ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทลำนำอัศวินผู้ปกป้อง ~Ða giedd þara edora~

    ลำดับตอนที่ #3 : Book I, Chaptre II: A Girl with a Wooden Sword (เด็กสาวกับดาบไม้)

    • อัปเดตล่าสุด 5 ส.ค. 64


    Chaptre II

    A Gerl with Treen Swerde

    “สรุปว่าพ่อเจ้าไม่ว่าอะไร?”

    เด็กหนุ่มผมดำที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้าเปรยขึ้น เขาประสานสองมือรองศีรษะไม่ให้หลังหัวตัวเองต้องกดลงบนพื้นดินแฉะ ๆ ของวันหลังฝนตก แมลงเปลือกแข็งสีแดงกางปีกบินจากยอดหญ้าต้นหนึ่งไปเกาะที่อีกต้นไม่ห่างจากรองเท้าขนสัตว์ แต่เด็กหนุ่มไม่สนใจแมลงตัวนั้นมากนัก ความสนใจของเขามุ่งไปที่เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่กำลังเหวี่ยงกิ่งไม้ใส่อากาศว่างเปล่า

    สายตาคาดคั้นเรียกให้เธอต้องหยุดขยับแท่งไม้ยาวราว ๆ ยาร์ดแล้วหันไปตอบ

    “อันตอนไม่ได้บอกพ่อ”

    “เหรอ?” เบโอถอดผ้าคลุมไหล่สีน้ำตาลก่อนหยิบกิ่งไม้จากข้างกายแล้วลุกยืนขึ้น “เวล ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเอ่ยความจริง?”

    เด็กหนุ่มกดเสียงต่ำทั้งยังกล่าวด้วยคำพูดโบราณเหมือนหลุดมาจากหนังสือนิทาน

    “ถ้าพ่อข้ารู้ ข้าคงไม่ได้ออกจากบ้าน”

    วาเลรี่กลั้นขำแทบไม่อยู่ จนสุดท้ายเธอต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเด็กหนุ่มผมดำชี้แท่งไม้ตรงมาหาเธอ

    “เซอร์วาเลรี่แห่งป่าศักดิ์สิทธิ์! ข้าขอท้าเจ้าด้วยดาบ”

    เด็กสาวได้ยินเช่นนั้นก็จับกิ่งไม้ในมือชี้ขึ้นฟ้าก่อนลดลงมาให้กำปั้นอยู่ระดับอก “ด้วยศักดิ์ศรี ข้าขอรับคำท้า เซอร์เบโอ หมาป่าแห่งขุนเขา!”

    เธอพูดได้แค่นั้นเด็กหนุ่มก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับตวัดกิ่งไม้ตรงเข้าใส่ แต่วาเลรี่ยกอาวุธในมือขึ้นป้องกันตัวได้อย่างเฉียดฉิว

    เบโอยังไม่หยุดเท่านั้น เขารีบชักแท่งไม้กลับแล้วแทงออกไปสุดแขนทำให้เด็กสาวต้องก้าวถอย เธอไม่มีโอกาสได้ตอบโต้แม้แต่นิดเดียว และกว่าจะรู้ตัวอีกที กิ่งไม้ที่หวดเข้าที่ข้อเท้าก็ทำให้วาเลรี่เสียหลักล้มลง

    “ประมาทตลอด ช้าด้วย”

    เจ้าของดวงตาสีดำขลับทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ

    วาเลรี่ได้แต่เหม่อมองท้องฟ้าสีสดใสจากสนามหญ้าเล็ก ๆ กลางป่าใหญ่ กลิ่นดินของวันหลังฝนตกถูกสายลมโชยให้พัดผ่านจมูกทำให้รู้สึกสดชื่น บนท้องฟ้ากว้างเด็กสาวเห็นเงาของกลุ่มนกบินโฉบไปมาอย่างเสรี เสียงร้องอย่างมีความสุขของพวกมันทำให้เธอจินตนาการถึงตัวเองหากว่าจะมีโอกาสได้กางปีกบินฝ่ากระแสลมขึ้นไปยังท้องฟ้าไร้ที่สิ้นสุด

    หรืออาจไม่ต้องถึงขนาดนั้น แค่ถ้าได้เดินทางขึ้นไปสุดดินแดนน้ำแข็งทางทิศเหนือหรือทุ่งหญ้าอบอุ่นทางทิศใต้ หากเธอจะมีสิทธิ์ขี่ม้าและแบกธงศึกที่ผูกติดกับด้ามหอก ส่วนอีกมือถือโล่ซึ่งแบกรับตราสัญลักษณ์ที่ใครต่อใครเห็นก็จะรู้ว่าเป็นของตัวเธอ

    “เราจะไปเมืองหลวงกันใช่ไหม เบโอ?”

