คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Book I, Chaptre IV: The Guardian of the Sky (ผู้พิทักษ์ผืนฟ้า)
Chaptre IV
The Skyes Gardeyn
“หลบไปก่อน”
ได้ยินคำสั่งเด็ดขาดจากผู้เป็นพ่อ เด็กสาวก็พยักหน้าตอบรับถึงจะไม่อาจหลบออกไปจากตรงนั้นได้ ข้อเท้าข้างหนึ่งที่พลิกอยู่เป็นอุปสรรคต่อการขยับตัวอย่างมาก วาเลรี่รู้ดีว่าตอนนี้เธอกลายเป็นสัมภาระชิ้นหนึ่งที่เขาต้องดูแลเสียแล้ว
นิวล์ดึงดาบจากฝักมาถือไว้ในมือซ้าย เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับนกยักษ์อย่างไม่เกรงกลัว
ดูเหมือนนกตัวนั้นจะเข้าใจสิ่งที่นิวล์พยายามจะสื่อ มันร้องคำรามดังลั่นจนแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ยังต้องสั่นไหว และเมื่อสิ้นเสียงกู่ร้องของพญาปักษาแผ่นดินก็สงบลงทันใด
นั่นคือสัญญาณเปิดสังเวียนประลองระหว่างมนุษย์คนหนึ่งกับนกยักษ์!
แม้แผ่นดินไหวจะหยุดไปแล้วแต่แสงสว่างจากพื้นดินยังคงอยู่ นกยักษ์กระพือปีกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มันบินวนไปรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถลาลงมายังพื้นดินพร้อมกับกรงเล็บคมกริบ ถึงแม้จะตัวใหญ่แต่มันกลับบินกลับโฉบไปมาได้อย่างรวดเร็ว ชายผมทองกระโดดหลบกรงเล็บแหลมของมันไม่ทันจนโดนถากเข้าที่ต้นแขน แต่เขายังปลอบตัวเองว่าเมื่อครู่ตนรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
เลือดสีแดงสดที่ซึมออกมาจากบาดแผลค่อย ๆ หยดลงสู่พื้น นิวล์ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนั้นมากนักเมื่อเห็นว่าเจ้านกยักษ์กำลังจะโฉบลงมาอีกรอบ เขาไม่สามารถเงยหน้ามองนกตัวนั้นแล้ววิ่งไปพร้อม ๆ กันได้ แต่พญานกกลับสามารถก้มลงมองเหยื่อในขณะที่ตัวเองบินอยู่ได้สบาย ๆ
เขาจึงต้องคิดหาทางรอดในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ
พญานกกำลังถลาลงมาจากบนฟ้า และในเมื่อหลบไม่ได้ก็คงต้องโจมตีสวนกลับไป
คิดได้ดังนั้น นิวล์จึงเหวี่ยงดาบเข้าใส่กรงเล็บที่พุ่งเข้ามาหาตน
เคร้ง!
ดาบใหญ่ปะทะเข้ากับอุ้งเท้าของพญาปักษาให้เสียงไม่ต่างจากโลหะสองชิ้นกระทบกัน
“อึก...” ชายผมทองจับดาบมั่นด้วยสองมือแต่ไม่อาจสู้แรงนกยักษ์ได้
พญานกกระพือปีกแรงขึ้นหมายให้ลมกรรโชกจากกำลังปีกของตนพัดให้คู่ต่อสู้ล้มลง แต่นิวล์ไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นง่าย ๆ เขาผลักดาบไปทางขวาแล้วเบี่ยงตัวออกด้านซ้าย
พญานกเมื่อถูกผลักออกก็เซถอยไปเล็กน้อย นิวล์จึงได้โอกาสพุ่งตรงไปที่นกยักษ์แล้วใช้สองเท้าถีบตัวเองให้ลอยสูงขึ้นจากพื้น เขาจับดาบด้วยมือข้างเดียวเพื่อให้เหวี่ยงได้ถนัดในขณะที่ตัวเองกระโดดสูงจากพื้นอย่างแคล่วคล่อง เมื่อเข้าใกล้นกยักษ์ที่บินอยู่สูงจากพื้นไม่มากนิวล์ก็ตวัดดาบเป็นวงกลมรอบตัว
วิถีดาบตวัดโดนเพียงปลายปีก… เขาไม่เร็วพอ
ช่องว่างนั้นเปิดโอกาสให้พญานกหมุนตัวให้ปีกอีกข้างกระแทกเข้าที่กลางตัวของคู่ต่อสู้
“อึก!” นิวล์ที่ถูกปัดให้กระเด็นไปกระแทกต้นไม้พยายามยันตัวลุกขึ้น วาเลรี่จึงกัดฟันทนความเจ็บปวดที่ข้อเท้าเพื่อวิ่งเข้าไปหาพ่อของตน
“พ่อ!”
