ตอนที่ 12 : Q : 6 เคยมีความลับกันบ้างปะ? (2)
อันธพาล...
คำนิยามสั้นๆของตัวผมในวัยสิบเจ็ดปี เด็กมัธยมปลายปีสองที่ล้วนแต่ทำทุกอย่างให้อยู่นอกกรอบ เพียงเพราะคิดว่ามันเท่ดี...ก็แค่นั้น
ดูเหมือนพฤติกรรมของผมจะทำให้พวกผู้ใหญ่ปวดหัวอยู่บ่อยๆ ถึงขนาดที่ว่าผมต้องย้ายโรงเรียนทุกครั้งที่เกิดเรื่องต่างๆมากมาย มันก็ไม่ต่างอะไรกับการหนีปัญหาหรอกผมว่า
แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว
ผมคิดแบบนั้นมาตลอดกระทั่งการเหยียบเข้ามาในโรงเรียนแห่งใหม่ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นความผิดพลาดที่เปลี่ยนแปลงผมไปตลอดกาล
“ไงมึง สักมวนปะ” ผมปรายตามองลี เจโน่ เพื่อนใหม่ที่ถือว่าสนิทที่สุดแล้วสำหรับการเริ่มต้นใหม่ที่โรงเรียนแห่งนี้ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความผมยื่นมือไปรับบุหรี่มาจุดสูบทันที
“มึงนี่แม่งโคตรฮอต มาไม่ถึงเดือนมีแต่สาวมารุมถีบ”
“จีบมั้ยล่ะไอ้สัส” ผมว่าติดตลก ส่ายหัวระอากับมุกเฝื่อนๆ ของมัน
“แต่คนนี้แม่งเด็ดจริง มึงควรไปโดน”
“ใครวะ” หัวคิ้วเลิกสูงขณะรอฟังคำตอบ ร้อยวันฟันปีเคยเห็นไอ้เจโน่มันโฆษณาเชิญชวนอะไรแบบนี้ที่ไหน แสดงว่าคนนี้น่าจะเด็ดอย่างที่มันบอกจริงๆ
“จูยองห้องสาม คนนั้นอะ” ผมมองตามปลายนิ้วไอ้เจโน่ที่ชี้ไปทางม้าหินอ่อนฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเห็นเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่และหนึ่งในนั้นกำลังมองมาที่ผมพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆส่งมาให้ “เพิ่งมาขอเบอร์มึงกับกูเมื่อกี้เอง”
เธอสวย...สวยมากๆ ผมไม่ปฏิเสธ
หากแต่ไม่ไกลออกไป เด็กผู้ชายตัวผอมที่นั่งถัดไปจากจูยองกับหยุดสายตาของผมเอาไว้ด้วยยิ้มสดใสกับบทสนทนาของเพื่อนๆในวงที่ผมไม่สามารถรับรู้ได้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่ แต่ดูจากรอยยิ้มของเจ้าตัวแล้วคงจะสนุกจริงๆนั่นแหละ
“โอ้โห กูนึกว่าแม่งยิ้มไม่ได้” น้ำเสียงตื่นเต้นของไอ้เจโน่ดึงให้สติผมกลับมาอีกครั้ง
“ใครวะ”
“ไอ้แจมินห้องสอง” และอีกครั้งที่ผมหันไปมองตามนิ้วไอ้เจโน่ ซึ่งเป้าหมายของมันก็ไม่ใช่ใครเลยนอกเสียจากเจ้าของรอยยิ้มสดใสเมื่อครู่
อ๋อ...ชื่อแจมิน
“วันๆแม่งทำแต่หน้านิ่ง เห็นละเมื่อยแทน” ผมหันไปมองคนที่เพิ่งรู้ชื่อจากไอ้เจโน่อีกครั้ง ฉับพลันมุมปากก็เผลอกรีดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเพียงแค่เห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มแย้มกับเพื่อนๆอย่างไม่รู้จบ
