คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Βook I, Chaptre III: The Father and His Daughter (พ่อกับลูกสาว)
Chaptre III
The Fader and His Doghtre
“อุ้ฟ… แค่ก! แค่ก!”
สิ่งแรกที่วาเลรี่รู้สึกเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งคืออะไรบางอย่างที่จุกอยู่ที่ลำคอจนหายใจไม่ออก เธอดิ้นและพลิกตัวคว่ำหน้าลง กำปั้นและข้อศอกกดลงกับพื้นดินแข็ง ๆ ในขณะที่ลำคอพยายามขย้อนเอาอะไรก็ตามที่อยู่ด้านในออกมา มือข้างหนึ่งจับเข้าที่ไหล่แต่เด็กสาวปัดมันออก แต่ทันใดนั้นมือข้างเดิมก็เปลี่ยนเป็นโอบรอบหัวไหล่แล้วดึงตัวเธอขึ้นไปซบหน้าอกอบอุ่นพร้อมด้วยถ้อยคำปลอบโยน
“วาเลรี่! ใจเย็น ๆ ลูก… พ่ออยู่นี่แล้ว”
เสียงของเขาทำให้เด็กสาวยอมลืมตาและเงยหน้าขึ้น
รอบกายไม่ใช่ความมืดและเงียบสงัดอีกต่อไป รอบตัวของวาเลรี่คือหมอกหนาและแสงสว่างราง ๆ พร้อมด้วยเสียงนกขับขานในยามเช้าตรู่ วาเลรี่รู้สึกเจ็บระบมที่ขมับด้านขวา แต่ความเจ็บปวดทั้งหมดนั้นทุเลาลงเมื่อนิ้วโป้งของใครบางคนคอยขยับลูบไปตามรอยช้ำอย่างแผ่วเบา
ตรงหน้าของเธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายผมทองเจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตคนเดิม เขายังคงใส่เสื้อผ้าป่านสีขาวเก่า ๆ ตัวเดิมหากไม่นับเสื้อนอกสีเขียวเข้มกับเกราะหนังที่อยู่ใต้ผ้าคลุมไหล่สีน้ำตาล แต่ในตอนนี้เขากลับคาดฝักดาบไว้ที่เอว--ดาบเล่มเดียวกับที่เขามักจะซ่อนไว้ใต้เตียง--พร้อมด้วยคันธนูดั่งเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องร้าย ๆ เห็นดังนั้นสมองก็นึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่เมื่อนึกถึงภาพของน้องชายที่ถูกเงาดำลากออกไป
“พ่อ ข้าขอโทษ อันตอน… อันตอน…”
วาเลรี่รีบก้มหน้าลง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคืออะไร รู้แต่เพียงว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเธอที่ไม่ยอมเชื่อฟังพ่อ
ในเวลาที่เด็กสาวคิดว่าจะโดนดุอีกตามเคย นิวล์กลับเลื่อนมือมาลูบหลังเธอพลางเอ่ยอย่างใจเย็น “ไม่เป็นไรลูก ใจเย็น ๆ ก่อน พ่ออยู่นี่แล้ว ลูกเหงื่อออกแล้วก็กัดฟัน คงฝันร้ายสินะ? พ่อขอโทษที่ไม่ได้มาเร็วกว่านี้”
ผู้เป็นพ่อค่อย ๆ ประคองลูกสาวให้นั่งพิงตอไม้ใหญ่ วาเลรี่ยอมทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะรับถุงหนังใส่น้ำที่นิวล์ส่งให้ เด็กสาวยกน้ำขึ้นดื่มพลางมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าตนเองยังอยู่ในป่าที่เดิมกับที่เจอสัตว์ประหลาดเมื่อครู่นี้ เพียงแต่ตอนนี้เวลาคงผ่านไปไม่ต่ำกว่าสิบสองชั่วโมงจนฟ้าเริ่มสาง
“อยู่นิ่ง ๆ ก่อน” ชายผมทองรับถุงหนังกลับไปก่อนเทน้ำใส่ผ้าสะอาดแล้วบรรจงเช็ดเลือดให้ลูกสาว
