ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] #ลู่วิทยาฮุนวิศวะ

    ลำดับตอนที่ #1 : ลู่วิทยาฮุนวิศวะ : 01

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ย. 58


    #ลู่วิทยาฮุนวิศวะ 1






    ผมเป็นคนธรรมดา...คนธรรมดาที่แทบไม่สนใจสิ่งรอบตัวสักเท่าไหร่ ผมสนแค่การเอาตัวเองให้รอดในมหาวิทยาลัยให้ได้ก็เท่านั้น ใครว่าการสอบแอดมิดชั่นเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยรัฐอันดับต้นๆของประเทศนั้นว่ายากเป็นที่สุดของชีวิต ผมอยากจะเถียงขาดใจ ก็ในเมื่อสามปีที่ผ่านมานั้นมันยากกว่าตั้งเยอะ ไหนจะบทเรียน ไหนจะการบ้าน ไหนจะกิจกรรม และไหนจะการสอบที่โคตรจะหิน

     

    สุดท้ายแล้วผมก็แค่คนธรรมดาที่ตื่นเช้ามาลากสังขารตัวเองไปเรียน และกลับมานอนอย่างหมดสภาพแทบทุกวัน

     

    คณะของผมตั้งอยู่กึ่งกลางมหาวิทยาลัยพอดิบพอดี และในเมื่อมันขึ้นชื่อว่ากลางม. มันจึงเป็นแหล่งรวมของผู้คนและนักศึกษาจำนวนมาก เพราะโรงอาหารก็อยู่ตรงนี้ หอสมุดก็อยู่เยื้องออกไปหน่อย ร้านค้าของมหาวิทยาลัย อู่รถบริการประจำมหาวิทยาลัย และอะไรอีกมากมายสารพัด

     

    ผมมองดูความชุลมุนในเวลาเที่ยง มันแทบจะไม่มีที่เดิน มองไปทางไหนก็เห็นแต่หัวดำหัวแดงของมนุษย์นักศึกษาเต็มไปหมด ไอ้ที่ว่าจะไปกินข้าวเที่ยงก็ต้องแอบเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่รู้ว่าแต่ละร้านจะคิวยาวได้กินเมื่อไหร่ สุดท้ายผมก็หันเหชีวิตเปลี่ยนไปคืนหนังสือที่หอสมุดฆ่าเวลาแทน

     

    “เฮ้ย! ลู่...จะไปไหน ไม่กินข้าวหรอวะ”

     

    ผมหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็ยิ้มรับ เพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนของผมเดินเข้ามากอดไหล่ก่อนจะกึ่งลากกึ่งรั้งคอผมให้เดินตามมันไป

     

    “ว่าจะเอาหนังสือไปคืนก่อน คนที่โรงอาหารแม่งเยอะว่ะ ขี้เกียจรอคิว”

     

    “มึงเอาหนังสือไปคืนแล้วกูสั่งข้าวรอไหมล่ะ ยังไงบ่ายก็ไม่มีเรียน”

     

    ผมทำตาโตเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อนสนิท พยักหน้ารับหงึกหงักจนอีกคนยกมือขึ้นยีผมของผมจนยุ่งไปหมด ถึงแม้ว่าผมจะส่งสายตาดุๆไปให้มันหยุดเล่นหัวแล้ว แต่มันก็ทำเพียงแค่หัวเราะแล้วปล่อยคอผมออกมาให้เป็นอิสระ

     

    “เอามักกะโรนีไก่ กับชามะนาวนะ”

     

    “อืม เดี๋ยวกูสั่งให้...นี่หนังสือกู ฝากไปหย่อนตู้คืนด้วย แล้วก็อย่าเถลไถลรีบไปรีบมานะ”

     

    “รู้แล้วน่า ทำอย่างกับเป็นพ่อกู”

     

    ผมปัดมือมันที่เข้ามาเกาะแกะนิดหน่อยก่อนจะเดินออกมา ระยะทางจากหน้าคณะของผมไม่ไกลจากหอสมุดเท่าไหร่ และผมเองก็ไม่รีบร้อนเมื่อเห็นว่าแดดตอนเที่ยงกำลังส่องอยู่กลางหัวแบบนี้ เหงื่อชื้นๆเริ่มซึมออกมาตามไรผม และมันก็ทำให้ผมนึกหงุดหงิดใจจนต้องยกแขนเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดนั่นขึ้นมาซับเหงื่อ

