ตอนที่ 9 : Q : 5 มีโมเม้นต์อะไรดีๆร่วมกันมั้ย?
6. มีโมเม้นต์อะไรดีๆร่วมกันมั้ย?
เสียงสายฝนด้านนอกยังคงโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่องและไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงอย่างง่ายๆในค่ำคืนนี้ ผมนั่งคิดไม่ตกอยู่ข้างๆแจมินที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องราว พยายามผลักความขุ่นมัวในหัวออกไปและให้ความสนใจกับร่างตรงหน้าแทน
ยังไงดูแล้วฝนก็คงจะตกทั้งคืนแน่ๆ ผมก็ไม่ใจร้ายพอจะให้อีกคนกลับไปทั้งอย่างนี้เสียด้วย ถึงต่อให้แจมินตื่นขึ้นมาแล้วดึงดันที่จะกลับแน่นอนว่าผมจะค้านให้ถึงที่สุด คิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจสอดมือเข้าไปรองรับน้ำหนักตัวของแจมินและช้อนขึ้นมาแนบอกอย่างรวดเร็ว
แจมินตัวบางกว่าที่ผมคิด
อดขมวดคิ้วอย่างเสียไม่ได้ที่อีกฝ่ายดูบอบบางไปทุกสัดส่วนแม้ปากจะคอยพร่ำบอกว่าตัวเองแมนแสนแมน ผมคงต้องวางแผนให้แจมินมากินข้าวด้วยกันบ่อยๆซะแล้วมั้ง นี่ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่การที่คนน่ารักบอกว่าอาหารฝีมือผมพอใช้ได้แต่เจ้าตัวกับซัดเรียบซะจนหมดเกลี้ยงและตบท้ายด้วยการทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แก้ตัวว่าเพราะหิวหรอกถึงได้กินหมด
ครับ...ผมไม่เชื่อคำพูดของเขาหรอก เพราะใบหูเล็กที่แดงก่ำไม่อาจซุกซ่อนความเขินอายของเจ้าตัวได้เลยแม้แต่นิดเดียว
น่ารัก
แจมินเป็นมนุษย์ที่ใช้คำว่าน่ารักได้อย่างสิ้นเปลืองจริงๆ
ผมกระชับร่างของแจมินให้เข้ามาแนบชิดกันมากขึ้นกว่าเดิมขณะเดินตรงไปยังห้องนอน ใช้ปลายเท้าเปิดประตูออกอย่างทุลักทุเล ก่อนจะค่อยๆวางอีกฝ่ายลงนอนบนผืนเตียงอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าร่างกายนี้จะหักสลายไปต่อหน้าต่อตา
ผ้าห่มผืนหนาถูกดึงขึ้นมาจนถึงหน้าอก ดูท่าแจมินจะชอบมันอยู่ไม่น้อยถึงได้พยายามซุกตัวเข้าหาไออุ่นจากใยสังเคราะห์จนเหลือเพียงกลุ่มเส้นผมสีอ่อนที่โผล่พ้นออกมานอกผ้าห่ม
แจมินทำให้ผมยิ้มเอ็นดูออกมาอีกครั้งและอีกครั้ง ฝ่ามือที่ประครองเรือนร่างบอบบางมานอนเมื่อสักครู่ค่อยๆ ลูบไปตามเส้นผมนิ่มอย่างเผลอไผล ก่อนจะเผลอเม้มริมฝีปากเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อสายตามองเลยไปเห็นเสื้อผ้านักศึกษาที่อีกฝ่ายกำลังสวมใส่อยู่
ไม่ใช่ว่าไม่อยากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แต่ผมคิดว่าถ้าหากแจมินตื่นขึ้นมาคงจะไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ภายในหนึ่งวันอย่างแน่นอน หรือไม่เผลอๆ ผมอาจจะโดนฆ่าตายในห้องของตัวเองแทนก็ได้