วาเลรี่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อน้ำเย็น ๆ ทำให้รู้สึกแสบที่ปลายคิ้ว และเมื่อเงยหน้าขึ้นเด็กสาวก็เห็นแต่ความกังวลในแววตาของพ่อเมื่อเขาพึมพำว่า “ไม่น่าเป็นแผลชัด”
ท่าทางกังวลกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ และนอกจากนั้นมันยังทำให้วาเลรี่รู้สึกผิดยิ่งไปกว่าเดิม
“พ่อ เมื่อวานข้าไม่ได้ตั้งใจจะ…”
“ใจเย็น ๆ หายใจเข้าลึก ๆ” นิวล์เอ่ยพลางจับไหล่ทั้งสองข้างของลูกสาว “แล้วค่อย ๆ บอกพ่อว่าเกิดอะไรขึ้น”
หลังจากนึกทบทวนอยู่สักพัก วาเลรี่ก็เงยหน้าขึ้นหันไปทางที่น้องชายถูกลากออกไป อันที่จริงเธอไม่ค่อยมั่นใจนัก--และไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง แต่ท่ามกลางหมอกหนายังคงหลงเหลือซากต้นไม้ใหญ่ล้มระเนระนาดเป็นหลักฐานของสัตว์ประหลาดในเงามืด
“เงาสีดำ… เงาสีดำจับตัวอันตอนไป”
เธอยกมือขึ้นปิดปากเมื่อไม่สามารถพูดสิ่งใดต่อไป
“ใจเย็น ๆ วาเลรี่ มองหน้าพ่อ” มือทั้งสองข้างของชายผมทองจับที่ศีรษะของเด็กสาวฝืนให้เธอหันกลับมาสบตา “ลูกอธิบายได้ไหมว่าเงาสีดำที่ว่าเป็นยังไง?”
วาเลรี่พยักแล้วตอบด้วยเสียงสั่น ๆ “พวกนั้น… พวกนั้น… ตัวเหมือนคน แต่ว่า… แต่ว่าแขนขาสีดำ ตัวด้วย แล้วก็ตาสีแดง ข้าเห็นแค่นั้น… ข้าขอโทษที่ปกป้องอันตอนไว้ไม่ได้!”
ผู้เป็นพ่อนิ่งไป บนหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดปนกับความกังวลแต่ไม่ถึงกับสิ้นหวัง วาเลรี่ได้แต่กำมือแน่นพลางเตรียมใจโดนดุ เธอใจหายวูบเมื่อเห็นพ่อสูดหายใจเข้าเตรียมพูดอะไรบางอย่างจนต้องหลบตาเตรียมรับผิด
“พ่อจะลองตามรอยของเงาดำที่ลูกเห็น พ่อไม่ได้อยากพาลูกไปด้วย แต่พ่อไม่อยากปล่อยลูกไว้คนเดียวที่บ้าน” นิวล์เว้นช่วงไปครู่หนึ่งราวกับว่าเขากำลังลังเล จนเด็กสาวสบตากับเขา เขาจึงยอมพูดต่อ “ถ้าพ่อพาลูกไป ลูกต้องสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย ต้องไม่มีความลับกับพ่อ แล้วก็ต้องเชื่อฟังพ่อทุกอย่าง”
เพราะไม่ใช่คำดุด่าว่ากล่าวอย่างที่คิดไว้ทำให้วาเลรี่รู้สึกผิดยิ่งไปกว่าเดิม ถ้าแค่เมื่อวานเธอไม่ได้ใจร้อนวิ่งออกนอกทาง… ถ้าแค่เมื่อวานเธอเชื่อฟังพ่อ
การที่อันตอนโดนเงาดำลากออกไปและเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้เป็นความผิดของเธอทั้งหมด คงสมเหตุสมผลแล้วที่พ่อจะให้เธอตามไปด้วย แล้วพอเจอหน้าอันตอน… เธอจะกอดเขาเป็นคนแรกแล้วบอกว่าขอโทษ คิดดังนั้นก็พยักหน้าตอบ
“ได้ พ่อ”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตนตกลง นิวล์ก็ถามต่อ “ลูกยิงธนูเป็นใช่ไหม?”
“ไม่ค่อยเป็น”
หลังจากตอบเช่นนั้นไป พ่อของเธอก็เอาคันธนูที่คาดหลังไว้มาคาดให้เด็กสาวเช่นเดียวกับกระบอกลูกธนู เสร็จแล้วจึงเก็บมีดจากพื้นเข้าฝักให้เธอทั้งยังย้ำด้วยว่า
“เอาไว้ป้องกันตัว แล้วรู้ใช่ไหมว่าต้องระวังอะไร?”
