ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bitterblossom : รักหวาน(ขม)ของต้นฤดูร้อน

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 9 : จังหวะ

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 57


    ก่อนจะอะไรหลายๆอย่างจะเกิดขึ้นที่นี้ เสียงสายฝนกระทบร่มนั้นกำลังเข้ามาใกล้ๆเสียงรองเท้านั้นเข้ากระทบลงพื้นไม้ของศาลา และตามเสียงที่อ่อนหวานที่ฉันคุ้นหาเหมือนอย่างทุกที
     
     
    “อ้าว สองคนมาทำอะไรกัน” ฉันเงยหน้ามองที่ต้นตอของเสียง ภาพเบื้องหน้าปรากฎเป็นสาวน้อยใส่ชุดกระโปรงเปิดไหล่สีขาวสะอาดตา ถือร่มสีใสเสียงแบบนี้คงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากปอนั้นเอง ฉันเองก็ตกใจนิดหน่อยว่าทำไมเจอปอที่นี้ แต่ริวก็ทำหน้าตาตื่นเต้นกับเสียงเรียบๆ ฉันเลยเดาไม่ถูกว่าหมอนี้คิดอะไรอยู่กันแน่
     
     
    “อ้าว ปอ เป็นไงมาไงละ”
     
     
    “ปอเองก็อยากจะถามริวเหมือนกันว่ามาทำอะไรกัน” ปอพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
     
     
    “อ๋อๆ ป่าวๆ ไม่มีอะไร เราแค่มาปั่นจักรยานเล่น”อ้าว หมอนี้ไม่ได้บอกปอเลยหรอว่าจะสวนสาธารณะกับฉัน ทั้งที่สองคนก็สนิทกันขนาดนั้น แต่อย่างว่ามันก็เรื่องส่วนตัวของเขานั้นละ
     
     
    “ปอเองก็ตามเดินเล่นเหมือนกัน ปอเองก็มาที่นี้ออกจะบ่อย”
     
     
    “วันหลังคุณปอก็มาด้วยกันสิคะ” ฉันเองก็ตอบรับปอไป มากันหลายคนๆยิ่งสนุก ฉันเองก็เห็นว่าหมอนี้พยักหน้างึกงักตอบรับด้วยเหมือนกัน
     
     
    “ปอขอนั่งด้วยคนนะคะ” ว่าแล้วปอก็มานั่งฝั่งซ้ายของริว ทำให้ตอนนี้หมอนี้ถูกขนาบด้วยฉันและปอ
     
     
    “อ้าวๆ ตายแล้วริว ตัวสั่นใหญ่เลยน๊า หนาวสินะ”
     
     
    “มาๆ” ว่าแล้วเธอก็หยิบเสื้อคลุมสีม่วงของเธอในกระเป๋ามาคลุมไหล่ของริว
     
     
    “ไม่เป็นไรๆ เราไม่ได้หนาวสักหน่อย เธอใส่ไปเถอะปอะ เสื้อบางซะขนาดนั้น” จริงๆฉันว่าปอก็ควรจะใส่นั้นละ เสื้อเปิดไหล่ชุดประโปรงนั้นมันคงจะเย็นสบายในฤดูร้อน แต่ฝนตกหนักขนาดนี้คงทำให้ตัวปอเย็นแน่ๆ
     
     
    “ไม่เป็นไรจ้า ปอไม่หนาวหรอก เค้ารู้ว่าริวขี้หนาว” ถ้าพูดถึงขนาดนี้ ริวเองก็ปฎิเสธน้ำใจเธอไม่ได้หรอก ฉันว่า
     
     
    “ปออยู่ใกล้ๆริว ก็ไม่หนาวแล้วละ” คำพูดที่อ่อนหวานนั้นทำให้ฉันรู้สึกอึ้งๆนิดหน่อย รวมทั้งกับท่าทางของปอที่แนบชิดกับตัวริวมากกว่าตอนแรก ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงก็ตาม แต่ถ้าได้ยินอะไรแบบนั้น ฉันเองก็คงรู้สึกอ่อนไหวเหมือนกัน แต่ริวก็ดูเหมือนไม่ได้สะทกสะท้านหรือจะหวั่นไหวไปกับคำพูดอะไรของปอเลย ริวเองก็ได้ยิ้มอยู่เงียบๆ ฉันเองก็เหมือนกัน
     