    เด็กสาวหลับตาลง

    คนที่นอนอยู่ข้าง ๆ นิ่งไปพักหนึ่งกว่าเขาจะตอบ

    “ใช่ เราจะไปเป็นอัศวินด้วยกัน ข้ากับเจ้าจะไปที่ท้องพระโรงของราชาโคเนเลียส ที่ที่คนเขาบอกว่ายิ่งใหญ่กว่าดาวบนฟ้า ข้ากับเจ้าจะไปขอให้ราชาแห่งอัลแทร์แต่งตั้งเป็นอัศวิน”

    วาเลรี่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มน้อย ๆ พลางยกกำปั้นขวายื่นไปหาเด็กหนุ่ม

    “สัญญานะ ที่จะเป็นอัศวินด้วยกัน”

    “สัญญา” เขายื่นกำปั้นมาแตะมือเธอเบา ๆ

    สนามหญ้าเมื่อยามบ่ายตกอยู่ในความเงียบสงัดอยู่พักใหญ่ ๆ แต่อันที่จริงจะบอกว่าเงียบก็ไม่ถูกนัก รอบกายของทั้งสองเต็มไปด้วยเสียงของนกและแมลง และเสียงของกิ่งไม้กับสายลม คงไม่ผิดจากความหมายของคำว่า ‘สงบสุข’ ไปเสียเท่าไหร่ หากแต่เพียงว่าความสงบสุขคือสิ่งที่เธอโหยหา

    หลังจากที่เงียบอยู่นาน เบโอก็หันมาพูดกับเด็กสาว “วันนี้เจ้าจะเล่าเรื่องที่เจ้าอ่านมาหรือจะให้ข้าเล่าอะไร?”

    ดวงตาสีดำขลับมองตรงมาที่วาเลรี่ แววตาของเบโอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเมื่อพูดถึงหนังสือที่เด็กสาวเคยอ่าน เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากตอบไป

    “เมื่อคืนข้าอ่านเกี่ยวกับเดโมเทียของการ์เธิร์น เจ้ารู้ไหมว่าการ์เธิร์นมีดาบวิเศษ--”

    “น่าเบื่อ ข้านึกว่าเจ้าจะเล่าเรื่องอัศวินเหมือนเดิม” เด็กหนุ่มรีบขัดเมื่อรู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองอยากฟัง “ไม่มีอะไรที่อยากให้ข้าเล่าให้ฟังแล้วรึไง?”

    วาเลรี่ต้องใช้เวลานึกอยู่สักพัก เธอไม่ได้ไม่พอใจที่เขาไม่ยอมให้เธอเล่าเพราะเด็กสาวเองก็มีเรื่องที่อยากรู้ไม่น้อยไปกว่าเบโอ แค่มันอาจจะต่างกัน เธออยากได้ยินสิ่งที่เขาได้ไปเห็นผ่านตามาจริง ๆ

    “ตอนนี้ที่หมู่บ้านเป็นยังไงบ้าง?”

    เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปมองท้องฟ้ากว้างใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง ท้องฟ้ายามบ่ายแก่ ๆ ดูสดใส เพียงแต่วันนี้ไม่มีพระจันทร์เสี้ยวให้เห็นเนื่องจากเป็นคืนเดือนดับ เห็นดังนั้นเขาก็เปลี่ยนจากนอนหงายรับแสงแดดเป็นตะแคงข้างหันมามองคู่ซ้อมดาบ

    “พระจันทร์เต็มดวงอีกสองรอบจะถึงเดือนออสทร่าแล้ว”

    วาเลรี่เห็นเบโอยิ้มกว้างก็ยิ้มตอบไป “จะถึงช่วงเวลานั้นของปีอีกแล้ว”

    เธอยังจำได้… ตอนที่เบโอเล่าเกี่ยวกับงานเฉลิมฉลองการกลับมาของแสงสว่าง ที่หมู่บ้านของเขาถูกประดับไปด้วยดอกไม้หลากสีต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังมาถึง ในยามค่ำคืนรอบหมู่บ้านของเขาสว่างไสวไปด้วยแสงตะเกียงทั้งเล็กใหญ่

    ดูเหมือนเบโอจะอ่านสีหน้าของเด็กสาวออก เขาจึงรีบเสนอ “ข้าว่าปีนี้พวกเราไปงานเทศกาลด้วยกันก็ได้ เจ้าจะได้กินของอร่อย ๆ ด้วย”

    “พ่อข้าไม่ยอมหรอก” เธอรีบตอบ

    “ก็ออกไปกันตอนกลางวัน แล้วกลับเข้ามาดึก ๆ พ่อเจ้าไม่รู้หรอก” เขาพูดแค่นั้นก็ยันตัวลุกขึ้นแล้วยื่นมือให้วาเลรี่ “ไป”

    “ไปไหน?” เด็กสาวจับมือเขาทั้ง ๆ ที่ยังไม่เข้าใจ

    เธอลุกยืนแล้วปัดเศษหญ้าออกจากหลังพลางมองเบโอที่เดินไปหยิบผ้าคลุมไหล่

    “ข้าจะพาเจ้าไปดูทาง ทางไปหมู่บ้าน” เด็กหนุ่มตอบ

    “แต่พ่อข้าบอกว่ามันอันตราย”

    เขาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเธอบอกปฏิเสธ “ไม่อยากรู้รึไง?”

