ตอนที่ 13 : Q : 7 อ้าว แล้วงี้ไม่ทะเลาะกันหรอ?
7. อ้าว แล้วงี้ไม่ทะเลาะกันหรอ?
“ขอโทษ...”
คำขอโทษของมันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ตรงข้ามมันกับรู้สึกแย่จนไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ออกมายังไง ใจหนึ่งนึกอยากจะได้ยินคำอื่นที่ไม่ใช่คำว่าขอโทษ เพราะการที่มันพูดคำคำนี้ออกมาก็ไม่ต่างอะไรกับการที่มันยอมรับเลยว่า 'ตั้งใจ' ปิดเรื่องนี้มาโดยตลอด
เพื่ออะไรวะ?
ทำไมต้องโกหก
“คิดจะปิดกูไปอีกถึงเมื่อไหร่” ผมลุกขึ้นยืนประชันหน้ากับมันตรงๆ นัยน์ตาของมันวูบไหวไม่น้อยกับคำถามเมื่อครู่
“...ขอโทษ”
ไร้คำแก้ตัว ไอ้มาร์คทอดมองลึกเข้ามาในแววตาผมราวกับต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง แต่กับไม่คิดจะปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ ความเงียบเข้าปรกคลุมพวกเราเสียจนน่าอึดอัด มันเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศภายในห้องอย่างชัดเจน
ผมจ้องสายตามันตอบอย่างไม่เข้าใจ ทว่ารอยช้ำที่มุมปากกับทำเอาหัวคิ้วขมวดคิ้วแน่น อยู่ๆ ภาพของมันที่กำลังปล่อยหมัดใส่ใครสักคนที่ผมไม่รู้จักก็ฉายชัดขึ้นมาในหัว ราวกับเทปม้วนเดิมถูกกรอปซ้ำไปซ้ำมาสลับกับเหตุการณ์ในตอนนี้
สองเรื่องราวกำลังตีกันให้วุ่นวายในความคิด ผมไม่รู้เลยว่าควรจะโกรธมันเรื่องไหนมากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆคือความรู้สึกของผมตอนนี้แม่งพังไปหมดแล้ว พังจนไม่เหลือชิ้นดี
“ถ้ากูถามอะไรมึงสักอย่าง มึงจะบอกความจริงกับกูมั้ย” มันเงียบ แต่การที่ไม่ปฏิเสธผมก็จะถือว่ามันตอบตกลง
“ที่มึงให้กูกลับเองวันนั้น...ธุระที่ว่าคือไปมีเรื่องกับคนอื่นใช่มั้ย”
“แจมิน...” มันครางเรียกชื่อผมเสียงแผ่ว สีหน้าตกใจยิ่งกว่าตอนที่ผมจับได้ว่ามันคือคนคนเดียวกับเอ็มเสียอีก
จะโกหกกันไปถึงไหนวะ
“ตัวตนจริงๆของมึงเป็นยังไงกันแน่วะมาร์ค แค่บอกกูมันยากมากเลยหรอ” หัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมาข้างนอกกับประโยคเมื่อสักครู่ ทั้งที่เป็นประโยคง่ายๆแต่โคตรปวดใจ
ผมแค่นยิ้มสมเพชตัวเองโดยที่ขอบตาทั้งสองข้างกำลังร้อนผ่าว กระพริบตาไล่หยาดน้ำตาที่กำลังก่อตัวรวมกันเป็นหนึ่งทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเอ่ยสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในออกไปรวดเดียว
“เห็นกูโง่มากหรือไงถึงทำแบบนี้”
ทั้งที่ผมก็ให้มันหมดใจ
“กี่ครั้งแล้วที่มึงเอาแต่โกหกกู“
ทั้งที่ผมยอมมองข้ามทุกอย่างและเลือกมัน
“กี่ครั้งแล้วมาร์ค”
แล้วทำไมสิ่งที่ผมได้ตอบแทนมันเจ็บขนาดนี้วะ
“แล้วกูจะเชื่ออะไรมึงได้อีก ทุกวันนี้อันไหนเป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องโกหก…กูไม่รู้เลย”
โคตรไม่เข้าใจ
“เผลอๆ ความรู้สึกที่มึงบอกกูตอนนั้นก็คงจะโกหกด้วยสินะ”
ไม่เข้าใจความรักของมันเลยสักนิด
“แย่ว่ะ มึงแม่งโคตรแย่เลยรู้ตัวปะ”
มาร์คลีแม่ง
โคตรแย่จริงๆ….