     
    “มาที่นี้กันนานแล้วเหรอคะ” ปอหันมาคุยกับฉัน
     
     
    “อ๋อ มากันตั้งช่วงสายๆแล้วละคะ แล้วคุณปอละ”
     
     
    “ปอเพิ่งจะถึงสักพักเองละคะ วันนี้ปอๆว่างเลยออกเดินเล่นข้างนอกหน่อย”
     
     
    “แต่เดินแปปเดียว ฝนก็กระหน่ำมาแล้วละคะ โชคดีที่ปอเอาร่มติดตัวมาพอดี ไม่งั้นเปียกแย่เลย” ปอหัวเราะเบาๆ
     
     
    “อ้าวไหนบอกว่าวันนี้เธอมีธุระไง?” ริวแทรกขึ้นมา
     
     
    “อ๋อ มีธุระช่วงเช้าน่ะ ตอนบ่ายๆเลยว่าง” เธอยิ้มตอบรับ
     
     
    “แต่ว่าริวนี้ใจร้ายจังเลยน๊า จะไปไหนนี้ไม่เคยชวนปอเลย” เธอค้อนริวอย่างงอนๆ
     
     
    “ก็บ้านปอตั้งไกลนิ แค่มาช่วยที่ร้านนี้ก็รู้สึกรบกวนเธอมากๆแล้วละ”
     
     
    “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้รบกวนสักหน่อย ก็ปออยากอยู่ข้างๆริวนี้นา” เอิ่ม ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมนิ ว่าแล้วปอต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ตาริวก็ดูเมื่อจะซื้อบื้อไปหน่อย เห็นทำหน้าทำตาไม่รู้ร้อนอะไรทั้งสิ้น แถมตอบไปว่า“หราๆ”ด้วยเสียงแบบกวนๆอีกต่าง แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุย หมอนี้เหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างเลยจริงๆ

    ว่าแล้วสักพักเราสามคนก็พูดคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้จนเวลาผ่านไป และแน่นอนว่าเฆมฝนก็มลายหายพร้อมๆกับเวลาที่หมุนผ่าน แสงแดดตอนช่วงเย็นสะท้อนกระทบกับน้ำค้างจนเป็นประกาย ฝนที่เทกระหน่ำเมื่อกี้หลงเหลือแต่ความชุ่มชื้นบนพื้นดิน เสียงฟ้าคำรามนั้นกลับกลายเป็นเสียงนกร้องที่กำลังบินผ่านท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆ แสงช่วงเย็นทำให้ฟ้าสีครามกลายเป็นสีทอง เป็นเรื่องเตือนถึงเวลาที่เราต้องกลับ

     
     
    “ปอหิวแล้วอะ กินอะไรดีริว”
     
     
    “อ่าๆ งั้นไปกินร้านนั้นกันไหม Johnny น่ะ”
     
     
    “ได้จ้า ร้านไหนก็ได้”
     
     
    ก่อนที่ฉันจะพูดอะไร ปอก็กระโดดขึ้นซ้อนรถริวไปแล้ว โชคดีหน่อยที่อย่างน้อยจักรยานของเรามีเบาะซ้อนหลังทั้งคู่ไม่งั้นให้ปอเดินไปทั้งที่เราสองคนปั่นจักรยานคงจะไม่ดีมั้ง แล้วทันใดนั้นปอก็ส่งกระเป๋าริวให้ฉัน
     
     
    “โทษทีน๊า แต่หลินช่วยถือกระเป๋าริวหน่อยได้ไหมอะ”
     
     
    “เฮ้ยๆ หลินไม่เป็นไรๆ ฉันแบกเองได้” ว่าแล้วริวหยิบกระเป๋าของเขาเอง มาสะพายข้างหน้า
     
     
    “ไม่เป็นไรๆ นายจะได้ขี่ถนัดๆมาเถอะนา” ฉันตอบกลับเขาไป
     
     
    “แต่ฉันทำได้จริงๆนะ สบายมาก”
     