    “แต่ถ้า…”

    ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากออกไป วาเลรี่อยากออกไปดูหมู่บ้านที่ชายป่ามานานแล้ว แต่พออยากขอให้เบโอพาออกไปกลับต้องมีเหตุสุดวิสัยมาขัดพวกเธอเสียทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นฟ้าฝนหรือเสียงของสัตว์ป่า ถ้าเชื่อว่าโชคชะตาคือสิ่งที่นำเธอมาเจอกับเด็กหนุ่มที่กำลังวิ่งหนีหมูป่าสีน้ำตาลในวันฝนตก สุดท้ายแล้วก็คงเป็นโชคชะตาอีกเช่นกันที่ขัดขวางไม่ให้เธอได้เอื้อมไปแตะสิ่งที่อยู่นอกเขตแดนของรั้วแห่งธรรมชาติ นั่นยังไม่นับการที่พ่อเธอย้ำหนักหนาว่าให้ระวังคนจากข้างนอกที่หลงเข้ามา เพราะพวกเขาดุร้ายและป่าเถื่อนยิ่งกว่าหมีดำที่ออกล่าเหยื่อหลังดวงอาทิตย์ตกดิน

    “ถ้าเจออะไรก็หลบหลังข้า” เบโอหยิบมีดล่าสัตว์เล่มเดิมออกมาให้เพื่อนของตนดูก่อนจะเก็บมันกลับเข้าฝักที่ข้างเอว

    ท่าทางของเด็กหนุ่มช่วยให้วาเลรี่รู้สึกไว้วางใจ นอกจากนั้นเด็กสาวเองก็ไม่รู้ว่าถ้าพลาดวันนี้ไปจะต้องรออีกนานขนาดไหนถึงจะมีโอกาสที่พ่อและน้องชายออกไปข้างนอกพร้อมกันอีก เธอจึงพยักหน้า

    “ก็ได้”

    เมื่อเห็นว่าวาเลรี่ตกลงจะตามไปด้วย เบโอก็หันหลังเดินนำเธอตรงไปยังพุ่มไม้ที่กั้นระหว่างรอยทางหลักกับสนามหญ้าพลางชวนคุยอะไรไร้สาระ เขาชวนเธอแวะดูกับดักที่ทำไว้ไม่ห่างจากรอยทางไปมากนัก แต่ทั้งสองก็ต้องส่ายหน้าอย่างผิดหวังเมื่อไม่มีตัวอะไรมาติดบ่วง ไม่มีแม้กระทั่งกระต่ายตัวเล็ก ๆ

    ดวงอาทิตย์ยามบ่ายฉายแดดแรงอยู่ด้านหลังบ่งบอกว่าทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ กระรอกสีเทาและนกตัวเล็ก ๆ ซึ่งกำลังจับจองพื้นที่ควานหาเมล็ดพันธุ์เป็นอาหารต่างหลีกทางให้ทั้งสองเดินผ่าน แต่ในขณะเดียวกันพวกมันก็จ้องมองมาที่เด็กชาวมนุษย์ทั้งสองราวกับเป็นสิ่งแปลกประหลาด

    บนรอยทางยังคงมีรอยเท้าม้าบ่งบอกว่าเป็นเส้นทางเดียวกับที่นิวล์ใช้เดินทางออกไปข้างนอกเมื่อเช้าตรู่ ทางเดินนำวาเลรี่และเบโอห่างออกมาจากใจกลางป่าศักดิ์สิทธิ์ ในเวลาเดียวกันนั้นอากาศก็เริ่มหนาวทำให้ไอน้ำจับตัวเป็นหมอกหนา สิงสาราสัตว์ต่างเห่าหอนเมื่อเธอย่ำลงบนกิ่งไม้ราวกับประกาศอาณาบริเวณของตนไม่ให้ใครอื่นกล้าเข้าไปกล้ำกราย

    เด็กสาวไม่ชอบบรรยากาศโดยรอบเลยแม้แต่นิดเดียว

    “ใกล้ถึงแล้ว” เบโอชี้ไปที่ซากต้นไม้ใหญ่หักครึ่งเพราะถูกฟ้าผ่า นั่นคือไกลที่สุดที่วาเลรี่เคยก้าวเท้าไปเหยียบ และต้นไม้ต้นนั้นล้ำเส้นออกมาจากเขตแดนที่พ่อของเธออนุญาตให้ไปเล่นได้อยู่ราวสองไมล์

    แต่ก่อนที่จะได้ถลำไปไกลกว่านั้น วาเลรี่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่ควรมีอยู่ในป่าลึก

    “เบโอ” เธอรีบสะกิดคนที่นำอยู่ข้างหน้าให้พุ่งเข้าไปหลบหลังพุ่มไม้ข้างทาง

    “พวกนั้นเห็นข้าไหม? ไม่มีใครเห็นข้าใช่ไหม?”

    เด็กสาวกระซิบถามคนที่นั่งขดตัวอยู่ข้าง ๆ เธอไม่ได้ใส่ใจฟังว่าเพื่อนของเธอตอบว่าอย่างไรก็คะยั้นคะยอให้เขายื่นหน้าออกไปดูเงาตะคุ่ม

    “น่าจะแค่ชาวบ้าน” เบโอตอบ “เวล ถ้าเจ้าอยากไปที่หมู่บ้านกับข้า เจ้าต้องไม่กลัวคนอื่นขนาดนี้”

    “มันไม่เหมือนกัน” วาเลรี่ยังคงยืนกรานเช่นนั้น

    แต่ไม่ทันไรเสียงฝีเท้าของบุรุษปริศนาก็มาหยุดอยู่ที่รอยทางไม่ห่างจากวาเลรี่และเบโอ หัวใจของเด็กสาวเต้นแรงเมื่อรู้ดีว่ารอยเท้าของพวกเธอไม่มีทางจะหลุดรอดสายตาชายเหล่านั้นไปได้ จนถึงตอนนี้เธอได้แต่ตะครุบปากตัวเองไม่ให้เผลอร้องออกไป

    “มีคนอยู่จริง ๆ ด้วย” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา

    “ข้าบอกแล้ว ทำไมชาวนาชาวไร่ถึงต้องมาซ่อนอยู่ในป่าลึกขนาดนี้”

    “เจ้าคิดว่าใช่จริง ๆ งั้นรึ?”