ผมนอนเปื่อยอยู่ในห้องมาสองวันติดแล้ว ได้ยินเสียงโทรศัพท์ตามจิกจากไอ้แฮชานไม่ขาด แต่ผมไม่มีเรี่ยวแรงพอจะคุยกับใครสักคน
หน่วง...
ทุกอย่างมันหน่วงไปหมด หัวใจที่เคยคิดว่าเต้นเร็วกว่านี้กับปวดหนึบจนคล้ายกับว่ามันกำลังจะหยุดเต้นในไม่ช้า
ผมยังคงได้รับทั้งข้อความและสายเรียกเข้าจากไอ้มาร์คอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เหมือนเคย ผมไม่ได้หยิบขึ้นมาเปิดอ่านปล่อยให้มันแผดเสียงร้องน่ารำคาญไปเรื่อยๆกระทั่งดับไปเอง
ไม่พร้อมจริงๆ
ผมไม่พร้อมจะฟังอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำอธิบายหรือคำแก้ตัวของมัน ความเชื่อใจที่มีให้ถูกทำลายลงจนไม่เหลือชิ้นดีด้วยคำโกหกซ้ำๆซากๆของมัน
อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มากๆ เผื่อว่าความฟุ้งซ่านในหัวจะลดลง แต่เปล่าเลย...ความฟุ้งซ่านยังมีอยู่เท่าเดิมแถมผสมปนเปกับความสับสนจนปวดหัวไปหมด อยากได้ยินความจริงจากปากมัน แต่ขณะเดียวกันก็กลัวเกินกว่าจะรับรู้
คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้ในอ้อมกอดของไอ้มาร์ค ร้องไห้มันทั้งๆที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังหลั่งรินน้ำตาออกมาไม่ขาดสาย อ้อมกอดของมันที่ผมเคยคิดว่าอบอุ่นกว่านี้กับสร้างความปวดร้าวคล้ายกับมีหอกหนามมากมายนับไม่ถ้วนทิ่มแทงไปทั้งร่างกายเพียงแค่มันกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ผมก็รู้สึกเจ็บไปทั้งหัวใจ
มันพยายามอธิบายแต่กลับเป็นผมเองที่ถอยหนีออกมา อยู่ๆก็รู้สึกไม่อยากรับรู้อะไรที่จะได้ยินจากปากมันอีก ถ้อยคำที่ถูกร้อยเรียงและเปล่งออกมาผ่านริมฝีปากคู่นั้นกลายเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ ผมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่มันกำลังจะพูดออกมาจะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงคำโกหกเหมือนกับหลายๆครั้งที่ผ่านมา
ฝ่ามือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหูตัวเองแน่นขณะถอยหลังหนีมันที่พยายามก้าวเท้าเดินตามมาเรื่อยๆ เราต่างจ้องมองกันด้วยแววตาเจ็บปวดไม่ต่างกันเท่าไหร่ สุดท้ายมันก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวและคว้าข้อมือทั้งสองข้างของผมให้ลดลงจากใบหู
ทว่า..
