พวกเขาทำขึ้นมา วิธีการเคลื่อนไหวของมัน รูปลักษณ์ของมัน นีโอนั่งกินข้าวเงียบๆ ดูเหมือนเขาจะมีเรื่องวุ่นๆให้ต้องจัดการ ในขณะที่เวนดี้ก็กำลังหยอกล้อยานาเกี่ยวกับเรื่องของเคน ลีเดน(ผมจะแอบหมายหัวเขาเอาไว้จากเรื่องเมื่อตอนกลางวัน)

     

                “แฟนเธอซัดชานยอลจนกระเด็นเลยนะวันนี้” เวนดี้พูด เธอส่งสายตาล้อเลียนไปที่ยานาที่ใบหูเริ่มแดง 

                “พี่คะ! ก็บอกแล้วไงว่าเขาไม่ใช่แฟนฉัน” เธอเถียง ยกมือขึ้นกอดอกก่อนจะทำแก้มพองลม  เวนดี้หลุดขำก่อนจะดึงแก้มยานาเล่นไปมา

     

                ผมมองภาพนั้น และหวังว่าจะมีโอกาสได้ใช้เวลากับพวกเขาไปอีกนานๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

                บางทีเทพเจ้าอาจจะตอบรับคำขอของผม(ในทางตรงข้าม)ไวเกินไป ผมได้ยินเสียงเหมือนกับอะไรระเบิดดังมาจากทางป่า เดมิกอดทุกคนที่นี่ลุกขึ้นและส่งเสียงฮือฮา บางคนก็ตะโกนร้องโหวกเหวกโวยวาย

                โรนัลด์คว้าแขนใครสักคนที่กำลังจะวิ่งผ่านไปแล้วถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น

     

                “อสุรกายน่ะสิ มันหลุดออกมาจากป่า อาละวาดจนต้นไม้ล้มไปเป็นแถบๆ ตอนนี้มีสองสามคนกำลังพยายามควบคุมอยู่”

                เมื่อมองดีๆผมก็พบว่าเขาคือเฉินที่มีคราบเขม่าและเศษฝุ่นเกาะบนหน้านั่นเอง

     

                “เอาละทุกคน ตามฉันมา เราจะไปที่คลังแสง หยิบอาวุธแล้วไปช่วยกันจัดการเจ้าอสุรกายหน่อย” เฉินตะโกนก่อนที่ชาวค่ายจะพากันเบียดเสียดตามเขาออกไป

     

                “สนใจจะไปทดสอบของเล่นใหม่ของพวกเราหน่อยไหม” เมลทัสถาม เขาหันไปแท็กมือกับโรนัลด์ พนันได้ว่าสองคนนี้คงเห็นเป็นเรื่องสนุก

               

     

     

     

     

     

                เราสามคนเดินมาถึงช่ายป่าก่อนจะพบกับซากต้นไม้และ โอ้ นั่นมันเฉียดบังเกอร์ของพวกเราไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ผมวิ่งไปตามเสียงก่อนจะนิ่งค้างกับภาพตรงหน้า

                สิงโตยักษ์ยืนอยู่ที่นั่น

     

     

     

                ผมอาจจะรู้สึกช็อคค้างไปประมาณครึ่งวินาทีก่อนที่สมองจะกลับมาประมวลผลอย่างรวดเร็ว ปลายสายตาผมมองเห็นแบคฮยอนและลีเดนที่กำลังซัดหอกใส่มันอยู่ เจ้าสิงโตสะบัดตัวเล็กน้อยราวกับจั๊กจี้ ดูเหมือนว่าอาวุธของค่ายจะไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย

                ทันทีที่ลีเดนตัดสินใจวิ่งเข้าใส่มันก็ยกอุ้งเท้าขึ้นตะปปเขาจนกระเด็นออกไปไกล เมื่อเห็นว่าเหยื่อนอนนิ่งเหมือนหมดสติ เจ้าสิงโตยักษ์ก็เดินย่างเข้าไปหายังเป้าหมายอีกคนอย่างช้าๆ แบคฮยอนค่อยๆก้าวถอยหลังเรื่อยๆ ในมือของเขาไม่มีอาวุธเหลืออยู่แล้ว