สุดท้ายผมเลยจำใจต้องออกมาจากห้องนอนและกลับมานั่งแก้งานให้คนน่ารักต่อกระทั่งเล่มรายงานเสร็จสมบูรณ์ ผมเต็มใจเสมอถ้าเป็นเรื่องของนา แจมิน ต่อให้เขาไม่เอ่ยปากขอผมก็พร้อมจะทำให้เขาได้ทุกอย่างอยู่ดี
มีความจริงอยู่หลายข้อที่แจมินยังไม่รู้ อย่างแรกคือผมอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียว ไม่มีแม่หรือใครทั้งนั้นอยู่ร่วมกับผม ถ้าจะพูดให้ถูกคือพวกเขาแทบจะไม่สนใจใยตัวในตัวผมเลยด้วยซ้ำ
อาจเป็นเพราะแจมินสะเพร่าเกินไปหรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เจ้าตัวไม่ทันได้ตั้งข้อสังเกตว่าภายในห้องพักของผมมันไม่มีรูปเลยแม้แต่ใบเดียว
ยอมรับว่าตื่นเต้นไม่น้อย ความกลัวมันกลัดกุมจิตใจไปหมด กลัวว่า ‘อะไรๆ’ มันจะเปิดเผยออกมาจนแจมินผิดสังเกต แต่อย่างน้อยๆก็ถือว่ามีความโชคดีอยู่ข้อหนึ่งที่ผมมีโน๊ตบุ๊คสำรองไว้ใช้ทำงานแทนคอมพิวเตอร์ในห้องนอน
ไม่อย่างนั้น...ผมก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันถ้าแจมินจับได้ว่าผมกับตัวละครที่ชื่อเอ็มในเกมเป็นคนคนเดียวกัน จะเกิดอะไรขึ้น
ยืดเส้นยืนสายเพียงเล็กน้อยหางตาก็เหลือบไปเห็นเวลาที่นาฬิกาดิจิดอลมุมขวาล่างจอคอม ...ตีสามแล้ว ผมว่ามันสมควรถึงเวลานอนของผมบ้างแล้วล่ะ คิดได้ดังนั้นก็เข้าไปจัดการอาบน้ำในห้องน้ำและออกมานอนเหยียดยาวอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น
ใจจริงก็อยากเข้าไปนอนด้วยนั่นแหละ
แต่....ผมยังไม่อยากตายเร็วๆนี้ว่ะ
ลำแขนข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาก่ายหน้าผากขณะไถดูรูปที่ถูกส่งมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าซ้ำไปซ้ำ ยิ่งรับรู้ไฟในอกก็ยิ่งเพิ่มความรุ่มร้อนจนผมอยู่ไม่สุข สุดท้ายก็ดีดตัวลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับโทรหาใครอีกคนที่ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นคราวที่แล้วก็แทบจะไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
“ไอ้จุนไคมันกลับมาแล้ว”
“กูควรทำไงดีวะ...”
JAEMIN.
เอ่อ..
ผมไม่รู้จะบรรยายบรรยากาศในตอนนี้ยังไงดี แต่ที่แน่ๆคือผมสะดุ้งตื่นมาตอนเช้าพร้อมกับการทำตัวไม่ถูกที่อยู่ๆก็มานอนอยู่บนเตียงของใครก็ไม่รู้ มองไปรอบๆห้องก็ยิ่งไม่รู้สึกคุ้นตาขึ้นมาแม้แต่น้อย ผมเริ่มเหงื่อตกเมื่อความทรงจำเมื่อคืนย้อนกลับเข้ามาในหัวจนหน้าซีด หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะขณะเลื่อนมือไปจับผ้าห่มที่คลุมร่างกายอยู่และกลั้นใจดึงมันออกให้พ้นทาง
ก็ปกติดีนี่หว่า
หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิมเมื่อผมเริ่มคลำมือไปตามที่นอนข้างๆแต่กลับไร้ซึ่งไออุ่นใดๆทั้งสิ้น ราวกับเมื่อคืนมีเพียงผมที่นอนที่นี่คนเดียวอย่างงั้นแหละ
เป็นไปได้หรอวะ?
