ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทลำนำอัศวินผู้ปกป้อง ~Ða giedd þara edora~

    ลำดับตอนที่ #2 : Book I, Chaptre I: In the Middle of the Forest (กลางป่าลึก)

    • อัปเดตล่าสุด 9 มิ.ย. 65


    Chaptre I

    In the Myddle of the Forest

    “พี่! พี่! วาเลรี่!”

    เสียงเล็กแหลมของเด็กชายวัยเจ็ดขวบสลับกับเสียงฝีเท้าดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดของผืนป่า เด็กน้อยแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีเทาซึ่งถูกบดบังด้วยใบไม้รกทึบบนกิ่งก้านและลำต้นสูง

    ฟุ่บ!

    เด็กน้อยหันไปตามเสียงของใบไม้เสียดสีกับตัวกิ่ง เขาเห็นเงาของสิ่งมีชีวิตเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนไปหยุดที่พุ่มไม้หนา ดวงตาสีเขียวมรกตทั้งสองข้างเหลือบไปตามเงานั้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก็เห็นประกายวาววับของดวงตาสองข้างส่องประกายออกมาจากพุ่มไม้

    “พี่ อย่าแกล้งกันแบบนี้…” เสียงของเด็กน้อยเริ่มสั่น

    สิ่งที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ค่อย ๆ ขยับ ยอดไม้และกิ่งอ่อนสั่นไปตามการเคลื่อนไหวของเจ้าของดวงตาเป็นประกาย เด็กชายร่างเล็กตั้งใจจะก้าวขาถอยหนีแต่กลับสะดุดล้มลงกลางขี้ดินขี้โคลน จนสุดท้ายเขาจึงได้แต่ยกสองมือขึ้นปิดหน้าแล้วกรีดร้องลั่น

    “ว้าก!”

    เสียงวัตถุปลายแหลมแหวกว่ายผ่านอากาศดังขึ้น จังหวะนั้นเองเด็กน้อยก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างพุ่งเฉียดปลายผมสีบลอนด์ทองในระยะไม่ถึงครึ่งนิ้วตามด้วยเสียงร้องโวยวาย

    “โว้ย! ยิงบ้าอะไรไม่กลัวโดนน้องตัวเองเลยเหรอวะ!?” เสียงของเด็กหนุ่มที่เขาไม่รู้จักดังขึ้นก่อนที่เด็กน้อยจะรู้สึกว่าตัวเองถูกฉุดแขนให้ลุกวิ่ง

    จากด้านหลังเขายังรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไล่ตามมาติด ๆ เขาจึงได้แต่วิ่งฝ่าพงไม้ตามที่คนที่อยู่ข้างหน้าวิ่งไป ไม่นานหลังจากนั้นเด็กน้อยจึงรู้สึกว่าร่างของตัวเองถูกยกลอยขึ้นแล้วถูกปล่อยให้ล้มลงกับพื้น จังหวะนั้นเองที่เขาหันไปเห็นดวงตาสีเหลืองทองของสัตว์ป่าที่กระโจนเข้ามาพร้อมกับเสียงคำราม

    “ว้าก!” เด็กชายผมทองยกสองมือขึ้นปิดหน้า แต่เขาไม่รู้สึกอะไรอีกไม่ว่าจะเป็นสัมผัสจากขนหยาบหรือกรงเล็บที่พร้อมจะฉีกร่างของเด็กน้อยเป็นชิ้น ๆ

    สิ่งที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงของอะไรบางอย่างแทงทะลุเข้าไปในเนื้อและเสียงคำราม เด็กน้อยหลับตาปี๋พร้อมยกมือปิดหูหวังจะหนีจากเสียงของสิ่งมีชีวิตตัวนั้นตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด แต่ในที่สุดเสียงดิ้นทุรนทุรายก็แน่นิ่งไปเมื่อโดนแทงซ้ำอีกครั้ง

