ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] #ลู่วิทยาฮุนวิศวะ

    ลำดับตอนที่ #2 : ลู่วิทยาฮุนวิศวะ : 02

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ย. 58


    #ลู่วิทยาฮุนวิศวะ - 2




    ลมเย็นๆที่พัดวูบเข้ามาทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัว ผมกระพริบตาถี่ๆก่อนที่จะเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน กลุ่มนักศึกษาวิศวะกลุ่มเดิมที่ส่งเสียงพูดคุยถกเถียงกันตอนนี้เงียบสนิท ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง...ไม่รู้ว่าผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่จำได้คือผมนั่งไถจอโทรศัพท์มือถือไปเพลินๆ อาจจะเพราะความเพลียจากควิซเมื่อเช้าจึงทำให้ผมเผลองีบไปในที่สุด

     

    ผมมองกลุ่มเด็กวิศวะที่นั่งทำงานกันเงียบๆ และผมก็รู้สึกได้ว่าลมเย็นที่พัดวูบเข้ามาคงจะมาจากพัดลมตั้งพื้นตัวนี้ที่จงใจเป่ามาทางผมโดยไม่ได้หมุนไปทางอื่น ผมจ้องมองแผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อยืดสีขาวของคนตรงหน้าที่อยู่ๆก็โผล่เข้ามาในชีวิตแบบกะทันหัน แผ่นหลังกว้างของหมอนั่นชื้นเหงื่อจนซึมออกมาให้เห็น...ก็แน่สิ เขาเล่นยกพัดลมให้ผมเสียขนาดนั้น ยังดีที่มีพัดลมติดเพดานอีกหนึ่งตัวช่วยกระพือลมให้คนในห้อง

     

    ในขณะที่ผมกำลังจะยืดตัวขึ้น ผมก็รู้สึกได้ถึงเสื้อที่คลุมอยู่ที่ไหล่เลื่อนตกลงมา...ผมมองเสื้อสีน้ำเงินที่อยู่บนตัวผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และผมก็รู้ได้ทันทีว่านี่คงจะเป็นเสื้อชอปของฮุน ผมไม่ได้หยิบมันออก แต่เลือกที่จะกระชับมันเข้าที่ไหล่ผมอีกครั้งกันร่วงไปเสียก่อน

     

    “อ้าว...ตื่นแล้วหรอ?” เสียงของหญิงสาวคนเดียวในห้องที่นั่งอยู่ใกล้ๆผมทักขึ้น เธอมีโครงหน้าเรียว จมูกโด่ง ดวงตากลมโตและผมซอยสั้น ท่าทางและนิสัยออกจะดูห้าวๆไม่แพ้ผู้ชายในห้องนี้กำลังส่งยิ้มมิตรภาพมาให้ผม

     

    “อื้ม...โทษทีนะ เราเข้ามานั่งเกะกะรึเปล่า”

     

    “เกะกะอะไรกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอก พอนายอยู่นี่ไอ้ฮุนก็ดูเหมือนจะตั้งใจทำงานน่าดู”

     

    ไม่รู้ว่านี่เรียกว่าการนินทาหรือเปล่า เพราะถ้ามันคือการนินทา มันก็คงเป็นการนินทาระยะเผาขนมากๆ เพราะแผ่นหลังกว้างนั้นยังคงนั่งอยู่ตรงหน้าผม และท่าทางเขาก็จะรู้ตัวแล้วเสียด้วยว่ากำลังถูกกล่าวถึงอยู่ คนตัวสูงที่เป็นประเด็นหันหน้ามาทางเราสองคนก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นผมนั่งเท้าคางมองอยู่ก่อน

     

    “ลู่หิวไหม?”

     

    “นี่! น้อยๆหน่อยเถอะฮุน เพื่อนนั่งกันอยู่เต็มห้องแต่ถามลู่คนเดียว” และก็เป็นหญิงสาว(ห้าว)ที่เถียงกลับมาทันทีหลังที่เขาถามผมเสร็จ ท่าทางติดจะหมั่นไส้พ่อเดือนมหาลัยอยู่ไม่น้อย

     

    “พวกมึงจะเสร็จกันยัง” เขาไม่สนใจจะตอบเพื่อน แต่ถามความคืบหน้าของงานกลุ่มแทน ซึ่งแต่ละคนก็หันมาพยักหน้าส่งให้

     

