ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] ✖✖ ติสแตก ✖✖ : 2MIN

    ลำดับตอนที่ #8 : :: EP 7 :: .....ใกล้.....

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 54


    EP 7 : .....ใกล้.....

     

     

     

    “เอาแบบนี้ดีกว่าป่ะวะ เอาขาซ้ายก้าวก่อน แล้วขยับไหล่  เอออ!! แบบนั้น”

    “แล้วท่อนนี้เปลี่ยนดีไหม”

     

    “สลับกัน2ฝั่งก็ได้ๆ”



     

    เสียงเพลงจังหวะฮิพฮอพดังลั่นห้องซ้อมเต้นภายในชมรม นักศึกษาชาย-หญิงร่วมสิบชีวิตกำลังยืนประจำตำแหน่งพร้อมเสียงดังๆของรุ่นพี่ร่วมชมรมที่เข้ามาให้คำแนะนำ ร่างบางของเด็กติสคนเก่งขยับเคลื่อนไหวตามจังหวะที่เพื่อนๆและรุ่นพี่ร่วมชมรมช่วยกันคิดเพื่อให้ออกมาดูดีที่สุด


     

    “แทมิน พี่ว่าถ้าจะลงไป Hand spin ท่อนนี้น่าจะเวิร์คนะ” พี่อูยองเสนอท่าเต้นบีบอยสุดฮิต ที่ว่าด้วยการยันแขนไว้ที่พื้น แล้วดันให้ลำตัวหมุน


     

    “แต่พี่ว่า Windmill ไปเลยมันจะสวยกว่า” พี่นิชคุณแย้งขึ้นมา พร้อมโชว์สเตปท่าเต้นสุดเทพให้ดูเป็นตัวอย่าง จนทำให้พี่อูยองที่ยืนข้างๆถึงกับยู่หน้า



     

    จริงๆท่าเต้นของรุ่นพี่ทั้งสองคนที่เสนอมาก็ค่อนข้างที่จะคล้ายกัน เพียงแต่ของพี่นิชคุณ จะซับซ้อนกว่า แต่ถ้าหากทำพร้อมกันสามคน มันจะเป็นไลน์ที่ดูดีมาก

     


    “แล้วคนที่เหลือ ก็ยืนสองฝั่งเหมือน แบทเทิลกัน โอเคไหม”

     


    สิ้นเสียงรุ่นพี่ทุกคนก็เริ่มการซ้อมใหม่อีกครั้ง เพลงที่คัดเลือกมาทั้งหมดถูกมิกซ์รวมกันเป็นเพลงยาวต่อเนื่องเพลงเดียว ที่มีจังหวะการเคลื่อนไหวที่ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป แต่เสียงเบสแน่นๆที่ดังออกมาจากลำโพงทำให้จังหวะการเต้นเต็มไปด้วยความแข็งแรง และน่ามอง

     


    การซ้อมกินเวลายาวนาน จนสามทุ่ม ไฟด้านนอกภายในมหาวิทยาลัยส่องสว่าง แต่ทางเดินกลับเงียบสงัด สมาชิกภายในชมรมเริ่มเก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าเตรียมตัวที่จะกลับไปพักผ่อนในวันที่แสนเหนื่อยล้าจากการเต้นอย่างหนัก

     


    แทมินก็เช่นกัน มือบางยัดเสื้อผ้าที่เปลี่ยนแล้วนั้นลงกระเป๋า ก่อนที่จะเดินไปหยิบกระดานวาดรูปคู่ใจขึ้นมาถือ แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อตาคมเหลือบไปเห็นคนที่ยืนพิงอยู่ที่กรอบประตู คุยกับพี่นิชคุณอย่างออกรสชาติ

     

     


    “อ้าวแทมินเสร็จพอดี มินโฮมารับน่ะ”
    เสียงรุ่นพี่ต่างชาติเรียกผมทั้นที เมื่อหันมาเจอ ก่อนที่ตาโตๆของคนที่ยืนข้างๆพี่นิชคุณจะหันมามองผม

     

    “ห๊ะ?? รับฉันหรอ?”