                รู้ตัวอีกทีผมก็ขว้างก้อนหินออกไป

     

                และพระเจ้ามันได้ผล ผมสวดภาวนาให้ความโง่ใดๆก็ตามที่ทำให้ผมเลือกจะทำแบบนั้น เจ้าสิงโตละความสนใจจากแบคฮยอนแล้วหันมาทางผมแทน มันคำราม เอียงหัวน้อยๆเหมือนกับสงสัยว่าผมจะเป็นเพื่อนเล่นกับมันแทนหรอ(ซึ่งขอบอกตรงนี้ว่ามันเข้าใจผิดอย่างรุนแรง)

                “เอาล่ะ ถ้าพวกนายมีของเล่นที่เจ๋งๆละก็ ฉันคิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องใช้มันแล้วนะ” ผมบอกโรนัลด์กับเมลทัสในขณะที่กำลังประเมินหาทางรอด ผมได้ยินเสียงพวกเขาสบถเบาๆถึงความโง่ของผม ซึ่งมันก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ เอาเป็นว่าถ้ารอดไปได้ผมจะยอมทำความสะอาดบ้านพักทั้งสัปดาห์เลย

               

                “โรนัลด์รับ” ผมได้ยินเสียงเมลทัสตะโกนก่อนที่วัตถุขนาดพอดีมือชิ้นหนึ่งจะลอยข้ามหัวผมไปตกในมือพี่ชายร่วมบ้าน โรนัลด์ทำอะไรสักอย่างกับวัตถุนั่นในขณะที่เรากำลังก้าวถอยหลังกันที่ละก้าวอย่างช้าๆ

                แน่นอนว่าเจ้าสิงโตก็ยังคงย่างก้าวมาหาเราเช่นกัน

     

                “เอาล่ะ ฟังฉันนะ นับหนึ่งถึงสาม พวกนายสองคนกลับหลังหันแล้ววิ่งเลยโอเคไหม”

                “เดี๋ยวก่อ..”

                “หนึ่ง สอง สาม”

     

     

                สิ้นเสียงโรนัลด์ เมลทัสกับผมก็หลับหูหลับตาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเลยทีเดียว หูได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าสัตว์ตัวโตที่ยังคงวิ่งไล่ตามมาไม่ห่าง ก่อนที่จู่ๆจะเกินเสียงโครมดังขึ้นและเสียงฟิ้วๆเหมือนเสียงขดลวด เสียงฝีเท้าหยุดลงกลายเป็นเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นแทน

                ผมหยุดวิ่ง หันกลับไปมองทางด้านหลัง เจ้าสิงโตยักษ์ถูกตาข่ายเหล็กดักไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ มันดูหงุดหงิดและพร้อมจะฆ่าพวกเราทันทีที่หลุดออกมา

                บางทีการทำความสะอาดบ้านพักหนึ่งสัปดาห์อาจไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อนัก

     

     

     

     

     

                สิบห้านาทีต่อจากนั้นทุกอย่างก็สงบลง ชาวค่ายที่บาดเจ็บมีแค่ลีเดนเท่านั้น เขาได้รับการปฐมพยาบาลทันที ดูเหมือนจะไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงนอกจากขาหัก คุณดีและไครอนเห็นว่าในช่วงมาตรการฉุกเฉินนี้เราควรจัดเวรยามไปเฝ้าเจ้าสิงโตเอาไว้เผื่อมันจะหลุดออกมา

     

                “มันคือสิงโตนีเมียน ราชสีห์นีเมียนในตำนาน!” เด็กบ้านซูธีน่าคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จักพูดขึ้นในขณะที่เรากำลังประชุมค่ายเพื่อปรึกษาหารือกันเรื่องนี้ “ไม่มีอาวุธไหนทำอันตรายมันได้ หนังของมันแข็งแรงยิ่งกว่าโล่ด้วยซ้ำ”

                เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที ผมคิดว่ามันคงไม่บ่อยนักที่เราจะมีเพื่อน— ผมหมายถึงอสุรกาย มาเยี่ยมเยียน