     
    “ริวก็อย่าดื้อสิ เดี๋ยวเราสองคนล้มหรอก” ปอสะกิดไหล่ริว
     
     
    “ไม่ต้องมาดื้อเลย ส่งมา ส่งมา” เขาเองก็เหมือนจะใจอ่อนเมื่อตอนที่ฉันพูดแล้ว ฉันเองก็ห่วงเขาเหมือนกันเพราะจักรยานคันเล็กๆนั้น ใช่ว่าจะแบกรับน้ำหนักสองคนอยู่ ถือแม้จะมีเบาะหลังก็เถอะ ถึงหมอนั้นจะหน้ามุ่ยๆหน่อยก็ตามที่ส่งกระเป๋ามาให้ฉันสะพาย แต่ฉันไม่เป็นไรหรอก เพราะจริงแล้วกระเป๋าริวเองก็เบา เพราะมีแค่เสื่อกับหมอนเอง แต่ว่าฉันเองก็แอบสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมปอไม่ถือกระเป๋าให้ริวแทน แต่ฉันไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ  จนกระทั่งระหว่างทางที่เราปั่นจักรยาน ฉันเองก็สังเกตว่า ปอกอดเอวริวไว้แน่น แถมจะเอาแก้มพิงหลังหมอนั้นด้วย

    ฉันว่าก็คงเพราะแบบนี้ละมั้ง ถึงได้ส่งกระเป๋ามาให้ฉัน ฉันว่ามันเป็นช่วงเวลาที่น่ารักดีสำหรับพวกเขาสองคน บางทีฉันก็ว่าทั้งคู่เหมาะสมกันดี แต่ทว่านายริวนี้เหมือนไม่ได้สนใจอะไรๆที่เกิดขึ้นเลย ทำหน้าซังกะตายตลอดเวลาที่ปั่นจักรยาน แถมพยายามชวนฉันคุยไปเรื่อยเปื่อยอีกต่างหาก เหมือนไม่ได้สนใจคนที่กอดเอวอยู่ข้างหลังเลย กรรม ถ้าฉันเป็นผู้ชายฉันคงดีใจพิลึก ที่มีสาวน่ารักมาซ้อนท้ายแบบนี้ นายเป็นผู้ชายประเภทไหนกันนิ

     
     
    ในที่สุดเราก็ถึงร้าน Johnny อะไรนั้นของนายริว สภาพที่นี้นั้นตกแต่งแบบตะวันตกโทนสีส้ม เป็นแบบสไตล์คาเฟ่ที่ชอบปรากฎอยู่ในหนังนั้นละ พวกเราสามคนเลือกโต๊ะริมหน้าต่าง ซึ่งฉันว่ามันก็บรรยากาศดีตามแบบฉบับเมืองหลวงเลย แสงไฟหน้ารถที่สว่างไสวอยู่ทางท้องถนนที่ทอดยาวออกไป ตัดกับผู้คนที่ย้ำเท้าอย่างรีบเร่งทั้งๆที่ค่ำแล้ว ฉันเองก็ไม่ได้เกลียดสภาพแบบนี้หรอก แต่ถ้าจะให้พูดว่าชอบคงพูดไม่ได้เต็มปาก มันเป็นความสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชั่วครั้งชั่วคราว อันเป็นบางมุมของเมืองที่เบียดเสียดและแออัดที่ฉันจะรับรู้ถึงความสวยงามที่ปรากฎขึ้นได้
     
     
    สักพัก พนักงานก็นำเมนูมาให้พวกเราดู เมนูอาหารก็พวกอาหารจานเดียวสไตล์ตะวันตกแบบเดียวกับร้านเลย อาจเป็นเพราะภาพประกอบในเล่มไม่ก็กลิ่นที่ตลบอบอวนในร้านนั้น ทำให้ทุกอย่างดูน่ากินไปหมด
     
     
    “โหๆ นี้ก็น่ากิน นั้นก็น่ากิน เอาไรดีๆ” ริวพลางเปิดเมนูแล้วชี้ไปทั่วเลย
     
     
    “นายก็สั่งสเต็กมากินดิ๊” ผู้ชายคงจะชอบอะไรแบบนี้มั้ง สเต็กในรูปก็ดูใหญ่พอตัว คงจะพอทำให้หมอนี้อิ่มได้
     