    เด็กน้อยลืมตาขึ้นก็เห็นร่างโชกเลือดของหมาป่าสีเทาตัวใหญ่นอนนิ่งอยู่ตรงปลายเท้าของเด็กหนุ่มผิวคล้ำในเสื้อผ้าป่านเก่า ๆ กับกางเกงสีน้ำตาลอ่อนซอมซ่อ มือขวาของเด็กหนุ่มคนนั้นถอนมีดขึ้นสนิมออกจากลำคอของสัตว์ป่า ดวงตาสีดำขลับบนใบหน้าไม่สบอารมณ์มองกลับมาที่เด็กน้อยก่อนจะละความสนใจเปลี่ยนไปจ้องเด็กสาวในชุดกระโปรงสีเทาที่วิ่งตามมา

    “ขอโทษ” เด็กสาวหอบหนัก ๆ ก่อนจะก้มลงยื่นมือให้คนตัวเล็กที่ล้มอยู่ “ไม่เป็นไรนะ อันตอน?”

    “พี่วาเลรี่…” เด็กชายผมทองดึงมือพี่สาวของตัวเองเพื่อลุกยืนขึ้นก่อนจะขมวดคิ้วจ้องมองคันธนูในมือของเธอสลับกับเด็กหนุ่มผิวคล้ำหน้าตาไม่คุ้นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “พี่มาทำอะไร? แล้วนี่ใคร?”

    “เพื่อน ชื่อเบโอ” วาเลรี่ตอบ เธอสะบัดหน้าให้ปอยผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าพาดไปด้านหลังหัวไหล่ก่อนจะหันไปมองหน้าเด็กหนุ่ม “ขอบคุณ”

    “เมื่อไหร่จะเลิกพึ่งแต่ธนู” เบโอกอดอกก้มลงมองเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกเป็นบ่วงแน่นอยู่รอบข้อเท้าร่างแน่นิ่ง “บอกแล้วว่าให้หัดวางกับดักไว้บ้าง”

    “ก็ข้าไม่อยาก” เด็กสาวตอบแค่นั้นก็โดนกำปั้นเล็ก ๆ ของน้องชายต่อยเบา ๆ ที่ข้างเอวเรียกความสนใจให้ก้มลงมอง “อะไร อันตอน? พ่อมีอะไรอีกถึงให้ตามมา?” ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับของน้องชายมองสำรวจเสื้อผ้ามอมแมมบนร่างกายของเด็กชายวัยเจ็ดขวบ

    “พ่อให้พี่ไปตักน้ำ! พี่รู้ไหมว่าพี่ออกมานานเท่าไหร่แล้ว!? แล้วทำไม… ทำไมพี่ถึงมาอยู่กับคนจากข้างนอก!?”

    “เวล ข้ารำคาญเด็กนี่ว่ะ” เบโอส่ายหน้าพลางเก็บดาบเข้าฝัก

    “แค่เพื่อน เบโอไม่บอกใครหรอกน่า!” เด็กสาวถอนหายใจก่อนจะหันไปหา ‘คนจากข้างนอก’ ที่ว่า “เนอะ?”

    แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ตอบอะไร อันตอนก็รีบแทรกขึ้น

    “พี่! ไปได้แล้ว!”

    “ก็ได้ ๆๆ” ได้ยินดังนั้นวาเลรี่จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไว้เจอกันพรุ่งนี้”

    ยังพูดไม่ทันจบเด็กสาวก็ถูกผู้เป็นน้องชายลากออกไป ทิ้งเด็กหนุ่มไว้กับซากหมาป่า แต่เธอไม่ลืมที่จะหันไปโบกมือให้เบโอเมื่อได้ยินเสียงตะโกนไล่หลัง

    “เจอกัน!”