     

    “อื้ม มันดึกแล้ว อีกอย่างนายลืมกุญแจไว้ที่ห้องเมื่อเช้าน่ะ”

     


    ชเวมินโฮยื่นกุญแจห้องในมือให้ผมดู จริงๆด้วย ลืมเรื่องนี้ไปเลย เพราะเมื่อเช้าผมกับชเวมินโฮออกมามหาลัยพร้อมๆกัน ผมเอื้อมมือออกไปจะคว้ากุญแจที่ร่างสูงส่งมาให้ แต่ก็ต้องชะงักชักมือกลับ เมื่อเสียงรุ่นพี่ต่างชาติพูดภาษาเกาหลีสำเนียงแปร่งหูออกมา

     



    “นี่นายสองคนคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่ไม่เห็นรู้เรื่อง ย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้วหรือเนี่ย ร้ายไม่เบานะมินโฮ” พี่ไม่รู้เรื่อง แต่ทำไมพี่ต้องยิ้มซะระยิบระยับขนาดนั้นด้วย แล้วไปเอาอะไรมาพูด คบเคิบอะไร ได้ข่าวผมนี่ล่ะไปรบกวนเขาไว้ซะมากมาย จะรำคาญหรือเปล่าก็ไม่รู้

     


    “สักพักได้แล้วล่ะครับ”  แล้วดูมันตอบ
    !!!! นายนี่ไม่เคลียร์เลยจริงๆ พี่เขายิ่งเป็นคนต่างชาติน่าจะอธิบายละเอียดๆให้เข้าใจหน่อย ว่าสักพักเนี่ย คือเจอกัน แล้วต้องพึ่งพาอาศัยกัน

     






    “อย่าหักโหมมากนะ แทมินเป็นตัวท้อป”
    พี่นิชคุณบอกยิ้มๆกับคนตัวสูง

     

     

     

     

    “แต่มันจำเป็นนะฮะพี่คุณ” ผมอดจะแย้งไม่ได้หรอก ไม่ให้หักโหมได้ยังไง งานผมใหญ่กว่าจานดาวเทียมอีก!!! ถ้าไม่โหมก็ไม่เสร็จพอดี

     


    “โอ้
    !!” พี่นิชคุณห่อปาก ทำตาโต ก่อนที่มือหนาของมินโฮจะตบไหล่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของพี่นิชคุณเบาๆพร้อมรอยยิ้ม

     

    “คงต้องกลับก่อนนะครับ ไว้คุยกันใหม่” ร่างสูงก้มศีรษะให้รุ่นพี่ตางชาติ แล้วยกมือขึ้นไหว้ เห็นแบบนั้นผมจึงยกมือไหว้ทำบ้าง พี่นิชคุณหัวเราะให้กับท่าทีแบบนั้นของเราแล้วโบกมือลา

     

     



    ผมเดินออกมาจากห้องชมรมพร้อมชเวมินโฮ บรรยากาศตอนกลางคืนเงียบจนวังเวง จากที่แรกๆผมไม่เคยกลัวผี แต่ประสบการณ์จากพี่จงฮยอนครั้งนั้นทำผมลืมไม่ลงเลยทีเดียว ถึงแม้ผมจะเข้าใจไปเองก็เถอะ เรากำลังเดินกลับออกมาผ่านคณะของผม และแน่นอนว่าต้องผ่านตึกแดงของร่างสูงข้างๆด้วย

     


    ต้นไม้ ใบไม้พัดแรงตามแรงลม ที่คาดว่าอีกไม่นานฝนจะต้องตกลงมาอย่างแน่นอน ผมเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าไร้ดาวเมฆอึมครึมมาแต่ไกล ท้องฟ้าแดงก่ำจนน่ากลัว แล้วไม่นาน เสียงฟ้าร้องดัง และเม็ดฝนหยดเล็กๆเริ่มที่จะตกลงมาแบบไม่ให้ได้ตั้งตัว

     




    “รีบเดินเถอะ”

     

    “อื้ม” มินโฮเอื้อมมือมาจับแขนผมให้รีบเดินกลับออกจากมหาลัยไปด้วยกัน แต่ก็คงจะไม่ทัน

     

     

     

     




     

    ซ่า!!!!!

     


    “เฮ้ยยยย กระดานกู” ผมสบถออกมาไม่ดัง แต่ก็เรียกให้คนตัวสูงหยุดเดินแล้วหันมาคว้ากระเป๋าและสัมภาระทั้งหมดจากมือของผมไปถือ

     

    “กอดกระดานไว้แล้วกัน”

     


    มินโฮหันมาพูดกับผม ก่อนที่จะถอดเสื้อชอปของตัวเอง แล้วยกขึ้นมาบังหัวไว้ แต่ก็ไม่ลืมที่จะฉุดตัวผมเข้าไปในร่มเฉพาะกิจด้วย สภาพแบบนั้นทำให้เราเดินเร็วๆไม่ได้เลย มินโฮเขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นจนแทบจะเบียดชิดกัน เห็นอย่างนั้นผมก็รีบเข้าไปอยู่ภายใต้เสื้อชอปนั้นด้วยกัน ไม่อย่างนั้นงานของผมเละหมดแน่ๆ

