ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : :: EP 10 :: แฟนเก่า
EP 10 : แฟนเก่า
“เจสสิก้า...แฟนเก่าพี่อนยู”
พี่อนยูไปรับแฟนเก่า...วูบหนึ่งที่ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว มุมปากบางอยากที่จะยกยิ้มออกมาส่งไปให้มินโฮและแทมมิน แต่ผมกลับทำมันไม่สำเร็จ กล้ามเนื้อบนใบหน้าทำงานอย่างยากลำบากเมื่อผมหันไปสบตากับมินโฮ เพื่อนของผมยังไม่รู้...
แทมินกระทุ้งศอกใส่สีข้างเรียกสติมินโฮที่จ้องมองผมอยู่อย่างใช้ความคิด ก่อนที่ดวงตากลมโตของมันจะเบิกกว้างขึ้น
“คีย์” มินโฮคงจับความรู้สึกแปลกๆของผมได้ แขนยาวจึงเอื้อมมาแตะที่ไหล่บางพร้อมบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าหรอก”
“คีย์!” เสียงเข้มดุขึ้นมาเมื่อผมเลือกที่จะปฏิเสธ สีหน้าผมคงแย่มากๆแน่ๆ
“ชเวมินโฮอย่าขึ้นเสียงกับพี่คีย์ดิ...อยากคุยกันตามลำพังหรือเปล่าฮะ ผมออกไปก่อนได้นะ”
แทมินหันไปเตือนร่างสูงก่อนที่จะหันกลับมามองคนตัวเล็กที่นั่งมองปลายพู่กัน อยู่ที่พื้น และตั้งท่าจะลุกขึ้นออกจากวงสนทนา เผื่อว่าเพื่อนสนิทเขาอยากจะคุยกันในเรื่องส่วนตัว ทว่ามือบางของคีย์กลับฉุดข้อมือแทมินให้นั่งลงที่เดิมพร้อมรอยยิ้มบางๆ คีย์ส่ายหัวให้แทมิน
“ไม่เป็นไรนั่งด้วยกันเถอะ”
“ตกลงเป็นอะไร..เล่าได้ไหม?”
อีกครั้งที่มินโฮเอ่ยเสียงเรียบออกมา ผมมองสบดวงตาคมของเพื่อนสนิท ไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดไปมินโฮจะรับได้มากน้อยแค่ไหน..ถึงยังไงพี่อนยูก็เป็น พี่ชายมัน
“ฉันคิดว่า...ฉันชอบพี่อนยู”
“ผมว่าไม่แค่คิดแล้วมั้งฮะ” แทมินแทรกเสียงอ่อยๆของผมขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเต็มแก้ม คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างคนขี้แกล้ง ทำให้ผมเผลอที่ยิ้มตอบกลับไป ก็จริงอย่างที่น้องว่า..
“อื้ม...ฉันชอบพี่อนยูว่ะ”
ผมหันกลับมาสบตามินโฮอีกครั้ง มุมปากร่างสูงระบายยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆ
“แล้วพี่อนยูล่ะ..ชอบแกไหม?”
คำถามธรรมดาๆแต่กลับทำให้ใบหน้าผมร้อนผ่าว ชอบไหม? ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่การกระทำหลายๆอย่างของพี่อนยู ที่แสดงออกมา ทำให้ผมอยากคิดเข้าข้างตัวเอง...แต่จะเป็นไปได้หรือ?
“ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้..แต่แก้มพี่คีย์แดงไปเผื่อวันพรุ่งนี้แล้วนะ ต้องมีอะไรแน่ๆ” แทมินหันไปพยักหน้าเอออออยู่กับมินโฮ
“พี่อนยูทำอะไรแก?”
“ปะ..เปล่า”
“คีย์...จะเล่าดีดี หรือให้โทรไปถามพี่อนยูเอง”
“เฮ้ย..อะไรวะ เล่าก็ได้ๆๆ” เรื่องอะไรต้องให้ถามจากฝ่ายนั้นเล่า! พี่อนยูก็รู้กันพอดีสิว่าผมมาคุยเรื่องนี้กับมินโฮ น่าอายจะตาย
“ก็ไม่มีอะไรมาก..สอนพิเศษเฉยๆ ไปกินข้าวกันบ้าง”
“แค่นั้น?” สายตาคมคาดคั้นจนผมไม่กล้าสบตา นั่นยิ่งทำให้มินโฮเร่งให้ผมพูดมากขึ้นไปอีก
“ก็ไปดูหนังกัน แล้วก็มาอยู่เป็นเพื่อน มานั่งเล่นที่บ้าน”
“อ๋อ..ก็ว่าที่พี่อนยูมาขอตารางเรียนแกจากฉัน หึหึ หาเวลาว่างของแกนี่เอง”
ผมพยักหน้าเบาๆอีกครั้ง รู้สึกแก้มร้อนจนจะระเบิดได้อยู่แล้ว ไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าต้องมาเล่าเรื่องส่วนตัวแบบนี้ให้ใครฟัง ถึงจะเพื่อนสนิทก็เถอะ แล้วยิ่งแววตาระยิบระยับของเพื่อนตัวสูงที่มองแล้วยิ้มแบบนั้นแล้วล่ะ ก็..อยากจะเอาผ้าคลุมเสียจริงๆ
“นอกจากนั้นล่ะ?”
“อะไรของแก”
“สกินชิพ????”
“ก็....จับมือ”
มือหนาที่กอบกุมมือเล็กของผมในวันนั้น นิ้วเรียวยาวสอดประสานกระชับแน่นยามเดินไปตามท้องถนน โดยที่ไม่มีใครคิดที่จะปล่อยมือออกจากัน คงเป็นวันที่ผม..เริ่มเปิดใจ
ผมรีบเสตามองไปด้านอื่นทันที เมื่อเหนแววตาจับผิดของมินโฮและแทมินที่มองอยู่เหมือนไม่เชื่อว่ามีแค่จับ มือ ใบหน้าใสเห่อแดงลามไปถึงใบหูเมื่อนึกถึงสัมผัสชื้นที่แนบลงมาบนแก้มใส ทำให้ผมอุ่นวาบขึ้นมาทั้งใจ ผมเข้าใจในตอนนั้นล่ะ ว่าใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาน่ะเป็นยังไง
...ก็เรื่องมันเพิ่งเกิด...จะให้ไม่เขินได้อย่างไร
“โอเคๆๆๆ เลิกมองด้วยสายตาแบบนั้นสักที...ก็โดนขโมยหอมแก้มไป”
ในที่สุดผมก็ทนสายตากดดันไม่ไหวจนต้องโพล่งออกไปทั้งๆที่แก้มแดงแบบนั้นแหละ มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีดตัวเก่งก่อนจะคว้าเอาเจ้า โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กออกมา นิ้วเรียวกดปุ่มเลื่อนหาข้อความของติวเตอร์ ก่อนจะยื่นมันส่งให้เพื่อนสนิทได้อ่าน
‘นอนไม่หลับเลยครับ อยากกัดแก้มจูเลียตจัง...