    “ของกูจะเสร็จแล้ว ส่วนของไอ้ชานมันเสร็จนานแล้ว มึงจะไปส่งลู่ก็ไปเหอะ พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”

     

    ผมเห็นเขาคุยกับเพื่อนอยู่อีกไม่นานก็เดินเข้ามาหา เขาเก็บของและอุปกรณ์ของตัวเองวางกองไว้มุมหนึ่งของห้อง ก่อนที่จะหยิบเพียงแค่กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ และพวงกุญแจพวงหนึ่งติดมือมาเท่านั้น...ผมมองใบหน้าชื้นเหงื่อของเขาที่ยังคงมีรอยยิ้มส่งมาให้

     

    “ไปกันเถอะ...กูไปก่อนนะ” เขาพูดกับผมและหันไปบอกกับกลุ่มเพื่อนในห้อง

     

    “เอ่อ...เราไปก่อนนะ”

     

    ผมเอ่ยลาคนอื่นๆอย่างเก้ๆกังๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจึงได้แต่เดินตามฮุนออกมา และผมก็เพิ่งรู้ว่าท้องฟ้าที่สว่างสดใสตอนนี้มันมืดสนิทแล้ว

     

    “ขอโทษที่ทำงานจนมืดเลย ตอนแรกว่าจะปลุก แต่เห็นหลับสบายเลยคิดว่าไม่ปลุกดีกว่า”

     

    “คราวหน้าก็ปลุกเราสิ”

     

    “มันจะมีคราวหน้าได้อีกใช่ไหม”

     

    ผมเงยหน้าสบตากับเขา และคำถามนั้นของเขาก็ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า...เราจะมีโมเม้นท์แบบนี้กันอีกงั้นหรือ อยู่ๆผมก็รู้สึกร้อนๆขึ้นมาที่ใบหน้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนที่จะรู้ตัวเขาก็เป็นฝ่ายหยิบเสื้อชอปของเขาบนบ่าผมออกไปสวมด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม

     

    “ฝากไอ้พวกนี้หน่อยสิ”

     

    เขายื่นกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ และพวงกุญแจที่ถืออยู่มาให้ผมพลางพยักเพยิดไปที่ถุงผ้าที่ไหล่ของผม ผมพยักหน้าและเปิดกระเป๋าให้เขาหย่อนของลงมา พวกเราเดินไปยังจักรยานคันเดิมของเขาและผมก็ขึ้นซ้อนท้ายอย่างรู้หน้าที่ เพราะถ้าเกิดให้ผมเป็นคนขี่แล้วพาคนตัวสูงเกิน 180 แบบเขาออกถนนคงจะลำบาก

     

    “หิวหรือเปล่า เมื่อกี๊ถามแล้วก็ไม่ตอบ”

     

    “ก็หิวนิดหน่อย”

     

    “ไปกินข้าวด้วยกันก่อนไหม”

     

    “นายขี่จักรยานออกมาขนาดนี้แล้วนายจะถามเราทำไมเนี่ย”

     

    ผมเบ้ปากใส่แผ่นหลังกว้างๆของเขา เพราะเขาเป็นคนบังคับทิศทางอยู่เบื้องหน้า และก็ไม่เห็นถามถึงทางกลับที่พักของผมเลยสักนิด แบบนี้ไม่ได้เรียกว่ามัดมือชกให้ไปกินข้าวด้วยกันแล้วหรอกเหรอ

     

    “แล้วลู่อยากกินอะไร”

     

    “กินอะไรก็ได้ เราง่ายๆอยู่แล้ว”

     

    “เดี๋ยวเราพาไปกินเจ้าเด็ด”

     

    “ฮึ...ขอให้เด็ดจริงก็แล้วกัน”

     

    ผมทำเสียงขึ้นจมูกใส่คนขี้โม้ ไม่นานเขาก็ขี่จักรยานขับเลยออกมาด้านหน้ามหาวิทยาลัย ถนนค่อนข้างโล่งเพราะคงเลยเวลานักศึกษาเดินทางกลับบ้านไปนานแล้ว ผมเงยหน้ารับลมที่ตีเข้ามาได้ไม่เท่าไหร่เขาก็เบรกแล้วใช้ขาค้ำยันที่พื้นไว้ให้ผมลงได้สะดวก

     

    “จิ้มจุ่ม...กินได้หรือเปล่า?”

     

    “สบายมาก ร้านนี้หรอ?”