     

    ผมฮึมฮัมเพลงอะไรของผมไปเรื่อยก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าหอสมุด เพียงแค่มีคนเปิดประตู ไอความเย็นจากแอร์ข้างในก็พัดวาบเข้ามาทันทีและนั่นทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาก่อนจะรีบดันประตูที่มีคนเปิดไว้ตามเข้าไปทันที

     

    ตู้คืนหนังสืออยู่ไม่ไกลจากประตูเท่าไหร่ ผมจึงตัดสินใจหย่อนหนังสือที่หอบมาคืนลงในตู้ทั้งหมด แต่ไอ้ครั้นจะเดินกลับไปโรงอาหารเลยก็นึกขยาดแดดแรงๆชะมัด สุดท้ายผมก็แอบเข้าไปเดินวนในหอสมุดตากแอร์ให้ชื่นใจสักแปบก็ยังดี

     

    ชั้นหนังสือที่วางเรียงรายตรงหน้าเรียกให้ผมเดินอ่านชื่อเรื่องตามสันหนังสือไปเรื่อย ชื่อภาษาอังกฤษที่อ่านออกบ้างไม่ออกบ้างไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินอะไร แต่ผมก็เขย่งปลายเท้าขึ้นหยิบหนังสือที่อยู่ชั้นเกือบบนสุดขึ้นมาหนึ่งเล่ม ผมใช้ปลายนิ้วเขี่ยๆสันหนังสือให้มันเข้าใกล้มือมากขึ้น ทว่ามันก็ไม่ได้ดั้งใจผมเลย อาจจะเพราะส่วนสูงที่ผมมีเท่านี้เลยได้แต่ฮึดฮัดขัดใจอยู่คนเดียว

     

    “จะเอาเล่มนี้หรือ?” อยู่ๆเสียงแหบๆทุ้มๆของแขกไม่ได้รับเชิญก็ดังอยู่ข้างหูให้ต้องสะดุ้งตกใจแล้วหันไปมอง

     

    “ห๊า...อื้มม ว่าจะดูน่ะ แต่ไม่เอาแล้ว”

     

    “ฮ่าๆ เดี๋ยวหยิบให้”

     

    คนมาใหม่ที่ยื่นความช่วยเหลือหัวเราะผมจนตาหยี ส่วนสูงที่น่าจะเกิน 180 กับใบหน้าที่ติดจะหล่อเหลาทำเอาผมขมวดคิ้วคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหนแต่ก็นึกไม่ออก สุดท้ายคนมีน้ำใจก็ยื่นหนังสือเล่มนั้นมาให้ผม

     

    “ขอบใจนะ แต่จริงๆก็ว่าจะไม่ดูแล้ว”

     

    “อ้าว...งั้นเอามา เดี๋ยวเสียบคืนไว้ที่เดิมให้”

     

    “เฮ้ยๆไม่เป็นไร นายหยิบมาแล้ว เดี๋ยวยืมกลับไปดูที่บ้านก็ได้”

     

    ผมติดจะเกรงใจคนแปลกหน้าอยู่นิดหน่อย แถมยังเป็นคนที่มีน้ำใจแบบนี้ด้วยแล้ว ยืมหนังสือกลับไปไว้อ่านแก้เซ็งสักหน่อยคงไม่เป็นไร ผมผงกหัวขอบคุณคนมีน้ำใจอีกรอบก่อนจะแทรกตัวออกมาให้เจ้าหน้าที่ห้องสมุดลงบันทึกยืมหนังสือไว้ให้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าออกไปจากหอสมุด ฝ่ามือใหญ่ของใครอีกคนกลับรั้งผมเอาไว้ก่อน

     

    “หื้ม?” ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นคนตรงหน้าคล้ายกับจะพูดอะไร

     

    “นายชื่ออะไร?”

     

    “ลู่...ปี3 วิทยาฯ แล้วนายอ่ะ” ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายก็ดูท่าทางจะอัธยาศัยดี แต่ไม่รู้ทำไมอีกคนถึงทำหน้าแปลกใจตอบกลับมาแทน

     

    “นายไม่รู้จักเราหรอ?”