ไอ้มาร์คเนี่ยนะยอมไปนอนที่อื่น
และคำถามที่ค้างคาใจของผมก็มาถึงบางอ้อทันทีที่พาตัวเองมาถึงห้องนั่งเล่น ร่างกายสูงๆของไอ้มาร์คนอนคดเป็นกุ้งอยู่บนโซฟา ผมได้แต่ยืนอ้าปากค้างมองภาพตรงหน้าอย่างไม่คิดเชื่อสายตาตัวเองจนต้องขยี้แรงๆจนน้ำตาแทบไหล
ผมสาวเท้าเข้าไปหยุดยืนใกล้ๆโซฟา ลอบมองอีกคนที่กำลังหลับใหลไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว อยู่ๆก็รู้สึกขุ่นใจขึ้นมาแปลกๆ ทั้งที่ห้องนอนก็ห้องมันแท้ๆแต่เสือกออกมานอนตรงนี้เนี่ยนะ? เชื่อเขาเลย อะไรจะยอมคนอื่นไปซะหมดแบบนี้วะ
“อ้าว...ตื่นแล้วหรอ” มือที่กำลังจะเอื้อมไปปลุกชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบชักมือกลับมาไขว้หลังเอาไว้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า?” พอเห็นผมเอาแต่ยืนจ้องหน้าไอ้มาร์คก็เลิกคิ้วถาม ชั่งใจอยู่สักพักว่าจะพูดหรือไม่พูดออกไปดี แต่สุดท้ายก็หลุดปากถามออกไปจนได้
“ทำไมกูไปโผล่ในห้องมึง”
“เราพาไปนอนเองแหละ” และก็เพิ่งมาสำนึกได้ว่าคำถามของผมแม่งโคตรจะงี่เง่า “เมื่อคืนฝนตกทั้งคืน เรากลัวแจมินหนาวเลยให้ไปนอนในห้อง”
“มึงอุ้มกู?”
“ใช่”
.......
พูดไม่ออก....
เกิดมายี่สิบปีเพิ่งเคยโดยอุ้มเนี่ย แถมเสือกเป็นผู้ชายอีก สุดท้ายผมเลยได้แต่ยืนสตั้นอยู่กับที่จนไอ้มาร์คมันโบกไม้โบกมือผ่านหน้านั่นแหละถึงรู้สึกตัว
“แล้วทำไมมึงไม่ปลุกกู”
“เราปลุกแล้ว แต่แจมินไม่ตื่น”
อ้าวสัส คดีพลิกเฉย
ผมพยักหน้ารับส่งๆพลางหันหน้าหนีไปทางอื่น ได้ยินเสียงหัวเราะจากไอ้มาร์คดังแว่วๆมากระทบหูจนต้องหันกลับไปมอง
“ขำห่าไร”
“แจมินเขินหรอ”
“ใครเขิน บ้านมึงสิ” ยิ่งผมถลึงตาใส่พร้อมขึ้นเสียงดังไอ้มาร์คก็ยิ่งหัวเราะเสียงหนักขึ้น โคตรกวนตีน
“เขินก็บอกว่าเขินสิ หูแดงหมดแล้ว”
หะ! อีกแล้วหรอ
นี่หูหรือตูดลิงทำไมแดงง่ายขนาดนี้ งงใจ
“ไม่ได้เขินเว้ย!”
ไอ้มาร์คยิ้มขำกับท่าทีของผมเล็กน้อยก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นมายืน “รีบกลับหรือเปล่าอะ อยู่ทานข้าวเช้าด้วยกันก่อนมั้ย”
เออนั่นสิ...กูควรกลับเลยดีมั้ย?
แต่ข้าวฟรีเลยนะ?
โอ้โหคิดหนักเลย
“ถ้าลำบากใจจะกลับเล—”
“กิน...ไปทำดิหิวแล้ว” ยังไม่ทันที่ไอ้มาร์คจะได้พูดจบประโยคดีผมก็รีบสวนกลับจนมันตั้งหลักไม่ทัน แต่พอสมองประมวลของคำพูดของผมได้มุมปากก็ค่อยๆขยับยกยิ้มขึ้นทันที
ทำไมกูต้องเกิดมาเป็นคนเห็นแก่ของฟรีด้วยนะ /เช็ดน้ำตา
“งั้นเราไปล้างหน้าแปปนึง” ไอ้มาร์คเดินเลี่ยงไปทางห้องน้ำก่อนจะหันกลับมาถามผมด้วยท่าทีล้อเลียน “แจมินยังไม่ได้ล้างหน้าเหมือนกันนี่ ใช้ของเราเปล่า”
“มึงจะบ้าหรอ! ใครเขาใช้แปรงสีฟันอันเดียวกัน”
“เอ้า ก็คนเป็นแฟนกันไง”
Mark 1-0 Jaemin
กลิ่นหอมอ่อนๆของอาหารเช้าลอยฟุ้งไปทั่วห้อง ผมนั่งจ้องแผ่นหลังของไอ้มาร์คที่กำลังขะมักเขม้นทำอาหารอยู่พักใหญ่ๆแล้ว ให้ฟีลเหมือนนั่งรอเมียทำกับข้าวให้กินเลยว่ะ
ไม่ดิ....ไม่ใช่แล้ว
แทบจะตบหัวตัวเองเรียกสติ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆห้องที่เงียบยิ่งกว่าเมื่อคืน เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าในห้องไอ้มาร์คไม่มีรูปเลยแม้แต่ใบเดียว อาจเป็นพวกไม่ใช่ถ่ายรูปกันทั้งแม่ทั้งลูกล่ะมั้ง
พูดถึงแม่ไอ้มาร์ค....