     


    “ทำไมอยู่ๆก็ตกวะ” ผมพยายามเงยหน้าที่จะไปถามคนข้างกาย แต่ยังไม่ทันที่ร่างสูงจะตอบ ฝนกลับเทสาดลงมาอีกระรอก ฝนตกแรงเกินที่เสื้อชอปของมินโฮจะต้านไหว แต่อยู่ๆมือแกร่งก็จับมือผมให้กึ่งวิ่งตามเข้ามาหลบอยู่ภายในตู้โทรศัพท์ข้างๆตึกแดง

     

     

     



    “หลบในนี้ก่อนแล้วกัน ถ้าออกไปคงไม่รอดแน่ๆ ฉันไม่ได้เอารถมาด้วย”

     


    “อื้อๆๆ นายเปียกซกเลยว้ะ”

     

    “งานนายไม่เสียใช่ไหม” ผมก้มลงไปมองกระดานวาดรูปในมือ แล้วก็ส่ายหน้าส่งไปให้ร่างสูง

     

    “ไม่เปียกมาก ไม่เป็นไรหรอก”

     



    มินโฮล้วงมือลงไปในกระเป๋าสัมภาระของตัวเอง ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูสีขาวสะอาดออกมา มือหนาวางของทั้งหมดลงที่พื้นตู้โทรศัพท์ แล้วเอื้อมมือขึ้นมาซับหยาดน้ำฝนบนใบหน้าใสของร่างบาง เลื่อนขึ้นไปซับผมของคนตัวเล็กเบาๆ

     



    “เดี๋ยวฉันทำเองก็ได้”

     

    “ไม่เป็นไร มันไม่มีที่จะขยับแล้ว ฉันทำให้”

     


    มือหนาขยี้ๆผ้าขนหนูเช็ดผมให้กับผมอยู่สักพัก จริงอย่างที่คนตัวสูงว่า มันไม่มีที่จะให้ขยับตัวได้แล้วจริงๆสำหรับตู้โทรศัพท์เล็กๆแบบนี้ แค่มนุษย์ขนาดตัวปกติอัดเข้าไปสองคนได้นี่ถือว่าสุดยอดมากแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมองมินโฮ ใบหน้าหล่อก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำฝนเช่นเดียวกับผม

     


    “เช็ดหน้านายด้วยดิ เปียกหมดแล้วเหมือนกัน”

     


    ผมยกมือข้างหนึ่งไปเกาะไหล่หนาไว้ เมื่อเราต้องขยับท่าทางกันเพื่อที่จะได้ให้มินโฮซับหน้าให้ตัวเอง เราสองคนแนบชิดกันเข้ามามากกว่าเดิม เสียงฟ้าร้องด้านนอกทำให้ผมต้องนิ่วหน้า ถ้ายังร้องแบบนี้ แสดงว่ายังไม่หยุดตกง่ายๆ แรงลมยังคงพัดมาอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้พายุจากประเทศไหนพัดเข้ามาอีก ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองสั่นเพราะความหนาวของแรงลมจากภายนอก

     










    “หนาวหรือ??”

     

    “อือ หนาวว่ะ” ปากผมแห้งผากตอบรับคนตัวสูง

     

    “อึดอัดไหม” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหู ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมมากอดเอวผมไว้

     

    “มะ...ไม่”

     



    สิ้นคำตอบผม คนตัวโตก็รัดตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดนั้นแน่นกว่าเดิม ไออุ่นลอยออกมาจากคนที่กอดผมอยู่ ใบหน้าผมแนบอยู่ที่อกกว้างของมินโฮ แว่วได้ยินเสียงก้อนเนื้อของเจ้าของอ้อมกอดเต้นตึกๆๆ เรียกให้ความร้อนวิ่งพุ่งขึ้นมาเต็มๆที่หน้าผม หัวใจเต้นแรงแปลกๆตามเจ้าของอ้อมกอด ผมหลับตาลงอย่างไม่อยากคิดอะไรอยู่สักพัก

     

     

     

     

     

     





    “มันเริ่มซาแล้ว จะออกไปเลยไหมเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

     

    “ได้ๆ ฉันหิวด้วยไปเหอะ”

     

    .

     

    .

     

    .