     
    “อืมม--ม ก็ดูดีเหมือนกันแฮะ แต่อันนี้ก็น่ากินชะมัด” หมอนี้ยื่นเมนูให้ฉันดูอีกแล้ว แถมมาเบียดมาใกล้ๆอีกต่างหาก
     
     
    “พอเลยพอ เมนูฉันก็มีถืออยู่ เห็นไหมนิๆ” ฉันตอบกลับและเอามือดันไหล่เขาไปได้ ซึ่งหมอนี้ก็ทำหน้ามุ่ยนิดหน่อย
     
     
    “ไหนจ๊ะไหน ริวอยากกินอะไร ให้ปอดูซิ” ปอที่นั่งตรงข้ามกับริวก็ขยับหน้ามาดูเมนูที่ริวถืออยู่
     
     
    “เอาเป็นสปาเกตตี้มีทบอลไหมละ ที่ริวชอบไง”
     
     
    “อืม วันนี้เราไม่ค่อยอยากกินอะ เอาเป็นสเต็กละกัน” หมอนี้พูดจบก็พลางปิดเมนูไปด้วย
     
     
    “งั้นปอเอาสลัดทูน่าดีกว่า”
     
     
    จะว่าอย่างงั้นอย่างงี้ ฉันเองก็เลือกเมนูที่จะกินไม่ได้เหมือนกัน พลางเปิดหน้าเมนูไปๆมาๆ หมอนี้คงสังเกตเห็นว่าฉันเลือกไม่ถูก
     
     
    “เธอก็สั่งสปาเกตตี้มีทบอลไปดิ๊ อร่อยนะ ฉันกินประจำเลย” หมอนี้เขยิบตัวมาใกล้ฉันอีกแล้ว แถมเอานิ้วมาชี้ๆที่เมนูของฉัน ฉันเองก็พยักหน้าตามน้ำเขาไป เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกินอะไรดี
     
     
    “งั้นเอาตามนี้นะ แล้วเอาน้ำอะไรกันดี” ริวถามทุกคน
     
     
    “ปอขอน้ำเปล่าละกัน”
     
     
    “ฉันจะเอาโคล่า เธอละหลิน” ริวพูดต่อ
     
     
    “ฉันเอาด้วยละกัน” ฉันนึกอะไรไม่ออกเลยก็เอาตามริวไป
     
     
    “หว๋า งั้นปอเอาโคล่าด้วยดีกว่า” ริวก็ดูทำหน้าตางงๆนิดหน่อย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
     
     
    “โอเค ตกลงตามนี้ละ” เขาเรียกพนักงานเสริฟเพื่อรับเมนูไป ซึ่งใช้เวลาไม่นานเพียงชั่วอึดใจ อาหารที่เราสั่งมาก็พร้อมอยู่บนโต๊ะ หมอนี้ก็เริ่มลงมือกินอย่างไม่สนใจใคร
     
     
    “เฮ้ยๆ นายกินเร็วไปเปล่า ใจเย็นเดี๋ยวติดคอหรอกน่า” หมอนี้รีบกินยังกับเด็กๆ พลางนึกถึงตอนที่กินแซนวิชเมื่อตอนกลางวันก็ทำแบบเดียวกัน
     
     
    “ก็ฉันหิวนินา” ริวตอบกลับมาแบบเด็กๆ
     
     
    “จ้าๆ ฉันรู้อยู่แล้วละ” ฉันก็พลางม้วนเส้นสปาเกตตี้เข้าปากบ้าง แล้วตามด้วยมีทบอล ซึ่งมันก็อร่อยจริงๆตามที่นายริวพูดนั้นละ แถมสอดไส้ชีสไว้ในเนื้อสับยิ่งทำให้รสเข้มข้น ผสานกับซอสราดที่ทำจากมะเขือเทศยิ่งทำให้รสชาติมีความล้ำลึกเข้าไปอีก มิน่าละ ริวถึงชอบกิน แต่ก่อนที่จะพิจารณาอะไรๆบนจานฉันต่อ ส้อมปริศนามาจิ้มมีทบอลของฉันแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
     