ความจริงจุดเริ่มต้นระหว่างผมกับแจมินมันควรจะสวยงามมากกว่านี้ ถ้าหากไม่ติดว่าผมเผลอถลำลึกไปกับจูยองเสียก่อน ถ้าจะพูดให้ถูกความสัมพันธ์ของเราไม่ได้ต่างอะไรกับ one night stan เลยสักนิด เธอไม่ได้ท้อง..แต่กลับเรียกร้องความรับผิดชอบจากผม ก็แค่การยอมเป็นแฟนให้เธอควงนิดหน่อย มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรผมคิดแบบนั้น เพราะยังไงแล้วคนสวยๆแบบเธอแล้วก็คงคิดได้แต่เรื่องอะไรแบบนี้
แต่ดูเหมือนการมาของผมในครั้งนี้และได้ปาร์ค จูยองไปเป็นแฟนจะสร้างปัญหามากมายตามมาไม่รู้จบ และหนึ่งในนั้นก็หนีไม่พ้นการทะเลาะวิวาท ผมไม่แน่ใจว่าโรงเรียนนี้แบ่งพวกกลุ่มอันธพาลเป็นกี่ก๊กกี่เหล่า แต่ดูทรงแล้วไอ้เวรที่ยืนอยู่ตรงหน้าคงจะใหญ่ที่สุดในรั้วโรงเรียนนี้
“ไงเด็กใหม่” เสียงน้ำของมันแฝงไปด้วยความไม่เป็นมิตรตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน หางตาชวนหาเรื่องเหลือบมองจูยองที่หลบอยู่ข้างหลังผมเล็กน้อยก่อนจะแค่นยิ้ม “ไม่คิดจะพูดไรหน่อยหรอ”
ผมเงียบ ใช้สายตาที่ไม่ได้แตกต่างไปจากมันมองกลับอย่างชวนตี
“กวนตีน?” มันเลิกคิ้วถาม “ไม่รู้หรอ ที่นี่กูใหญ่สุด”
“มึงจะใหญ่แค่ไหนกูไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือกูไม่กลัวมึง” แรงกระตุกที่แขนเสื้อเรียกสายตาผมให้หันไปมองเล็กน้อย จูยองมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เธอพยายามขยับริมฝีปากที่ไร้เสียงบอกให้ผม ‘ยอม’ และหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องกับไอ้เวรตรงหน้า
แต่...แล้วไงวะ?
ทำไมผมต้องยอม
แม่งไม่ใช่พ่อผมสักหน่อย
“หึ ถ้างั้นก็ยินดีต้อนรับสู่นรกนะ...ไอ้มาร์คลี”
สิ้นคำหมัดหลุนๆของไอ้เวรนั่นก็ตรงเข้ามากระแทกหน้าผมอย่างแรงจนล้มลงไปกับพื้น จูยองถูกกระชากออกไปจากผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เธอเอาแต่ยืนร้องไห้มองดูผมที่กำลังถูกยำตีน
โอเค...ตอนนั้นแม่งโคตรโกรธ ผมกัดฟันกรอด หยัดร่างกายให้ลุกขึ้นและปล่อยหมัดคืนใส่หน้าไอ้หัวโจก สภาพตัวเองโคตรย่ำแย่ รู้ทั้งรู้ว่าสู้ไปกับก็เสี่ยงจะแพ้เปล่าๆในเมื่อพวกมันมีเป็นสิบ แต่ผมมีตัวคนเดียว