    วาเลรี่ได้แต่ยิ้มในใจ เธอรู้ดีว่าพรุ่งนี้ตัวเองจะหาข้ออ้างมาเล่นกับเขาอีกจนได้

    เพราะยังไงเบโอก็เป็นเพื่อนคนเดียวที่เธอมี

    เธอได้แต่เหม่อมองไม้เลื้อยรอบต้นไม้ใหญ่ตามสองข้างทางพลางคิดว่าพรุ่งนี้จะชวนเบโอไปทำอะไร แต่เมื่อทั้งสองเดินมาจนพ้นจากสายตาของผู้มาเยือนจากด้านนอก เด็กชายผมทองจึงเริ่มโวยวาย

    “นี่พี่คิดอะไรของพี่!? พ่อบอกพี่กี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้ไปยุ่งกับคนจากข้างนอก! แล้วธนูนั่นคืออะไร!? พ่อเคยบอกพี่แล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามจับอาวุธเด็ดขาด! พี่เคยฟังที่พ่อบอกบ้างไหม!?”

    “รู้แล้ว เลิกบ่นได้แล้ว!” วาเลรี่รีบตัดบทก่อนที่น้องชายจะได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ เธอเงยหน้ามองต้นไม้เขียวชอุ่มผิดกับช่วงเวลาปลายฤดูหนาวตามที่โลกข้างนอกสมควรจะเป็น แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘ฤดูหนาว’ หรือ ‘เกล็ดหิมะ’ อย่างที่เธอรู้จักก็มีเพียงในคำบอกเล่า

    ในป่าแห่งนี้--สถานที่เดียวที่วาเลรี่รู้จักมาทั้งชีวิต--ไม่เคยมีลมหนาวซึ่งมาพร้อมกับความแห้งแล้ง ไม่เคยมีสีขาวความตาย ไม่เคยมีเกล็ดน้ำแข็งซึ่งมาพร้อมกับความเจ็บป่วยและความหิวโหย

    ผู้เป็นน้องชายเห็นเช่นนั้นจึงเปรยขึ้น “พี่ พ่อบอกว่าป่านี้เป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ มีชาวเอเตรียนคอยคุ้มครองคนข้างใน เพราะงั้นถ้าพี่ไม่ออกไปพี่ก็จะปลอดภัย...”

    “เลิกพูดได้แล้ว!” เด็กสาวสะบัดหน้าหนีก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำน้องชายไปยังริมลำธาร ข้างลำธารสายนั้นมีถังไม้ถังใหญ่ถูกทิ้งเอาไว้ เธอจึงเอาธนูซ่อนไว้ข้างต้นไม้ใหญ่แล้วหยิบถังน้ำเดินไปกลางลำธาร

    เช่นเดียวกับอากาศแห้งและเย็นกำลังสบายตัว น้ำในลำธารไม่ได้หนาวถึงขั้นที่ทำให้วาเลรี่ต้องตัวสั่น และเนื่องจากเป็นเวลาปลายฤดูแล้งทำให้น้ำสูงแค่เพียงหัวเข่าของเด็กสาวเท่านั้น วาเลรี่กดปากถังให้จมลงไปในลำธารก่อนวักน้ำใสขึ้นมา แต่เมื่อหันกลับไปหาน้องชายที่ยืนอยู่ริมฝั่งเด็กสาวก็ชะงักเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจกวักมือเรียกเขา “อันตอน! มานี่มา!”

    “ไม่เอา!”

    “อยากให้พ่อรู้รึไงว่าแอบไปทำอะไรอันตราย ๆ มา!”

    “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง พี่เป็นคนหาเรื่องให้อันตอนไปเจอหมาป่าเองนี่!”

    “ดูสภาพตัวเองก่อนไหม?”

    อันตอนได้ยินดังนั้นก็ชะเง้อหน้าลงมองภาพสะท้อนของตัวเองในลำธารก่อนจะต้องอุทานออกมาเมื่อเห็นเลือดสีแดงสดเปรอะเปื้อนอยู่เต็มใบหน้า ยังไม่ทันไรเด็กน้อยก็ก้าวถอยหลังเหยียบลงบนโคลนที่ริมฝั่งจนลื่นตกลงไปในน้ำ วาเลรี่เห็นจึงหัวเราะคิกก่อนลากถังไม้ไปวางบนฝั่งแล้วดึงร่างเล็กให้ยืนขึ้น

    “มา พี่ล้างให้” เด็กสาวยิ้มบาง ๆ ให้ผู้เป็นน้องชาย เธอถอดผ้าคาดเอวลงชุบน้ำแล้วบรรจงเช็ดใบหน้าให้อันตอน เมื่อเสร็จแล้วจึงวักน้ำขึ้นล้างเศษโคลนออกจากตัวให้

    “พี่…?”