     

    “เรา...เคยรู้จักกันหรอ”

     

    ผมไม่ได้ตั้งใจจะรวนหมอนี่ แต่ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าเราเคยรู้จักกันอย่างนั้นหรือ ผมยอมรับว่าผมรู้สึกคุ้นหน้า แต่ผมก็ตอบไม่ได้อยู่ดี บางทีเราอาจจะแค่เคยเดินสวนกันในมหาลัยมากกว่าล่ะมั้ง

     

    “เราฮุน วิศวะปีสาม ไม่คิดว่านายจะไม่รู้จักเรา”

     

    “แล้วทำไมเราต้องรู้จักนายวะ”

     

    ผมขมวดคิ้วให้ฝ่ายตรงข้ามที่พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของผม เขาก็หลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง นิ้วโป้งของเขาถือวิสาสะคลึงหัวคิ้วของผมให้คลาย ก่อนจะตอบคำถามที่ทำให้ผมต้องเบ้ปากออกมาทันที

     

    “เราเป็นเดือนมหาลัย เห็นอยู่รุ่นเดียวกันนึกว่าจะรู้จัก เพราะใครๆก็รู้จักเราทั้งนั้น”

     

    “เหอะ...โทษที พอดีเราไม่ค่อยได้สนใจอะไร”

     

    เขาไม่ได้ทำท่าทางถือสาอะไรกับคำพูดนั้น เขาก็แค่ยักไหล่ก่อนที่ผมจะเห็นเขาหยิบเสื้อชอปขึ้นมาสวม เขาผลักประตูหอสมุดออกให้อย่างเชื้อเชิญ และก็เป็นผมที่ว่าง่ายเดินตามเขาออกไป

     

    “ไปไหนต่อหรือเปล่า ไปส่งไหม? แดดมันร้อนนะ”

     

    “ไม่ต้องก็ได้ แค่โรงอาหาร เดี๋ยวเดินไปเอง”

     

    ผมปฏิเสธน้ำใจเขา แต่ท่าทางเขาก็ไม่ได้ดูเดือดร้อนหรือไม่พอใจอะไร อืม...ผมคิดว่าเขาดูเป็นเด็กวิศวะที่ออกจะสะอาด สุภาพ และดูผู้ดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก เขาขึ้นคร่อมจักรยานของตัวเอง ก่อนที่จะหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง และผมก็ทำเพียงแค่พยักหน้าส่งให้กลายๆเท่านั้น

     

    “แล้วเจอกัน”

     

    เขาโบกมือลาผมที่หน้าหอสมุด กับคำพูดทิ้งท้ายว่าแล้วเจอกัน...

     

    และผมก็ได้แต่คิดว่าเรายังจะเจอกันอีกเนื่องในโอกาสอะไร? ผมส่ายหัวให้กับเพื่อนใหม่ ก่อนที่ผมจะเดินกลับไปโรงอาหารให้คนที่รอบ่นเสียยืดยาวว่าชักช้าจนมักกะโรนีอืดไปหมดแล้ว และสุดท้ายผมก็ลืมเรื่องของเพื่อนใหม่ไปเสียสนิทใจ

     

    ------------------

     

    “ลู่ๆๆ ไอ้ลู่ๆ”

     

    “อะไร เสียงดังว่ะ”

     

    ผมหันไปด่าเพื่อนในคณะที่วิ่งตึงตังเข้ามาพร้อมทั้งเขย่าแขนผมจนปากกาที่จับอยู่แทบจะหลุดมือ ท่าทางของมันดูตื่นเต้น และแววตาของมันดูสอดรู้สอดเห็นพิกล จนผมเผลอตบลงไปบนหัวมันเบาๆเป็นการตอบแทน

     

    “มีคนมาหามึง”

     

    “ใคร” ผมถามเสียงมึนๆ เพราะผมแทบจะไม่มีเพื่อนนอกคณะเลย

     

    “ไอ้ฮุนวิศวะ เดือนมหาลัยอ่ะ...มึงรู้จักกับมันหรอ นี่มันรอมึงอยู่ข้างล่างเนี่ย สาวๆกรี๊ดกันให้รึ่ม”

     