เด็กสาวจึงค่อย ๆ พยักหน้า “ทหารใส่เครื่องแบบสีแดง ทหารของลอร์ดเชอร์ตัน คนพวกนั้นอันตราย”
เธอก้มลงสำรวจหางลูกธนูซึ่งทำจากขนนกอย่างดีเช่นเดียวกับสายธนูจากเอ็นสัตว์ แต่มีเวลาชื่นชมอาวุธไม่นานนิวล์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้ลูกสาว วาเลรี่จึงจับมือพ่อของตนก่อนพบว่าขาทั้งสองข้างของตัวเองแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง เธอเกือบจะเซไปสะดุดรากไม้จึงจำเป็นต้องเกร็งแข้งแล้วแกล้งทำเป็นปัดฝุ่นที่ชายเสื้อพร้อมทั้งยิ้มกลบเกลื่อนเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น
“ลูกเดินไหวใช่ไหม?” ดวงตาสีเขียวมรกตมองกลับมาอย่างจ้องจะจับผิด
“ไหวสิพ่อ”
เขายังคงมีสีหน้าเคลือบแคลงแต่ก็ยอมปล่อยมือจากเด็กสาวในที่สุด วาเลรี่จึงเดินตามพ่อของตนไปยังซากต้นไม้หักแถว ๆ ที่เธอเห็นสัตว์ประหลาดในเงาดำและอันตอนเป็นครั้งสุดท้าย
นิวล์ขยับก้านไม้ที่พื้นออกก่อนคุกเข่าลงตรงข้างรอยลากบนพื้นดิน เขาเลื่อนมือไปแตะร่องรอยบนพื้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด แม้จะดูสงบนิ่งแต่วาเลรี่รู้ดีว่าพ่อของเธอเป็นห่วงเด็กน้อยจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก
โชคดีที่อากาศเช้านี้ค่อนข้างชื้นและไม่เย็นมากทำให้พื้นดินยังพอมีรอยเท้าหลงเหลืออยู่ แม้จะไม่ลึกแต่อย่างน้อยรอยประทับบนดินก็เป็นเครื่องยืนยันว่า ‘เงา’ ที่ว่าไม่ใช่แค่ภาพลวงตาแต่เป็นสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้รอยเท้าดังกล่าวยังมีขนาดไม่ต่างจากรอยเท้าของคนเท่าไหร่ตรงกับคำอธิบายที่วาเลรี่บอกว่าเงาพวกนั้นมีรูปร่างคล้ายมนุษย์
รอยเท้าเป็นแค่จุดเริ่มต้น นิวล์พาลูกสาวเดินตามร่องรอยที่เงาดำทิ้งเอาไว้ตามกิ่งไม้โดยเฉพาะรอยหักที่ดูไม่ธรรมชาติ
วาเลรี่ตามพ่อของตนเองไปไม่ห่าง ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่ดาบที่ข้างเอวของเขา เธอเคยได้ยินจากน้องชายมาบ้างว่าพ่อยิงธนูแม่นทั้งกับเป้านิ่งและเป้าเคลื่อนที่ อันตอนเคยบอกว่าพ่อเคยจัดการกวางที่อยู่ไกลออกไปกว่าร้อยยาร์ดด้วยลูกธนูเพียงดอกเดียว ดังนั้นวาเลรี่รู้ดีว่าพ่อของเธอเก่งปานใดเพียงแต่ไม่เคยได้ยินว่าเขาเคยต่อสู้ด้วยดาบ…
จนถึงเมื่อวาน
แต่ดูเหมือนเด็กสาวจะจ้องดาบเล่มนั้นนานไปจนผู้เป็นพ่อต้องหันมาถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”