....แต่ถ้าได้กัดแก้มเจ้าของจูเลียตคงจะหลับฝันดีแน่ๆ’
มินโฮเลื่อนโทรศัพท์มือถือผมส่งให้แทมิน ก่อนจะหัวเราะลงคอเบาๆจนผมต้องเอื้อมมือไปชกไหล่หนาอย่างเคืองๆที่กล้ามา หัวเราะข้อความของผม ร่างสูงเลื่อนตัวบอกเล่าเรื่องจูเลียตให้แทมินฟัง
“จูเลียตเป็นกระต่ายของคีย์น่ะ”
“โอ้ ยยยยย...ผมชักอยากเห็นหน้าพี่อนยูแล้วนะ เป็นผม ผมคงเขินแล้วกลิ้งเลยล่ะส่งข้อความมาแบบนี้” แทมินอมยิ้มจนแก้มตุ่ย แววตาขี้เล่นเบิกกว้างขึ้นแล้วเอื้อมมือทุบลงไปที่พื้น ก่อนจะยกมือของตัวเองมาประกบกันที่แก้มนิ่ม...
“ฉันว่าพี่อนยูชอบแกนะ..ไม่งั้นคงไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก”
“ผมก็ว่าชอบ!! พี่คีย์น่ารักจะตาย ใจดีด้วย เก่งอีกต่างหาก”
ผมยิ้มบางๆให้ทั้งสองคน..หากเป็นแบบนั้นก็คงดี แต่ในเมื่อเรายังไม่เคยพูดกันสักครั้ง..ผมก็ไม่มีทางมั่นใจได้หรอก ใครหลายคนพูดว่า ‘คำพูดไม่สำคัญ แต่การกระทำสำคัญกว่า’ สำหรับผมแล้วคำพูดก็เป็นสิ่งหนึ่ง ที่ช่วยไขความกระจ่าง หรือเพิ่มความเชื่อมั่นให้เช่นกัน...ว่าเราไม่ได้คิดไปเองคนเดียว
“เล่าเรื่องแฟนเก่าพี่อนยูให้ฟังได้ไหม?”
“ทำไมถึงอยากรู้?”
“ไม่รู้สิ”
ผมนั่งมองปลายนิ้วมือตัวเองที่วางอยู่บนตักอย่างใช้ความคิด ผมก็แค่สงสัย...เขาเคยรักกันมากไหม? เขาจะกลับมารักกันอีกไหม? เขายังรักกันอยู่หรือเปล่า? หรือบางทีผมก็คิดว่า..ผมจะมีสิทธิ์บ้างไหม? แล้วผมจะดีกว่าเขาหรือเปล่า?...
“ก็เคยคบกันช่วงหนึ่ง เห็นว่าเจสจะไปเรียนต่อเมืองนอก เลยเลิกกัน”
“เลิกกันทั้งที่ยังรักหรือ?”
“อันนี้ฉันก็ไม่รู้นะ แต่พี่อนยูก็เสียศูนย์ไปหลายวันอยู่”
ผมได้แต่ถอนหายใจหนักๆออกมา คนที่มีความมั่นใจเกินร้อยแบบผม ทำไมต้องมาสูญเสียความมั่นใจกับเรื่องแบบนี้ด้วย
“อย่าคิดมากเลย”
“ออกไปซื้อของทำชาบูกันเถอะ..” แทมินลุกขึ้นพร้อมยื่นมือมาฉุดผมให้ลุกตาม ไม่ลืมที่จะเดินไปฉุดคนตัวสูงที่นั่งข้างๆกันให้มินโฮมันยิ้มได้เต็มแก้ม
.
.
.
ซุปเปอร์มาร์เก็ตช่วงสี่โมงเย็นคงเป็นเวลาที่ค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ เด็กนักเรียน พนักงานออฟฟิต แม่บ้าน ผู้คนหลากหลาย หลั่งไหลเข้ามาหาซื้อของเพื่อมื้อเย็นกัน ผมมองเพื่อนสนิทที่เข็นรถเข็นเดินตามร่างบางของรุ่นน้องสุดติสอยู่ด้านหน้า แล้วนึกขำ ชเวมินโฮก็มีโมเม้นต์แบบนี้เหมือนกันนะ
เนื้อหมู เนื้อไก่ ถูกเลือกวางไว้ในตระกร้า ขณะที่มือเล็กของแทมินกอดถาดไข่ไก่ไว้ แต่กลับถูกคนเข็นรถคว้ามาใส่ไว้ในรถเข็นเสียก่อน ผมมองผักสีเขียวไฮโดรโพรนิกที่วางเรียงรายอยู่บนถาดวาง ก่อนจะเลือกต้นที่ดีที่สุดออกมาใส่ถุง
“ขาดอะไรอีกเปล่าเนี่ย”
แทมินบ่นงึมงำๆกับตัวเอง แล้วเดินนำไปยังโซนเครื่องดื่ม โคล่าหลายกระป๋องถูกวางลงมาในรถเข็น พร้อมนมอีกหลายกล่อง แต่สิ่งที่ทำให้ผมเอะใจมากที่สุดคงจะเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ ที่แทมินเลือกอ่านฉลากข้างขวดอย่างเอาเป็นเอาตาย...น้องแทมินจำเป็นต้องดื่ม เกลือแร่ด้วยหรือ?
“แทมินดื่มพวกนี้ด้วยหรือ?”