    “ว่าไง?”

    “พี่อย่าออกไปไหนคนเดียวได้ไหม? มันอันตราย”

    เด็กน้อยหลุบตาลงต่ำ แต่พี่สาวกลับมองไปทางอื่นแล้วจงใจตอบไม่ตรงคำถาม

    “พี่มีน้องชายคนเดียว จะปล่อยให้ใครมาทำร้ายน้องชายของพี่ได้ไง” เธอพูดถึงตรงนี้ก็เบือนหน้ากลับมาฉีกยิ้มให้เด็กน้อย “กลับบ้านกัน”

    วาเลรี่ก้าวขึ้นจากลำธารก่อนช่วยดึงเด็กชายผมทองไม่ให้เขาลื่นตกลงไปอีกรอบ แต่เมื่อก้าวขึ้นมาพ้นแอ่งโคลนข้างลำน้ำแล้วอันตอนกลับไม่ยอมปล่อยมือ สายตาของเด็กน้อยจับจ้องไปที่รอยช้ำที่ต้นแขนของพี่สาว

    “พี่…”

    “ว่าไง?”

    อันตอนอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง “ขอจับมือตอนเดินกลับบ้านได้ไหม?”

    ดวงอาทิตย์เริ่มลอยลงต่ำ ด้วยความที่ป่าใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาทำให้ท้องฟ้ามืดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น วาเลรี่ได้ยินคำขอของน้องชายแล้วจึงถอนหายใจ “ก็ได้”

    มือซ้ายของวาเลรี่จับหูหิ้วส่วนมือขวาของเธอกุมมือซ้ายของน้องชาย นานเท่าใดแล้วไม่รู้ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เธอยอมให้เขาจับมือแบบนี้ ฝ่ามือของวาเลรี่หนาขึ้นเล็กน้อยจากที่เขาจำได้ แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นมือข้างเดิมที่ทำให้เด็กชายรู้สึกปลอดภัย

    เด็กสาวไม่มีทีท่าว่าจะชวนพูดอะไรระหว่างที่ทั้งสองเดินไปตามรอยทางซึ่งเต็มไปด้วยกิ่งไม้แห้ง อันตอนได้ยินเสียงร้องของแมลงเมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีชวนให้รู้สึกวังเวง เขาจึงเงยหน้ามองพี่สาว

    “พี่ พ่อบอกว่าเย็นนี้พ่อจะทำซุปเห็ด ของโปรดของพี่”

    “เหรอ ดีจัง”

    วาเลรี่ตอบเขาแค่นั้น และทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยตลอดครึ่งชั่วโมงที่ใช้กว่าจะกลับมาถึงบ้าน

    จากฟ้าสีเทากลายเป็นสีดำหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าและความมืดเริ่มโรยตัว เสียงของแมลงตัวเล็กตัวน้อยถูกแทนด้วยเสียงของลมพัดผ่านกิ่งไม้ รอบด้านมืดสนิทจนแทบไม่เห็นอะไรนอกจากแสงไฟจากกระท่อมหลังเล็ก ๆ ซึ่งสร้างจากไม้สานฉาบด้วยดินเหนียว ตัวหลังคาถูกมุงด้วยฟางที่กันฝนได้ไม่ค่อยดีนักแต่ก็มากพอที่จะทำให้ครอบครัวเล็ก ๆ อยู่รอดมาได้กว่าแปดปี ข้างตัวบ้านมีเล้าขนาดเล็กเป็นที่อยู่ของไก่ไข่ไม่กี่ตัวซึ่งป่านนี้คงเข้านอนหมดแล้ว นอกจากนั้นยังมีม้าสีน้ำตาลแดงที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างต้นไม้ถัดจากเกวียนเล่มเก่า หน้าบ้านหลังนั้นคือบ่อน้ำบาดาลที่ถูกความแห้งแล้งของฤดูหนาวเปลี่ยนให้เป็นบ่อโคลน