     

    เขายักคิ้วให้แล้วเดินนำเข้าไปในร้าน ร้านเล็กๆที่อยู่ตรงหัวมุมถนนแต่ผมไม่เคยสังเกตเห็น คนในร้านค่อนข้างเยอะ และอัดแน่นไปด้วยนักศึกษา เพียงแค่พวกเราก้าวเท้าเข้าไปในร้าน สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมาทันที...จะพูดให้ถูกก็คือสายตาเหล่านั้นกำลังมองมาที่คนตัวสูงข้างผมต่างหาก

     

    ฮุนไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไรกับสายตาและเสียงซุบซิบเหล่านั้น หากแต่มันไม่ใช่กับผม...ผมที่ไม่เคยตกเป็นเป้าสายตาใครมาก่อนกำลังรู้สึกอึดอัด เมื่อตอนอยู่ที่คณะก็ครั้งหนึ่งแล้ว และทั้งๆที่นี่คือเวลากินข้าว มันดีแล้วหรือที่จะมีคนคอยจับตามองอยู่ตลอดแบบนี้

     

    “อึดอัดเหรอ?”

     

    “ถ้าให้พูดตรงๆก็อึดอัดมาก...นายไม่อึดอัดบ้างหรือไง มองอะไรนักหนาก็ไม่รู้”

     

    “งั้นเปลี่ยนร้านไหม”

     

    ผมส่ายหน้าให้เขาก่อนจะถอนหายใจสั้นๆออกมา ถึงมันจะน่ารำคาญ แต่อย่างน้อยหม้อจิ้มจุ่มตรงหน้าก็มีรสชาติดีที่พอจะทำให้ผมคลายอาการขุ่นมัวลงไปได้

     

    พวกเรานั่งทานกันไปเงียบๆ แล้วก็มีบ้างที่เขาคอยคีบหมูคีบไก่ขึ้นมาจากหม้อแล้ววางลงในถ้วยของผม ท่าทางที่คอยเทคแคร์ดูแลกันไม่สามารถหลุดรอดสายตาของคนนับสิบในร้านได้ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับพ่อเดือนมหาลัยว่าอย่างไร และผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะดังขนาดนี้

     

    “เป็นไง อร่อยอ่ะดิ...บอกแล้วว่าเด็ด”

     

    “เชื่อแล้วว่าเด็ด น้ำจิ้มอร่อยดี”

     

    “เก็บตังค์เลยไหม เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”

     

    “เฮ้ย ไม่เป็นไรกินด้วยกันก็หารกันดิ”

     

    ผมแย้งทันทีเมื่อเขาแบมือขอกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในถุงผ้าของผม และผมก็ล้วงมือเข้าไปแต่ไม่ยอมหยิบออกมาให้เขา เพราะเขายังคงเถียงเรื่องค่าอาหารมื้อนี้กับผมอยู่

     

    “เราเลี้ยงเอง วันนี้เราลากลู่มาอยู่กับเราครึ่งวันเข้าไปแล้ว ไถ่โทษไง”

     

    “ไม่เกี่ยวกันอ่ะ ถ้านายจะเลี้ยง เราก็ไม่ให้กระเป๋าตังค์นาย”

     

    “ลู่...” เขาลากเสียงยาวคล้ายหมดแรงจะเถียงกับผมแต่ แต่ผมไม่โอเคจริงๆถ้าใครจะมาเลี้ยงข้าวแบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องไถ่โทษอะไรสักหน่อย แล้วผมก็ไม่ชอบคนที่ทำตัวป๋าด้วย

     

    “ฮุน...ถ้านายจะจีบเรา เราก็อยากให้รู้ไว้ว่าเราไม่ชอบคนทำตัวป๋า แต่ถ้านายยืนยันจะเลี้ยงเรา นายก็ล้มเลิกความคิดที่จะจีบเราไปได้เลย” ผมพูดมันออกมาด้วยเสียงเบาๆ แต่ผมก็คิดว่ามันเด็ดขาดพอที่จะทำให้เขาตัดสินใจได้

     

    “โอเคครับ...ยอม หารกัน”

     