“อ๋อ ของชเวมินโฮน่ะฮะ เห็นเตะบอลเสียเหงื่อเยอะถ้าได้ดื่มบ้างคงดี”
แล้วคำตอบก็ทำให้ผมต้องยิ้มกว้างออกมา นี่ถ้าเจ้าตัวคนเข็นรถอยู่คงยิ้มแก้มแตกไปเลยแน่ๆ ว่าแต่มันหายไปไหนแล้ว ผมกับแทมินเลือกหยิบเบียร์ไปสามกระป๋องพอจิบแก้เครียดแล้วเข็นรถออกมา ไม่ไกลกันกับโซนตู้แช่เครื่องดื่ม มินโฮกำลังยืนคุยทักทายอยู่กับเพื่อนร่วมทีมฟุตบอลของมันถ้าผมจำไม่ผิดว่า ชื่อจองชิน ทว่าพอเราสองคนเดินเข้าไปใกล้ เสียงทุ้มของจองชินก็ทักเด็กข้างๆผมเสียงใส
“อ้าวน้องแทมิน...เฮ้ยนี่พากันมาซื้อของเข้าบ้านหรอวะ วู้วว เป็นแฟนมันเหนื่อยไหมครับ มันเนื้อหะ...อื้ออ”
มือหนายกปิดปากเพื่อนตัวสูงทันทีที่ส่งเสียงแซวจนแทมินหน้าเริ่มขึ้นสีเรื่อ ก่อนที่จองชินจะหลุดหัวเราะออกมา
“เสร็จหมดแล้วใช่ไหม?” ถามผมหรือถามน้อง อันนี้ก็ไม่แน่ใจ แต่เด็กแก้มแดงข้างๆผมพยักหน้าตอบไปก่อนแล้ว
“ไว้ค่อยเจอกันนะจองชิน”
“ไว้พาแฟนมาที่สนามบ่อยๆนะเว้ย” เสียงแซวเอ่ยขึ้นตามหลังเมื่อมินโฮคว้ารถเข็นออกมา
“เพราะนายเลย คนอื่นเข้าใจว่าฉันเป็นแฟนนายหมดแล้ว!”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ นายประกาศเองอ่ะ”
ผมมองสองคนที่เถียงกัน คนหนึ่งหน้าแดงไปขมวดคิ้วยุ่งไปกับอีกคนที่ย้อนกลับ ทำหน้านิ่งๆมุมปากระบายยิ้มจนคนนอกที่มองอยู่ยังรู้สึกหมั่นไส้
“จิ๊...ก็คนอื่นมันเอาอะไรมาพูดว่าฉันเป็นเด็กนายวะ”
“เมื่อ ไหร่นายจะเลิกพูด วะ สักที แล้วเป็นเด็กฉันมันไม่ดีตรงไหน!” แทมินตวัดตามองร่างสูงที่อยู่ด้านหน้าแต่ก็ต้องหลบสายตาวูบลง มือหนาจับแก้มใสให้หันกลับมามองกันอีกครั้ง
“ฉันไม่ชอบ แล้วก็ไม่อยากให้นายพูดไม่เพราะ”
“..............”
“แล้วอีกอย่าง...ฉันไม่ดีตรงไหน หืม?”
“..............”
แทมินเบือนหน้าออกจากฝ่ามือแกร่ง ดวงตากลมโตมองไปที่หน้าคมของอีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจพูดงึมงำๆออกมาให้ได้ยินกันแค่สองคน
“อะแฮ่ม”
ผมส่งเสียงกระแอมไอเพื่อปลุกสติของคนทั้งคู่จนมินโฮต้องหันมายักคิ้วให้ แต่น้องแทมินนู่น เดินนำลิ่วๆไปไหนถึงไหนแล้ว เราสามคนยังคงวนเวียนเดินเลือกซื้อของอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่อีกสักพัก จนในที่สุดก็ออกมายืนต่อแถวจ่ายเงินกัน
เมื่อออกมาด้าน นอกแทมินก็ฉุดมือผมให้เดินไปที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนขึ้นชื่อ ที่มีทั้งของคาวและของหวาน แน่นอนว่าของหวานนั้นเต็มไปด้วยขนมเค้กหลากหลายชนิด
“พี่คีย์...ชิ้นนั้นน่ากินอ้ะ” นิ้วเรียวจิ้มลงไปบนตู้กระจก ชี้ขนมเค้กสีขาวที่เต็มไปด้วยครีมแล้วมีสตอเบอร์รี่ลูกโตวางอยู่เต็มชิ้น
“พี่ว่าอันนี้ก็น่ากิน” แทมินพยักหน้าเห็นด้วยกับ บานนอฟฟี่สีน้ำตาลอ่อนที่บรรจุอยู่ในถ้วยใสเป็นชั้นๆ
“บลูเบอร์รี่ครัมเบอร์ก็น่ากิน”
“พี่ว่า...ถ้ากินหมดนั่นอ้วนตายเลย ฮ่าๆ”
“สักคนละชิ้นไหมพี่คีย์..นายเอาไหมชเวมินโฮ?” แทมินหันกลับไปถามมินโฮแต่ร่างสูงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ ผมกับแทมินจึงเลือกกันคนละหนึ่งชิ้น ในขณะที่พนักงานกำลังบรรจุเค้กลงกล่องให้ เสียงคุ้นหูกลับส่งเสียงทักมินโฮที่ยืนอยู่ด้านหลังจนผมเผลอหันกลับไปมอง
“อ้าวมินโฮ มาซื้อของหรือ?”
“พี่อนยู” มินโฮทักพี่อนยูตอบก่อนจะส่งสายตามาทางผมกับแทมิน
“คีย์”
ผมยิ้มตอบพี่อนยู ขณะที่แทมินยื่นมือไปรับกล่องเค้กจากพนักงานและหันมาก้มหัวให้คนมาใหม่ วันนี้พี่อนยูยังอยู่ในลุคเก่า ยังใส่แว่นกรอบดำเหมือนเดิม ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องรู้สึกอยากยิ้มออกมา...อยากเห็นพี่อนยูใส่คอนแทคเลนส์คน เดียว...แต่หากรอยยิ้มผมก็หุบลงทันที เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลัง
“เฮ้ มินโฮ!! คิดถึงนะ”
เจสสิก้ายื่นมือออกมาเขย่าแขนมินโฮ และตบไปที่ไหล่หนาหนักๆ2-3ที ก่อนที่มือบางจะย้ายไปควงแขนเกี่ยวไว้ที่แขนแกร่งของอีกคน คีย์มองตามแขนบางที่เกาะแขนอีกคนไว้อย่างลืมตัว ผมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสบสายตาอ่อนโยนของพี่อนยู แต่พี่อนยูกลับเบือนสายตาออกเมื่อหญิงสาวข้างกายเอ่ยเสียงหวานออกมา
“อนยู..ตกลงกินร้านนี้นะ อยากกินพาสต้าอ่ะ”
“อื้ม เอาสิ ทุกคนทานด้วยกันไหม”
“ไม่ล่ะพี่ วันนี้เราจะทำชาบูกินกัน”
“เอ้าจริง! เสียดายว่ะ ไว้ครั้งหน้านะพี่ไปกินด้วย”
“งั้นพวกผมไปก่อนแล้วกันนะ”
มินโฮตัดการสนทนาก่อนจะเดินหิ้วของทั้งหมดนำออกไป แทมินจึงรีบเดินตามเข้าไปช่วยถือเล็กๆน้อยๆ ทว่ามีมือหนากลับฉุดมือผมเอาไว้ก่อนที่จะหมุนตัวกลับ
“พี่ขอโทษนะครับ”
แววตาตัดพ้อถูกส่งกลับไปให้ร่างสูง แต่มุมปากบางกลับยิ้มให้กับติวเตอร์คนพิเศษที่ไม่รู้ว่าขอโทษเรื่องอะไร..
ขอโทษที่ไม่ว่างวันนี้ ขอโทษที่ไปกินชาบูด้วยกันไม่ได้ ขอโทษที่แฟนเก่ากลับมา หรือขอโทษที่ทำให้ต้องเผลอใจ..