    กลางป่ารกทึบที่เงียบสงัดแห่งนี้ กระท่อมตรงหน้าคงเป็นที่เดียวที่ยังคงมีคนพักอาศัย

    ที่โต๊ะอาหารกลางบ้าน ชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ ในเสื้อผ้าป่านสีขาวนั่งอยู่เพียงลำพังในห้องที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าโต๊ะตัวหนึ่งกับเก้าอี้สามตัว แจกันใส่ดอกไม้สด กับประตูสองบานซ้ายขวา ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องมองเปลวไฟสีส้มบนเทียนไขเล่มเดียวที่วางอยู่กลางโต๊ะด้วยสีหน้าครุ่นคิด

    “พ่อ พ่อนิวล์”

    ทันทีที่ก้าวผ่านธรณีประตูเด็กน้อยจึงปราดเข้าไปกอดชายผมทอง

    “หายไปนาน พ่อเป็นห่วงมากเลยรู้ไหม?” เขายิ้มพลางลูบหัวลูกชายก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่กำลังจะยกถังน้ำไปเก็บในห้องครัวที่อยู่ทางซ้าย “วางไว้นั่นแหละ”

    วาเลรี่ได้ยินพ่อสั่งก็พยักหน้าแล้วเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะทานข้าวที่มีเหยือกกับแก้วไม้วางรออยู่ เธอเลือกนั่งที่ทางด้านขวาของนิวล์ ส่วนอันตอนรีบเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าร่าเริง รอให้ผู้เป็นพ่อลุกขึ้นไปยกหม้อเหล็กใบใหญ่กับถาดใส่ขนมปังมาตั้งไว้กลางโต๊ะ

    “ว้าว มีขนมปังด้วย” อันตอนตบมืออย่างชอบใจ ฝ่ายวาเลรี่จ้องมองซุปข้นสีขาวในชามไม้ที่นิวล์ค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาวางให้ตรงหน้าพลางนึกในใจขอให้น้องชายลืมเรื่องที่เธอกับเบโอไปล่าสัตว์เมื่อตอนบ่าย นอกจากนั้นเธอก็ได้แต่หาข้ออ้างหากอันตอนเกิดเอาเรื่องนั้นไปฟ้องพ่อขึ้นมาจนกระทั่งได้ยินเสียงทุ้มต่ำของผู้เป็นบิดา

    “วาเลรี่ เป็นอะไรรึเปล่า?”

    เสียงนั้นทำเอาเด็กสาวสะดุ้งเฮือกด้วยชนักติดหลัง เธอจึงรีบหัวเราะกลบ “ไม่ ๆๆ ไม่มีอะไร พ่อ”

    “ลูกดูกังวล”

    “เปล่า” วาเลรี่ตอบได้แค่นั้น กลิ่นหอมมันของอาหารในชามก็เริ่มทำให้ความแสบท้องกลับมา เธอจึงรีบก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารจานโปรดจนรู้สึกว่าช้อนไม้ประจำตัวดูเล็กเหลือเกินในเวลาแบบนี้ แต่ถ้าจะยกชามขึ้นซดคงไม่วายต้องโดนดุ

    เด็กสาวมัวแต่จดจ่ออยู่กับซุปในชามจนเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเธอก็เห็นพ่อมองมาอย่างยิ้ม ๆ วาเลรี่เห็นเขามองมาแบบนั้นจึงต้องรีบเทนมอัลมอนด์จากเหยือกใส่แก้วจิบเพื่อแก้เขิน

    “ข้าไปนอนก่อนนะ พ่อ”

    “ตามใจลูก” นิวล์ตอบ แต่เธอยังไม่ทันผละออกจากโต๊ะอาหารเขาก็ถามขึ้น “พรุ่งนี้พ่อต้องเอาของไปขายในเมือง ลูกอยากได้อะไรหรือเปล่า?”