“พ่อไม่เป็นไร” นิวล์ตอบ “พ่อไม่น่าชนะมันได้”
“หนีเถอะพ่อ” วาเลรี่รีบเสนอทางรอด นิวล์พยักหน้าตอบก่อนที่จะกึ่งลากกึ่งประคองลูกสาวให้วิ่งกลับเข้าไปในป่า
“เจ้าพวกเดโมเทียนขี้ขลาด!” เสียงของพญานกยังคงดังก้องไปทั่วหุบเขา “คนอย่างพวกเจ้าไม่สมควรก้าวเท้าเข้ามาเหยียบสถานที่แห่งนี้!”
รอยทางเบื้องหน้าถูกกลืนไปด้วยหมอกหนาที่โรยตัวลงมาอย่างรวดเร็วผิดธรรมชาติ เธอไม่รู้ว่าพ่อตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางใด แต่ไม่ว่าหันไปทางไหน ๆ ก็เห็นแต่ความวุ่นวายจากกิ่งไม้ใบไม้ที่ถูกสายลมพัดให้หมุนวน ต้นไม้ต้นใหญ่ตกลงมาจากฟ้ามาขวางหน้าและโดยไม่ต้องสงสัยเธอก็รู้ได้ว่าเป็นฝีมือของสัตว์ประหลาดตัวนั้น
มันไม่ใช่ต้นสุดท้าย อีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นต้นไม้ใหญ่อีกต้นก็ถูกโยนลงมาปักคาพื้นห่างจากวาเลรี่ไปไม่ถึงยาร์ด เธอเงยหน้ามองพ่อที่สีหน้ามีแต่ความเคร่งเครียด ยิ่งเพราะหมอกทึบบดบังทัศนวิสัยทำให้ทางเลือกของพวกเขามีจำกัด
“พ่อ… พ่อ!!!”
วาเลรี่กรีดร้องเมื่อต้นไม้ต้นที่สามพุ่งตรงลงมา ในวินาทีนั้นเองที่นิวล์ดึงตัวลูกสาวออกจากวิถีของมันแล้วกอดเธอเอาไว้ด้วยสองมือ
ตอนนั้นเองที่เด็กสาวเหลือบไปเห็นแสงสว่างท่ามกลางกลุ่มหมอก
“นั่น…” เธอเพ่งตรงไปที่แสงสว่างนั้นจึงเห็นเป็นเค้าโครงราง ๆ ของสิ่งปลูกสร้าง “พ่อ! ทางรอด!”