-------------------------------
“คุณคิบอม”
“คุณคิบอม!”
“เฮ้ย คีย์!”
ผมสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ก่อนจะหันหน้าจากหน้าต่าง กลับไปมองจงฮุนเพื่อนต่างคณะที่ร่วมอุดมการณ์เรียนเคมีใหม่ ที่เอาศอกกระทุ้งแขนผม ก่อนที่จะทำปากขมุบขมิบซึ่งผมไม่สามารถอ่านมันออก
“คุณคิมคิบอม!”
“คะ..ครับจารย์จาง”
เสียงอาจารย์จางกึนซอกเรียกสติผมกลับมาอีกครั้ง เมื่อน้องๆโต๊ะข้างๆแอบหัวเราะกัน
“ตอนเย็นวันนี้คุณเข้ามาเอาตารางบันทึกสสารของคุณด้วยนะ ผมตรวจให้แล้ว”
“ครับ”
“แล้วก็เลิกเหม่อได้แล้ว คุณเหม่อจนจบคาบเรียนแล้ว”
“ขอโทษครับจารย์”
ผมก้มลงมองเอกสารประกอบการเรียนทั้งหมดของวันนี้ที่โล่งเป็นสีขาวผิดกับทุกๆ วันที่เอกสารจะต้องมีรอยปากกาสี รอยดินสอเขียนสูตรกำกับ จงฮุนคงจะสังเกตอาการของผมได้จึงเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆแล้วยิ้มให้กำลังใจ
ผมเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดลงกระเป๋า คว้าเสื้อชอปขึ้นสวมก่อนจะเดินออกมาจากห้องแลป ผมเลือกที่จะเดินลงบันไดไม่ใช้ลิฟต์คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่เจอพี่อนยูมาสี่วันแล้วตั้งแต่วันนั้นที่เจอกัน ไม่มีสายเข้าของโทรศัพท์หรือแม้กระทั่งข้อความ ผมฝืนยิ้มให้กับตัวเองบางๆ พี่อนยูคงจะคิดได้แล้วว่าไม่ควรเอาเวลามาไร้สาระกับผม แล้วผมก็คงคิดเองไปคนเดียว
สายตาคมมองออกไป ไกลอย่างไร้จุดหมาย พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างบอบบางของเจสสิก้านั่งรอใครสักคนอยู่ด้านล่าง ผมละสายตาออก แล้วเดินข้ามไปยังตึกวิทยาศาสตร์เพื่อไปพบอาจารย์จาง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คิบอมครับจารย์”
“เข้ามาเลยๆ”
ผมเปิดประตูก้าวเข้าไปด้านในห้องพักส่วนตัวของอาจารย์จางกึนซอก แต่ก็ต้องตกใจเมื่อคนที่นั่งพูดคุยกับอาจารย์อยู่คือคนที่ผมเหม่อถึงตลอด ทั้งวัน ผมตั้งใจจะเดินเลี่ยงออกมาแต่อาจารย์กลับเรียกไว้ก่อน
“ไม่ต้องหรอก คุยกับคุณจินกิเสร็จพอดี คุณเข้ามาได้เลย”
อาจารย์ จางยื่นแฟ้มรายงานของผมมาให้พร้อมตรวจเช็ค ชี้ข้อผิดพลาดทั้งหมดให้ผม และชี้แจงรายละเอียดที่ถูกต้องให้ใหม่ ในขณะที่พี่อนยูยังคงนั่งอยู่ข้างๆมองผมตอบรับอาจารย์ ผมพยายามไม่สนใจแววตาสงสัยนั้น
“คะแนนคุณดีมาตลอดเลยนะเทอมนี้ หวังว่าคงจะไม่ชวดเอนะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมลุกขึ้นโค้งให้กับอาจารย์ก่อนจะเดินออกจากห้องไป สิ้นเสียงประตูห้องปิดลงมือบางกลับถูกคนที่ตามออกมาดึงรั้งไว้ให้หันเข้ามา เผชิญหน้ากัน
“คีย์ คุยกับพี่สักเดี๋ยวสิครับ”
“พี่ปล่อยผมเถอะ เจสสิก้าจะรอนะ”
“คีย์เป็นอะไรครับ?”
“ผมเปล่า พี่ปล่อยผมเถอะ”
มือบางพยายามแกะมือหนาที่ล็อคข้อมือไว้ แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่ออนยูดึงแขนร่างบางเข้ามา แล้วโอบเอวบางเข้ามาชิด
“คีย์ เข้าใจอะไรผิดอยู่ใช่ไหม”
“ผมเข้าใจอะไรผิดล่ะ ผมว่าผมเข้าใจถูกหมดต่างหาก!” หน่วยตาเรียวสวยคลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่ประทุขึ้นมาจากความน้อยใจทั้งหมด ทำให้คนฟังใจกระตุก
“พี่อย่าทำแบบนี้กับผมเลย อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกผมอีกเลย” หยดน้ำตาใสไหลผ่านแก้มนวลจนร่างสูงอยากยื่นมือเข้าไปเช็ดออกให้ แต่ติดตรงที่มือเล็กปาดมันออกอย่างลวกๆ
“พี่มาทำแบบนั้นกับผม มาอ่อนโยน มาห่วงใย ฮึกก ทั้งๆที่พี่มีคนอื่นอยู่แล้ว!!”
“คีย์..พี่เปล่า”
“พอเถอะ...ผมก็จะพอแล้ว” ร่างบางฝืนตัวเองออกจากอ้อมแขนแกร่งได้สำเร็จก็รีบก้าวเดินหนีไป แผ่นหลังเล็กก้าวห่างออกไปเรื่อยๆ จนคนตัวสูงต้องถอนหายใจกับความผิดพลาดของตัวเอง ที่ปล่อยให้คีย์เข้าใจไปแบบนั้น ผิดเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจนตั้งแต่แรก
อนยูเดินกลับมาทรุดตัวนั่งลงที่ม้านั่ง มือเล็กของหญิงสาววางทับลงมาที่มือใหญ่ เจสสิก้าพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดมาจากมินโฮประกอบกับที่อนยูเล่าให้ฟัง
“เพราะเราใช่ไหมเนี่ย ขอโทษนะอนยู”
“ไม่เป็นไรหรอก...คงต้องลองง้อใหม่”
TBC
TALK
หายไปนาน แต่มาต่อให้แล้วนะคะ ซอรี่จริงๆ
ไม่อยากเขียนดราม่ามาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงพี่อนยูนะคะ
มินโฮชักจะเริ่มรุกแล้ว แล้วเหมือนน้องติสจะเริ่มหวั่นไหวแล้วด้วย
ยังไงก็จะรีบจัดการตอนหน้าให้นะคะ
ฝากข่าว สำหรับแฟนติ่มซำ เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ไปอ่านรายละเอียดได้ในกระทู้ติ่มซำโลด
ขอบคุณค่า เจอกันตอนหน้า
“เจสสิก้า...แฟนเก่าพี่อนยู”
พี่อนยูไปรับแฟนเก่า...วูบหนึ่งที่ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว มุมปากบางอยากที่จะยกยิ้มออกมาส่งไปให้มินโฮและแทมมิน แต่ผมกลับทำมันไม่สำเร็จ กล้ามเนื้อบนใบหน้าทำงานอย่างยากลำบากเมื่อผมหันไปสบตากับมินโฮ เพื่อนของผมยังไม่รู้...