คำถามนั้นทำเอาเด็กสาวสะดุ้ง ทั้งเพราะกลัวว่าพ่ออาจจับได้เรื่องที่เธอเริ่มสงสัยอะไรแปลก ๆ วาเลรี่จึงรีบยิ้มกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไร พ่อ”
“เหรอ? งั้นก็ดีแล้ว”
ทั้งสองเงียบไปสักพักจนดวงอาทิตย์เริ่มลอยสูงเหนือภูเขาที่ล้อมรอบป่าใหญ่ให้รอบกายดูไม่เงียบเหงา วันนี้แดดไม่ได้แรงเหมือนเมื่อวานแต่เต็มไปด้วยเมฆหนา จากยอดไม้คือเสียงแปะ ๆ ของใบไม้ถูกลมพัดให้ตีกัน ส่วนด้านล่างเพราะทิวไม้ที่ตั้งกันลมทำให้เธอรู้สึกสงบและหายใจสะดวก
นิวล์เห็นว่าลูกสาวของตัวเองเงียบไปก็เริ่มชี้ไปที่พุ่มไม้ข้างทางแล้วถามเพื่อให้เธอทบทวนว่าต้นไหนคืออะไร แน่นอนว่าวาเลรี่หากเห็นว่ามันมีลูกไม้กินได้ก็ต้องก้มไปหยิบติดมือไม่ก็ใส่ปากโดยเฉพาะสตรอว์เบอร์รีป่าและราสเบอร์รีที่เป็นของโปรด
เด็กสาวมองไปตามแผ่นหลังของพ่อ เขาเดินตรงไปข้างหน้าราวกับคุ้นเคยหนทางต่างจากวาเลรี่ เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ออกห่างจากบ้านมาไกลเท่าไร วาเลรี่รู้แต่เพียงว่าเส้นทางตรงนี้อยู่นอกเหนือจากพื้นที่ที่พ่ออนุญาตให้เธอออกไปเล่นเพราะสองข้างทางดูไม่คุ้นตา นั่นทำให้เด็กสาวได้แต่สงสัยว่าป่าแห่งนี้กว้างขนาดไหน
บางที--แค่บางที--ถ้าเขายอมให้เธอออกมาสำรวจทาง บางทีเธออาจจะพอใจกับที่ตรงนี้จนไม่ต้องอยากออกไปเล่นกับเบโอก็ได้ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นเธอคงไม่ต้องทะเลาะกับอันตอน…
“วาเลรี่” นิวล์เรียกลูกสาวอีกครั้ง “เป็นอะไรหรือเปล่า?”
คราวนี้ดวงตาสีเขียวมรกตบอกเธอว่าต่อให้เป็นรอยยิ้มก็ไม่อาจกลบเกลื่อน วาเลรี่จึงเลือกพูดความจริงออกไปครึ่งเดียว
“พ่อไม่เคยพาข้ามาแถวนี้”
ชายผมทองเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ
“ลูกอยากพักไหม?”
“ไม่” เด็กสาวหลบสายตา เธอตั้งใจจะเดินต่อแต่ผู้เป็นพ่อกลับยืนขวางไว้อย่างนั้น
“ลูกยังโกรธพ่อเรื่องเมื่อวาน”
“ก็ใช่”
“แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าพ่อหวังดี?”
“ข้าเข้าใจ”
วาเลรี่ไม่ได้หันกลับไปสบตาพ่อของตน เธอเลือกจะไม่ใช้โอกาสนั้นร้องโวยวายออกไปว่าเป็นเพราะเขาที่ห้ามไม่ให้เธอออกไปไหน เธอจึงต้องไปลงกับอันตอนแล้วทุกอย่างถึงกลายเป็นแบบนี้ ต่อให้อยากจะแก้ตัวขนาดไหนแต่ลึก ๆ เด็กสาวรู้ดีกว่าส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเธอ
แล้วพ่อล่ะ? ด้วยท่าทางนิ่งเฉยเช่นนั้น… ตอนที่พ่อกอดเธอเอาไว้แล้วบอกว่าไม่เป็นไร--ตอนนั้นเขากำลังกล่าวโทษเธออยู่ในใจหรือเปล่า?