    ผมขมวดคิ้วเข้าหากันนึกย้อนความทรงจำที่ไม่รู้ว่าเลือนรางหายไปไหน ก่อนภาพที่หอสมุดวันนั้นจะค่อยๆฉายชัดขึ้นมา...ผมพยักหน้าตอบรับไอ้หัวเกรียนที่ทำหน้าอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้วเดินเอื่อยๆตามมันลงมาด้านล่าง

     

    และภาพที่ผมเห็นคือคนตัวสูงในเสื้อชอปสีน้ำเงินกำลังถูกรุมล้อมโดยสาวๆคณะวิทยาศาสตร์ ใบหน้าที่ดูเรียบเฉยแต่ก็ไม่ได้ออกแนวหยิ่งยโสอะไร ผิดกับไอ้แป๊ะยิ้มที่ยืนคุยกับผมวันนั้นอย่างสิ้นเชิง น่าแปลก ที่พอเขาเห็นผมที่ยืนมองอยู่ ใบหน้าเฉยเมยนั่นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะผละออกมาจากความอึดอัดตรงนั้น

     

    “ไง...มีอะไรหรือเปล่า”

     

    ผมชิงเอ่ยทักเขาก่อนเมื่อยังคิดถึงสาเหตุของการกลับมาพบกันอีกครั้งไม่ได้ อีกอย่างผมก็นึกรำคาญสายตาหลายสิบคู่จากพี่ๆน้องๆร่วมคณะของผมด้วย ไม่รู้ว่าจะมองอะไรนักหนา

     

    “ไม่มีอะไรแล้วมาหาไม่ได้หรอ?”

     

    หมอนั่นมองตาผมก่อนจะยิ้มให้แบบที่ผมรู้สึกว่ามันแปลก ไหนจะคำพูดกำกวมแบบนั้นยิ่งทำให้ผมพลอยไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก เราสองคนแทบจะไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ และคนไม่สนโลกแถมยังเพื่อนน้อยอย่างผมก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้ได้ใกล้ชิดกับเดือนมหาวิทยาลัยคนนี้เสียหน่อย

     

    “ไม่ต้องทำหน้างงหรอก...แค่อยากเจอน่ะ”

     

    “อยากเจอเรา? อยากเจอทำไม”

     

    “เจอแล้วเผื่อจะมีสมาธิทำงาน”

     

    ผมเงยหน้าสบตาคนตัวสูงกว่าที่พูดอะไรออกมาได้ไม่เข้าใจสักอย่าง เจอหน้าผมแล้วเกี่ยวอะไรกับมีสมาธิทำงาน แล้วทำไมสายตาของหมอนี่ถึงต้องวิบวับขนาดนี้ อีกอย่าง...ฝ่ามือใหญ่ที่กำลังเกลี่ยผมหน้าม้าของผมทำไมถึงอ่อนโยนจนผมชักรู้สึกร้อนๆที่ใบหน้า

     

    “นาย...จะทำอะไรกันแน่?” เสียงของผมตะกุกตะกัก และมันก็คงจะเบามากเพราะใบหน้าหล่อๆนั่นเข้ามาใกล้จนเริ่มเกินความพอดี

     

    “ไม่ทำอะไรหรอก” ผมกลั้นใจ หลับตาปี๋ทันทีทั้งที่มือก็ยกขึ้นดันไหล่หนาเอาไว้ยามอีกคนเข้ามากระซิบใกล้ใบหู “แค่จะจีบนาย ไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

     

    “ห้ะ!” ผมร้องเสียงหลงทันทีเพราะคิดว่าคงหูฝาด จีบเจิบอะไรเมื่อกี๊คงเป็นการเข้าใจผิด เขาอาจจะอยากให้ผมช่วยจีบใครสักคนในคณะหรือเปล่า

     

    “ก็ตามนั้น ไปด้วยกันหน่อยสิลู่”

     

    “เดี๋ยว...เดี๋ยวสิ”

     

    ไม่ทันแล้ว ผมถูกหมอนั่นลากแขนออกมาท่ามกลางบรรดานักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์หลายสิบชีวิต แต่ดูเหมือนคนที่จับมือผมออกมาจะไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ก็แน่สิ...เขาเป็นฝ่ายบุกเข้ามาก่อนนี่

     

    “เดี๋ยวฮุน...อะไรของนายวะ จะลากเราไปไหน”

     