แม้ร่างกายจะสะบักสะบอมแต่หัวใจผมกับสู้ไม่ถอย การตะลุมบอนกินเวลาอย่างต่อเนื่องไม่นานผมก็ได้ยินเสียงไอ้เจโน่ดังมาแต่ไกลก่อนจะตามมาด้วยฝีเท้าอีกหลากคู่ แยกแทบไม่ออกว่าใครเป็นใคร กลุ่มนักเรียนตรงหน้าแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายจนผมงุนงง แต่ที่แน่ๆคือดูเหมือนจะมีอีกหลายกลุ่มที่เกลียดไอ้เวรนั่นพอๆกับผมน่ะนะ ถึงจะได้ฉวยโอกาสมาตีกันตอนนี้
“มึงก็มั่นหน้าไปสู้นะ จะจมตีนยังไม่รู้ตัว” ไอ้เจโน่บ่นกระปอดกระแปดหลังจากสลับกันทำแผลระหว่างผมกับมัน วันนั้นผมไม่ได้กลับบ้านตัวเองแต่เลือกจะมานอนที่บ้านไอ้หน้าหล่อมันแทนเพราะรู้ดีว่ากลับไปยังไงก็ไม่พ้นสั่งให้ย้ายโรงเรียนอีก
“ก็แม่งมาหาเรื่องกูก่อน”
“ไอ้เหี้ยจุนไคแม่งก็เหลือเกิน ไม่รู้จะเบ่งอำนาจไปถึงไหนไอ้ควาย”
ไอ้เจโน่เล่าให้ผมฟังคร่าวๆว่าไอ้จุนไคมักจะมีเรื่องชกตีกับกลุ่มนักเรียนไปเรื่อยเพื่อรักษาตำแหน่งหัวโจกของตัวเองเอาไว้ เป็นเรื่องแปลกที่มันไม่ได้เก่งแต่ปากอย่างที่พูด มันสามารถเอาชนะได้ทุกครั้งจนกลายเป็นสิ่งที่ใครหลายต่อหลายคนพยายามหลบหนี
สุดท้ายก็ยกตัวเองเป็นใหญ่ เพราะคิดว่าไม่มีใครจะสามารถล้มมันได้...โคตรปัญญาอ่อน
สุดท้ายผมกับมันก็โคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง โดยมีเดิมพันเป็นตำแหน่งเฮงซวยของมัน ไอ้จุนไคยินดีรับคำท้านั้นอย่างไม่อิดออด การตะลุมบอนครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นอีกครั้งโดยมีลูกกระจ๊อกเป็นไอ้เจโน่และเพื่อนของเพื่อนไอ้เจโน่มันอีกที
ทั้งผมและมันผลัดกันรุกและรับเกมอย่างไม่มีใครยอมใคร หยาดเลือดที่เปรอะเปื้อนบริเวณมุมปากถูกปาดทิ้งก่อนจะถ่มน้ำลายซ้ำใส่หน้าไอ้เวรที่รัวซัดหมัดผมใส่ผมไม่ยั้ง ทว่าในจังหวะที่พยายามกระเสือกกระสนตัวขึ้นมาคร่อมและรัวหมัดใส่ไอ้จุนไคผมกับโดนมันกอดรัดแน่นจนขยับตัวไม่ได้ ผมพยายามดิ้นแรงๆหวังให้หลุดแต่มันกับไม่ง่ายขนาดนั้น
ไม่นานเสียงนกหวีดของอาจารย์ฝ่ายปกครองดังขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยวุ่นวายก่อนหน้ากับล้วนตกอยู่ในความสงบจนสามารถได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเอง
ทุกคนที่ก่อเรื่องราวทะเลาะวิวาทถูกนำมาอยู่ในห้องปกครองทั้งหมด ไม่มีใครพูดอะไรมีเพียงท่าทีหงุดหงิดบ่นรำคาญขณะที่อาจารย์ฝ่ายปกครองกำลังตรวจค้นอาวุธตามร่างกายของนักเรียน ผ่านไปหลายต่อหลายคนก็ดูจะเป็นปกติดีในเมื่อไม่พบอาวุธใดๆ จนกระทั่งผมถูกสั่งให้กางแขนพร้อมกับฝ่ามือหยาบของอาจารย์คนหนึ่งที่เดินมาหยุดตรงหน้าและเริ่มทำการตรวจค้นร่างกาย
“นี่มันอะไรกัน”
“!!!”