    แน่นอนว่ามีอย่างหนึ่งที่วาเลรี่อยากได้ แต่ถึงจะบอกไปพ่อคงไม่มีทางยอมหามาให้

    “พ่อจะพาอันตอนไปด้วยไหม?” เด็กสาวเลิกคิ้ว

    “พรุ่งนี้พ่อจะพาอันตอนไปด้วย”

    สีหน้ามีความสุขของน้องชายทำให้เด็กสาวได้แต่รู้สึกแย่กับตัวเอง บางครั้งที่พ่อของเธอไปธุระเขาจะพาลูกชายคนเล็กไปด้วย แต่มีเพียงครั้งเดียวเมื่อนานมาแล้วที่เขาเคยพาเธอออกไป จนบางทีวาเลรี่ต้องนึกอิจฉาน้องชายที่ได้ออกไปสัมผัส ‘โลกข้างนอก’ ต่างกับตัวเองที่ได้รู้เรื่องราวเหล่านั้นผ่านคำบอกเล่า

    “ดอกกุหลาบสักดอกคงดี” วาเลรี่หัวเราะ “พูดเล่นน่ะพ่อ เอาเป็นว่าพ่อหาหนังสือสักเล่มมาให้ข้าแล้วกัน”

    อีกครั้งที่เธอขออะไรที่เป็นไปไม่ได้เมื่อพูดถึงหนังสือราคาแพงพอ ๆ กับเงินเก็บทั้งปี ถึงอย่างนั้นมันก็ดูเป็นไปได้ว่าสิ่งที่เธอต้องการ

    ‘ไร้สาระ เรื่องอะไรพ่อถึงจะยอม’

    คิดดังนั้นเด็กสาวส่ายหน้ากับตัวเองก่อนเดินผ่านประตูทางขวาซึ่งเชื่อมไปยังห้องนอนของพ่อและน้องชาย มุมในสุดของห้องห้องนั้นมีพื้นที่ขนาดเล็กซึ่งถูกกั้นด้วยม่านสีขาวสะอาด ด้านหลังผ้าม่านผืนนั้นมีเตียงเล็ก ๆ ที่ทำจากไม้กับฟางทับด้วยผ้าเก่า ๆ อยู่ติดกับหน้าต่างแบบไม่มีบานพับ

    วาเลรี่ก้มลงมองเตียงนอนของตัวเองพลางถอนหายใจ… แต่เพื่อไม่ให้พื้นที่ส่วนตัวดูน่าหดหู่ใจมากไปกว่านี้เธอจึงจุดเทียนไขตั้งไว้หัวเตียงก่อนทิ้งตัวลงนอน เด็กสาวขยับหมอนยัดฟางแห้งมาหนุนหัวแล้วหยิบตุ๊กตาผ้าจากข้างกายขึ้นมากอด ในใจนึกถึงสิ่งที่เธอต้องการอีกครั้งทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้

    ตั้งแต่จำความได้มีเพียงครั้งเดียวที่พ่อพาเธอออกไปด้านนอกคือครั้งที่ทั้งพ่อและแม่ต้องออกไปทำธุระด้วยกันที่หมู่บ้านใกล้ ๆ น่าแปลกนักที่นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นแม่… วาเลรี่เองก็จำไม่ได้แล้วว่าเวลาผ่านมานานเท่าใดแล้วตั้งแต่ตอนนั้น จำไม่ได้แม้กระทั่งใบหน้าของผู้หญิงที่เลี้ยงดูเธอมานอกจากชื่อ ‘ลิเดีย’ แต่เด็กสาวเดาว่าแม่ของเธอต้องสวยมาก ๆ จากที่พ่อเคยพูดไว้

    ว่าแล้วจึงยื่นมือซ้ายออกไปยังอากาศที่ว่างเปล่า ส่วนสายตานั้นจับจ้องที่แหวนทองวงเล็ก ๆ บนนิ้วชี้ก่อนถอดมันออกมาดูข้อความที่สลักไว้ด้านใน

    ‘CDXCII.XII.XII’