    “โทษที”

     

    เขาปล่อยมือผมออกเมื่อเราเดินมาถึงด้านหลังคณะ เขาลากจักรยานของตัวเองออกมาก่อนจะชี้ไปที่เบาะหลังเป็นเชิงสั่งให้ผมขึ้นไปซ้อน...ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่เข้าใจอะไร แต่ผมก็ปีนขึ้นซ้อนท้ายจักรยานของหมอนั่นอย่างว่าง่าย ไม่มีเสียงพูดคุยระหว่างเราสองคน หากแต่มันก็ไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิด

     

    “ตกลงจะพาเราไปไหน แล้วที่บอกว่าจะจีบนี่นายจะจีบใคร จะให้เราช่วยงั้นหรอ”

     

    ผมได้ยินเสียงหัวเราะของเขา และนั่นก็ทำให้ผมนึกฉุนขึ้นมาหน่อยที่นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้วยังเอาแต่หัวเราะ ผมจึงเลือกที่จะหยิกสีข้างเขาไปแทนโดยที่ไม่ได้สนใจว่าเราเพิ่งรู้จักกัน และเพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งที่สอง

     

    เขาร้องโอดโอยแล้วรีบปล่อยแฮนด์ข้างหนึ่งเพื่อมาหยุดมือผมเอาไว้ มือของเขาใหญ่จนกำมือผมแทบมิดแล้วรั้งมือผมไปให้เกาะเอวเขาเอาไว้

     

    “จีบลู่...ไม่ได้จะจีบคนอื่น”

     

    “จ...จีบเรา! บ้าหรือเปล่า...นายจะมาจีบเราทำไม”

     

    “เหตุผลที่คนจีบกันก็เพราะว่าชอบไง”

     

    “แต่เราเป็นผู้ชาย”

     

    “ไม่เห็นเกี่ยว”

     

    “แล้วนายก็เป็นเดือนมหาลัย”

     

    “นี่ก็ไม่เกี่ยวเหมือนกัน”

     

    “เฮ้! ฮุน...”

     

    “ลู่...”

     

    ผมไม่เห็นหน้าเขาในขณะที่พวกเราเถียงกันอยู่ มือข้างนั้นของผมยังถูกบังคับให้เกาะเอวเอาไว้ ก่อนที่ผมจะเห็นสัญลักษณ์รูปเกียร์หน้าตึกค่อยๆปรากฎอยู่ตรงหน้า

     

    “อยู่เป็นเพื่อนกันสักแป๊บได้ไหม แล้วเดี๋ยวตอนเย็นไปส่ง”

     

    “แต่ของๆเรายังอยู่ที่คณะ”

     

    โชคดีที่ผมติดโทรศัพท์มือถือลงมาด้วย สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ดวงตาเป็นประกายของเขาจนต้องโทรศัพท์ไปบอกให้ไอ้หัวเกรียนคนเดิมเก็บของตามมาให้ที่วิศวะ

     

    ผมมองบรรยากาศที่แตกต่างระหว่างคณะของเรา วิศวะเสียงดังวุ่นวาย สภาพแต่ละคนก็ดูเถื่อน ดูมอมแมมสมที่ใครๆก็ร่ำลือ จะมีก็แต่คนตัวสูงที่เดินอยู่ข้างๆกันนี่แหละที่ผมบอกแล้วว่าเขาดูคุณชายเหมาะกับคณะบริหารมากกว่า และเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวว่าผมกำลังนินทาเขาอยู่ ใบหน้าหล่อจึงหันมาสบตากันอีกครั้ง

     

    “นายจะไม่ถามความสมัครใจเราหน่อยหรือไง”

     

    “ก็นายไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ให้จีบ”

     

    “เราแย้งนายไปแล้วเหอะ นายดึงดันจะจีบเราเอง”

     

    “งั้นก็ให้เราจีบนั่นแหละ”

     

    ผมมองเขาที่ยิ้มให้อีกแล้ว ไม่รู้ทำไมเวลาอยู่กับคนอื่นถึงเอาแต่ทำหน้านิ่ง แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรพวกเราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง เสียงที่ดังออกมาทายได้ว่าคงมีคนอยู่ในนั้นเกินห้าคนแน่ๆ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆเมื่อประตูเปิดออกโดยคนตรงหน้าผม เสียงทุกเสียงกลับเงียบลงและมองมาทางพวกเราเป็นตาเดียว