“วาเลรี่” นิวล์เรียกชื่อลูกสาว “มันจะไม่เป็นแบบนี้ไปตลอด เชื่อพ่อเถอะ”
“พ่อก็บอกข้าอย่างนี้มาตลอด”
และเธอพยายามนึกว่าตั้งแต่เมื่อไรที่แต่ละวันได้เห็นเพียงแต่ต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ใช่ว่าเธอจะรู้สึกว่าชีวิตมันลำบากในเมื่อเด็กสาวไม่เคยรู้ว่าคนข้างนอกใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่เท่าที่ฟังจากเบโออย่างน้อยมันคงไม่ซ้ำซากและจำเจ
ไม่จำเจเหมือนกับคำปลอบโยนปลอม ๆ ที่บอกว่ามีสิ่งอื่นรออยู่--ผ่านหุบเขาและป่าทึบ ผ่านทิวไม้และชายป่า--เบื้องหน้าที่เธอไม่เคยได้สัมผัส
“เดินต่อเถอะ พ่อ”
ความอยากอาหารหมดลงโดยไม่รู้ตัว เด็กสาวโยนลูกไม้ที่เก็บมาลงกับพื้นในเมื่อเห็นว่าสองข้างทางมีเหลือเฟือ แต่ตลอดหลายชั่วโมงที่สาวเท้าตามแผ่นหลังของพ่อ วาเลรี่ก็เริ่มแสบท้อง แต่ความรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูกทำให้เธอรู้ว่าต่อให้เด็ดเบอร์รีรสเปรี้ยวหวานมาใส่ปากแก้หิว สุดท้ายเธอก็ต้องอ้วกมันออกมาอยู่ดี
ตัวก็ปวด ขาก็ล้าจนเด็กสาวอยากนั่งพัก แต่เมื่อพ่อของเธอหันมาถามว่าเป็นอะไร วาเลรี่กลับเลือกจะตอบไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอตอบไปเช่นนั้นราวสี่หรือห้าครั้งได้จนสุดท้ายชายผมทองต้องถอนหายใจ
“พ่อว่าเราจะหาที่พักสำหรับคืนนี้” นิวล์พูดจบก็หันมองซ้ายขวาก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่สิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่ง
วาเลรี่มองไปตามพ่อก็เห็นวัตถุสีเทาถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยไม้เลื้อย มันเป็นหินไม่ได้ขัดเรียงซ้อนกันขึ้นเป็นกำแพงดูแข็งแรง เมื่อเดินเข้าไปใกล้เด็กสาวก็พบว่าก้อนหินจำนวนมากถล่มลงมาแต่ยังเหลือเค้าโครงของห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่กว่าบ้านของเธอไปเสียเท่าไหร่ รอบ ๆ ซากปรักหักพังนั้นมีกำแพงของสิ่งปลูกสร้างหลังอื่น ๆ อยู่เช่นกัน แต่สภาพทรุดโทรมประกอบกับการที่มันถูกพุ่มไม้ปกคลุมทำให้เด็กสาวสงสัยว่าสถานที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานเท่าใด
เธอได้แต่คิดว่านานขนาดไหนที่สถานที่แห่งนี้เคยมีผู้อยู่อาศัย และใครกันที่จะอยู่ในป่าลึกเช่นนี้
ถ้าหันไปถามพ่อ เธอคงไม่พ้นจะได้ยินคำตอบเดิม ๆ คือเป็นของผู้คนจากผืนฟ้า… วาเลรี่ยังคงจำที่เธอเคยถามเขาเกี่ยวกับฤดูหนาวที่ข้างนอกได้ดี วันนั้นพ่อของเธอตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ:
“หิมะ… ลูกไม่อยากรู้หรอกว่าสีขาวของมันพรากชีวิตคนไปมากมายขนาดไหน แต่ในป่าแห่งนี้… ชาวเอเตรียนคอยคลอกล่อมป่าในยามหลับใหล คอยคุ้มครองและคอยบันดาลให้เกิดสิ่งเหนือธรรมชาติ”
และในวันนั้นเธอตอบเขาไปว่า
“เอเตรียน คนมีปีก ดินแดนบนท้องฟ้า เรื่องเหลวไหลทั้งนั้นแหละ มีที่ไหนที่คนจะแปลงร่างเป็นนกได้ คนสมัยก่อนก็แค่หาเรื่องมาเล่าว่าตัวเองชนะคนบินได้ได้ ตัวเองจะได้ดูยิ่งใหญ่ในสายตาของคนฟังก็แค่นั้น”
จนถึงตอนนี้วาเลรี่ก็ยังไม่เข้าใจ--ตั้งแต่จำความได้พ่อของเธอไม่เคยเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์มีอยู่จริง แต่เพราะเหตุใดเขาจึงเชื่อเรื่องงมงายเช่นนี้กัน? ทำไมจึงเชื่อว่ามีทูตสวรรค์คอยคุ้มครองผู้คนเดินดิน? ทำไมจึงเชื่อว่าพวกเราเป็นแค่ผู้พักอาศัย? หลังจากวางสัมภาระแล้วก้มหน้าก้มตาก่อกองไฟตามคำสั่งของพ่อ เด็กสาวก็ได้แต่คิดวนไปวนมาอยู่เช่นนั้น
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ อากาศรอบ ๆ เริ่มเย็นลงเมื่อไร้แดดแรงจ้าส่องผ่านใบไม้ วาเลรี่จึงขยับตัวเข้าไปใกล้กองไฟพลางรอผู้เป็นพ่อที่ออกไปล่าสัตว์มาเป็นอาหารเย็น เธอนั่งอยู่บนขอนไม้ใหญ่ที่ยังคงเปียกชื้นจากฝนเมื่อวันก่อน รอบกายของเด็กสาวแทบไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงจิ้งหรีดจากที่ไกล ๆ บรรยากาศรอบตัวเธอดูเงียบสงบแต่ไม่เงียบเหงาเพราะความอบอุ่นจากเปลวไฟทำให้เด็กสาวนึกถึงครั้งสุดท้ายที่พ่อพาเธอออกมาค้างแรมกลางป่า เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านั่นคือกี่ปีมาแล้วหรือทำไมเธอกับนิวล์ถึงต้องมาพักค้างที่กลางป่ากันสองคน เธอรู้เพียงว่าตอนนั้นไม่ใช่ฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน วาเลรี่จำได้ราง ๆ ว่าตัวเธอที่เปียกปอนสั่นเทาเพราะความหนาวเหน็บ แต่มือใหญ่ของพ่อโอบกอดเธอเอาไว้
ผ่านไปนานขนาดไหนแล้วตั้งแต่วันนั้น?