แทมินกระทุ้งศอกใส่สีข้างเรียกสติมินโฮที่จ้องมองผมอยู่อย่างใช้ความคิด ก่อนที่ดวงตากลมโตของมันจะเบิกกว้างขึ้น
“คีย์” มินโฮคงจับความรู้สึกแปลกๆของผมได้ แขนยาวจึงเอื้อมมาแตะที่ไหล่บางพร้อมบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าหรอก”
“คีย์!” เสียงเข้มดุขึ้นมาเมื่อผมเลือกที่จะปฏิเสธ สีหน้าผมคงแย่มากๆแน่ๆ
“ชเวมินโฮอย่าขึ้นเสียงกับพี่คีย์ดิ...อยากคุยกันตามลำพังหรือเปล่าฮะ ผมออกไปก่อนได้นะ”
แทมินหันไปเตือนร่างสูงก่อนที่จะหันกลับมามองคนตัวเล็กที่นั่งมองปลายพู่กัน อยู่ที่พื้น และตั้งท่าจะลุกขึ้นออกจากวงสนทนา เผื่อว่าเพื่อนสนิทเขาอยากจะคุยกันในเรื่องส่วนตัว ทว่ามือบางของคีย์กลับฉุดข้อมือแทมินให้นั่งลงที่เดิมพร้อมรอยยิ้มบางๆ คีย์ส่ายหัวให้แทมิน
“ไม่เป็นไรนั่งด้วยกันเถอะ”
“ตกลงเป็นอะไร..เล่าได้ไหม?”
อีกครั้งที่มินโฮเอ่ยเสียงเรียบออกมา ผมมองสบดวงตาคมของเพื่อนสนิท ไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดไปมินโฮจะรับได้มากน้อยแค่ไหน..ถึงยังไงพี่อนยูก็เป็น พี่ชายมัน
“ฉันคิดว่า...ฉันชอบพี่อนยู”
“ผมว่าไม่แค่คิดแล้วมั้งฮะ” แทมินแทรกเสียงอ่อยๆของผมขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเต็มแก้ม คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างคนขี้แกล้ง ทำให้ผมเผลอที่ยิ้มตอบกลับไป ก็จริงอย่างที่น้องว่า..
“อื้ม...ฉันชอบพี่อนยูว่ะ”
ผมหันกลับมาสบตามินโฮอีกครั้ง มุมปากร่างสูงระบายยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆ
“แล้วพี่อนยูล่ะ..ชอบแกไหม?”
คำถามธรรมดาๆแต่กลับทำให้ใบหน้าผมร้อนผ่าว ชอบไหม? ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่การกระทำหลายๆอย่างของพี่อนยู ที่แสดงออกมา ทำให้ผมอยากคิดเข้าข้างตัวเอง...แต่จะเป็นไปได้หรือ?
“ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้..แต่แก้มพี่คีย์แดงไปเผื่อวันพรุ่งนี้แล้วนะ ต้องมีอะไรแน่ๆ” แทมินหันไปพยักหน้าเอออออยู่กับมินโฮ
“พี่อนยูทำอะไรแก?”
“ปะ..เปล่า”
“คีย์...จะเล่าดีดี หรือให้โทรไปถามพี่อนยูเอง”
“เฮ้ย..อะไรวะ เล่าก็ได้ๆๆ” เรื่องอะไรต้องให้ถามจากฝ่ายนั้นเล่า! พี่อนยูก็รู้กันพอดีสิว่าผมมาคุยเรื่องนี้กับมินโฮ น่าอายจะตาย
“ก็ไม่มีอะไรมาก..สอนพิเศษเฉยๆ ไปกินข้าวกันบ้าง”
“แค่นั้น?” สายตาคมคาดคั้นจนผมไม่กล้าสบตา นั่นยิ่งทำให้มินโฮเร่งให้ผมพูดมากขึ้นไปอีก
“ก็ไปดูหนังกัน แล้วก็มาอยู่เป็นเพื่อน มานั่งเล่นที่บ้าน”
“อ๋อ..ก็ว่าที่พี่อนยูมาขอตารางเรียนแกจากฉัน หึหึ หาเวลาว่างของแกนี่เอง”
ผมพยักหน้าเบาๆอีกครั้ง รู้สึกแก้มร้อนจนจะระเบิดได้อยู่แล้ว ไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าต้องมาเล่าเรื่องส่วนตัวแบบนี้ให้ใครฟัง ถึงจะเพื่อนสนิทก็เถอะ แล้วยิ่งแววตาระยิบระยับของเพื่อนตัวสูงที่มองแล้วยิ้มแบบนั้นแล้วล่ะ ก็..อยากจะเอาผ้าคลุมเสียจริงๆ
“นอกจากนั้นล่ะ?”
“อะไรของแก”
“สกินชิพ????”
“ก็....จับมือ”
มือหนาที่กอบกุมมือเล็กของผมในวันนั้น นิ้วเรียวยาวสอดประสานกระชับแน่นยามเดินไปตามท้องถนน โดยที่ไม่มีใครคิดที่จะปล่อยมือออกจากัน คงเป็นวันที่ผม..เริ่มเปิดใจ
ผมรีบเสตามองไปด้านอื่นทันที เมื่อเหนแววตาจับผิดของมินโฮและแทมินที่มองอยู่เหมือนไม่เชื่อว่ามีแค่จับ มือ ใบหน้าใสเห่อแดงลามไปถึงใบหูเมื่อนึกถึงสัมผัสชื้นที่แนบลงมาบนแก้มใส ทำให้ผมอุ่นวาบขึ้นมาทั้งใจ ผมเข้าใจในตอนนั้นล่ะ ว่าใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาน่ะเป็นยังไง
...ก็เรื่องมันเพิ่งเกิด...จะให้ไม่เขินได้อย่างไร
“โอเคๆๆๆ เลิกมองด้วยสายตาแบบนั้นสักที...ก็โดนขโมยหอมแก้มไป”
ในที่สุดผมก็ทนสายตากดดันไม่ไหวจนต้องโพล่งออกไปทั้งๆที่แก้มแดงแบบนั้นแหละ มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีดตัวเก่งก่อนจะคว้าเอาเจ้า โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กออกมา นิ้วเรียวกดปุ่มเลื่อนหาข้อความของติวเตอร์ ก่อนจะยื่นมันส่งให้เพื่อนสนิทได้อ่าน
‘นอนไม่หลับเลยครับ อยากกัดแก้มจูเลียตจัง...