    เท่านั้นผมก็ยิ้มออกมาให้เขาพร้อมส่งกระเป๋าสตางค์ของเขาให้ พวกเราหารกันจ่ายค่าจิ้มจุ่มมื้อนี้ และผมก็ไม่ติดใจเอาความอะไรอีก ผมกลับมาซ้อนท้ายจักรยานของเขาอีกครั้ง ก่อนจะบอกทางกลับคอนโดของตัวเองซึ่งมันก็อยู่แค่ซอยถัดไปจากตรงนี้ แล้วดูเหมือนเขาเองก็จะตกใจอยู่นิดหน่อยเมื่อผมบอกให้จอด

     

    “เฮ้...เราบอกว่าจอดตรงนี้ไง”

     

    “เข้าไปจอดข้างในนั่นแหละ”

     

    เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่พอถึงใต้อาคารเขาก็ปล่อยให้ผมลงแล้วจัดการล็อคล้อไว้ตรงที่จอดสำหรับจักรยานเสร็จสรรพ เมื่อเห็นอย่างนั้นผมก็เลิกคิ้วขึ้นมองหน้าเขา นี่อย่าบอกนะว่าจะทำอะไรแปลกๆให้ผมตกใจอีก แค่วันนี้ทั้งวันผมก็ตกใจมากพออยู่แล้ว

     

    “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น...เราก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน เพิ่งรู้ว่าลู่ก็อยู่”

     

    “จริงดิ? ถึงว่า...เราว่าเราคุ้นๆหน้านาย อาจจะเคยเดินสวนกันล่ะมั้ง”

     

    “คนอื่นเขามีแต่คุ้นหน้าเพราะเราเป็นคนดังนะ”

     

    “เหอะ...ขอโทษแล้วกันที่เราไม่ใช่คนพวกนั้น”

     

    ผมเห็นเขายิ้มทั้งปากทั้งตาใส่ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าในแววตาของเขามันมีแววเอ็นดูจนผมต้องหลบตาหนี...พวกเราเดินเข้าลิฟต์มาด้วยกัน หากแต่ต่างคนต่างกดคนละชั้น ผมกดชั้น 5 ในขณะที่เขากดชั้น 6 เขาไม่ได้ถามถึงห้องของผมและผมก็คิดว่าเขาทำถูกแล้วที่ไม่จู่โจมผมมากไปกว่านี้

     

    “ลู่”

     

    “หื้ม?”

     

    ผมครางรับในตอนที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนขึ้นและผมก็ไม่ลืมที่จะล้วงข้าวของของเขาที่ฝากไว้ในถุงผ้าส่งคืน

     

    “ขอบคุณที่ยอมอยู่เป็นเพื่อนกัน”

     

    “ไม่เป็นไรหรอก”

     

    ติ๊ง~

     

    เสียงลิฟต์ดังขึ้นเมื่อชั้น 5 ของผมมาถึงอย่างรวดเร็ว ผมหันไปมองหน้าคนตัวสูงก่อนจะยิ้มออกมาให้เขา สองเท้าของผมกำลังจะก้าวออก หากไม่ติดคำพูดที่เขาพูดค้างเอาไว้ให้ผมรู้สึกร้อนใบหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

     

    “ครั้งนี้อยู่เป็นเพื่อน แต่ครั้งต่อๆไปเราหวังเป็นมากกว่าเพื่อนนะ”

     

    ชิบ!

     

    ประตูลิฟต์ปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มของเขาที่เรียกเลือดลมของผมให้ไหลมาสุมอยู่บนใบหน้า ใบหู และลำคอ...หัวใจที่เคยเต้นอย่างปกติตอนนี้กลับเต้นเร็วขึ้นจนผมรู้สึกได้...แค่คำพูดไม่กี่คำ กับรอยยิ้มที่แถมมา แล้วทำไมผมต้องเผลอยิ้มด้วยก็ไม่รู้

     

    ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทันทีเมื่อเปิดเข้าห้องมาได้ ก่อนที่ผมจะเช็คการแจ้งเตือนต่างๆบนโทรศัพท์มือถือ หากแต่ก็ต้องขมวดคิ้วใส่เมื่อเฟซบุ๊คของผมขึ้นแจ้งเตือนเป็นจำนวนมาก ร้อยวันพันปีจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นผมจึงอดไม่ได้ที่จะเลื่อนจอดูว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    พี่ฮุนวิศวะมากินจิ้มจุ่มกับใคร ไม่เคยเห็นหน้าแต่น่ารักจังเลย

     