     
    “อร่อยชะมัด ฮ่าฮ่าฮ่า” หมอนี้พูดทั้งๆที่มีทบอทของฉันอยู่เต็มปาก
     
     
    “หว๋า นิสัยเสียชะมัดนายนิ”
     
     
    “ก็เธอกินช้าเองอ๊ะ” เขาหัวเราะลั่น
     
     
    “หน๊อย จำไว้เลยนะ”
     
     
    “โอ๋ๆ งั้นเธอกินสเต็กของฉันมา” หมอนี้พลางหั่นสเต็ก และเอาส้อมจิ้มจะป้อนฉันให้ได้
     
     
    “ไม่ต้องฉันกินเองได้ วางลงเลย”
     
     
    “นะนะนะ ป้อนๆ” ฉันเองก็ทนเสียงอ้อนๆเขาไม่ไหวเหมือนกัน ฉันเลยยอมให้เขาป้อนแต่โดยดี สเต็กส์หมอนี้ก็อร่อยดีละ
     
     
    “ปออยากกินสเต็กส์บ้างอะ” ปอพูดแทรกขึ้นมา
     
     
    “ได้ๆ”หมอนี้หั่นสเต็กส์เป็นชิ้นเล็กแล้ววางลงบนสลัดทูน่าของปอ ปอเองก็หน้ามุ่ยๆนิดหน่อย แต่ริวก็เหมือนไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ ฉันเองก็เลยต้องทำหน้าตาเฉยๆ ต่อไป แต่เวลาผ่านไปสักพักฉันเริ่มสังเกตเห็นว่าน้ำโคล่าของปอนั้นไม่พร่องเลยทั้งที่แก้วของเราสองคนนั้นใกล้จะหมดแล้ว
     
     
    “คุณปอไม่กระหายน้ำหรอคะ” ฉันถาม
     
     
    “อ๋อ ลืมคะลืม” ปอยิ้มเล็กๆให้ฉัน พลางดูดน้ำโคล่าจากหลอดด้วยใบหน้าเหมือนกินอะไรขมๆเข้าไปเลย ฉันเองก็งงๆกับปอเหมือนกัน
     
     
    “ปกติปอไม่ชอบกินโคล่าไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ถึงสั่ง” ริวเองก็ทำหน้างงๆ ฉันเองก็หายสงสัยว่าทำไมปอทำหน้าตาเยเกซะขนาดนั้น
     
     
    “ก็เห็นริวชอบสั่งมา ปอเลยอยากลองดูบ้าง” ให้ตายสิฉันว่าถึงขั้นนี้แล้ว ฉันว่าปอคงจะมีใจให้ริว แต่ดูตาริวไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้นทำตัวเฉยๆตามปกติ
     
     
    “โหๆ คราวหลังไม่ต้องสั่งตามเราเลย เดี๋ยวเรากินให้เอง แล้วจะใส่น้ำเปล่ามาให้” ริวกวักมือเรียกพนักงาน พลางหยิบแก้วของปอขึ้นมาดูด ปอเองก็ทำหน้าแดงๆ แต่เดี๋ยวนะ ใช้หลอดเดียวกันนี้มันจูบทางอ้อมชัดๆแบบที่พวกในหนังชอบบอกไง มิน่าแก้มปอถึงแก้มแดงซะขนาดนั้นแถมยังดูเขินๆด้วย ปอเป็นคนน่ารักอยู่แล้วยิ่งหน้าแดงยิ่งดูน่ารัก แถมชุดที่ใส่วันนี้ก็ดูสวยสุดๆแถมเข้ากับเธอด้วย ระหว่างที่เราทานข้าวกันอยู่ ฉันเห็นสายตาของผู้ชายหลายคนในร้านจ้องแต่เธอ รวมทั้งพนักงานเสริฟ์ด้วย มิน่าเมนูของเราถึงได้เร็วกว่าโต๊ะอื่นๆ

