ตอนที่ 2 : Q : 1 เจอกันได้ไงอะ? (2)
M : ดึกแล้วเราไปนอนก่อนนะ
แชทบ๊อกเด้งขึ้นมาหลังจากผ่านการดวลเกมที่แสนยาวนานไปสิบกว่ารอบ ผมละสายตาจากกล่องข้อความไปมองนาฬิกาดิจิดอลมุมขวาล่างจอคอม สี่ทุ่มครึ่ง? คือ...มันดึกตรงไหนวะเมื่อวานนี่เล่นยันตีสามเลยนะรู้สึก
JAM : อืม งั้นก็ฝันดี
M : ฝันดี
หลังจากบทสนทนาสุดท้ายจบลงตัวละครของอีกฝ่ายก็หายไปจากเกม ผมเอนแผ่นหลังพิงพนักและจ้องไปยังแชทบ๊อกที่เปิดค้างเอาไว้อย่างใช้ความคิด
“เอ็ม?“ เอ่ยนามสมมติของอีกฝ่ายกับตัวเองเบาๆก่อนสมองอันน้อยนิดจะเริ่มคิดอะไรบางสิ่งบางอย่าง โอเค ก็แอบคิดไปแล้วแหละว่าอีกฝ่ายน่ะเป็นผู้หญิง
แต่...
“เอ็มไหนวะ”
ได้แต่คิดชื่ออีกฝ่ายในหัวไปต่างๆนานา แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่พ้นคำจำพวกขึ้นต้นลงท้ายด้วย ‘มิน’ ถ้าถามว่าแล้วทำไมไม่ไปถามกับเจ้าตัวตรงๆ ผมก็ไม่เอาด้วยหรอก ในเมื่อถ้าเขาอยากบอกก็คงบอกมาตั้งแต่แรกแล้ว อีกอย่างไม่ใช่แค่ผมซะหน่อยที่ไม่รู้จักเขา—เขาก็เหมือนกัน ผมว่ามันก็วินวินดีแล้วล่ะ
ผมเลิกสนใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง กดชัทดาวน์คอมพิวเตอร์เตรียมตัวเข้านอนตามอีกฝ่ายบ้าง ไม่อย่างงั้นพรุ่งนี้ผมคงไม่อาจแบกร่างพังๆไปเรียนตอนเช้าได้อย่างแน่นอน
ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างเต็มแรงแต่ก็ไม่วายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดๆแล้ววางไว้ข้างหูตัวเอง ภาพบนหน้าจอปรากฏเป็นไอคอนรูปนาฬิกาพร้อมกับเวลาปลุก
กรี้งงงงงงงงงงงง!
โทรศัพท์ลูกรักแผดเสียงปลุกดังลั่นอยู่ข้างๆหูวนอยู่หลายรอบจนสุดท้ายผมก็ต้องแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาอย่างจำใจ พลิกตัวตะแครงข้างหยิบโทรศัพท์มากดปิดเสียงและวางไว้ที่เดิมพร้อมกับเปลือกตาที่ปิดลงอีกครั้ง
ขออีกสิบนาทีน่า....
“เฮือก!”