    เสียงคุยกันของคนแปลกหน้าสองคนบอกเด็กสาวว่าที่ตรงนี้ไม่ปลอดภัย พุ่มไม้เล็ก ๆ ไม่มีทางเป็นที่หลบซ่อนให้เธอและเขาได้ ไม่ใช่จากสายตาของคนจากข้างนอก

    “เบโอ พวกเราต้องหนี” วาเลรี่กระซิบบอก

    ดวงตาสีดำขลับมองกลับมาอย่างเคลือบแคลง “อะไรของเจ้า?”

    “นะ เบโอ”

    เด็กสาวรู้สึกว่าเสียงของตัวเองเริ่มสั่น เธอเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมตอนนี้หัวใจของเธอถึงสั่นแรง มันไม่เหมือนตอนที่เจอหมาป่าสีเทาเมื่อวานหรือหมีสีน้ำตาลในวันอื่น ๆ วาเลรี่ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ว่าคืออะไร

    หลังจากที่วาเลรี่พยายามจะพูดแต่พูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ ๆ สายตาของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนจากเคลือบแคลงเป็นผิดหวังก่อนที่เขาจะถอนหายใจ

    “ก็ได้ ข้าจะพาเจ้ากลับไปส่ง” เบโอตอบเช่นนั้นก็เอื้อมมือมาจับมือเด็กสาว “ก้มต่ำ ๆ ไว้ เดินระวัง ๆ ด้วย”

    มือของเบโอทำให้เด็กสาวรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย เขาพาเธอย่องออกห่างจากรอยทางหลัก แต่อนิจจาเมื่อก้าวไปได้ไม่ถึงห้ายาร์ด วาเลรี่ก็ได้ยินเสียงตะโกนไล่หลัง

    “นั่นอะไรน่ะ!?”

    เสียงของชายแปลกหน้าทำให้เด็กสาวที่ไม่ทันตั้งตัวตกใจจนก้าวพลาดและล้มลงกระแทกพื้น ตอนนั้นเองที่เธอรู้ว่าการย่องหนีไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป ดูเหมือนเบโอก็เข้าใจดีเช่นกัน เขาดึงเธอให้ลุกยืนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกก่อนลากแขนเด็กสาววิ่ง

    “ไปเร็ว เวล!”

    เด็กหนุ่มดันหลังให้เธอวิ่งนำไป วาเลรี่ไม่มีเวลาจะหันไปมองคนแปลกหน้าที่ไล่ตามพวกเธอ แต่ก็ใช่ว่าเธอจะอยากเห็นหน้าพวกเขา เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ไล่ตามทั้งสองที่วิ่งออกนอกทางเข้าไปในป่าลึก

    รอบกายไร้ซึ่งเสียงอื่นใดไม่ว่าจะเป็นเสียงนกหรือเสียงลม เสียงฝีเท้าของคนแปลกหน้าฟังดูน่ากลัวยิ่งในเวลาที่มันคืบคลานเข้ามาใกล้ วาเลรี่จึงได้แต่นำตัวเองกับเพื่อนวิ่งลัดเลาะเข้าไประหว่างพงไม้และซากต้นไม้ล้ม โดยหวังพึ่งความคุ้นชินกับป่าใหญ่ให้ตัวเองทิ้งห่างจากคนแปลกหน้า

    “ถ้ำ! ถ้ำ!”

    วาเลรี่พูดปนหอบ เธอพาเบโอเข้าไปหลบในซอกแคบ ๆ ของถ้ำซึ่งถูกซ่อนไว้หลังเถาไอวี่ เงามืดของถ้ำเป็นที่กำบังพอให้ทั้งสองได้มีโอกาสพักหายใจ แต่เสียงฝีเท้าหลังจากหายลับไปพักหนึ่งก็กลับมา

    “อะ… อะ…”

    หัวใจของเด็กสาวเต้นแรง หน้าผากเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ

    “เวล ใจเย็น ๆ!” เบโอจับไหล่ของเธอไว้ “ก็แค่คนแถวนี้ เขาเจอเจ้าเขาก็ไม่ทำอะไรเจ้าหรอก!”

    คำปลอบใจของเขาไม่ได้ทำให้เธอสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย

    “ไม่! เบโอ คนพวกนั้นอันตราย!”

    “เวล!”