     

    เราสองคนเข้ามาในห้องปุ๊บก็ต่างคนต่างรีบจัดการทำธุระส่วนตัวทันที ถ้าหากไม่ยอมอาบน้ำสระผมละก็ หวัดถามหาแน่ๆ ผมยังไม่อยากป่วย ภารกิจมิชชั่นของผมนั้นเยอะเหลือเกิน ผมแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็คิดได้ว่าผมถือกระเป๋าเสื้อผ้าที่ข้างในเป็นชุดนักกีฬาของมินโฮติดมือมาด้วย สงสัยจะสลับกันกับกระเป๋าเสื้อผ้าผม

     

     








    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

    “ชเวมินโฮ ฉันเอากระเป๋ามาให้” มือบางเคาะลงบนประตูห้องฝั่งตรงข้าม

     

    “เข้ามาเลย แล้ววางไว้นั่นล่ะ”

     


    เสียงก้องๆดังลอดออกมาจากห้องน้ำ สงสัยมินโฮจะยังอาบน้ำไม่เสร็จ เมื่อได้รับคำอนุญาต ผมก็หมุนลูกบิดประตูเข้าไปในห้องนอนอีกห้อง ภายในถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ โต๊ะทำงานข้างๆเตียงมีโน้ตบุคสีขาวตั้งอยู่ และหนังสือที่วางอีกเป็นกองบนหัวเตียง แต่อะไรก็ไม่สะดุดตาเท่า
    แวนโก๊ะ ตุ๊กตาตัวโปรดของผมนั่งอยู่บนเตียงกว้างนั้น

     




    “มาอยู่นี่ได้ยังไงเนี่ย”

     


    ยังไม่ทันที่ผมจะเอื้อมมือออกไปหยิบตุ๊กตาตัวโปรด ประตูห้องน้ำก็เปิดออกมา ร่างสูงรูปร่างสมส่วนที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันอยู่รอบเอว ร่างกายยังเต็มไปด้วยหยดน้ำที่เกาะตามตัวและใบหน้า มือหนายกผ้าขนหนูผืนเล็กซับผมบริเวณท้ายทอย
    ก่อนจะมองมาที่ผม และก้าวเข้ามาประชิดตัว

     

     

     


    จังหวะนั้นผมได้แต่ถอยหลังจนชิดขอบเตียง และหลับตาปี๋

     

     




    “เอ้า แวนโก๊ะ นายลืมไว้ฉันเลยเก็บเข้ามา”

     

    ร่างสูงถอยหลังออกไปก่อนจะยื่นตุ๊กตาตัวโปรดของผมคืนให้ มินโฮยังระบายยิ้มไว้ที่หน้าทั้งปากและตา ออร่าแรงล้นเหลือจริงๆ

     


    “อื้ม ขอบใจ”

     

    “ไม่เป็นไร”

     



    ผมกำลังจะหมุนตัวออกจากห้องของหนุ่มวิศวะใจดี แต่เจ้าตัวกลับเรียกผมไว้อีกครั้ง”

     

     

    “แทมิน”

     

    “หืม??”

     

    “นายลืมสมุดไว้ด้วย”

     

     

    มินโฮเดินไปบนโต๊ะทำงานอีกครั้ง ก่อนจะหยิบสมุดสเก็ตภาพเล่มหนาของผมมายื่นให้ พร้อมยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูผมให้จั๊กกะจี้เล่น

     

     

     

     

     

     

    “ฉันชอบนะ แอนิเมชั่นนั่นน่ะ”

     

    เฮ้ยยย มันรู้ได้ไงวะ ว่าผมวาดมันน่ะ อุส่าวาดเละๆแล้วเชียว ก็มันว่างนี่ตอนที่มินโฮนอนตักผมอยู่ ผมแค่นึกถึงตอนที่ชเวมินโฮเอาใบสมัครออดิชั่นมาให้เลยวาดมันออกมาเล่นๆ ไม่คิดว่าคนอย่างมินโฮจะเล่นไอ้กระดาษดุ๊กดิ๊กเป็นด้วย ผมรับสมุดเล่มนั้นมาถือไว้แล้วทำท่าจะหมุนตัวกลับ

     

     


    “แทมิน”

     

    “อะไรอีก!

     

     

     

     

     

     

    “ฝันดีนะ”

     

    .