สายครับ กูสายอีกแล้ว
“จะมีวันไหนที่มึงไม่สายบ้างปะถามจริง” ไอ้แฮชานหัวเราะลั่นห้องพอหันมาเห็นผมยืนท้าวมือกับกรอบประตูหอบหายใจรัว หยาดเหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นตามแนวหน้าผากและขมับ อดไม่ได้ที่จะยกหลังมือขึ้นมาปาดมันออกลวกๆ
“ขำมากปะ” ถามเสียงขุ่นเมื่อเดินเข้ามาข้างในและโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะ
“ก็มากอยู่” ไอ้คนตอบก็ตอบลอยหน้าลอยตา ยิ่งรอยยิ้มล้อเลียนของมันยิ่งทำเอาตีนผมคันยิกๆ
“งั้นมึงอย่าหยุดขำนะ หยุดเมื่อไหร่กูจะถีบมึง” เท่านั้นแหละครับไอ้ดำข้างๆถึงกับรูดซิปปากแน่น ไอ้ท่าทีกวนตีนโดยการเม้มริมฝีปากแน่นๆแบบนั้นแม่งน่าโดนตีนมากกว่าเดิมอีก
“โธ่ๆ เหตุใดพี่แจมคนแมนถึงเกรี้ยวกราดเบอร์นี้ขอรับ บอกชายแฮชหน่อยจะได้มั้ย”
“เชี่ยแฮชานไม่กวนสักวันนี่แม่มึงจะไม่ให้เข้าบ้านหรือไง”
“เออ ไม่เล่นแล้วก็ได้” มันยู่ปากก่อนจะเอาหัวทุ่ยๆเข้ามาถูที่แขนผมไปมาให้อารมณ์แบบหมาแถวบ้านมาก “พี่แจมไม่โกรธแฮชน้า จุ๊บๆ”
“จุ๊บที่หน้ามึงสิ”
ส่งฝ่ามือไปยันใบหน้า(หนาๆ)ของไอ้เพื่อนตัวดีออกอย่างละเหี่ยใจ ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าไปคว้ามันมาเป็นเพื่อนได้ยังไง กวนตีนขนาดนี้ กูคิดอะไรอยู่กันแน่ตอนยอมเป็นเพื่อนกับมัน คิดอะไรรกสมองได้ไม่นานก็เปิดกระเป๋าหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาวางบนโต๊ะ
และ...
นอนครับ
“โวะ กูก็นึกว่ามึงจะหยิบออกมาอ่าน”
“มาร์คข้อนี้ทำยังไงหรอ”
“ตรงนี้เราทำไม่เป็นอะ สอนหน่อยสิมาร์ค”
“เห้ย! ไอ้มาร์คเอาการบ้านมาลอกก่อนดิ่”
“มาร์คคคคคคคคคค~”
โว้ยยยยยยย! หนวกหู!
ยีผมหัวเองอย่างหงุดหงิดพลางคว้าหูฟังในกระเป๋าเสื้อออกมาเสียบหูพลางเร่งระดับเสียงเพลงที่เปิดอยู่ในดังขึ้นไปอีกหวังกลบเสียงความวุ่นวายภายในห้อง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังเล็ดลอดเข้ามาอีกจนได้
“แจมิน”
“ไอ้แจมิน”
จึกๆๆๆ
แรงสะกิดน้อยๆที่ต้นแขนทำเอาผมหัวเสียยิ่งกว่าเดิมจนต้องเงยหน้าขึ้นพร้อมกับส่งสายตาขวางๆไปให้ไอ้คนที่กล้ามารบกวนเวลานอนของผม
“อะไร”
“มึงทำการบ้านเสร็จยัง”
“อะไร! กูไม่ได้ยิน!” สาบานเลยผมไม่ได้ตั้งใจตะโกนใส่มันนะแต่เพลงที่เปิดอยู่ดันเพิ่มวอลุ่มซะเต็มพิกัดเลยพูดออกไปตามที่หูได้ยินโดยอัตโนมัติ
“กูถามว่ามึงทำการบ้านเสร็จยัง!” มันดึงหูฟังผมออกพร้อมกับยื่นหน้ามาตะโกนข้างๆรูหู เสียงดังฟังชัด
“เชี่ย ตะโกนมาได้...กูยังไม่เสร็จ” คือแม่งก็น่าจะรู้ปะครับว่าหน้าอย่างกูนี่ไม่เคยเสร็จสักงาน ดองจนเอามาถมเป็นที่ดินได้แล้วมั้งน่ะ
“ห่า จะขอลอกซะหน่อย” มันคว่ำปากลงทันที
“นู้น! ไปลอกไอ้มาร์คนู้น” เอ่ยปากไล่ไม่ใส่ใจพลางดึงสายหูฟังในมือมันมาเสียบหูตามเดิม
“มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้น”
เชื่อมันมั้ยครับ
เชื่อหรอ?