“ฟังเราก่อน”
“พอแล้วมาร์ค กูไม่อยากฟัง”
“แจมิน” ขนาดแค่ชื่อของผมที่มันเอ่ยออกมายังทำให้ผมรู้สึกแย่จนอยากจะหายไปตรงหน้า
“หยุดโกหกกูสักที” น้ำเสียงของผมสั่นเครือคล้ายกับจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ แต่กับไม่มีน้ำตาสักหยด บางที มันอาจจะเหือดแห้งไปพร้อมๆกับความเชื่อใจของผมแล้ว
“มึงไม่สงสารกูหรอ”
ขนาดกูยังสงสารตัวเองเลย...
“ใกล้ตายยัง?”
“มึงมาได้ไง” ผมรีบดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงมองไปที่ประตูห้องอย่างตกใจ ไม่ให้ตกใจได้ไงวะ อยู่ๆไอ้แฮชานแม่งก็มาบุกถึงห้องนอน
“นั่งแท็กซี่มา” มันตอบเสียงห้วน “ไง เหมือนศพเลยนะมึง”
“ปากหรอไอ้สัส”
“มึงช่วยแหกตาดูสภาพตัวเองด้วยครับ ว่าแย่เบอร์ไหน” ผมเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อไอ้แฮชานโยนกระจกมาให้ผมส่องหน้าตัวเอง
อืม ก็แย่จริงๆนั่นแหละ
“เป็นไรวะ” มันเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้มุมห้อง พลางถามต่อ “อกหักอ่อ”
“ส้นตีน”
“เอ้า อาการมันฟ้องงงง” ไม่ได้อกหักสักหน่อย ผมเถียงในใจ
ความรู้สึกจริงๆตอนนี้ผมยังไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำว่ามันเรียกว่าอะไร งอน? น้อยใจ? หรือโกรธ? เอออย่างหลังนี่น่าจะเข้าท่าสุดแล้ว โกรธที่แม่งเอาแต่โกหกกันเนี่ยแหละสัส พูดละหงุดหงิด
“กูป่วยเฉยๆ”
“ป่วยเฉยๆนี่หน้าตาเป็นไง เคยเห็นแต่เป็นไข้ ตัวร้อน”
“ถ้าจะกวนตีนก็กลับไปเลยป่ะ”
คนถูกไล่หัวเหราะร่า มันขยับเก้าอี้มานั่งใกล้ๆเตียงผม ใกล้ละ...ใกล้เหมือนคนป่วยที่ญาติมาดูใจจริงๆแล้วกูเนี่ย
“เป็นห่วง”
ผมเหลือบมองไอ้แฮชานด้วยสีหน้าที่ขยะแขยงที่สุดในชีวิต รู้สึกขนลุกแปลกๆที่มันมาพูดจาอะไรแบบนี้ใส่ อดไม่ได้ที่จะขยับหนีจนสุดขอบเตียง ทำเอาไอ้คนที่โดนท่าทางรังเกียจใส่คว้าตัวต่อหัวเตียงมาปาใส่หัวผมแทบไม่ทัน
“กูหมายถึง มีคนเขาเป็นห่วงมึงอะ”
ริมฝีปากผมค่อยๆขบเม้มเข้าหากันทีละน้อยหลังสิ้นคำพูดของไอ้แฮชาน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันหมายถึงใคร ได้ยินมันถอนหายใจทิ้งรัวๆก่อนจะเอ่ยต่อ
“จนถึงขนาดนี้กูคงไม่ถามแล้วล่ะว่าพวกมึงเป็นอะไรกัน” มันเว้นคำพูดขึ้นมาสบสายตาผมเล็กน้อย
“จะหาว่ากูเสือกก็ได้นะ แต่พวกมึงไปคบกันตอนไหนวะ”
เสือก...
“….” ผมเลือกที่จะใช้ความเงียบแทนคำตอบ พอเห็นว่าง้างอะไรจากปากผมไม่ได้ไอ้แฮชานก็เปลี่ยนมาเป็นบ่นเสียงงุ้งงิ้งข้างหูแทน
“พอมึงไม่ไปมอแม่งก็มาวอแวกูแทนอะ เอาแต่ถามว่าติดต่อมึงได้มั้ย มึงเป็นไงบ้าง หายไปไหน”
“….”