ซองพลาสติกขนาดเล็กที่ภายในบรรจุไปด้วยผงที่ขาวละเอียดจนเกือบเต็มถุงทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก เพียงแค่ปรายตามองก็รู้ว่ามันคืออะไร...โคเคน สารเสพติดอย่างหนึ่งที่นักเรียนไม่ควรจะมีไว้ในครอบครอง และใช่มันไม่ใช่ของผม แม่งต้องมีใครเล่นตลกอะไรแน่ๆ
“นั่นไม่ใช่ของผม” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง
“แต่มันอยู่ในตัวเธอจะเป็นของคนอื่นไปได้ยังไง” แต่ชายสูงวัยตรงหน้าไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อเลยแม้แต่น้อย “เป็นเด็กเป็นเล็กริอาจเล่นยาหรือไง”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ของผมไงวะ!!”
“หยุดนะมาร์คลี!!”
เสียงแข็งกร้าวจากหัวหน้าฝ่ายปกครองตะโกนกลับมาจนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ผมจ้องหน้าชายตรงหน้าอย่างไม่ลดละเพื่อที่จะตอกย้ำความบริสุทธิ์ของตัวเองว่าไอ้ยาเวรตะไรนั่นมันไม่ใช่ของผม...แต่ดูเหมือนสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อมันจะไปไม่ถึง
“ฉันคงต้องเชิญผู้ปกครองของเธอมารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น” แม้จะเป็นเพียงวินาทีสั้นๆ แต่ผมกับเห็นอย่างชัดเจนว่าไอ้เวรจุนไคกำลังแย้มยิ้มเย้ยหยันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง
ผมถูกไล่ออก
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือถูกเชิญออกนั่นแหละ พ่อกับแม่มาทำเรื่องที่โรงเรียนพร้อมกับยัดเงินจำนวนหนึ่งที่มากพอจะปิดเรื่องราวโสมมเอาไว้เพื่อแลกกับการที่ให้ผมเป็นฝ่ายลาออกไปเองและไม่ต้องส่งผมไปอยู่สถานพินิจ
ผมย้ายที่เรียนพร้อมกับถูกหมายหัวจากพ่อแท้ๆของตัวเอง พวกเขาไม่คิดจะฟังคำพูดของผมเลยสักนิด เอาแต่ปักใจเชื่อว่าสิ่งที่เห็นคือเรื่องจริงและผมกลายเป็นเด็กติดยาในสายตาพวกเขา หากมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองพวกเขาจะเป็นคนส่งผมไปอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกลเอง
โคตรแย่.....
ผมเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับโรงเรียนใหม่ พยายามลบเรื่องราวในอดีตออกไปและทำตัวให้เป็นผู้เป็นคนมากกว่าเดิม ตัวผมในวัยสิบแปดปีเริ่มคิดถึงอนาคตและคิดถึงตัวเองมากขึ้น ผมตั้งใจเรียนเพื่อที่จะสอบเข้ามหาลัยเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ทุกอย่างมันก็เกือบจะไปด้วยดีอยู่แล้ว ทว่าวงจรอุบาทว์นั่นก็วนลูปกลับมาอีกครั้ง
ผมกลับมาเจอกับไอ้จุนไค
หากแต่ครั้งนี้เราไม่ได้ทะเลาะกันเพราะเรื่องปัญญาอ่อนเหมือนครั้งที่ผ่านมา มันรุนแรงกว่านั้นจนผมเสียสูญความเป็นตัวเองเมื่อรู้ว่าคนรักคนปัจจุบันถูกไอ้เวรนั่นย่ำยีจนต้องเข้าไปรับการรักษาอาการทางจิตในโรงพยาบาล
โคตรอยากจะหยิบมีดมาแทงให้มันตายๆไปจากโลกใบนี้ แต่ผมทำไมได้ สิ่งที่ผมคิดไม่สามารถทำห่าอะไรได้เลยเพราะถ้าหากผมก่อเรื่องอีกคราวนี้พ่อคงได้ส่งผมไปอยู่ต่างประเทศจริงๆ สุดท้ายความคับแค้นใจตั้งแต่ครั้งในอดีตก็ถูกปล่อยลงบนใบหน้าของมันซ้ำๆจนสาแก่ใจ มันไม่ได้โต้ตอบกลับ หนำซ้ำยังหัวเราะเสียงดังที่เห็นผมโกรธจนแทบจะฆ่ามันได้อยู่รอมร่อ
ทุกมันควรจะจบ...