    แต่ถ้าจะให้พูดถึงละก็ ริวเองก็เป็นที่ดึงดูสายตาของสาวๆในร้านเหมือนกัน พนักงานหญิงคนนั้นเลยเดินผ่านโต๊ะบ่อยๆแถมมาคอยถามเราบ่อยมากว่าต้องการอะไรเพิ่มให้รีบบอก แถมไปจับกลุ่มกรี๊ดกร๊าดตรงหน้าห้องน้ำนั้นอีกด้วย ก็อย่างว่าทั้งสองคนหน้าตาดี บุคลิกก็ดี ฉันหน้าตาธรรมดาอย่างฉันเลยได้ประโยชน์ไปด้วย ถึงจะแอบอิจฉานิดหน่อยก็เถอะ

     
    บรรยากาศของโต๊ะอาหารของเรานั้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทั้งหัวเราะเสียงดัง บรรยากาศแห่งความครื้นเครงนี้มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเวลาเดินผ่านไปเร็วเสมอ จนฉันรู้สึกว่ามันเริ่มจะดึกแล้วละ ฉันว่าปอเองก็คงอยากจะกลับเพราะเท่าที่จำได้บ้านปอนั้นไกลจากที่นี้ แต่ฉันดูแล้วว่าปอเองก็ดูเรื่อยๆสบายๆ ไม่เหมือนอยากรีบกลับเท่าไร พวกเราทั้งสามคนเลยนั่งจำกระทั่งร้านปิด พวกเราทั้งสามคนจ่ายเงินเสร็จ เลยมายืนส่งปอตรงที่ถนนเพื่อขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้าน เพราะตอนนี้รถเมล์คงจะหาได้ยากแล้วละ แต่ว่าจริงๆแล้วแท็กซี่ก็ดูอันตรายเหมือนกันถ้าจะให้ผู้หญิงขึ้นคนเดียว ฉันเลยบอกให้นายริวไปส่ง
     
     
    “นายไปส่งปอเขาหน่อยสิ”
     
     
    “อ้าวแล้วเธอจะกลับยังไงล่ะ มืดก็มืด อันตราย”
     
     
    “ทางใกล้แค่นี้ ฉันมีจักรยาน ขับกลับเองได้”
     
     
    “นายไปส่งปอเถอะ ฉันดูแลตัวเองได้” ฉันพลางทำมือไล่เขาไป หมอนี้เลยทำตามอย่างที่ฉันบอกอย่างช่วยไม่ได้
     
     
    “หลินวันนี้ขอบคุณมากน๊า ขอบคุณจริงๆ” ปอพูดพลางจับมือกับฉัน ปอเองก็มีสีหน้าสดใสสุดๆ แบบเหมือนดีใจอะไรสักอย่าง ฉันว่าละ ปอนี้คงที่ดีใจที่ริวไปส่ง สักพักรถแท็กซี่ก็ขับผ่าน ริวก็พับจักรยานขึ้นรถไปพร้อมกับริวด้วย ฉันเองก็พอเข้าใจแล้วทำไมเขาถึงมีจักรยานแบบพับได้ เพราะมันสะดวกจริงๆนั้นละ ฉันเองก็รู้สึกดีที่ซื้อแบบเดียวกันกับของริว
     
     
    ระหว่างทางกลับถึงแม้ว่าจะมีไฟถนนส่องทางให้เห็น แต่บรรยากาศมืดๆนั้นทำให้ฉันคิดอะไรเตลิดเปิดเปิง ยิ่งนึกถึงข่าวที่ดูเมื่อตอนเช้าว่า ชอบมีอะไรเกิดขึ้นตอนกลางคืนยิ่งทำให้รู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ แต่ก็พลางคิดว่า ปอคงน่ากังวลกว่า เพราะชุดที่เธอใส่กับใบหน้าสวยๆของเธอนั้นมันยิ่งดึงดูดใจใครต่อใครให้หลงผิดทำอะไรเธอขึ้นมาได้ แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ฉันเองก็กลัวเหมือนกันในฐานะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
     