เชื่อมันก็ออกลูกเป็นหมีพูห์แล้วครับ
เสียงของไอ้แฮชานเงียบไปแล้ว อดไม่ได้ที่จะผงกหัวขึ้นมาดูก่อนจะหลุดขำพรืดเมื่อเห็นมันวิ่งเข้าไปเกาะโต๊ะไอ้มาร์คแน่นพร้อมกับกางสมุดการบ้านเสร็จสรรพ หน้ามึงไม่ด้านเลยเนอะไอ้ห่า /รัวเลขห้า
“!!!”
จากที่ยิ้มขำๆอยู่คนเดียวก็ถึงกับหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อไอ้มาร์คที่กำลังให้ไอ้แฮชานลอกการบ้านอยู่เงยหน้าขึ้นสบสายตากับผมและส่งยิ้มบางๆมาให้
‘ยิ้มเหี้ยไร’
ขยับปากเป็นคำพูดช้าๆไร้เสียงเล็ดลอด อีกฝ่ายที่โดนด่าไปก็ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น ดวงตาภายใต้กรอบแว่นทรงกลมกลายเป็นเส้นโค้งจนแทบมองไม่เห็นลูกตา เห็นแบบนั้นผมเลยเบือนหน้าหนีแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นแทน
หงุดหงิด
โคตรไม่ชอบเลยคนจำพวกไอ้มาร์คน่ะ ไม่รู้จะเรียบร้อยไปไหนบ้านมึงเข็มงวดหรือไงวะ! ด่าอะไรก็ยิ้มรับ ตะโกนใส่หน้าก็ไม่โกรธ แววตาที่ดูสุขุมนั้นคิดว่าเท่มากหรือไง เหอะ! บอกเลยว่าสิ่งที่เขาเกลียดอันดับต้นๆ นอกจากมนุษย์จองหน้าวอกแล้วก็ไอ้มาร์คลีเนี่ยแหละ
หือ?
มาร์คลี?
อยู่ดีๆก็สะกิดใจขึ้นมากับชื่อนี้ มาร์คลี... มาร์ค? เอ็มเออาร์เค? เอ็ม? ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมนึกถึงคนที่คุยด้วยในเกมเป็นประจำ แต่วินาทีต่อมาก็ถึงกับสะบัดหัวพรืดไล่ความคิดพวกนั้นออกไปจนหมด มันจะเป็นคนเดียวกันได้ไงล่ะวะ? ในเมื่อเอ็มออกจะสุภาพเรียบร้อย ไม่ได้มีนิสัยกวนตีนแบบมันสักหน่อย
แต่...ไอ้มาร์คแม่งก็เรียบร้อยแถมไม่เคยพูดจากวนตีนผมเลยนี่หว่า
“โอ้ย กูอยากจะบ้า”
ทึ่งผมตัวเองอย่างต้องการระบายอารมณ์ ที่เผลอคิดอะไรไร้สาระจนจับอะไรต่อมิอะไรมาเชื่อมโยงกันมั่วไปหมดทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันคนละเรื่องเลย แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ลึกๆผมกลับไม่ได้รู้สึกตามนั้นเลยสักนิด
เอ็มคือใครกันแน่วะ?
MARK.