    เด็กหนุ่มพูดจบก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอส่งเสียงดัง

    เสียงสาวเท้าผ่านพงหญ้าใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงของโลหะเสียดสีกับฝักหนัง แต่ทั้งสองเสียงไม่อาจกลบเสียงหัวใจสั่น เด็กสาวต้องเอามือข้างหนึ่งจิกหน้าอกส่วนอีกข้างอุดปากไม่ให้ต้องร้องออกไป

    แต่ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะมาถึงหน้าปากถ้ำ มันก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงวัตถุปลายแหลมตวัดผ่านกล้ามเนื้อ เสียงของเหลวสาดกระจายลงบนใบหญ้าดังขึ้นตามด้วยเสียงวัตถุหนัก ๆ ล้มลง ใครบางคนกรีดร้องขึ้นมา--แต่เพียงแวบเดียวเสียงนั้นก็ต้องหยุดลง

    ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก วาเลรี่รู้ตัวอีกทีคือเมื่อเธอถูกเบโอโอบไหล่เอาไว้ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ตัวสั่นไม่ต่างกัน อีกมือของเด็กหนุ่มกำแน่นรอบมีดล่าสัตว์เมื่อเงาแสงตะวันยามเย็นส่องให้เห็นเงาของคนที่จับเถาไม้เลื้อยให้เลิกขึ้นเพื่อเผยให้เห็นปากถ้ำที่ถูกซ่อนไว้

    “วาเลรี่”

    เสียงที่แสนคุ้นเคยเรียกให้เด็กสาวต้องผละออกจากเพื่อนสนิทแล้วพุ่งออกไปกอดคนที่ยืนอยู่หน้าปากถ้ำ

    “พ่อ!”

    เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นบางอย่างอยู่ใต้ผ้าผืนใหญ่ชุ่มเลือด  วาเลรี่ก็กอดเอวพ่อของเธอแน่นกว่าเดิม

    “เกิด… อะไรขึ้น กับคนพวกนั้น?”

    “อย่าไปสนใจ”

    นิวล์รีบขยับตัวไปบังไม่ให้ลูกสาวต้องเห็นภาพไม่น่าดูชม ไม่นานต่อจากนั้นเด็กสาวก็รู้สึกถึงมืออุ่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย เขาลูบหัวลูกสาวอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งวาเลรี่หายใจสั่นแล้วจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตรงข้ามกับความรู้สึกอบอุ่น

    “มาทำอะไรที่นี่?”

    ดวงตาสีมรกตของนิวล์มองตรงไปยังเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เดินตามลูกสาวของเขาออกมา

    “เบโอเป็นเพื่อนข้า” วาเลรี่เงยหน้าขึ้นมองชายผมทอง

    นิวล์ได้ยินเช่นนั้นก็หรี่ตาลง

    “เบโอ” เขาเรียกเด็กหนุ่มด้วยชื่อ “เจ้าควรจะรีบกลับบ้าน”

    เด็กหนุ่มผมดำเห็นดังนั้นก็ยักไหล่ “ก็ได้ ถ้าท่านว่าอย่างนั้น” ก่อนที่จะหันมายิ้มให้เด็กสาว “ถ้าอย่างนั้นไว้พรุ่งนี้…”

    “อย่าเสนอหน้ามาแถวนี้อีก” ผู้เป็นพ่อไม่เปิดโอกาสให้คนแปลกหน้าได้พูดจบประโยค

    เด็กสาวได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งไป เธอมีแค่เบโอคนเดียวและพ่อของเธอกำลังจะกีดกันไม่ให้เธอมีเพื่อน วาเลรี่อ้าปากจะเถียง--เธอรู้ว่าต้องพูดอะไรสักอย่างไม่ว่าจะเป็นขอโทษที่ไม่เชื่อฟังพ่อ แก้ตัว หรือไม่ก็ขอร้องให้เขาเปลี่ยนใจ แต่เด็กสาวกลับพูดไม่ออก เธอจึงหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังหวังให้เขาช่วย

    “เบโอ…”

    แต่เขากลับส่ายหน้าแล้วพูดกับชายผมทอง

    “ข้าขอคุยกับเวล”

    “ตามใจ” นิวล์ปล่อยลูกสาวตัวเองออกจากอ้อมกอด เขาเก็บดาบยาวเข้าฝักก่อนเดินตรงกลับไปหาม้าที่ผูกเอาไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่งไม่ห่างออกไป ใกล้ ๆ ม้าตัวนั้นคืออันตอนที่โผล่หน้าออกมาจากพุ่มไม้เมื่อเห็นว่าพ่อของตัวเองกลับมา

    อันตอนดูมีท่าทางโล่งใจเมื่อนิวล์อุ้มเขาขึ้น แน่นอนว่าเพราะเด็กน้อยไม่ได้เห็นหรือได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่--คงได้แต่บอกว่าเป็นโชคดีของเขาที่เชื่อฟังพ่อ

    วาเลรี่คงบอกไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกแบบเดียวกับอันตอน แน่นอนว่าพ่อของเธอทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย แต่การที่เขาสั่งห้ามเธอคบหากับเพื่อนคนเดียวที่เคยมี… มันก็แค่มากเกินไป

    เธอรู้ว่าการบอกลาเบโอคือทั้งหมดที่พ่อจะยอมให้

    “เบโอ ข้า… ถ้า… ถ้าไม่ได้เจอกันอีก”