     
    ฉันปั่นจักรยานตามผิวถนนที่ทำเป็นเลนไว้จักรยาน โชคดีที่นี้มีไฟสว่างๆให้พอคลายกังวลได้ ฉันนึกถึงตอนทีฉันอยู่หอพักก่อนที่ฉันจะย้ายมาอยู่ที่นี้ ที่นั้นมืดกว่านี้เป็นร้อยเท่า พอตกกลางคืนฉันแทบจะต้องขังตัวเองไว้ในห้อง เพราะแสงไฟที่ถนนมักขุ่นมัวเหลือเกิน แถมที่สว่างที่สุดนั้นเป็นร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ที่ฉันไม่เคยไปเลยตอนกลางคืน เพราะมันไกลจากที่ฉันอยู่แบบมากๆ ฉันเลยรู้สึกดีที่ย้ายมาอยู่ที่นี้
     
     
    สักพักเสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น
     
     
    “โหลๆ ตอนนี้เธออยู่ไหน” คนบ้าตัวสูงโทรมา
     
     
    “ฉันกำลังปั่นจักรยานอยู่ตาบ้า โทรมามีอะไร เดี๋ยวฉันถึงบ้านค่อยโทรคุยกัน” การคุยโทรศัพท์ระหว่างปั่นจักรยานนี้ไม่ดีเลยเพราะฉันเองก็ไม่มีสายหูฟังคุยกับเขา
     
     
    “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งวาง เธอก็เปิดลำโพงสิๆแล้วใส่กระเป๋าเสื้อไว้” ลืมไปว่ามีวิธีแบบนี้ด้วย
     
     
    “ก็ได้ๆ แต่นายจะโทรมาทำไม” ถึงฉันจะพูดไปแบบนั้น ความจริงฉันเองก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยที่ได้ยินเสียงของเขาในบรรยากาศวังเวงแบบนี้
     
     
    “ก็มาอยู่เป็นเพื่อนเธอไง”
     
     
    “แล้วนายส่งปอเสร็จแล้วหรือไง ถึงโทรมาเนี้ย”
     
     
    “ยังไม่ถึง ปอยังอยู่ข้างๆเนี้ย”
     
     
     “’งั้นเหรอ ริวนายเองก็วางไปได้แล้ว ไม่เปลืองค่าโทรศัพท์หรือไง”
     
     
    “ก็ฉันอยากอยู่เป็นเพื่อน” ถึงถนนที่นี้มันก็ไม่ได้มืดอะไรเลย สว่างกว่าที่คิดด้วยซ้ำไป แต่ว่าฉันรู้สึกดีก็ตามที่เขาโทรมาในเวลาแบบนี้ เพราะความเงียบสงัดในช่วงกลางคืนนั้นทำให้ฉันคิดอะไรไปฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย  เสียงอบอุ่นนั้นนำพาเรื่องราวต่างๆนั้น คอยมาช่วยพยุงฉันจนกลับมาถึงบ้านได้โดยสวัสดิภาพ
     
     
    “ฉันถึงบ้านแล้ว นายเองก็วางไปได้แล้ว ขอบคุณมาก”
     
     
    “นายถึงบ้านปอหรือยัง” ฉันพูดต่อ
     
     
    “อ๋อ ไม่เป็นไรๆ ยังไม่ถึงๆ”
     
     
    “งั้นหลินขอตัวก่อนนะคะคุณปอ” ฉันพูดไปเพราะรู้ว่าปอคงจะได้ยินเสียงฉันจากโทรศัพท์ของริว
     
     
    “...” แต่ฉันไม่ได้ยินอะไรตอบกลับมาเลย
     
     
    “อ๋อ ปอก็เองดูเหมือนเหนื่อยๆอะหลิน ถ้าเธอถึงบ้านแล้วงั้นฉันวางก่อนนะ บาย” ริวตอบกลับมา
     
     
    “จ้า บาย กลับมาดีๆละ”
     
     
    ฉันเองก็คิดว่าหลินเองก็คงจะเหนื่อยจริงๆนั้นละ เพราะฉันเองก็ไม่ได้ยินเธอเลยตลอดที่ริวโทรมาคุยกับฉัน เผลอๆปออาจจะหลับไปแล้วก็ได้ เพราะมันค่อนข้างจะดึกมากแล้ว แต่โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ ฉันเลยไม่ได้กังวลอะไรเป็นพิเศษ คืนนี้มีรายการพิเศษที่ฉันอยากดูด้วยสิ งั้นรีบอาบน้ำแล้วค่อยมาดูดีกว่า ฉันเลยรีบวิ่งไปอาบน้ำจากที่วันนี้เหนื่อยมาแล้วทั้งวัน หลังจากนั้นมานอนกลิ้งเกลือกบนโซฟาหน้าโทรทัศน์

    ---------------------------------------------------------------------------

     
     
    “ก๊อกๆ ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูกระจกดังขึ้น
     
     
    “หืม!” ฉันเหวอมากที่ใครมาเคาะกระจกตอนอะไรดึกๆ แถมเสียงมันอยู่ข้างๆฉันด้วยอะ! ถ้าเป็นโจรละ ทำยังไงดี ทำยังไงดี!
     