....แต่ถ้าได้กัดแก้มเจ้าของจูเลียตคงจะหลับฝันดีแน่ๆ’
มินโฮเลื่อนโทรศัพท์มือถือผมส่งให้แทมิน ก่อนจะหัวเราะลงคอเบาๆจนผมต้องเอื้อมมือไปชกไหล่หนาอย่างเคืองๆที่กล้ามา หัวเราะข้อความของผม ร่างสูงเลื่อนตัวบอกเล่าเรื่องจูเลียตให้แทมินฟัง
“จูเลียตเป็นกระต่ายของคีย์น่ะ”
“โอ้ ยยยยย...ผมชักอยากเห็นหน้าพี่อนยูแล้วนะ เป็นผม ผมคงเขินแล้วกลิ้งเลยล่ะส่งข้อความมาแบบนี้” แทมินอมยิ้มจนแก้มตุ่ย แววตาขี้เล่นเบิกกว้างขึ้นแล้วเอื้อมมือทุบลงไปที่พื้น ก่อนจะยกมือของตัวเองมาประกบกันที่แก้มนิ่ม...
“ฉันว่าพี่อนยูชอบแกนะ..ไม่งั้นคงไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก”
“ผมก็ว่าชอบ!! พี่คีย์น่ารักจะตาย ใจดีด้วย เก่งอีกต่างหาก”
ผมยิ้มบางๆให้ทั้งสองคน..หากเป็นแบบนั้นก็คงดี แต่ในเมื่อเรายังไม่เคยพูดกันสักครั้ง..ผมก็ไม่มีทางมั่นใจได้หรอก ใครหลายคนพูดว่า ‘คำพูดไม่สำคัญ แต่การกระทำสำคัญกว่า’ สำหรับผมแล้วคำพูดก็เป็นสิ่งหนึ่ง ที่ช่วยไขความกระจ่าง หรือเพิ่มความเชื่อมั่นให้เช่นกัน...ว่าเราไม่ได้คิดไปเองคนเดียว
“เล่าเรื่องแฟนเก่าพี่อนยูให้ฟังได้ไหม?”
“ทำไมถึงอยากรู้?”
“ไม่รู้สิ”
ผมนั่งมองปลายนิ้วมือตัวเองที่วางอยู่บนตักอย่างใช้ความคิด ผมก็แค่สงสัย...เขาเคยรักกันมากไหม? เขาจะกลับมารักกันอีกไหม? เขายังรักกันอยู่หรือเปล่า? หรือบางทีผมก็คิดว่า..ผมจะมีสิทธิ์บ้างไหม? แล้วผมจะดีกว่าเขาหรือเปล่า?...
“ก็เคยคบกันช่วงหนึ่ง เห็นว่าเจสจะไปเรียนต่อเมืองนอก เลยเลิกกัน”
“เลิกกันทั้งที่ยังรักหรือ?”
“อันนี้ฉันก็ไม่รู้นะ แต่พี่อนยูก็เสียศูนย์ไปหลายวันอยู่”
ผมได้แต่ถอนหายใจหนักๆออกมา คนที่มีความมั่นใจเกินร้อยแบบผม ทำไมต้องมาสูญเสียความมั่นใจกับเรื่องแบบนี้ด้วย
“อย่าคิดมากเลย”
“ออกไปซื้อของทำชาบูกันเถอะ..” แทมินลุกขึ้นพร้อมยื่นมือมาฉุดผมให้ลุกตาม ไม่ลืมที่จะเดินไปฉุดคนตัวสูงที่นั่งข้างๆกันให้มินโฮมันยิ้มได้เต็มแก้ม
.
.
.
ซุปเปอร์มาร์เก็ตช่วงสี่โมงเย็นคงเป็นเวลาที่ค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ เด็กนักเรียน พนักงานออฟฟิต แม่บ้าน ผู้คนหลากหลาย หลั่งไหลเข้ามาหาซื้อของเพื่อมื้อเย็นกัน ผมมองเพื่อนสนิทที่เข็นรถเข็นเดินตามร่างบางของรุ่นน้องสุดติสอยู่ด้านหน้า แล้วนึกขำ ชเวมินโฮก็มีโมเม้นต์แบบนี้เหมือนกันนะ
เนื้อหมู เนื้อไก่ ถูกเลือกวางไว้ในตระกร้า ขณะที่มือเล็กของแทมินกอดถาดไข่ไก่ไว้ แต่กลับถูกคนเข็นรถคว้ามาใส่ไว้ในรถเข็นเสียก่อน ผมมองผักสีเขียวไฮโดรโพรนิกที่วางเรียงรายอยู่บนถาดวาง ก่อนจะเลือกต้นที่ดีที่สุดออกมาใส่ถุง
“ขาดอะไรอีกเปล่าเนี่ย”
แทมินบ่นงึมงำๆกับตัวเอง แล้วเดินนำไปยังโซนเครื่องดื่ม โคล่าหลายกระป๋องถูกวางลงมาในรถเข็น พร้อมนมอีกหลายกล่อง แต่สิ่งที่ทำให้ผมเอะใจมากที่สุดคงจะเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ ที่แทมินเลือกอ่านฉลากข้างขวดอย่างเอาเป็นเอาตาย...น้องแทมินจำเป็นต้องดื่ม เกลือแร่ด้วยหรือ?
“แทมินดื่มพวกนี้ด้วยหรือ?”