    พูดได้แค่นั้นเด็กหนุ่มก็ยกมือขึ้นห้าม

    “ตกลงกันแล้วว่าห้ามบอกลา” เขาฉีกยิ้มกว้าง “เป็นอัศวินต้องรักษาคำพูด”

    “แต่…”

    เธอไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร แต่หลังจากเงียบไปนานเบโอก็ลดเสียงลง

    “เจอกันพรุ่งนี้”

    วาเลรี่ยิ้ม และเธอคงระเบิดเสียงหัวเราะไปแล้วหากไม่ใช่เพราะอยู่ในสายตาของพ่อที่จ้องมาอย่างคาดโทษ เด็กสาวจึงได้แต่โบกมือให้เบโอด้วยสีหน้าเบิกบานเมื่อเขาเดินออกไป จนถึงตอนที่เธอเดินกลับไปหาพ่อ เด็กสาวก็ยังต้องกัดริมฝีปากล่างเพื่อกลั้นรอยยิ้ม

    ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรเป็น หรือไม่เช่นนั้นอย่างน้อยมันก็จบลงด้วยดี หากไม่นับขาสองคู่ของร่างไร้วิญญาณที่ผ้าคลุมสีน้ำตาลคลุมไว้ไม่มิด แต่สิ่งเดียวที่เด็กสาวทำได้คือการพยายามไม่หันไปมอง

    หรือบางทีเธออาจจะไม่ต้องพยายาม เพราะอย่างเดียวที่ต้องกังวลคือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

    “วาเลรี่ นี่ไม่ใช่เรื่องตลก ถ้าพ่อมาไม่ทันป่านนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้” 

    สีหน้าเรียบเฉยของนิวล์บอกได้อย่างเดียวคือเขากำลังโกรธ ถึงแต่ละคำจะถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่เด็กสาวรู้ดีว่าอีกนิดเดียวพ่อของเธอพร้อมจะสติขาดผึงและตะโกนด่าเธอได้ทุกเมื่อ

    เด็กสาวกลืนน้ำลายอึกหนึ่งส่วนในใจนึกรู้สึกถึงความฉิบหาย แต่สุดท้ายเธอก็เลือกจะยิ้มแหย ๆ ตอบไป “ส่วนไหนที่พ่อโกรธกว่าระหว่างที่ข้าไปเล่นกับคนจากข้างนอกกับที่ข้าไปเล่นกับเพื่อนผู้ชาย?”

    “วาเลรี่!” นิวล์ตวาดดังลั่นจนลูกสาวสะดุ้ง แต่เพียงครู่เดียวเขาก็คุมเสียงตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนปกติ “พาอันตอนกลับไปก่อน แล้วรอพ่ออยู่ที่บ้าน ห้ามออกไปไหนทั้งนั้น”

    “ก็ได้ พ่อ” เธอตอบ แต่ก่อนที่เด็กน้อยจะได้เข้ามาจับแขนพี่สาว ชายผมทองก็ถอดฝักมีดจากข้างเอวส่งให้ตามด้วยตะเกียงดวงหนึ่ง

    “เอานี่ไป ใกล้มืดแล้ว ระวังเจอตัวอะไรข้างทาง”

    เขาพูดแค่นั้นก็หันหลังเดินกลับไปหาผ้าโชกเลือดที่คลุมอยู่เหนือร่างไร้วิญญาณ

    ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามาจนวาเลรี่รู้สึกสับสนในขณะที่ปล่อยให้ตัวเองโดนน้องชายจูงมือเดินไปตามทาง อย่างน้อยอันตอนก็ไม่ต้องเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น หรือเขาอาจจะแค่ไม่เข้าใจไม่ว่าจะเป็นศพที่นอนอยู่ที่พื้นหรือท่าทางเฉยเมยของผู้เป็นพ่อ

    ความสับสนคือสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวเมื่อเธอเดินตามเด็กน้อยผ่านป่ารกทึบ แสงสนธยาสีส้มสาดส่องให้ผืนป่าในยามนี้ดูวังเวง ประกอบกับการที่รอบกายเงียบสงัด--ไม่มีแม้แต่เสียงนกหรือแมลงหรือเสียงของสัตว์นักล่ายามหัวค่ำเห่าหอนบ่งบอกความเป็นเจ้าถิ่น

    ความเงียบงันทำให้อันตอนต้องบีบมือพี่สาว

    “อะไร?” วาเลรี่มองเด็กน้อยที่หันมาสบตา แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว

    เมื่อวานอันตอนเห็นเธอแอบไปล่าสัตว์กับเบโอ ส่วนวันนี้พ่อก็ตามมาเจออย่างพอดิบพอดี คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างดูออกจะบังเอิญไปเสียหน่อย

    หรือจะไม่ใช่ความบังเอิญ?

    ความคิดที่ว่าเปลี่ยนความสับสนให้เป็นไม่สบอารมณ์

    “เจ้าเอาเรื่องเมื่อวานไปฟ้องพ่อ”

    “พี่ อันตอนก็แค่…” เขาปล่อยมือออกจากพี่สาว ดวงตาสีเขียวมรกตฉายแววหวาดผวา

    “บอกอะไรพ่อไปอีก?”

    “บอกว่า...” เด็กชายผมทองมีท่าทางอ้ำอึ้ง “บอกว่า...”