เสียงบรรยายหน้าชั้นเรียนคือยานอนหลับชั้นดีสำหรับนา แจมิน คนที่มีนิสัยทุกอย่างขัดกับภาพลักษณ์ภายนอกทั้งหมด ใบหน้าสะอาดสะอ้านเหมาะที่จะมีรอยยิ้มสดใสประดับแต่กับชอบทำหน้านิ่งตลอดเวลา ดวงตารีเรียวนั้นชอบมองทุกคนอย่างหาเรื่องไปซะหมด ริมฝีปากแดงสดระเรื่อก็มักจะพ่นสัตว์เลื้อยคลานออกมามากมายอย่างเคยชิน รวมๆแล้วนา แจมินน่ะผกผันกับภายนอกโดยสิ้นเชิง จนใครหลายคนพากันตีตัวออกห่างเพราะแจมินดูอันตราย แน่นอนว่าตรงข้ามกับผม เพราะทุกอย่างในตัวของเขาน่ะดึงดูดผมสุดๆ J
“ดังนั้นการใช้ชีวิตโดยตั้งเป้าหมายจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่การดำเนินชีวิตในแต่ล่ะวันให้มีความสุขถือว่าเป็นที่สำคัญยิ่งกว่า…”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังบรรยายสิ่งที่นำมาสอนอย่างต่อเนื่องราวกับร่ายมนต์ เห็นจะมีก็แต่แจมินนี่แหละที่กล้าเมินเฉยต่อการร่ายมนต์ของอาจารย์จอง อ่า...ดูสายตาคมภายใต้กรอบแว่นนั้นสิจ้องคนน่ารักของผมน่ากลัวชะมัด เสียงที่ใช้บรรยายหยุดชะงักไปคล้ายกับจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าบางอย่างที่ว่าก็ไม่พ้นเหน็บแหนมที่แจมินของผมแอบหลับหรอก สองคนนั้นน่ะถูกกันที่ไหนล่ะ
กึก!
“เชี่ย...”
หัวทุยที่ปล่อยแนบไปกับลำแขนทั้งสองข้างผงกขึ้นมาพร้อมกับสบถคำหยาบ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาหาต้นเหตุที่ลอยมาโดนหัวตัวเอง มือขาวกำก้อนกระดาษสีฟ้าอ่อนแน่นพลางมองไปรอบห้องจนไปสะดุดกับอาจารย์จองหน้าชั้นเรียน แจมินแสร้งทำเป็นขยับกายเล็กน้อยแล้วกางหนังสือขึ้นมาเพื่อเริ่มเรียน เห็นดังนั้นคนเป็นครูก็ถึงกับถอนหายใจและเริ่มบรรยายในเนื้อหาบทต่อไปแทน
‘น่ารัก‘
ได้แต่เอ่ยในใจและก้มหน้าก้มตาสนใจเนื้อหาในหนังสือต่อ โดยที่ใต้โต๊ะนั้นมีสมุดสีฟ้าอ่อนเล่มหนึ่งวางเอาไว้อยู่
คาบเรียนสุดท้ายของวันหมดลงตั้งแต่สิบเอ็ดโมง นักศึกษาหลายคนพากันเก็บข้าวของลงกระเป๋าและทยอยออกไปจากห้องเรียน ผมเลือกที่จะออกจากห้องเป็นคนท้ายๆเพราะรู้ว่ายังไงเสียแจมินก็ต้องออกเป็นคนสุดท้ายอยู่ดีไม่งั้นเจ้าตัวคงไม่นั่งฟังเพลงอยู่กับที่แบบนั้นหรอก
แจมินไม่ชอบอะไรที่วุ่นวาย
“ยังไม่กลับอีกหรอ” ทำใจกล้าเดินขึ้นไปทักอีกคนที่นั่งอยู่ถัดขึ้นไปอีกสามชั้น บางทีผมก็เริ่มไม่ชอบห้องเรียนแบบอัฒจันทร์ซะแล้วสิ เพราะแจมินน่ะชอบนั่งแต่หลังๆในขณะที่ผมชอบที่จะนั่งข้างหน้ามากกว่า
“เสือก” เสี้ยวหน้าหวานหันมาตามเสียงเรียกพร้อมกับคำพูดที่ผมเดาไว้ไม่มีผิดว่าอีกคนจะต้องพูดแบบนี้แน่ๆ
“ก็แค่ถามเอง” พยายามยิ้มบางๆกลับไปเผื่อว่าคนน่ารักของผมจะใจเย็นลง
“ว่างมากหรือไง เอาเวลาไปอ่านหนังสือของมึงเถอะ” อ่า...ดูท่าแล้วผมในสายตาแจมินคงจะเป็นเด็กเรียนมากเลยสินะ
“แต่เราอยากคุยกับแจมินนี่” คำตอบผมทำเอาอีกฝ่ายถึงกับอ้าปากค้าง “เราแทบจะไม่ค่อยได้คุยกันเลย”
แจมินมองผมด้วยสีหน้าที่ผมคาดเดาไม่ออกก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนและคว้ากระเป๋าออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดเอาไว้เป็นของดูต่างหน้า
“แต่กูไม่อยากคุยกับมึง”
ไปซะแล้วครับคนน่ารักของผม....