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

    วันนี้ก็เป็นวันน่าเบื่ออีกวันของผมเลย ตารางเรียนครึ่งบ่ายว่างไปแบบไม่รู้จะทำอะไร จะไปซ้อมเต้นคนเดียวก็ใช่เรื่อง เปลืองไฟชมรม จะไปนั่งวาดรูปก็ไม่ใช่อารมณ์ที่จะอยากทำ ผมไม่รู้ว่าผมอยากทำอะไร อยากไปไหน เลยได้แต่เดินเอื่อยๆอยู่ในคณะนั่นล่ะ ช่วงนี้พี่จงฮยอนค่อยข้างยุ่งที่จะทำเรื่องจบ เลยไม่เจอกันเท่าไหร่ ไอ้ครั้นจะโทรไปก่อกวนก็คงไม่ดี

     


    ผมยืนทอดสายตามองออกไปนอกอาคารเรียน ที่เห็นตึกแดงฝั่งตรงข้ามชัดเจน ก็พลอยนึกถึงเด็กคณะนั้นขึ้นมา เมื่อคืนหลังจากแยกย้ายกันไปนอน ตอนเช้าตื่นมาก่อนผมออกมาเรียนเหมือนว่าเจ้าของห้องจะยังไม่ตื่น สงสัยจะไม่มีเรียนตอนเช้า ผมเลยตัดสินใจหยิบกุญแจห้องที่มินโฮเอามาให้ผมเมื่อวานแล้วออกมาเรียน จะว่าไป ผมพอจะคิดออกแล้วล่ะว่าผมจะวาดชเวมินโฮแบบไหนดี

     

     

     

     



    Rttttttttttt~~

     

    “อ้ะ”

     


    เสียงโทรศัพท์ดังขัดความคิดขึ้นมาก่อนที่มือบางจะล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง

     

     

    “ครับ??”

     

    “พี่คีย์เองนะน้องแทมิน” พี่ชายใจดีเพื่อนสนิทชเวมินโฮโทรมาหาผมก่อนจะกรอกน้ำเสียงร้อนรนต้องการความช่วยเหลือ

     

    “อ่อครับ”

     

    “น้องแทมินว่างไหมครับ ตอนนี้เลย”

     

    “ว่างครับ พี่คีย์มีอะไรหรือเปล่า”

     

    “มีมากๆเลย น้องแทมินมาที่ตึกแดงด่วนเลยนะ มินโฮมันจะตายแล้ว”

     

    “ห๊ะ!! เกิดไรขึ้นครับ” ชเวมินโฮจะ ตะ...ตาย งั้นหรอ

     

    “ไม่ได้จะตายแบบนั้น พอดีมันไข้ขึ้นน่ะ ตัวร้อนมาก มาช่วยรับมันกลับห้องหน่อยสิ”

     

    “..............”

     

    “อย่างด่วนเลยนะแทมิน พี่มีควิซเคมี ขาดไม่ได้เด็ดๆ รีบมานะ พี่รออยู่ข้างล่างนี่ล่ะ”

     

     

     

     

    ผมเก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วหยิบเป้ขึ้นสะพาย เดินข้ามไปยังตึกแดงเบื้องหน้า บรรยากาศตึกแดงต่างจากวันที่ผมมากับพี่จงฮยอน เพราะวันนี้เต็มไปด้วยเด็กวิศวะมากมายเดินกันขวักไขว่ เสื้อชอปหลากสีแสดงความแตกต่างของภาควิชาทำให้ผมต้องรีบมองตัวเอง....เสื้อยืดสีชมพูอ่อน กับกางเกงยีนส์ขาเดปสีน้ำเงินเข้ม ก็คงพอจะเนียนๆไม่ให้เป็นจุดสนใจได้ล่ะมั้ง ดีนะที่วันนี้ผมไม่หนีบกระดานวาดรูปมาด้วย

     

     

    แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิด! แค่ก้าวแรกที่เหยียบบันไดตึกแดงขึ้นมา นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ทั้งหมดตรงลานนั้น หันขวับมามองผมเป็นตาเดียว อมกกกก!! ผมมีอะไรแปลกไปงั้นหรอ ผมยกมือขึ้นมาจับแก้มตัวเอง เผื่อจะมีอะไรติดแก้มให้ทุกคนต้องหันมามอง แต่ก็ไม่มีนี่นา หลังจากที่ผมตกเป็นเป้าสายตาแล้ว ผมก็คงจะตกเป็นประเด็นเม้าท์ด้วยแน่ๆ ก็ดูสิมองแล้วหันกลับไปซุบซิบๆกันแบบนั้น น่าสงสัยชะมัด!!