     

                คุณดีมีสีหน้าคิดหนักในขณะที่พูดคุยกับไครอนเบาๆ เขากวาดสายตาไปมาก่อนจะเกิดเสียงดังโครมแบบไร้สาเหตุ พร้อมกับมีกลิ่นเหมือนเหล้าองุ่นเข้มๆฟุ้งไปทั่ว ชาวค่ายทุกคนนิ่งสงบและเงียบในทันที

                “ตาข่ายของพวกนายจะอยู่ได้นานแค่ไหน”เขาถาม

    “ถ้าคิดจากแรงของมันที่คงจะพยายามหาทางหลุดออกมาให้ได้และประสิทธิภาพที่จะลดลงเรื่อยๆแล้ว” เมลทัสตอบ เขายกนิ้วขึ้นมาคำนวณ “ไม่น่าจะเกิน 7 วัน”

     

                เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง ผมได้ยินบางคนโอดครวญถึงอายุที่แสนสั้น บางคนบอกลาเพื่อนๆและหลายคนที่พูดถึงการเดินทาง

     

                “ผมขอเสนอให้มีการออกเดินทางไปตามหาอาวุธที่เราจะใช้ได้” เด็กใจกล้าจากบ้านเฮอร์เมสคนนึงพูดก่อนจะมีเสียงเห็นด้วยดังตามมาอีกระลอก

                คุณดีทำท่าเหมือนจะแย้งก่อนจะหันไปปรึกษากับไครอนอีกที ทุกคนกลั้นหายใจรอราวกับว่าคำสั่งของเขาคือการตัดสินทุกอย่าง(ซึ่งก็แหงละ มันเป็นคำตัดสินทุกอย่างจริงๆ)

     

                “เงียบ” ไครอนพูด “ฉันกับคุณดีเราไม่เห็นด้วยกับการอกเดินทาง...” เสียงประท้วงดังขึ้นในตอนนั้นก่อนที่ไครอนจะพูดต่อ “...แต่ในเมื่อมันเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆเราก็คงจะขัดไม่ได้”

     

                เขาทำเสียงแบบ อ่ะแฮ่ม ก่อนจะพูดต่อ “พรุ่งนี้เราจะไปขอคำทำนายจากผู้หยั่งรู้ที่ห้องใต้หลังคากัน”


    TBC

    ----------------------------------------------------------


     

    แก แชปนี้คือไร ว้ายยยยยยยยยยย บอกทีว่าฟิคชานแบคไม่ใช่ไคดี 55555555555555
    เรื่องอัพนะคะ เราสองหมึกตกลงกันแล้วว่าจะอัพวันเว้นวัน จะได้ไม่เร่งละก็ไม่ช้าเกินไปเนาะ 
    ส่วนเรื่องนามสกุลของพวกเลือดผสมนะคะ คือแน่นอนว่าเทพเจ้าไม่มีนามสกุล
    เพราะฉะนั้นพวกเด็กๆก็เลยเลือกจะใช้นามสกุลของผู้ปกครองฝั่งที่เป็นมนุษย์แทน อย่างชานยอลนี่ก็ใช้นามสกุลแม่เนาะ
    เรากลัวทุกคนจะงง ก็เลยทำแผนที่ค่ายกับแผนผังบ้านพักมาฝาก (อ้างอิงจากหนังสือเพอร์ซีย์ แจ๊กสัน) เดี๋ยวจะอัพให้เร็วๆนี้นะคะ 

    ปล.1 เผื่อใครยังไม่รู้นี่ก็จะโฆษณาว่า #ฟิคเดมิกอด กันมาก็ได้นะ เลาอ่านหมดทุกทวีตเลย
    ปล.2 นี่เรามาโฆษณาหนังให้เขา ไม่ได้ค่าหน้าม้าด้วย 
    http://youtu.be/OwlynHlZEc4 << เฮอร์คิวลิสต้นฉบับที่เราไปขโมยสิงโตนีเมียนหนึ่งในภารกิจของเขามา 

     





    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×