ชายผมทองมองตามทิศที่นิ้วชี้ไปก่อนก้มลงมองหน้าลูกสาว ในครู่เดียวเขาก็ตัดสินใจประคองเธอวิ่งตรงไปยัง ‘ทางรอด’ ที่ว่า ผ่านพงไม้และหมอกหนาไปคือทุ่งหญ้ารกร้างซึ่งเป็นที่ตั้งของซากกำแพงหินที่หลงเหลืออยู่จากสิ่งปลูกสร้างนับสิบหลัง
นิวล์พาลูกสาวตรงไปยังอาคารที่ดูสูงใหญ่และสมบูรณ์กว่าหลังอื่น ๆ กำแพงของอาคารหลังนั้นถูกสร้างจากหินไม่ได้ขัดทั้งด้านนอกและด้านในโดยมีเพียงช่องหน้าต่างแคบ ๆ ประมาณสิบบานทำให้ตัวอาคารดูแข็งแรง ทันทีที่ก้าวเข้ามาด้านในวาเลรี่ก็ทรุดลงพิงผนังแล้วหอบหนัก ๆ นิวล์เองก็เก็บดาบเข้าฝักแล้วนั่งลงข้าง ๆ เธอ
“พ่อ เรารอดแล้วใช่ไหม?” เด็กสาวหันไปมองชายผมทองที่รักษาท่าทางสงบเสงี่ยมไว้ได้อย่างดีเยี่ยมแม้จะในสถานการณ์คับขัน
“พ่อก็ไม่แน่ใจ”
เป็นคำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้เธอสบายใจมากขึ้นเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยกำแพงสี่ด้านก็ทำให้เธอได้โอกาสพักหายใจพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ โดยมีแสงจันทร์ส่องลอดรูหน้าต่างบานแคบคอยให้แสงสว่าง สองข้างจากกำแพงด้านยาวมีเสาหินตั้งเรียงรายจากพื้นสูงไปถึงเพดาน ส่วนตรงที่ว่างกลางห้องโถงใหญ่มีเก้าอี้ไม้ยาว ๆ ไม่มีพนักพิงตั้งเรียงเป็นแถวสองแถวโดยมีช่องทางเดินตรงกลางที่นำไปสู่ด้านในสุดซึ่งเป็นที่ตั้งของแท่นหินกับรูปสลักขนาดเท่าตัวคน
“นี่คือที่เขาเรียกว่าโบสถ์เหรอ พ่อ” วาเลรี่สะกิดแขนผู้เป็นบิดา
นิวล์จึงพยักหน้า “ไม่ค่อยใช่โบสถ์สำหรับคนทั่วไปเท่าไหร่ แต่ก็คงคล้าย ๆ กัน”
“ข้าไม่เข้าใจ…”
“ก็แค่โบสถ์ของคนที่นับถือพระเจ้าองค์อื่น” เขาไม่มีท่าทางจะยอมอธิบายต่อก็ส่งคันธนูกับกระบอกลูกธนูให้เด็กสาว “วาเลรี่ ฟังพ่อ ลูกวิ่งเข้าไปซ่อนในห้องหลังแท่นบูชาจนกว่าข้างนอกจะเงียบ เข้าใจไหม? ลูกวิ่งเข้าไป ปิดประตูเอาไว้ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น”
“แล้วพ่อล่ะ?”
วาเลรี่จ้องหน้าเขา แต่ชายผมทองไม่ตอบอะไร เขาเพียงดึงให้ลูกสาวยืนขึ้น
“พ่อ?”
ตูม!
เธอไม่มีโอกาสได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น ต้นไม้ต้นใหญ่ถูกโยนทะลุหลังคาลงมาตามด้วยเสียงประกาศก้องจากปากพญานก “พวกเจ้าหมดทางหนีแล้ว!”
วาเลรี่เงยหน้ามองหลังคาที่กำลังถล่มลงมาด้วยความตกใจ นิวล์จึงต้องดึงตัวลูกสาวหลบเศษกระเบื้องจากหลังคา เขามองขึ้นไปก็เห็นว่านอกจากนกตัวเดิมที่เขาเพิ่งสู้ด้วยแล้วยังมีนกตัวเล็กกว่าอีกสองตัวบินวนไปมาอยู่ด้านบน
“หลังแท่นบูชา! ไป!” นิวล์ผลักหลังลูกสาวให้วิ่งนำไป แต่แล้วต้นไม้ใหญ่อีกต้นก็ถูกโยนลงมา…
ตูม!!!
ควันจากเศษหินเศษดินคละคลุ้งบดบังทัศนวิสัย วาเลรี่เอื้อมมือออกไปยังอากาศว่างเปล่าก่อนที่มือจะไปสัมผัสโดนเปลือกไม้แข็งและหยาบ
“วาเลรี่! เป็นอะไรหรือเปล่าลูก!? อึก!” เสียงของนิวล์ดังมาจากอีกฝั่งของต้นไม้ใหญ่ เสียงนั้นฟังดูเหมือนว่าเขากำลังเจ็บปวด
“พ่อ! ข้าไม่เป็นไร! พ่อ!”