ใช่ ควรจะจบไปตั้งนานแล้ว ในเมื่อผมได้กลับมาเจอกับแจมินอีกครั้ง ทุกอย่างกำลังไปได้ดีแต่ไอ้เวรจุนไคก็หวนกลับมาอีกราวกับปีศาจซาตานที่คอยจองล้างจองผลาญผมไม่มีวันจบ
‘เมียมึงใช้ได้นี่หว่า’
ยอมรับว่าอยู่ๆความกลัวก็กลัดกุมจิตใจจนผมแทบบ้า ยิ่งหวนนึกถึงเรื่องของในอดีตยิ่งไม่อยากให้เรื่องร้ายๆแบบนั้นเกิดขึ้นกับแจมิน ผมคงทำใจไม่ได้และไม่มีวันทำใจได้เป็นครั้งที่สอง ผมตัดสินใจโทรหาไอ้เจโน่อย่างจนปัญญา และสิ่งทีได้รับกลับมาก็ทำให้หัวใจผมชื้นขึ้นมาเล็กน้อยราวกับความหวาดกลัวถูกปัดเป่าจนมองเห็นหนทางที่จะเป็นอิสรภาพ
“ไง วันนี้ไม่ตามไปส่งเมียหรอวะ” มันเย้ยถามพลางแค่นยิ้มสมเพช ควันบุหรี่ถูกพ่นทิ้งอย่างไม่หยีระก่อนที่มันจะปล่อยทิ้งลงสู่พื้นและเลื่อนปลายเท้าตามไปขยี้จนมอดดับ “เหมือนชีวิตมึงเลยว่ามั้ย”
ไอ้จุนไคว่าพลางปรายตามองมวนบุหรี่ที่เท้าสลับกับผม
“บอกตัวเองเถอะไอ้สัส”
ปลายเท้าที่ไปไวกว่าคำพูดตรงเข้าถีบแรงๆที่หน้าอกมันจนหงายหลัง เหตุการณ์เดจาวูคล้ายกับครั้งในอดีตหวนกลับคืนมาอีกครั้ง ผมคร่อมทับมันพร้อมกับปล่อยหมัดเน้นๆลงไปที่ใบหน้าจนกลายเป็นแผลฟกซ้ำ ไม่นานมันก็พลิกตัวกลับขึ้นมาปล่อยหมัดผมได้ และในจังหวะนั้นเอง...
ผมกอดรัดมันเหมือนกับที่มันเคยทำกับผมพลางเพยิดหน้าให้ไอ้เจโน่ที่ยืนหลบอยู่อย่างรู้กัน สักพักกำลังเสริมของตำรวจก็บุกเข้ามาในพื้นที่พร้อมจับกุมกลุ่มของไอ้จุนไคและผมไปที่โรงพักด้วยกันทั้งคู่ สีหน้าแสดงอาการหวาดกลัวของมันยังคงติดตาผมอยู่ กลับกันผมกับเป็นฝ่ายแค่นยิ้มที่ทุกอย่างกำลังจะจบจริงๆเสียที
ผมถูกปล่อยตัว...
แต่ไอ้จุนไคกับถูกจับข้อหามีสารเสพติดไว้ในครอบครอง มันโวยวายด่าทอไม่ได้ศัพท์ว่ายาที่ค้นเจอไม่ใช่ของมัน แต่โชคร้ายที่ผลตรวจปัสสาวะออกมาเป็นสีม่วง ท้ายที่สุดแล้วมันก็ถูกจับเข้าตารางอยู่ดี
จบสักที....
JAEMIN.
ไอ้มาร์คไม่มาเรียน
วันที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่มันไม่โผล่หัวมาเรียน การกระทำของมันยิ่งตอกย้ำความจริงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกว่าคนคนนั้นคือมัน...