“อ๋อ ของชเวมินโฮน่ะฮะ เห็นเตะบอลเสียเหงื่อเยอะถ้าได้ดื่มบ้างคงดี”
แล้วคำตอบก็ทำให้ผมต้องยิ้มกว้างออกมา นี่ถ้าเจ้าตัวคนเข็นรถอยู่คงยิ้มแก้มแตกไปเลยแน่ๆ ว่าแต่มันหายไปไหนแล้ว ผมกับแทมินเลือกหยิบเบียร์ไปสามกระป๋องพอจิบแก้เครียดแล้วเข็นรถออกมา ไม่ไกลกันกับโซนตู้แช่เครื่องดื่ม มินโฮกำลังยืนคุยทักทายอยู่กับเพื่อนร่วมทีมฟุตบอลของมันถ้าผมจำไม่ผิดว่า ชื่อจองชิน ทว่าพอเราสองคนเดินเข้าไปใกล้ เสียงทุ้มของจองชินก็ทักเด็กข้างๆผมเสียงใส
“อ้าวน้องแทมิน...เฮ้ยนี่พากันมาซื้อของเข้าบ้านหรอวะ วู้วว เป็นแฟนมันเหนื่อยไหมครับ มันเนื้อหะ...อื้ออ”
มือหนายกปิดปากเพื่อนตัวสูงทันทีที่ส่งเสียงแซวจนแทมินหน้าเริ่มขึ้นสีเรื่อ ก่อนที่จองชินจะหลุดหัวเราะออกมา
“เสร็จหมดแล้วใช่ไหม?” ถามผมหรือถามน้อง อันนี้ก็ไม่แน่ใจ แต่เด็กแก้มแดงข้างๆผมพยักหน้าตอบไปก่อนแล้ว
“ไว้ค่อยเจอกันนะจองชิน”
“ไว้พาแฟนมาที่สนามบ่อยๆนะเว้ย” เสียงแซวเอ่ยขึ้นตามหลังเมื่อมินโฮคว้ารถเข็นออกมา
“เพราะนายเลย คนอื่นเข้าใจว่าฉันเป็นแฟนนายหมดแล้ว!”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ นายประกาศเองอ่ะ”
ผมมองสองคนที่เถียงกัน คนหนึ่งหน้าแดงไปขมวดคิ้วยุ่งไปกับอีกคนที่ย้อนกลับ ทำหน้านิ่งๆมุมปากระบายยิ้มจนคนนอกที่มองอยู่ยังรู้สึกหมั่นไส้
“จิ๊...ก็คนอื่นมันเอาอะไรมาพูดว่าฉันเป็นเด็กนายวะ”
“เมื่อ ไหร่นายจะเลิกพูด วะ สักที แล้วเป็นเด็กฉันมันไม่ดีตรงไหน!” แทมินตวัดตามองร่างสูงที่อยู่ด้านหน้าแต่ก็ต้องหลบสายตาวูบลง มือหนาจับแก้มใสให้หันกลับมามองกันอีกครั้ง
“ฉันไม่ชอบ แล้วก็ไม่อยากให้นายพูดไม่เพราะ”
“..............”
“แล้วอีกอย่าง...ฉันไม่ดีตรงไหน หืม?”
“..............”
แทมินเบือนหน้าออกจากฝ่ามือแกร่ง ดวงตากลมโตมองไปที่หน้าคมของอีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจพูดงึมงำๆออกมาให้ได้ยินกันแค่สองคน
“อะแฮ่ม”
ผมส่งเสียงกระแอมไอเพื่อปลุกสติของคนทั้งคู่จนมินโฮต้องหันมายักคิ้วให้ แต่น้องแทมินนู่น เดินนำลิ่วๆไปไหนถึงไหนแล้ว เราสามคนยังคงวนเวียนเดินเลือกซื้อของอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่อีกสักพัก จนในที่สุดก็ออกมายืนต่อแถวจ่ายเงินกัน
เมื่อออกมาด้าน นอกแทมินก็ฉุดมือผมให้เดินไปที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนขึ้นชื่อ ที่มีทั้งของคาวและของหวาน แน่นอนว่าของหวานนั้นเต็มไปด้วยขนมเค้กหลากหลายชนิด
“พี่คีย์...ชิ้นนั้นน่ากินอ้ะ” นิ้วเรียวจิ้มลงไปบนตู้กระจก ชี้ขนมเค้กสีขาวที่เต็มไปด้วยครีมแล้วมีสตอเบอร์รี่ลูกโตวางอยู่เต็มชิ้น
“พี่ว่าอันนี้ก็น่ากิน” แทมินพยักหน้าเห็นด้วยกับ บานนอฟฟี่สีน้ำตาลอ่อนที่บรรจุอยู่ในถ้วยใสเป็นชั้นๆ
“บลูเบอร์รี่ครัมเบอร์ก็น่ากิน”
“พี่ว่า...ถ้ากินหมดนั่นอ้วนตายเลย ฮ่าๆ”
“สักคนละชิ้นไหมพี่คีย์..นายเอาไหมชเวมินโฮ?” แทมินหันกลับไปถามมินโฮแต่ร่างสูงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ ผมกับแทมินจึงเลือกกันคนละหนึ่งชิ้น ในขณะที่พนักงานกำลังบรรจุเค้กลงกล่องให้ เสียงคุ้นหูกลับส่งเสียงทักมินโฮที่ยืนอยู่ด้านหลังจนผมเผลอหันกลับไปมอง
“อ้าวมินโฮ มาซื้อของหรือ?”
“พี่อนยู” มินโฮทักพี่อนยูตอบก่อนจะส่งสายตามาทางผมกับแทมิน
“คีย์”
ผมยิ้มตอบพี่อนยู ขณะที่แทมินยื่นมือไปรับกล่องเค้กจากพนักงานและหันมาก้มหัวให้คนมาใหม่ วันนี้พี่อนยูยังอยู่ในลุคเก่า ยังใส่แว่นกรอบดำเหมือนเดิม ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องรู้สึกอยากยิ้มออกมา...อยากเห็นพี่อนยูใส่คอนแทคเลนส์คน เดียว...แต่หากรอยยิ้มผมก็หุบลงทันที เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลัง
“เฮ้ มินโฮ!! คิดถึงนะ”
เจสสิก้ายื่นมือออกมาเขย่าแขนมินโฮ และตบไปที่ไหล่หนาหนักๆ2-3ที ก่อนที่มือบางจะย้ายไปควงแขนเกี่ยวไว้ที่แขนแกร่งของอีกคน คีย์มองตามแขนบางที่เกาะแขนอีกคนไว้อย่างลืมตัว ผมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสบสายตาอ่อนโยนของพี่อนยู แต่พี่อนยูกลับเบือนสายตาออกเมื่อหญิงสาวข้างกายเอ่ยเสียงหวานออกมา
“อนยู..ตกลงกินร้านนี้นะ อยากกินพาสต้าอ่ะ”
“อื้ม เอาสิ ทุกคนทานด้วยกันไหม”
“ไม่ล่ะพี่ วันนี้เราจะทำชาบูกินกัน”
“เอ้าจริง! เสียดายว่ะ ไว้ครั้งหน้านะพี่ไปกินด้วย”
“งั้นพวกผมไปก่อนแล้วกันนะ”
มินโฮตัดการสนทนาก่อนจะเดินหิ้วของทั้งหมดนำออกไป แทมินจึงรีบเดินตามเข้าไปช่วยถือเล็กๆน้อยๆ ทว่ามีมือหนากลับฉุดมือผมเอาไว้ก่อนที่จะหมุนตัวกลับ
“พี่ขอโทษนะครับ”
แววตาตัดพ้อถูกส่งกลับไปให้ร่างสูง แต่มุมปากบางกลับยิ้มให้กับติวเตอร์คนพิเศษที่ไม่รู้ว่าขอโทษเรื่องอะไร..
ขอโทษที่ไม่ว่างวันนี้ ขอโทษที่ไปกินชาบูด้วยกันไม่ได้ ขอโทษที่แฟนเก่ากลับมา หรือขอโทษที่ทำให้ต้องเผลอใจ..
-------------------------------
“คุณคิบอม”
“คุณคิบอม!”