     


     

    “เอ่อ น้องแทมินใช่ไหมครับ” รุ่นพี่คนหนึ่งเดินเข้ามาทักผม รู้จักผมด้วยแฮะ

     

    “ฮะ”

     

    “มินโฮ กับคีย์ อยู่ด้านโน้นครับ”

     

    “อ่อ ขอบคุณฮะ”

     



    ผมพยักหน้ายิ้มๆให้กับรุ่นพี่คนนั้น ก่อนจะเดินไปตามทางที่พี่คนนั้นชี้ แล้วผมก็เจอพี่คีย์ยืนกวักมือเรียกผมอยู่หยอยๆ

     



     

    “พี่ฝากมันหน่อยนะ มินโฮน่ะถ้าป่วยจะงี่เง่ามากกกกกก เป็นอีกคนไปเลย แล้วถ้าพี่สอบเสร็จพี่จะโทรไปหาอีกทีนะ ถ้ามันไม่ดีขึ้นจะได้ส่งโรงบาลเลย”

     


    พี่คีย์พูดยาวเหยียดรวดเดียวก่อนจะคว้าเป้วิ่งขึ้นตึกไป เหลือเพียงผมและชเวมินโฮ ที่นั่งฟุบอยู่ที่โต๊ะ ผมยื่นมือไปสะกิดไหล่หนาเบาๆ แต่ไม่มีสัญญาณตอนรับ จนต้องออกแรงงัดคนตัวโตให้เงยหน้าขึ้นมา มินโฮขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะปัดมือผมออก ครางงึมงำๆอะไรสักอย่าง

     


    ผมไล้มือไปตามลำคอของคนตัวสูงแล้วเลื่อนไปแตะที่หน้าผากมินโฮ อุณหภูมิสูงจนทำให้ผมต้องชักมือกลับ ตัวร้อนขนาดนี้เชียวหรอเนี่ย

     




    “นี่ๆชเวมินโฮ ไปหาหมอไหม”

     

    “ไม่!!” ไม่ตอบธรรมดา ยังจะปัดมือผมทิ้งอีกน่ะ

     

    “งั้นกลับห้องเหอะ เอารถมาป่าว”

     

    “อื้ออออ” ตอบแค่นั้นแล้วผมจะรู้เรื่องด้วยไหมเนี่ย แล้วก็ทำตัวอ่อนไหลลงไปฟุบกับโต๊ะอีกครั้ง

     

     

     

     

    “เฮ้อ ไอ้บ้า!!!!

     

     

     

    ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหยิบกระเป๋าที่วางอยู่ข้างๆตัวมินโฮขึ้นมาค้นๆ แต่กลับไม่เจอกุญแจรถ ผมมองร่างสูงอย่างหงุดหงิดแล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อชอปทั้งสองข้างแต่ก็ว่างเปล่า และสุดท้ายผมก็รั้งคนตัวโตให้เงยหน้าอีกรอบก่อนที่จะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ชเวมินโฮขยับตัวอยู่นิดหน่อยพร้อมครางฮือที่ถูกผมพยุงให้ลุกขึ้นมา

     


    เมื่อผมได้กุญแจรถสมใจแล้วก็รีบเก็บประเป๋าของคนป่วยแล้วพยุงให้เดินมาด้วยกัน ทุลักทุเลน่าดูเชียว เมื่อคนป่วยขึ้นรถก็คอพับคออ่อนขดตัวติดกับเบาะรถทันที ถึงผมจะยังขับรถไม่คล่อง แต่อย่างน้อย หอพักมันก็ไม่ไกลเกินความสามารถผมหรอก

     



     

    แกร๊กก~

     

    ผมเปิดประตูแล้วเตะๆรองเท้าส่งๆไป ก่อนจะผลักคนตัวสูงให้นอนลงบนโซฟา เล่นเอาหมดแรงจริงๆกว่าจะลากกันเข้าห้องมาได้ แล้วผมก็ได้แต่นั่งหมดแรงอยู่ที่พื้นด้านล่าง

     

     

     

    ------------------------------

     

     

     

    ผมขับรถมินิคันเล็กคู่ใจผ่านเส้นทางหน้ามหาวิทยาลัยอันคุ้นเคย เข้าไปยังซอยหนึ่งซึ่งผมก็พึ่งจะมาเป็นครั้งที่สองนี่ล่ะ บ้านสีขาวหลังเล็กๆที่ด้านนอกมีสวนจัดสวยงามดูอบอุ่นไม่น้อย ถ้าไม่ติดว่าเจ้าของบ้านตัวเล็กนั่นจะอยู่เพียงคนเดียวกับสัตว์เลี้ยงคู่ใจเพียงลำพัง