ทำไมวะ?
ในหัวผมมีแต่คำคำนี้ลอยเต็มไปหมด อยากจะถาม อยากจะฟังคำอธิบายจากปากมัน จนแทบไม่เป็นอันทำอะไร ข้อความที่ถูกส่งไปหามันเป็นสิบๆข้อความก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากมันเลยแม้แต่ข้อความเดียว
ได้มาร์คลี จะเล่นกันแบบนี้ใช่มั้ย
ผมยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าห้องพักของไอ้มาร์คพลางกดออดเรียกย้ำๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะออกมาเปิดประตูให้สักที จนผมต้องเปลี่ยนจากกดออดมาเป็นตะเบ่งเสียงเรียกชื่อมันแทน
“แจมินมาทำอะไรที่นี่” ไอ้มาร์คที่คล้ายกับเพิ่งกลับมาจากข้างนอกถามออกมาด้วยสีหน้าซื่อๆ แผลตามใบหน้าของมันจางลงไปเยอะแล้วแต่หากเพ่งสายตามองดีๆก็ยังเห็นอยู่จางๆ
“มึงนั่นแหละหายไปไหนมา กูเป็นห่วงไม่รู้หรอ” คนถูกต่อว่าคลี่ยิ้มออกมาบางๆก่อนจะส่งมือมาขยี้เส้นผมของผมจนยุ่งไม่เป็นทรง
“ดีใจจังที่เป็นห่วง” มันว่าด้วยสีหน้ายิ้มๆ “แต่เราไปทำธุระมาน่ะ...เข้ามาก่อนสิ”
ในห้องของมันยังคงเงียบสนิทเหมือนกับครั้งแรกที่ได้เข้ามาเหยียบไม่มีผิดเพี้ยน ผมกวาดตามองไปรอบๆห้องแต่ก็ไม่พบอะไรที่เป็นสิ่งผิดปกติ เลยจำต้องเลื่อนสายตากลับมามองเจ้าของห้องเหมือนเดิม
“หายไปไหนมา” ผมกอดอกถามคำถามซ้ำ หรี่สายตามองมันเผื่อว่าจะเจอท่าทีมีพิรุธ...แต่ก็ไม่
“แม่เราป่วยกระทันหันน่ะ เลยต้องไปดูแล” ผมเม้มริมฝีปากชั่งใจอยู่พักใหญ่ๆ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพูดของไอ้มาร์ค “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ”
ไม่พูดเปล่า ใบหน้าที่ไร้แว่นสายตายังเลื่อนเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับยิ้มล้อเลียน “หิวมั้ย”
“อือ ทำให้กินหน่อย”
“งั้นขออาบน้ำแปปนึงนะ”
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ได้เห็นหน้ามันอาการขุ่นมัวหงุดหงิดหลายวันที่ผ่านมากลับหายเป็นปลิดทิ้ง จริงอยู่ที่เรื่องวันนั้นยังคงติดค้างอยู่ในใจ แต่ในเมื่อมันไม่อยากเล่าผมก็จะไม่เซ้าซี้ อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะปิดไปอีกถึงเมื่อไหร่
หล่อกว่าพี่ก็พ่อพี่แล้วครับ.
มึงแก้งานเสร็จยัง
ด่วนๆเลย
หล่อกว่าไอ้แฮช.
ไหนว่าส่งอาทิตย์หน้า
หล่อกว่าพี่ก็พ่อพี่แล้วครับ.
กูจำวันส่งผิดวันอะ ซอรี่ๆ
หล่อกว่าไอ้แฮช.