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก?”
เวลาผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่รู้กว่าเสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นจากด้านหลัง เด็กสาวรู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็เริ่มมืดเนื่องจากดวงอาทิตย์ได้ตกลับหลังภูเขาสูงหลังจากคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยมาพักใหญ่ ๆ
เมื่อรู้ว่าพ่อกลับมา เธอก็ตอบโดยไม่หันไปมอง “ไม่มีอะไร”
นิวล์ได้ยินเช่นนั้นก็วางคันธนูและถอดฝักดาบก่อนนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามของกองไฟ
“พ่อจับไก่ฟ้ามาได้” เขาบอกพลางลงมือถอนขนจากนกตัวใหญ่ วาเลรี่เห็นหางสีน้ำตาลแดงยาวสวยของมันก็นึกเสียดาย ไก่ฟ้าตัวใหญ่ดูจะเป็นคำตอบที่ดีของคำถามที่ว่าพ่อเธอหายไปไหนเสียนาน ถึงจะออกไปเดินเล่นในป่าเป็นกิจวัตรเธอก็แทบไม่เคยเข้าไปใกล้นกแบบนั้นก่อนที่มันจะบินหนี แต่นิวล์กลับจับมันมาเป็นอาหารมื้อดึกได้อย่างไม่ยากเย็น เด็กสาวจึงได้แต่มองพ่อของตนอย่างชื่นชม
“คราวหลังพาข้าไปบ้างสิพ่อ สอนข้าตามรอย สอนข้าล่าสัตว์”
เธอเคยตามไปดูเบโอล่าสัตว์บ้าง แต่จะพูดว่า ‘ล่า’ คงไม่ถูกเสียเท่าไหร่เมื่อทั้งหมดที่เขาทำคือวางกับดักรอให้เหยื่อผู้โชคร้ายเดินเข้ามาติด และนั่นต่างจากพ่อของเธอโดยสิ้นเชิง
“ลูกควรจะเอาเวลาไปทำอะไรที่เด็กผู้หญิงควรทำ” นิวล์แล่นกตัวนั้นเป็นชิ้น ๆ ก่อนเสียบแท่งไม้แล้วเอาไปวางข้างกองไฟ แต่แล้วเมื่อเขาเห็นว่าลูกสาวไม่ตอบอะไรนอกจากมองดูตนเงียบ ๆ ก็ต้องถาม “วาเลรี่ ลูกดูอยากจะพูดอะไร”
“แล้วเด็กผู้หญิงอย่างข้าควรจะทำอะไร นอกจากอ่านหนังสือ?”
เด็กสาวพูดได้แค่นั้นก็เห็นว่าพ่อของตนนิ่งไป ดวงตาสีเขียวมรกตของเขาจ้องเข้าไปในเปลวเพลิง--ไม่ว่าเพราะเขาไม่อยากตอบหรือไม่มีคำตอบให้ เธอได้แต่เรียกพ่อซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้งกว่าเขาจะขานตอบ วาเลรี่เลยคิดว่าตัวเองสมควรเปลี่ยนไปถามอะไรที่ง่ายกว่า
“แบบที่ผู้หญิงควรจะทำคือแบบที่แม่ทำเหรอ?”