JAEMIN.
JAM : เธอ
M : หืมว่าไงหรอ? แปลกจังวันนี้ทักเรามาก่อน
ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีที่อีกฝ่ายตอบแบบนั้น มันก็น่าดีใจอยู่หรอกที่อีกฝ่ายใส่ใจเรื่องอะไรแบบนี้ เช่นใครจะเป็นฝ่ายทักก่อน แต่พอมองอีกมุมหนึ่งแล้วเขากับเป็นฝ่ายทักผมมาก่อนตลอดเลยไง หน้ามันเลยรู้สึกชาหน่อยๆ
JAM : อารมณ์ไม่ดีนิดหน่อยน่ะ
M : เรื่องอะไรล่ะ
JAM : ก็...หงุดหงิดเรื่องที่มหาลัย
M : ทะเลาะกับเพื่อนหรอ
JAM : เปล่า คือ จะพูดไงดีอะ แบบไม่ชอบเพื่อนที่คณะอะ
อีกฝ่ายเงียบไปกว่าทุกทีจนผมเริ่มรู้สึกหน้าเสีย เขาจะรำคาญปะวะแต่พอลองคิดในแง่ดีเขาอาจจะแอบไปขี้อยู่ก็ได้มั้ง มึงอะคิดมากไอ้แจม
M : อ้าว ทำไมถึงไม่ชอบล่ะ?
เรียวนิ้วชะงักไปกลางคันเมื่อเห็นบทสนทนาที่เด้งขึ้นมา จะตอบไงดีล่ะ มันพูดยากอะ แล้วทำไมผมถึงเกลียดไอ้มาร์ค? คิดสิวะ แค่เพราะแม่งชอบยิ้มเวลามึงด่าหรอ? หรือนิสัยที่มักจะใจเย็น?
JAM : ก็...ไม่รู้ดิ
M : บางทีเธออาจจะไม่ได้เกลียดเขาจริงๆก็ได้
“ไม่ได้เกลียดจริงๆ” ผมทวนคำพูดของคนที่คุยด้วยอย่างครุ่นคิด ยังไงวะ? นี่กูเกลียดไอ้มาร์คหลอกๆอยู่หรือไง ว้อท?
ปล่อยให้แผ่นหลังพิงกับพนักเก้าอี้ด้านหลังอย่างใช้ความคิด โดยที่สายตาก็ทอดมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดสิ้นสุด อารมณ์แบบนี้ถ้าได้เบียร์สักกระป๋องก็คงดีไม่หยอก
M : เป็นอะไรหรือเปล่าเงียบไปเลย
JAM : เปล่า โทษทีที่เล่าอะไรไร้สาระให้ฟัง มาดวลเกมกันต่อเถอะ
M : ไม่เห็นต้องขอโทษเลย เราก็ไม่เห็นว่ามันจะไร้สาระตรงไหน J
JAM : อ่า...งั้นหรอ
M : อืม แต่วันนี้เราคงดวลเกมกับเธอไม่ได้นะ
JAM : ทำไมอะ
M : เราต้องออกไปข้างนอกน่ะ
สาบานเลยว่าผมไม่รู้ตัวจริงๆว่าปากตัวเองเริ่มเบะออกจากกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ให้ตายสิ นี่ผมไม่ได้กำลังงอนคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าอยู่หรอกนะ
JAM : อือ ไปเถอะ
เออ ยอมรับก็ได้ L
tbc.
#สิบคำถามมาร์คมิน
เข้ามาเล่นแท็กกันได้นะทุกคน
วังเวงเบอร์แรง ฮือ555555
1 เม้น = 1 กำลังใจ นะฮับ
รักรักรัก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อ่ออ๋อย เอ็นดูม้าคอ่ะ555555