    มันคือวันครบรอบอายุสี่ปีของเธอ

    พ่อเคยบอกว่านางฟ้าแม่ทูนหัวให้แหวนวงนี้ไว้เป็นของขวัญวันเกิด

    แต่คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้านางฟ้าที่ว่ามีจริง สิ่งเดียวที่เธออยากขอคืออยากออกไปจากป่าแห่งนี้

    คิดดังนั้นจึงหยิบแผ่นขี้ผึ้งในกรอบไม้ขึ้นมาอังเทียนให้มันละลายเพื่อลบข้อความที่เขียนอยู่ก่อนหน้าแล้วจดบันทึกของวันนี้ลงไปแทนที่

    เสียงแปะ ๆ ของฝนลงเม็ดเริ่มดังขึ้นจากที่ไกล ๆ ทั้ง ๆ ที่เมื่อหัวค่ำอากาศยังแห้ง และสายฝนมักมาพร้อมความรู้สึกเหนียวตัวและอึดอัด วาเลรี่มองผ่านหน้าต่างออกไปยังป่ารกทึบไร้ที่สิ้นสุดก่อนจะเก็บแผ่นขี้ผึ้งแล้วเอื้อมมือไปหยิบหนังสือจากชั้นไม้ข้างเตียงอย่างสุ่ม ๆ อันที่จริงในชั้นนั้นมีหนังสืออยู่แค่สองเล่มแต่เล่มไหนก็เหมือนกันเพราะอ่านจบไปเป็นสิบรอบแล้ว ว่าแล้วจึงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนเปิดไปหน้ากลาง ๆ ของมันโดยไม่สนใจแม้แต่จะชำเลืองมองดูชื่อของหนังสือ

    ‘...ในที่สุดผู้มีปีกก็ได้ละทิ้งปราสาทเอเตรียขึ้นไปยังดินแดนสีทองบนท้องฟ้า หลังจากนั้นมาก็ไม่มีใครเคยได้เห็นผู้มีปีกอีกเลย…’

    วาเลรี่ขมวดคิ้วให้กับข้อความซึ่งถูกเขียนด้วยหมึกสีน้ำตาลเข้ม หนังสือเล่มที่หยิบขึ้นมาคือ ‘ชีวิตของราชาอเล็กซานเดอร์’ ซึ่งเล่าถึงราชาแห่งอัลแทร์องค์หนึ่ง ดูเหมือนฟ้าฝนจะไม่เป็นใจทำให้เธอหยิบหนังสือเล่มนี้ได้ทั้ง ๆ ที่อยากอ่านเรื่องเล่าของอัศวินมากกว่า

    ‘...เพราะการคุ้มครองโดยแสงจากเบื้องบนทำให้ลอร์ดการ์เธิร์นสามารถรวบรวมดินแดนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว จักรวรรดิแห่งนั้นถูกขนานนามว่าเดโมเทีย…’

    เธออ่านถึงตรงนี้ก็พลิกไปหน้าหลัง ๆ ที่คั่นไว้ด้วยเศษผ้า หน้าที่วาเลรี่ชอบที่สุดเป็นรูปวาดของปราสาทหลังงามที่ถูกล้อมไปด้วยบ้านของผู้คน ภาพระบายสีของสถานที่ที่วันหนึ่งเธออยากจะได้ไปเห็นด้วยตาของตัวเอง แค่ถ้าได้ออกไปจากที่นี่

    ‘...ราชาแห่งอัลแทร์ที่สืบเชื้อสายมาจากจักรพรรดิแห่งเดโมเทียได้ทำให้อาณาจักรรุ่งเรือง…’

    วาเลรี่ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะวางหนังสือเล่มนั้นลงบนตัก สุดท้ายเธอได้เพียงแต่นึกสงสัยถึงการมีอยู่ของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งนั้น บางครั้งเอเตรียของผู้คนมีปีกอาจจะเป็นสถานที่ที่ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อยกยอความยิ่งใหญ่ของเดโมเทีย บางทีเดโมเทียอาจเป็นเพียงเรื่องเล่า บางทีเธอกลับนึกสงสัยว่า ‘โลกข้างนอก’ ที่ว่านั้นมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงเรื่องราวที่ถูกเขียนลงไปบนกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น?


         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×