เธอตั้งใจจะรอพ่อตอบว่า ‘ใช่’ แล้วถามต่อว่าแม่ของเธอเป็นยังไง แต่ผิดคาด--หลังจากที่ถามออกไปเช่นนั้นแววตาของนิวล์ก็ฉายแววประหลาดใจ และในแววตาประหลาดใจนั้นวาเลรี่เห็นความรู้สึกอย่างอื่นที่แฝงปนอยู่
เพียงครู่เดียวสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นนิ่งเฉยเหมือนปกติ วาเลรี่เห็นท่าทางของเขาก็รู้โดยทันทีว่าตัวเองไม่ควรถามออกไป เธอจึงหลุบตาลงแล้วตัดสินใจว่าจะไม่ซักไซ้อะไรต่ออีก
“วาเลรี่ ลูกพ่อ” ชายผมทองลุกขึ้นก่อนจะขยับมานั่งข้าง ๆ ลูกสาว “ทำไมถึงถามเรื่องแม่ของลูกขึ้นมา?”
“เปล่า พ่อ ข้าก็แค่จำอะไรเกี่ยวกับแม่ไม่ได้เลย ข้าแค่อยากรู้ว่าแม่เป็นคนยังไง อันตอนก็คงอยากรู้”
“แม่ของลูก…” นิวล์นิ่งไปครู่ใหญ่ ๆ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความลังเล ไม่เพียงเท่านั้นเขายังทำท่าทางเหมือนจะพูดอะไรอยู่สองสามครั้งแต่สุดท้ายก็เงียบไป
วาเลรี่ไม่เคยเห็นพ่อของตนเป็นเช่นนี้มาก่อน
“พ่อ ถ้าพ่อลำบากใจ ไม่ต้องบอกข้าก็ได้”
ถึงจะพูดออกไปเช่นนั้นแต่ในใจลึก ๆ ของเด็กสาวกลับต้องการคำตอบ เธอเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ลูกหน้าเหมือนแม่ของลูก… มาก” ครั้งนี้ชายผมทองเป็นฝ่ายหลบสายตา นิวล์เหม่อมองเข้าไปในกองไฟในขณะที่สองมือของเขากำแน่นจนสั่น “วาเลรี่ พ่อเชื่อว่าวันหนึ่งลูกจะเติบโตเป็นผู้หญิงที่สง่างามเหมือนกับนาง”
เธอได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว “พ่อ”
เขาได้ยินลูกสาวตัวเองเรียกด้วยน้ำเสียงจริงจังก็ยอมละสายตาจากภาพตรงหน้ามามองเด็กสาวก่อนจะเห็นว่าเธอมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “พ่อพูดความจริง”
“แต่พ่อเคยบอกว่าข้าหน้าไม่เหมือน--”
พูดยังไม่ทันจบประโยคเด็กสาวก็ได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนที่จากด้านหลัง เธอไม่มีโอกาสได้หันกลับไปมองก็ถูกดึงความสนใจเอาไว้ด้วยเสียงของนิวล์ที่ตะโกนขึ้นอย่างร้อนรน
“วาเลรี่! ระวัง!!!”
เสียงของเขาถูกกลบด้วยเสียงไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ล้มลงกระแทกพื้น เด็กสาวได้สติกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงหอบหายใจหนัก ๆ จากด้านบน
และภาพที่อยู่เบื้องหน้าคือแผ่นอกกว้างของพ่อที่คว้าตัวเธอออกมาได้จากใต้ต้นไม้ที่กำลังจะล้มได้อย่างทันท่วงทีทั้งยังเสียสละเอาแผ่นหลังป้องกันอันตรายจากเศษกิ่งไม้ใบไม้ที่ร่วงลงมาพร้อม ๆ กันกับลำต้นใหญ่ให้กับเธอ
“พ่อ…”
“เงียบ” นิวล์ออกคำสั่งเด็ดขาด
จังหวะนั้นเองที่วาเลรี่รู้สึกถึงความผิดปกติของบรรยากาศโดยรอบของป่าในยามนี้
มันเงียบเกินไป
ไม่มีเสียงอึ่งอ่างคางคกหรือแม้แต่เสียงจักจั่นหรีดหริ่งเรไร
หรือแม้แต่เสียงลม
สิ่งเดียวที่ได้ยินหากไม่นับเสียงหอบหายใจของทั้งสองคงเป็นเสียงของกองไฟ
“พ่อ มันเกิดอะไรขึ้น…?”