เสียงของเธอถูกกลืนหายไปกับเสียงของเพดานโบสถ์ที่ถล่มลงมากระแทกพื้น พญานกทิ้งน้ำหนักตัวเองผ่านหลังคาลงมายืนบนซากต้นไม้ ดวงตาสีทองลุกวาวจ้องมาที่เด็กสาววัยสิบสี่ปี วาเลรี่ที่ทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่จับคันธนูขึ้นน้าวสาย เล็งธนูไปที่นกยักษ์ด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ
พลั่ก!
แต่ก่อนที่จะได้ปล่อยมือออกจากสายธนู เด็กสาวก็ถูกปีกใหญ่ปัดกระเด็นผ่านประตูเล็ก ๆ เข้าไปยังห้องทางด้านหลังแท่นบูชา
“อึก!” วาเลรี่พยายามยันตัวขึ้นจากท่าก้มหน้าก่อนจะรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดในปาก เธอพลิกตัวขึ้นนั่งพิงเสาหินหายใจเข้าลึก ๆ แล้วมองไปรอบ ๆ ห้องทรงแปดเหลี่ยมที่ถูกตกแต่งด้วยกระจกหน้าต่างหลายบานแต่ในยามนี้ไม่มีแสงส่องผ่านลงมา หัวใจของเด็กสาวเต้นแรงในขณะที่สมองสั่งให้สายตากวาดมองทุกอย่างในห้องอย่างพินิจพิเคราะห์เพื่อหาทางรอด ทั้งเป็นห่วงชีวิตตัวเองทั้งเป็นห่วงความปลอดภัยของพ่อที่อยู่ด้านนอก
แล้วสายตาก็ไปสะดุดอยู่ที่ร่างที่นอนอยู่บนเตียงกลางห้อง
‘นั่นใครน่ะ?’ เด็กสาวคลานเข้าไปใกล้พลางร้องเรียก “เฮ่! ช่วยด้วย… อ๊า”
ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสร่างร่างนั้น วาเลรี่ก็ผละออกมาด้วยความตกใจเมื่อสิ่งที่สัมผัสได้ไม่ใช่ความยืดหยุ่นของผิวหนังคนแต่เป็นความเย็นยะเยือกของรูปสลักหิน
“ไอ้เด็กเดโมเทียน! คิดว่าอยู่ในนั้นแล้วจะหลบพ้นเหรอ!?”
เสียงของพญานกดังก้องจากรอบทิศ พื้นดินโดยรอบเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง วาเลรี่หัวใจเต้นแรงทั้งยังรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นที่เริ่มซึมออกมาแม้จะอยู่ท่ามกลางอากาศเย็นจนเกือบหนาว ส่วนสายตามุ่งความสนใจไปยังดาบสีทองที่อยู่ใต้มือสองข้างประสานกันของรูปสลัก
ขณะที่เด็กสาวเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่ดาบเล่มนั้น มันก็เริ่มส่องแสงสว่างเรืองรองราวกับเชื้อเชิญ… แสงสีเดียวกับที่เธอเห็นส่องสว่างอยู่กลางหมอก แสงแสงเดียวกับที่นำพาเธอมาถึงวิหารแห่งนี้ วินาทีนั้นเองที่วาเลรี่รู้ว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของมันและมันเป็นส่วนหนึ่งของเธอ
เด็กสาวยื่นมือเข้าไปหาดาบเล่มนั้น
ฉับพลันทันใดภาพของโบสถ์ที่มืดสนิทก็ถูกแทนที่ด้วยทุ่งหิมะกว้าง กำแพงแสงสีทองปรากฏขึ้นห่อหุ้มรูปสลัก และมันกั้นขวางไม่ให้แขนของวาเลรี่ขยับเข้าไปใกล้ได้มากกว่านั้น
“เกิด… อะไรขึ้น!?”