    แคปชั่นว่าทำให้ผมตกใจแล้ว แต่รูปที่แนบมายิ่งทำให้ผมตกใจกว่า...มันเป็นภาพของฮุนที่กำลังยิ้ม และเขาก็มองหน้าผมที่อมหมูอมไก่ไว้เต็มกระพุ้งแก้ม แถมด้วยตะเกียบที่ยังคาอยู่ในปาก

     

    ผมว่ามันน่าเกลียดมากกว่าที่จะใช้คำว่าน่ารักได้

     

    ความจริงแล้วถ้าภาพพวกนี้มันจะอยู่แค่ในกลุ่มแฟนคลับของเพจฮุนวิศวะ ผมก็คงจะไม่เห็น แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่พี่ๆเพื่อนๆน้องๆในคณะผมดันกดติดตามเพจนี้อยู่ แล้วยังมีน้ำใจแท็กชื่อผมติดคอมเม้นท์มาด้วย ถึงว่า...ทำไมแจ้งเตือนของผมจึงขึ้นมาเกือบร้อยข้อความ

     

    นี่มันพี่ลู่วิทยานี่นา เห็นวันนี้พี่ฮุนมารับถึงคณะเลย Lu Luhan

    แฟนพี่ฮุนหรอคะ ทำไมพี่ฮุนทำหน้ามีความสุขจัง อิจฉาพี่ Lu Luhan จังเลยค่ะ Oh Sehun

    แอร้ยย พี่ฮุนยิ้มหล่อมากค่า

    ลู่เพื่อนเราเองค่ะ Lu Luhan เห้ยแกรู้จักกับเดือนมหาลัยด้วยหรอวะ

     

    และอีกมากมายหลายข้อความที่ทำเอาผมงงกับความโด่งดังของคนในรูป ตั้งแต่ที่คณะ ตามมาถึงร้านจิ้มจุ่ม และไหนจะในเฟสบุ๊คอีก ผมคงต้องยอมรับแล้วว่าหมอนี่เป็นคนดังจริงๆ

     

    เมื่อเห็นมีคนติดแท็กชื่อเฟซบุ๊คของฮุน ผมก็อดไม่ได้ที่จะลองจิ้มเข้าไป ผมเห็นจำนวนเพื่อนที่เป็นหลักพันของเขาแล้วก็ดูของตัวเองที่เกินร้อยมานิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำ

     

    “ดังจริงๆเลยนะ...เฮ้ยย!

     

    การแจ้งเตือนอันใหม่เรียกให้ผมตกใจจากแรงสั่น ก่อนที่ผมจะเพ่งมองตัวหนังสือตรงหน้าจอถึงคำขอเป็นเพื่อนจากคนที่ผมเพิ่งนินทาไปไม่ทันขาดคำ...ฮุนกำลังส่งคำขอเป็นเพื่อนมาให้ผม

     

    และผมก็กดตอบรับกลับไป

     

    ผมมองหน้าฟีดข่าวแต่ไม่ได้เลื่อนอ่าน ก่อนที่ผมก็ทันได้เห็นการแจ้งเตือนอันใหม่ที่มาจากเขาสดๆร้อนๆ...เขาแท็กชื่อผมมา และผมก็คิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรกที่เห็นมัน

     



     



    ผมยิ้มออกมาให้กับความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ ผมรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร รู้แล้วว่าเขาดังมากแค่ไหน และผมก็รู้แล้วว่าเขาเอาจริง...ผมไม่ได้กดไลค์กลับไป เพราะเพียงไม่นานแฟนคลับของเขาก็คงจะกดไลค์กันจนขึ้นหลักพัน

     

    ทว่า...ผมเองก็ชั่งใจอยู่นาน และสุดท้ายผมก็เลือกที่จะแสดงความคิดเห็นกลับไปท่ามกลางกลุ่มแฟนคลับของเขา

     

    แต่เขาจะเห็นคอมเม้นท์ของผมที่จมหายไปหรือไม่ก็เรื่องของเขาแล้วแหละ

     

    เราก็รู้จักนายแล้วไง คุณเดือนมหาลัย :P’











    TBC





    ตอนสองมาไวไปเป่า จริงๆว่าง ไม่รู้จะเขียนถี่ๆได้อีกเมื่อไหร่ แต่จะพยายามไม่หายไปนะคะ

    เรื่องอาจจะเอื่อยๆหน่อย ค่อยเป็นค่อยไปโนะ

    ถ้าเม้นท์หรือติดแท็กก็จะดีใจค่า #ลู่วิทยาฮุนวิศวะ


    สกอป.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×