เออๆ เดี๋ยวกูส่งให้ ในเฟสนะ
งานที่ว่าคือของวิชาเลือกน่ะ ไม่ใช่ของจองเวรหรอกครับ โชคดีนะที่ผมทำเสร็จแล้วแถมรอบคอบเอาฝังไว้ในเฟสบุ๊คตัวเอง ไอ้แฮชานนี่แม่งใช้ไม่ได้จริงๆทำไมไม่เอาผมเป็นแบบอย่าง เห้อ
“มาร์ค ยืมคอมหน่อยนะ” ผมตะโกนบอกไอ้มาร์คที่หายต๋อมเข้าไปในห้องน้ำตั้งแต่เมื่อกี้ ถ้าจำไม่ผิดผมว่าผมจำได้ลางๆว่าในห้องนอนมันมีคอมพิวเตอร์หนึ่งตัว ก็ตามนั้น ขอยืมหน่อย ของแฟนก็เหมือนของเรานั่นแหละ จริงป่ะ?
เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนมันได้ก็กระโดดขึ้นเก้าอี้โต๊ะคอมอย่างรวดเร็ว ระหว่างรอเครื่องบูตก็ฉวยโอกาสมองไปรอบห้องมันพลางๆ...เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมลากสายตากลับมาสนใจที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ไล่สายตามองหาตัวเบราว์เซอร์ที่จะใช้ส่งงานให้ไอ้แฮชชาน จนกระทั่งไปสะดุดเข้ากับเกมที่แสนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ยอมรับเลยว่าตกใจที่ไอ้มาร์คก็เล่นเกมนี้เหมือนกัน ไม่คิดว่าเด็กเรียนอย่างมันจะเจียดเวลามาเล่นเกมอะไรแบบนี้
ผมรีบกดเข้าไปอย่างไม่รีรอไล่มองเมนูมากมายที่ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ค่อยๆไล่ดูตัวละครที่มันเล่นด้วยอัตราการเต้นของหัวใจที่สูบฉีดเลือดแรงขึ้นเรื่อยๆ ปลายนิ้วผมเย็นเยียบขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อตัวละครที่คุ้นสายตาเป็นอย่างดีถูกใช้สเตจเนมว่า ‘เอ็ม’
อยู่ๆ ความคิดที่ว่าไอ้มาร์คคือคนคนเดียวกับเอ็มก็แวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง ผมเผลอขมวดคิ้วแน่น หรือไม่บางทีมันก็อาจจะเพียงเรื่องบังเอิญ...บังเอิญว่าสองคนนี้คล้ายกับแม้กระทั่งคำพูดในช่องแชทและบุคคลที่คุยด้วยก็คือ
ผมเอง...
ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะนั่งอ่านบทสนทนามากมายที่เคยคุยกับ ‘ใครอีกคน’ มันเหมือนกันทุกระเบียบนิ้วจนผมต้องยกมือขึ้นมากุมก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายที่บีบตัวรุนแรงถี่ขึ้นราวกับจะกระเด็นออกมาด้านนอกในไม่ช้า
เสียงฝีเท้าด้านหลังหยุดชะงักกึกอยู่กับที่ ผมค่อยๆหันกลับไปมองบุคคลที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวกว่าครั้งไหนๆ ไอ้มาร์คมีท่าทีกล้ำกลืนอย่างชัดเจน แววตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิดยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่
ผมไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าควรจะทำสีหน้าแบบไหนขณะที่กำลังสบสายตากับมัน เลยเลือกที่จะหลบสายตาและขบเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นเมื่อรู้สึกว่ามันแห้งผากขึ้นมาเสียดื้อๆราวกับคนไม่ได้กินน้ำมาแรมปี
“...มึงเองหรอ” กว่าจะเค้นเสียงของตัวเองเจอยังไม่น่าตกใจเท่ากับน้ำเสียงที่สั่นเครือจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ของตัวเอง
tbc.
เปิดการ์ดดราม่าเฉย ถถถถ.
#สิบคำถามมาร์คมิน
ขอบคุณที่เข้าไปสกรีมกันในแท็กนะคะ
ชอบมากๆ 5555555555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เริ่องใหม่เข้ามาแทรกอีกแล้ว
โอ้ยยยยยยย สตรองนะม้าคลี
เปิดการ์ดดราม่ามา ชุ้นควรเข้าข้างมาร์คหรือนาแจมดี