“เฮ้ย คีย์!”
ผมสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ก่อนจะหันหน้าจากหน้าต่าง กลับไปมองจงฮุนเพื่อนต่างคณะที่ร่วมอุดมการณ์เรียนเคมีใหม่ ที่เอาศอกกระทุ้งแขนผม ก่อนที่จะทำปากขมุบขมิบซึ่งผมไม่สามารถอ่านมันออก
“คุณคิมคิบอม!”
“คะ..ครับจารย์จาง”
เสียงอาจารย์จางกึนซอกเรียกสติผมกลับมาอีกครั้ง เมื่อน้องๆโต๊ะข้างๆแอบหัวเราะกัน
“ตอนเย็นวันนี้คุณเข้ามาเอาตารางบันทึกสสารของคุณด้วยนะ ผมตรวจให้แล้ว”
“ครับ”
“แล้วก็เลิกเหม่อได้แล้ว คุณเหม่อจนจบคาบเรียนแล้ว”
“ขอโทษครับจารย์”
ผมก้มลงมองเอกสารประกอบการเรียนทั้งหมดของวันนี้ที่โล่งเป็นสีขาวผิดกับทุกๆ วันที่เอกสารจะต้องมีรอยปากกาสี รอยดินสอเขียนสูตรกำกับ จงฮุนคงจะสังเกตอาการของผมได้จึงเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆแล้วยิ้มให้กำลังใจ
ผมเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดลงกระเป๋า คว้าเสื้อชอปขึ้นสวมก่อนจะเดินออกมาจากห้องแลป ผมเลือกที่จะเดินลงบันไดไม่ใช้ลิฟต์คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่เจอพี่อนยูมาสี่วันแล้วตั้งแต่วันนั้นที่เจอกัน ไม่มีสายเข้าของโทรศัพท์หรือแม้กระทั่งข้อความ ผมฝืนยิ้มให้กับตัวเองบางๆ พี่อนยูคงจะคิดได้แล้วว่าไม่ควรเอาเวลามาไร้สาระกับผม แล้วผมก็คงคิดเองไปคนเดียว
สายตาคมมองออกไป ไกลอย่างไร้จุดหมาย พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างบอบบางของเจสสิก้านั่งรอใครสักคนอยู่ด้านล่าง ผมละสายตาออก แล้วเดินข้ามไปยังตึกวิทยาศาสตร์เพื่อไปพบอาจารย์จาง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คิบอมครับจารย์”
“เข้ามาเลยๆ”
ผมเปิดประตูก้าวเข้าไปด้านในห้องพักส่วนตัวของอาจารย์จางกึนซอก แต่ก็ต้องตกใจเมื่อคนที่นั่งพูดคุยกับอาจารย์อยู่คือคนที่ผมเหม่อถึงตลอด ทั้งวัน ผมตั้งใจจะเดินเลี่ยงออกมาแต่อาจารย์กลับเรียกไว้ก่อน
“ไม่ต้องหรอก คุยกับคุณจินกิเสร็จพอดี คุณเข้ามาได้เลย”
อาจารย์ จางยื่นแฟ้มรายงานของผมมาให้พร้อมตรวจเช็ค ชี้ข้อผิดพลาดทั้งหมดให้ผม และชี้แจงรายละเอียดที่ถูกต้องให้ใหม่ ในขณะที่พี่อนยูยังคงนั่งอยู่ข้างๆมองผมตอบรับอาจารย์ ผมพยายามไม่สนใจแววตาสงสัยนั้น
“คะแนนคุณดีมาตลอดเลยนะเทอมนี้ หวังว่าคงจะไม่ชวดเอนะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมลุกขึ้นโค้งให้กับอาจารย์ก่อนจะเดินออกจากห้องไป สิ้นเสียงประตูห้องปิดลงมือบางกลับถูกคนที่ตามออกมาดึงรั้งไว้ให้หันเข้ามา เผชิญหน้ากัน
“คีย์ คุยกับพี่สักเดี๋ยวสิครับ”
“พี่ปล่อยผมเถอะ เจสสิก้าจะรอนะ”
“คีย์เป็นอะไรครับ?”
“ผมเปล่า พี่ปล่อยผมเถอะ”
มือบางพยายามแกะมือหนาที่ล็อคข้อมือไว้ แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่ออนยูดึงแขนร่างบางเข้ามา แล้วโอบเอวบางเข้ามาชิด
“คีย์ เข้าใจอะไรผิดอยู่ใช่ไหม”
“ผมเข้าใจอะไรผิดล่ะ ผมว่าผมเข้าใจถูกหมดต่างหาก!” หน่วยตาเรียวสวยคลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่ประทุขึ้นมาจากความน้อยใจทั้งหมด ทำให้คนฟังใจกระตุก
“พี่อย่าทำแบบนี้กับผมเลย อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกผมอีกเลย” หยดน้ำตาใสไหลผ่านแก้มนวลจนร่างสูงอยากยื่นมือเข้าไปเช็ดออกให้ แต่ติดตรงที่มือเล็กปาดมันออกอย่างลวกๆ
“พี่มาทำแบบนั้นกับผม มาอ่อนโยน มาห่วงใย ฮึกก ทั้งๆที่พี่มีคนอื่นอยู่แล้ว!!”
“คีย์..พี่เปล่า”
“พอเถอะ...ผมก็จะพอแล้ว” ร่างบางฝืนตัวเองออกจากอ้อมแขนแกร่งได้สำเร็จก็รีบก้าวเดินหนีไป แผ่นหลังเล็กก้าวห่างออกไปเรื่อยๆ จนคนตัวสูงต้องถอนหายใจกับความผิดพลาดของตัวเอง ที่ปล่อยให้คีย์เข้าใจไปแบบนั้น ผิดเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจนตั้งแต่แรก
อนยูเดินกลับมาทรุดตัวนั่งลงที่ม้านั่ง มือเล็กของหญิงสาววางทับลงมาที่มือใหญ่ เจสสิก้าพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดมาจากมินโฮประกอบกับที่อนยูเล่าให้ฟัง
“เพราะเราใช่ไหมเนี่ย ขอโทษนะอนยู”
“ไม่เป็นไรหรอก...คงต้องลองง้อใหม่”
TBC
TALK
หายไปนาน แต่มาต่อให้แล้วนะคะ ซอรี่จริงๆ
ไม่อยากเขียนดราม่ามาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงพี่อนยูนะคะ
มินโฮชักจะเริ่มรุกแล้ว แล้วเหมือนน้องติสจะเริ่มหวั่นไหวแล้วด้วย
ยังไงก็จะรีบจัดการตอนหน้าให้นะคะ
ฝากข่าว สำหรับแฟนติ่มซำ เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ไปอ่านรายละเอียดได้ในกระทู้ติ่มซำโลด
ขอบคุณค่า เจอกันตอนหน้า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น