     


    วันนี้ลูกศิษย์คนพิเศษของผมพึ่งจะสอบวิชาที่ผมตั้งใจติวให้เสร็จไปหมาดๆ คนตัวเล็กก็โทรศัพท์มางุ้งงิ้งๆให้ผมมาฉลองด้วยกันที่บ้านของเขา ถึงแม้ว่าครั้งแรกที่ผมเจอกับคีย์จะไม่ค่อยน่าดูชมเท่าไหร่ แต่คนตัวเล็กกลับไม่เก็บมาคิดติดใจ ส่วนนี้ทำให้ผมผ่อนคลายลงไปมาก อีกทั้งนับวันยิ่งอยู่ใกล้....ก็....ยิ่งไม่อยากจะออกห่าง

     


    ผมแพ้สายตาคม แพ้ความห่วงใย แพ้ความอ่อนโยน แพ้ความอ่อนหวาน แพ้ทุกอย่างในตัวลูกศิษย์คนนี้ที่เผื่อแผ่มาให้ผม ผมไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ทุกครั้งคีย์ก็ไม่เคยปฏิเสธออกมา ผมยังจำสัมผัสของมือเล็กๆที่กระชับกุมมือผมตอบได้ มันทำให้หัวใจผมพองขึ้นจนอยากจะลอย

     

     




    กริ๊งงง
    ~

     

    ผมจอดรถลงที่หน้าบ้านคนตัวเล็กก่อนจะลงจากรถถือถุงขนมและอาหาร มากดออดหน้ารั้ว ไม่ทันที่จะกดซ้ำอีกครั้ง คนตัวเล็กก็ยื่นหน้าส่งเสียงทักออกมาจากหน้าต่างชั้นสอง

     



    “พี่อนยูหรอ
    !

     

    “คร้าบบ”

     

    “เข้ามาเลย ไม่ได้ล๊อค”

     


    ผมเปิดประตูรั้วเข้าไป วางของทั้งหมดไว้ที่โต๊ะกลางห้องนั่งเล่นที่ผมเคยโดนปฐมพยาบาลอยู่ตรงนั้น ก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินลงบันไดมา

     

     


    “ทำไมไม่ล๊อคประตูบ้าน”
     ผมถามคำถามคาใจแก่ร่างบาง อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ อยู่ตัวคนเดียว แต่กลับไม่ระวังตัว ไม่ใช่ว่าใครๆก็ไว้ใจได้ไปหมด

     

    “ปกติอยู่บ้านก็ไม่ได้ล๊อคอยู่แล้ว”

     

    “ถ้ามีโจร มีคนร้ายเข้ามาจะทำยังไงล่ะ”

     




     

    “ไม่เห็นต้องทำหน้าดุเลย” คีย์ทำหน้าบู้ ปากยื่นใส่ผม

     











     

    “พี่เป็นห่วงนะครับ”

     

     สิ้นคำพูดผมแก้มขาวก็ขึ้นสีจางๆให้พอวิบวับในอก

     

     

     


    “ครั้งต่อไปจะระวังตัว จะลงกลอนให้แน่นสามสิบตลบเลย
    !  เสียงประชดเล็กๆทำเอาผมแทบหลุดหัวเราะ ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่อย่างนั้นลูกแมวตัวนี้คงได้ขู่ผมจนขนพองแน่ๆ

     

     

    “เป็นยังไงควิซวันนี้”

     

    “ฉลุยเลยล่ะ เป๊ะๆตามที่พี่เก็งเลยขอบอก” คีย์ยิ้มกว้าง ตอบคำถามของผม แล้วเดินไปดูของในถุงที่ผมซื้อมา

     

    “ซื้อเบียร์มาด้วย จะมอมผมหรอ” ดวงตาคมเรียวมีแววรอยยิ้มอยู่ภายใน เรียกให้ผมต้องลุกขึ้นไปยืนข้างๆคนตัวเล็กด้วย

     

     


    คีย์หันมามองหน้าผมก่อนที่จะขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วมือบางก็ยื่นออกมาดึงแว่นของผมออกไป สายตาผมพร่าเลือนขึ้นมาทันที จนต้องกระพริบตาอยู่
    2-3ทีเพื่อปรับโฟกัสใหม่ แต่ก็เห็นคนข้างหน้าเป็นภาพเลือนรางเท่านั้น

     


    “เอาแว่นคืนพี่มาเถอะ มองไม่เห็นเลย”

     


    มือบางเลื่อนมาจับมือผมเอาไว้แล้วฉุดดึงให้ผมเดินตาม คีย์ดันให้ผมนั่งลงที่โซฟา ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงวิ่งขึ้นบันไดตึงตังๆ ไม่นานคนตัวเล็กก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าผม.....ผมคิดว่าคีย์น่าจะกำลังยิ้มอยู่นะ

     

     


    “ผมให้”

     

    “หือ??”