    อันตอนก้มหน้ามองมือทั้งสองข้างที่ประสานกัน เขาขยับปลายนิ้วชี้แตะกันทั้งยังมองซ้ายขวาราวกับรอให้พี่สาวเลิกจ้องด้วยสายตาคาดคั้นไปเอง และมันได้ผล

    ในที่สุดความอดทนของวาเลรี่ก็หมดลง

    “ไม่ต้องตอบแล้ว!” เด็กสาวชี้หน้าน้องชายของตัวเอง “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร เจ้าไม่ใช่คนที่ถูกพ่อสั่งห้ามออกไปไหนมาไหนนี่! ก็คิดเอาว่าวัน ๆ อยู่แต่ในป่ามันจะน่าเบื่อขนาดไหน! แค่มีเพื่อนคนเดียวก็ไม่ได้! อยู่แบบนี้แล้วชีวิตมันจะไปมีค่าอะไร!?”

    พูดจบ วาเลรี่ก็หันหลังวิ่งออกนอกทาง เธอสับขาวิ่งผ่านพงหญ้าและพุ่มไม้เตี้ยโดยไม่สนใจเสียงของน้องชาย

    “พี่! พี่จะไปไหน? พี่! พี่!”

    เสียงร้องเรียกผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป เด็กสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปทิศไหน

    “พี่! พ่อบอกว่านอกทางมันอันตราย!”

    แต่ก็เหมือนกับทุกอย่าง ทั้งสัตว์ป่า ลำธาร เบอร์รีสีน้ำเงินบนพุ่มไม้หนาม ทั้งต้นไม้สูงและสิ่งที่เรียกว่าด้านนอก อะไรก็ตามที่อยู่นอกกำแพงไม้ก็ถูกนิวล์ตราหน้าว่าอันตรายทั้งนั้น และวาเลรี่ค้นพบว่าครึ่งหนึ่งนั้นเป็นเรื่องเกินจริง

    เธอจะแสดงให้พ่อเห็นว่าทั้งหมดที่เขากลัวก็แค่เป็นความกังวลเกินกว่าเหตุ

    วาเลรี่วิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เสียงของอันตอนดังไล่หลังมาเป็นระยะ ๆ แต่เธอเลือกจะไม่สนใจ นานเท่าไรไม่รู้ที่เธอวิ่งหนีจากอะไรหลาย ๆ อย่างจนท้องฟ้าเปลี่ยนจากแสงสนธยาเป็นสีดำ จนรอบกายเปลี่ยนจากเสียงแมลงเป็นความเงียบสงัด จนลมหายใจเปลี่ยนเป็นเริ่มหอบ จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องจากด้านหลัง

    “อ๊า!”

    เสียงเล็กแหลมเรียกให้เด็กสาวหยุดวิ่ง

    “อันตอน!”

    เธอลากเท้ากลับไปหาต้นเสียงก็เห็นร่างของเด็กน้อยล้มอยู่กับพื้น เมื่อส่องไฟดูก็พบว่าข้อเท้าของเขาไปติดอยู่ในรากไม้

    เด็กสาวนั่งคุกเข่าลงตรงข้าง ๆ น้องชาย วางตะเกียง แล้วช่วยขยับเท้าเล็ก ๆ ให้หลุดออก

    “บ้าเอ๊ย… เข่าถลอก” สายตาของวาเลรี่จับจ้องไปที่ขาซ้ายส่วนที่พ้นชายกางเกงขาสั้นของเด็กน้อยขึ้นมา หัวเข่าของเขาเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อยทำให้คนเป็นพี่เริ่มกังวลจนต้องถาม “เดินไหวไหม?”

    อันตอนรีบส่ายหน้า

    ท่าทางของน้องชายทำให้วาเลรี่คิดได้อย่างเดียวคือเขาแกล้งสำออย เธอรู้ดีว่าถ้าเธอแบกอันตอนกลับไปส่งบ้าน พอไปถึงก็จะพบว่าพ่อนั่งรออยู่แถมเธอก็จะโดนทำโทษหนักกว่าเดิม

    “เดี๋ยวพี่พาไปล้างหัวเข่าแล้วกลับบ้าน”

    วาเลรี่ตอบไปส่ง ๆ พลางดึงให้น้องชายลุกยืนขึ้น แต่ดูเหมือนท่าทางของเธอจะทำให้อันตอนเริ่มเสียงสั่น

    “พี่ต้องกลับด้วย...”

    สีหน้าของเด็กน้อยดูพร้อมจะร้องไห้ เขากำชายเสื้อพี่สาวเอาไว้แน่นจนเธอต้องปลอบ

    “ใจเย็น ๆ พี่ไม่ได้จะไปไหนสักหน่อย”

    พูดจบ เด็กชายร่างเล็กก็ปล่อยโฮออกมาทั้งยังโถมน้ำหนักตัวใส่พี่สาวโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัวจนเธอเสียหลักเซไปเตะตะเกียงล้ม อันตอนยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมเมื่อแสงไฟจากตะเกียงดับลงทิ้งให้สองพี่น้องตกอยู่ในความมืด วาเลรี่จึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะขยับมือลูบเรือนผมสีบลอนด์ทอง

    “หยุดร้องไห้เป็นเด็ก ๆ ได้แล้ว”