เด็กสาวกัดฟัน แต่เสียงที่ออกจากลำคอกลับไม่ใช่เสียงของเธอ
“ถึงคราวที่เจ้าต้องสานต่อ ดาบเล่มนี้เป็นของเจ้า” เสียงทุ้มต่ำจากด้านหลังเอ่ยออกมาด้วยภาษาโบราณที่วาเลรี่ไม่รู้จัก มันไม่ใช่ภาษาที่เธอใช้พูดกับพ่อและน้องชายและมันไม่ใช่ภาษาที่เธออ่านจากหนังสือที่พ่อหามาให้ แต่ไม่ว่าเพราะเหตุผลใด--เธอกลับเข้าใจทุกถ้อยคำ
วาเลรี่ไม่ได้หันไปมองต้นเสียง สายตาของเธอได้แต่จับจ้องไปที่อัญมณีเม็ดงามบนดาบเล่มที่อยู่ตรงหน้า
หินอ่อนถูกประกายแสงสีทองย้อมให้กลายเป็นกายเนื้อ จากรูปสลักกลับกลายเป็นร่างของใครบางคนที่กำลังหลับใหลบนแคร่ไม้ ชายผู้นั้นอยู่ในเรือนผมสีดำขลับเช่นเดียวกับสีของแผ่นปีกคู่ใหญ่บนหลัง และร่างกายส่วนที่พ้นออกมาจากชุดเกราะโซ่ถักนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล ภาพตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกปวดใจอย่างไม่มีเหตุผล
“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร!?”
เสียงที่ยังไม่แตกของเด็กผู้ชายวัยแรกรุ่นถูกเค้นออกมาจากลำคอ
“มีคนทรยศ เดโมเทียนพวกนั้น”
วาเลรี่หันไปตามเสียงก็พบแต่ห้องที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นเธอก็ต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะเมื่อรอบกายปรากฏเป็นแสงวูบวาบ และภาพของห้องหลังแท่นบูชาถูกซ้อนทับด้วยเงาของผู้คนจำนวนมากตัดกับพายุหิมะสีขาวโพลน
ความรู้สึกบางอย่างก่อขึ้นในหัวใจ มันเหมือนกับความรู้สึกผิดตอนที่เด็กสาวเห็นน้องชายของตัวเองโดนเงาดำลากออกไป แต่คนที่ก้มลงมองร่างที่นอนแน่นิ่งต้องแบกรับความรู้สึกที่รุนแรงกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า ต่างจากความเหน็บหนาวของพายุหิมะหมุนวนอยู่รอบกายคือไฟของความเคียดแค้นซึ่งแอบแฝงอยู่ภายในหัวใจดวงนั้น
กำแพงแสงซึ่งกั้นระหว่างเธอกับดาบเล่มนั้นออกแรงต้านเป็นทวีคูณ อากาศซึ่งเติมเต็มพื้นที่ว่างเปล่าต่างเริ่มหมุนวนไปพร้อมกับเกล็ดหิมะ สายลมพัดพาเอาแสงสว่างฉายส่องให้บิดเบี้ยว สำหรับสิ่งที่เหลือไว้--ความมืดไร้ต้นตอและไร้ที่สิ้นสุดเข้าเกาะกุมทุกส่วนของร่างกายแต่ไม่อาจหยุดความปรารถนาของเจ้าของดวงตาที่จับจ้องตรงไปยังดาบสีทอง
วาเลรี่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือโชคชะตา
เธอเอื้อมมือไปสุดแขน
ฉับพลันทันใด เสียงเปรี้ยงปร้างจากด้านนอกก็ดังขึ้นพร้อมกับแสงสว่างที่พุ่งออกมาจากดาบที่เคยหลับใหลอยู่ใต้สองมือที่ประสานกัน
ต่างจากแสงอื่น ๆ ลำแสงสีทองไม่สามารถถูกกั้นขวางได้โดยความมืดหรือเงาของสิ่งกีดขวางใด ๆ
แสงสว่างจากดาบเล่มงามสาดส่องทะลุกำแพงและหลังคาของโบสถ์เก่าขึ้นสู่ท้องนภา
และในแสงนั้นวาเลรี่ได้ยินเสียงพูดคุยจากรอบด้านโดยที่เธอแทบจับความไม่ได้
แววตาของใครหลายคนกลับมองตรงมาที่เธอด้วยอารมณ์หลากหลาย
คาดหวัง เชื่อมั่น ชื่นชม ยำเกรง หวาดกลัว สงสาร สมเพช
สายตาเหล่านั้นมองตรงมาที่เจ้าของดาบคนใหม่
และท่ามกลางแสงสว่างส่องประกาย
เธอได้ยินเสียงกระซิบ
…
..
.
“กลับมาแล้วสินะ…”
ความคิดเห็น