     

    “คอนแทคเลนส์ ลองใส่ดูสิ”

     

    “พี่ไม่เคยใส่อ่ะ ใส่ไม่เป็นหรอก จริงๆแว่นก็พอ”

     

    “ลองใส่ดูหน่อยซี่ นะ..นะ”

     


    ถึงแม้ว่าผมจะเห็นหน้าคีย์ไม่ค่อยชัด แต่น้ำเสียงแบบนี้ใครจะไปปฏิเสธลงล่ะครับ ก็ได้แต่พยักหน้าตกลงก่อนจะรับกล่องเล็กๆกล่องนั้นมาแกะ

     

     

     

     

     

     



    “ผมใส่ให้ไหม แบบนี้เมื่อไหร่พี่จะได้ใส่สักทีล่ะ”

     


    มือเล็กคว้าถาดใส่คอนแทคเลนส์ออกไปจากมือ แล้วเขยิบหน้าเข้ามาใกล้กับหน้าผม กลิ่มหอมอ่อนๆประจำตัวที่พักหลังๆนี้ผมชักจะติดใจเตะจมูกอยู่ไม่ไกล

     

     

    “ทำตาโตๆหน่อยสิ”

     

    “นี่โตสุดแล้ว” ผมเบิ่งตาให้โตที่สุดเท่าที่จะทำได้

     

    “อย่าขยับตาไปมาสิพี่อนยู อย่ากระพริบด้วย!!!

     

     

     

    เสียงเล็กๆบ่นผมไม่หยุด ก็ผมกลัวนี่ แค่ขาแว่นจิ้มตายังเจ็บเลยแล้วจะอะไรกับนิ้วคน แถมยังมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอยู่ในตาอีก

     

     


    ผมเห็นนิ้วเล็กๆรองแผ่นคอนแทคเลนส์สีใสเอื้อมเข้ามาอยู่ใกล้ดวงตาของผม อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ คีย์ใช้มืออีกข้างที่ว่างช่วยดันเปลือกตาผมขึ้น ก่อนจะค่อยๆวางคอนแทคเลนส์ลง ผมกระพริบตาอยู่สักพัก แล้วก็เห็นใบหน้าน่ารักนั้นอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก

     

     

     

     

     

     

     






     

    ไม่รู้ว่าโลกหยุดหมุนหรืออะไร ผมรู้แค่ว่าแก้มใสที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้ขยับหนีไปไหน ตอนที่ผมตั้งใจฝังจมูกลงไป

     

     

     



     

    TBC







     

    ^
    ^

    นี่คือท่า Windmill ที่พี่คุณแนะนำแทมินนะคะ
    แต่รูปนี้ต้องขอบคุณพี่จินที่มาสาธิตให้ เกิดอาการเสียหลักนิดหน่อย กลิ้งๆๆเลย ฮ่าๆ
    (น่ารักที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดด)







    TALK

    ยาวสวดๆๆๆๆๆๆ ตอนนี้ยาวมากกกกกกกก
    มินโฮเป็นพระเอกมากกกกกก รู้สึกไหม ฮ่าๆๆ
    คนอ่านว่ายังไง ชอบรึป่าว???

    ชอบก็เม้นเลย ชอบก็เม้นเลยสิ ชูวับ ชูวับ (ฮ่าาาา)

    จริงๆนะ อยากอ่านความคิดเห็นของทุกคน มันตื่นเต้นดีว่าแบบ
    เฮ้ยยย ที่เราเขียนไปแล้วคนอื่นรู้สึกอะไร ยังไงกันบ้าง
    บางทีคนเขียนก็มึน กลับมาอ่านของตัวเองอีกทีพึ่งเขินไรงี้
    ถ้ารู้ของคนที่อ่านด้วยก็จะดีมิใช่น้อย ไว้ปรับปรุงๆ


    เจอกันตอนหน้าจ้า เอ๊ะ หรือติ่มซำดี



    ปล. คิดถึงฉันสักครั้งเมื่อไม่ได้คิดถึงใคร ถั่วต้มมมม(ถูกต้องงงง) ของรางวัลรอก่อน ฮี่ๆ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×