    เธอยิ้มให้เขาต่อให้รู้ว่าน้องชายจะไม่เห็น

    ความมืดจากรอบกายดูน่ากลัว และป่าใหญ่ดูวังเวงยิ่งกว่าเดิมเมื่อไร้เสียงจิ้งหรีดที่มักจะดังก้อง วาเลรี่ฉีกยิ้มให้กำลังใจตัวเองพลางขยี้ผมน้องชาย

    หลังจากโดนลูบหัวอยู่พักใหญ่อันตอนยอมปล่อยมือจากเอวพี่สาว เขากลั้นเสียงสะอื้นแล้วพูดกับเธอ “พี่ กลับบ้านกัน”

    เธออยากไปให้พ้น ๆ จากตรงนี้ เพราะป่าแถวนี้มันเงียบ…

    เงียบเกินไป

    เด็กสาวจึงพยักหน้า “ก็ได้”

    แต่จู่ ๆ ร่างของเด็กน้อยก็สั่นเทิ้มอย่างไม่มีเหตุผล วาเลรี่จึงก้มลงมองหน้าเด็กน้อย

    “อะไร? มีอะไรอีก?”

    เขาเงยหน้าขึ้นสบตาพลางขยับปากเป็นคำพูด แต่เสียงของเด็กชายแผ่วเบาจนเธอต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อให้ได้ยินเสียงกระซิบ

    “...พวกมันกำลังตามหา…”

    “ฮะ?”

    ทันใดนั้นความเงียบสงัดก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงของใบไม้ตีกันและลมกรรโชก

    สัญชาตญาณของวาเลรี่บอกให้เธอกอดน้องชายแล้วหมอบลง แต่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้นวาเลรี่ก็ถูกวัตถุในความมืดกระชากไหล่จากด้านหลังจนล้มลง

    “พี่!!!”

    เป็นเสียงอันตอนกรีดร้องที่เรียกให้เด็กสาวต้องลุกยืน เป็นภาพของน้องชายกำลังถูกกลืนหายเข้าไปในหมอกสีดำที่ทำให้วาเลรี่ได้สติ

    ไม่เพียงเท่านั้น รอบตัวของเธอยังเต็มไปด้วยไอดำแบบเดียวกันที่เข้ารัดแขนขา

    “อันตอน!”

    วาเลรี่ตะโกนเรียกชื่อน้องชายออกไปสุดเสียงพลางดิ้นให้หลุดจากเงามืดที่เกาะกุมแน่นขึ้นทุกขณะ เด็กสาวจึงกลั้นหายใจแล้วหันหน้าไปกัดชิ้นส่วนของเงามืดสุดแรง

    ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงหวีดร้องแสบแก้วหู เงาดำคลายตัวก่อนสะบัดร่างวาเลรี่ไปกระแทกต้นไม้เข้าอย่างจัง เธอรู้สึกจุกจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ กลิ่นคาวเลือดในปากทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากอ้วก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเด็กสาวก็ต้องเผชิญหน้ากับภาพของเงาดำที่ก่อตัวเป็นรูปลักษณ์ของมนุษย์แต่กลับบิดเบี้ยว

    สองขายาวยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ดวงตาสีแดงบนส่วนที่น่าจะเป็นใบหน้าส่องแสงเป็นประกาย และมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยเล็บยาวจับอยู่บนใบหน้าของเด็กน้อยที่ได้แต่ร้องเรียกชื่อของพี่สาว

    มันหันหลังก่อนจะค่อย ๆ ออกเดิน

    แม้จะรู้สึกกลัวจับใจแต่ภาพของน้องชายถูกเงาสีดำลากออกไปทำให้วาเลรี่กัดฟันลุกยืนขึ้น ทั้ง ๆ ที่หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว--เธอดึงมีดจากฝักมาถือในมือสั่น ๆ

    อากาศรอบกายแปรปรวนจนไม่เหลือวี่แววของคืนฟ้าใสเมื่อปลายฤดูหนาว เด็กสาวกลืนน้ำลายแล้ววิ่งฝ่ากระแสลมกับสายหมอกพลางหลบหลีกลำต้นสูงใหญ่ของต้นไม้ที่ล้มลงมาขวาง เธอยกสองมือขึ้นบังศีรษะให้พ้นจากเศษกิ่งไม้และใบไม้ที่ถูกพัดให้หมุนวนไปกับไอหมอกสีดำอย่างผิดธรรมชาติ

    “อันตอน!!!”

    เสียงของเด็กสาวทำให้ร่างสูงใหญ่สีดำหันกลับมา วาเลรี่จึงถีบตัวด้วยขาทั้งสองข้างเพื่อพุ่งไปเบื้องหน้าพร้อมขยับมีดจับให้ถนัดมือ

    ในจังหวะนั้นเองวาเลรี่ก็รู้สึกถึงบางอย่างที่พุ่งฝ่ากระแสลมตรงเข้ามาจากด้านข้าง

    เธอเหลือบไปมอง แต่สายเกินไป--เพราะสิ่งต่อไปที่รับรู้คือแรงอัดจากวัตถุหนัก ๆ ที่ข้างศีรษะ

    ความเจ็บปวดคืออย่างสุดท้ายที่รู้สึก… ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×