ทันใดนั้นใต้พื้นที่ทั้งสองนั่งอยู่ก็สว่างวาบ ป่าทั้งผืนเริ่มสั่นราวกับเกิดแผ่นดินไหว เสียงฟ้าลั่นดังขึ้นพร้อมกับลมกรรโชกพัดพาให้เปลวไฟเหลือเพียงเขม่าควัน
“จงออกไปจากที่นี่ซะ!” เสียงหนึ่งดังลงมาจากบนฟากฟ้า
“นั่นใครน่ะ!?” นิวล์ยืนขึ้นพลางตะโกนถามออกไปยังความมืดที่ว่างเปล่า
วาเลรี่รู้สึกถึงเหงื่อเย็น ๆ ไหลอาบหน้าผาก หัวใจของเธอเต้นแรงเมื่อนึกถึงภาพของสัตว์ประหลาดในเงามืดที่ลากตัวอันตอนไป
เธออยากจะออกไปจากที่นี่
ชายผมทองกำข้อมือลูกสาวตัวเองเอาไว้แน่นเมื่อเสียงทุ้มต่ำจากฟากฟ้าส่งเสียงคำรามเป็นรอบที่สอง แต่เขายังคงพยายามจะเจรจา
“ข้าออกไปไม่ได้! ข้าต้องไปตามหาลูกชาย! ลูกชายของข้าถูกเงาสีดำจับตัวไป!”
แต่ไม่เป็นผล ครั้งนี้เสียงของเจ้าถิ่นตอบกลับมาด้วยโทสะ “เจ้าพวกเดโมเทียน! หากยังบังอาจฝ่าฝืนคำสั่ง อย่าหาว่าข้าไม่เตือน! ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!!!”
ปฐพีโดยรอบสั่นแรงขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นิวล์รีบพุ่งไปหยิบดาบกับธนูก่อนจะดึงแขนลูกสาวให้วิ่งตาม เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้อ้าปากถามว่าเกิดอะไรขึ้น และบางทีพ่อก็คงรู้พอ ๆ กับเธอว่ามีแค่พื้นเรืองแสง แผ่นดินไหว และต้นไม้ล้ม…
วาเลรี่เริ่มหอบหลังจากถูกลากให้วิ่งขึ้นเขามาได้ร่วมไมล์ ผลจากการสับขาวิ่งต่อกันเป็นเวลานานทำให้เธอเริ่มหายใจไม่ทัน เด็กสาวรู้สึกว่าโลกมันมืดไปหมดแม้จะมีแสงสว่างจากพื้นด้านล่าง เธอหอบหนักขึ้นและรู้แต่เพียงว่าพ่อกำลังลากแขนให้เธอวิ่งต่อไปข้างหน้า
“เจ้าพวกเดโมเทียน บังอาจ!!!”
เธอได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แต่ไม่อาจทราบได้ว่ากี่ครั้ง เธอไม่มีเวลาที่จะนับมัน หากจะถามว่าวิ่งมานานขนาดไหนแล้วเธอก็คงจะตอบไม่ได้อีกเช่นกัน และหากถามว่าตอนนี้เธอกำลังวิ่งหนีอะไรอยู่ก็คงยืนยันคำเดิมได้ว่าเธอไม่รู้
“อะ!” วิ่งมาถึงทุ่งหญ้ากว้างกลางป่าใหญ่ เท้าข้างหนึ่งของเด็กสาวก็เผลอสะดุดเข้ากับเถาวัลย์ที่เลื้อยแฝงอยู่ตามพงหญ้าจนล้มลง ข้อศอกซ้ายของเธอกระแทกพื้นอย่างแรง
“วาเลรี่!” นิวล์หันกลับมาช่วยประคอง “ยืนไหวไหม?”
“อือ…” เธอค่อย ๆ ยันตัวให้ลุกขึ้นแต่ไม่ได้ผล เด็กสาวก้มลงมองข้อเท้าตนพลิกจากการหกล้มเมื่อครู่ แต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเธอก็เห็นเงาดำขนาดมหึมาที่อยู่ด้านหลังของชายผมทอง “พ่อ ข้างหลังนั่น...!”
ลมกรรโชกแรงปะทะเข้ากับแผ่นหลังของชายผมทอง เขาจึงหันกลับไปมองที่มาของลมนั้น…
และสิ่งที่ยืนอยู่กลางทุ่งหญ้ากว้างนั้นก็คือเงาดำของนกตัวใหญ่ยักษ์ที่กำลังสยายแผ่นปีกกว้าง หากประมาณเอาด้วยสายตาแล้ว จากปลายปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งคงกว้างราวเจ็ดยาร์ด ดวงตาสีทองของมันเป็นประกายของนักล่า และกรงเล็บกว้างของมันดูเหมือนพร้อมที่จะฉีกร่างของผู้บุกรุกให้กลายเป็นชิ้น ๆ ในพริบตาเดียว
ความคิดเห็น