“คือถ้าจะทะเลาะกันช่วยเคลียร์กันให้จบๆได้มะ”
“….”
“อย่าปล่อยให้คนนอกอย่างกูทนความเสือกอย่างนี้เลย เห็นใจกูหน่อย”
เกลียดแม่ง
หมายถึงไอ้แฮชานเนี่ย เกลียดแม่ง
“รีบๆไปเคลียร์ซะ ก่อนกูจะถูกผัวมึงเคลมแทนมึงเนี่ย วอแวจนคนอื่นเขาจับจิ้นกันไปใหญ่ละ”
“กูไม่ได้เป็นเมียมัน” ผมเถียงเสียงดัง หน้ายับลงทันทีเมื่อถูกยัดเยียดตำแหน่งที่โคตรไม่โอเคไม่ให้ แมนๆอย่างผมจะเป็นเมียมันได้ไงจริงปะ ต้องอย่างมันนู้นเป็นเมี—
ลืมไป แม่งแมนกว่ากูอีก
โวะ! รำคาญ
“รีบๆดีกันสักทีเหอะเห็นละรำ ทำเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้มถูกหักอกไปได้นะมึงอะ”
“มึงแม่งไม่เข้าใจอะ” เออ ไม่เข้าใจหรอกว่าไอ้ความรู้สึกพังๆของผมใช่ว่าจะสร้างกลับขึ้นมาใหม่ได้ภายในวันสองวัน
“เออไม่เข้าใจครับ กูโสดไง เหม็นความรัก” มันเบ้ปากล้อเลียนจนน่าหมั้นไส้ อดไม่ได้ที่จะขวางหมอนอัดหน้ามันแรงๆ
“ไง ยิ้มได้แล้วดิ”
อ้าว นี่กูเผลอหลุดยิ้มหรอ?
ไม่เห็นรู้
“แหนะ ทำหน้าควายงงอีก”
“มึงสิควาย...ยิ้มเหี้ยไร” แล้วดูมายิ้มกริ่มใส่อีก ใครบ้างวะโดนเพื่อนยิ้มแซวแบบนั้นจะไม่หลุดยิ้มตาม อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งเนี่ยแหละที่เส้นตื้นบ้ายิ้มไปตามมัน
“ป่ะ ไปแต่งตัว” ไอ้แฮชานเปลี่ยนเรื่องพลางลุกขึ้นมาฉุดกระชากลากถูผมออกมาจากกองที่นอนเน่าๆ ที่ไม่ได้เก็บมาสองวันสองคืนเต็มๆ
“ไปไหน?”
“มัวแต่เศร้าทำห่าไรวะ let’s party tonight จ้าาา”
หลุดขำออกมาเล็กน้อยกับสำเนียงอิ๊งของไอ้แฮชาน จะว่าไปแล้วตั้งแต่มันเข้ามาในห้องนี่ทำเอาผมลืมความเศร้าหมองก่อนหน้าไปจนหมด(เพราะมัวแต่รบกัน) เนี่ยแหละมั้งข้อดีของการมีมันเป็นเพื่อน เพิ่งจะเห็นทำตัวมีประโยชน์จริงๆจังๆก็ตอนนี้
เพื่อนดีๆ แม่งมีคนเดียวก็เกินพอแล้วอะ
ว้อยย! พูดอะไรขนลุก
tbc.
ดราม่าได้ไม่นานจริงๆค่ะฟิคเรื่องนี้ ._.
#สิบคำถามมาร์คมิน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ม้าครีบๆมาเคลียร์เร้ววว
แจมฟังมาร์คก่อนนน รีบคืนดีกันะๆๆ
มีเพื่อนดี มันก็ดีอย่านี้แหละ
ทำให้คลายเศร้าไปเยอะเลยย
ไปปาร์ตี้กันนนน!
ตลกแฮช ปลอบใจได้กวนมาก