“แล้วนี่แม่มึงไปไหนอะ”
“ไปสัมมนาต่างจังหวัดน่ะ” มันตอบพร้อมกับนำอาหารมาวางตรงหน้าผมและของตัวมันเองก่อนจะลงมือทานมื้อเช้าด้วยกัน “อร่อยปะ”
“ไม่อร่อยก็ต้องกินมะ” ไอ้มาร์คอมยิ้มและก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
“เอ้อ! รายงานแจมินเสร็จแล้วนะ” อยู่ๆมันก็ผุดลุกออกไปก่อนจะกลับมาพร้อมกับเล่มรายงานฉบับสมบูรณ์ ที่เมื่อผมเอื้อมมือไปรับเอาไว้ก็แทบจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปลื้มปิติ
เสร็จซักทีนะไอ้เวร!
“นี่มึงทำทั้งคืนเลยปะเนี่ย” ถ้าไม่จำไม่ผิดเนื้อหาส่วนที่ต้องแก้ไขก็เหลืออยู่ค่อนข้างเยอะพอตัว แล้วนี่มันกลับทำให้ผมซะจนเสร็จเรียบร้อยภายในคืนเดียว โคตรอะเมซิ่ง
“นิดหน่อยเองไม่เป็นไรหรอก” ไอ้มาร์คว่าพร้อมกับฉีกยิ้มพิมพ์ใจจนผมขนลุก และคงจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีประโยคตบท้ายตามมาด้วย “เพื่อแจมินเราทำได้ทุกอย่างแหละ”
ตีนอย่าเพิ่งลั่น….
“เออ ขอบใจละกัน” ผมพูดส่งๆ(ลึกๆแอบรู้สึกตัวเองเหี้ยไปเลย) แต่ดูจากการที่ไอ้มาร์คมันยิ้มรับคำพูดผมไม่หยุดแล้วก็คงไม่คิดมากอะไรหรอกมั้ง
เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้มันไม่ได้ใส่แว่น ใบหน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้อะไม่ได้เลวร้ายอะไร เผลอๆดูดีกว่าตอนใส่แว่นอีกด้วยซ้ำ
นี่ไม่ได้ชม สาบาน
“แจมินจะกลับเลยมั้ย เดี๋ยวเราไปส่ง” หลังจากซัดอาหารกันจนเรียบมันก็รีบชิงถามผมทันที
“ไม่ต้องอะ เดี๋ยวกูกลับเอง”
ตอบปัดขณะเดินตามเก็บของใส่กระเป๋าเป้ ไม่ลืมตรวจเช็กอีกรอบว่าหยิบเล่มรายงานมาด้วยแล้ว เพราะผมจะไม่ยอมกลับมาที่ห้องมันอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับถ้ามีไอ้มาร์คลี
“แต่มันอันตรายนะแจมินนา”
“อันตรายห่าอะไรละ เช้าขนาดนี้” ว่าพร้อมกับชี้ไปที่นาฬิกาเรือนใหญ่กลางห้องนั่งเล่นซึ่งบอกเวลาสิบโมงเช้า “ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้น กูไปละ”
ผมรีบตัดบทและเดินไปใส่รองเท้าที่หน้าประตูห้อง หางตาก็ยังอุตส่าห์เหลือบไปเห็นมันเดินตามหลังมาเนือยๆ
“ถึงบ้านแล้วบอกเราด้วยนะ”
“จำเป็น?”
“จำเป็นดิ ก็แจมินเป็นแฟนเรา”
คำก็แฟนสองคำก็แฟน ให้ตาย ชอบกูขนาดนี้เลยหรอวะ
“แต่กูไม่มีเบอร์มึง”
“เอาโทรศัพท์มาดิ”
“อะไร?”
“จะเมมเบอร์ให้”
Mark 100-0 Jaemin
tbc.
#สิบคำถามมาร์คมิน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ม้าคคคคค รุกแรงมากกกก สู้ๆ