     

    “เหยดดดดดดด พี่ฮุนกลับมาแล้วหรือครับ ไปหาสมาธิทำงานนานจัง” เสียงแหลมๆของผู้ชายคนหนึ่งในห้องตะโกนแซวขึ้นมาจนผมรีบเดินไปหลบอยู่ด้านหลังของคนตรงหน้า

     

    “หุบปากไปเลยพวกมึงน่ะ”

     

    “แล้วพาใครมาด้วยวะ” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในห้องตะโกนออกมาพร้อมทั้งกระโจนโผล่มาอยู่ข้างๆผมด้วยความรวดเร็วจนอดที่จะยิ้มแห้งๆตอบไม่ได้

     

    “นี่หรอ สมาธิทำงานของมึงน่ะครับเพื่อน”

     

    “ชื่ออะไรหรอครับ”

     

    “ทำพี่ฮุนวิศวะใจลอยไปถึงได้เชียวเว้ย”

     

    ผมยืนงงอยู่ท่ามกลางเสียงดังวุ่นวายที่ไม่รู้ว่าแซวหรือแซะคนตัวสูงตรงหน้า และเขาคงเห็นท่าทางประหม่าของผมจึงได้แต่ส่งสายตาขอโทษมาให้ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร ผมส่ายหน้าให้เขาทั้งที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองจะแย่ว่าทำไมผมถึงยังยอมยืนอยู่ตรงนี้ให้เพื่อนๆเขารุมแซว

     

    “นั่งนี่ก่อนแล้วกัน คงแป๊บเดียว เสร็จแล้วจะรีบไปส่ง”

     

    “นายทำงานไปเหอะ เดี๋ยวเรานั่งเล่นโทรศัพท์รอ”

     

    ผมทิ้งเขาให้นั่งทำงานไปกับเพื่อนๆที่เริ่มสงบเสียงแซวลงแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงถกเถียงเรื่องงานตรงหน้าแทน ผมเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์มาเช็คข่าว เช็คอะไรไปเรื่อยเปื่อย ความจริงผมเองก็ไม่ได้ติดหรือสนใจโซเชียลเน็ตเวิร์คมาก แต่บางครั้งอย่างเฟซบุ๊คผมก็จำเป็นต้องเล่นเพราะมันสะดวกในการติดต่อสื่อสารมากจริงๆ อีกอย่างอาจารย์ก็ชอบแชร์งานลงกลุ่มเอาไว้ให้เป็นการบ้านอีกด้วย

     

    ผมเขี่ยๆหน้าจอโทรศัพท์ไปได้ไม่เท่าไหร่ ในหน้าฟีดข่าวก็ปรากฏรูปของฮุนที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ใต้คณะผม และพอเห็นเพจที่โพสก็ไม่ใช่เพจอื่นไกล เป็นเพจของคณะของผมเอง และมันจะไม่เป็นไรเลยถ้านั่นไม่ใช่เพจใหญ่ที่ทำให้เพจหลักของมหาวิทยาลัยแชร์ไปอีกทอดหนึ่ง

     

    ผมนั่งไล่อ่านคอมเม้นท์ที่แต่ละคนแสดงความคิดเห็น ใครๆก็รู้จัก ฮุนวิศวะ อดีตเดือนมหาวิทยาลัยกันทั้งนั้น แต่ผมกลับไม่เห็นจะเคยรู้จักเลยสักนิด ผมรู้แค่ว่าตอนปีหนึ่งผมก็แค่ร่วมกิจกรรมของคณะ แต่กิจกรรมใหญ่โตอย่างอื่นผมไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย

     

    ทั้งๆที่มันแปลก ไม่รู้ว่าหมอนี่ติดใจอะไรผมนัก ถึงได้ยืนยันจะจีบให้ได้

     

    แล้วทำไมผมยังไม่รีบปฏิเสธหมอนั่นไปอีกล่ะ

     

    เฮ้อ...

     

     

     

     

     

     

     

     

     TBC




    เรื่องใหม่ เฮร่
    ฟีลนักศึกษาไทยนะคะ 
    ฝากด้วยยยย

    คิดถึง

    สกอป

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×