     
    “ก๊อกๆ ก๊อกๆ ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูนั้นยิ่งดังขึ้นไปอีก เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ฉันเลยลุกจากโซฟาและเอื้อมไปเปิดม่านที่บังประตูเลื่อนกระจกนั้นไว้
     
     
    “Hey yo! ทำไรยังไม่นอน” ใบหน้าที่คุ้นตากับเสียงที่คุ้นหู เอามือเกาะกระจกยังกะตุ๊กแกแหน่ะ
     
     
    “ไม่ต้องมาเฮย่ง เฮโย้วอะไรเลย นี้มันดึกแล้ว แล้วนายเข้ามาทางไหนเนี้ย”
     
     
    “ปีนเข้าสิเนี้ย เห็นไฟยังเปิดอยู่ ไม่หลับไปนอนเหรอ นี้มันดึกแล้วนะ” ไม่น่าถามเล๊ยย—ยย ว่าเข้ามาได้ยังไง ในเมื่อกำแพงมันเตี้ยซะขนาดนั้น
     
     
    “ก็ดูรายการทีวีตอนเที่ยงคืนอยู่” ฉันตอบกลับไป
     
     
    “นี้มันตีสองแล้วนะ” ริวตอบกลับมาแบบหรี่ตาจ้องจับผิดฉัน ฉันเลยหันไปดูนาฬิกาที่วางไว้ใกล้ๆโทรทัศน์ อ้าวนี้มันตีสองจริงๆด้วย แสดงว่าฉันก็คงเผลอหลับไปแน่ๆ โชคดีนะเนี้ยที่ริวมาเคาะเรียกก่อน ไม่งั้นค่าไฟเดือนคงจะเยอะน่าดู แต่ว่ามาปืนเข้าบ้านสาวน้อยตอนตีสองนี้มันไม่เข้าท่าเลยนะ แต่ว่าก็ช่างเถอะ ฉันว่าฉันเองมั่นใจในตัวหมอนี้ได้ แต่ยังไงคงต้องดุเป็นพิธีหน่อย
     
     
    “แต่ว่านายมาปีนเข้าบ้านคนอื่นดึกๆได้ยังไงกัน แถมเป็นบ้านสาวน้อยด้วย” ฉันทำหน้าขมึงถึงใส่ อย่างน้อยให้เขารู้ตัวบ้าง
     
     
    “สาวน้อยจริงๆละ ตัวเตี้ยนิดเดียว” ริวหัวเราะ หน๊อย—ย ว่าฉันเตี้ยอีกแล้ว ฉันเลยทุบแขนขวาไปทีหนึ่ง
     
     
    “โหย มือหนักเป็นบ้า เจ็บนะเนี้ย”
     
     
    “สมน้ำหน้ายะ มาว่าฉัน แถมความจริงต้องหนักกว่านี้ด้วย ข้อหาบุกรุกเคหะฐานในยามวิกาล”
     
     
    “โหย—ย ศัพท์ทางการมากเลยป้า” หมอนี้ว่าฉันอีกแล้ว เมื่อกี้ว่าฉันเตี้ย แถมตอนนี้ยังบอกว่าฉันป้าอีก ตายแน่ๆตาริว เลยเลยฟาดแขนขวาเขาอีกรอบ
     
     
    “โหย ซ้ำที่เดิมเลยอะ เจ็บๆ”
     
     
    “ยะ สมควรแล้ว แต่ว่าปอเป็นไงบ้าง” ฉันถามเขาเพราะฉันเองก็เป็นห่วงปอนิดหน่อย เพราะเห็นเธอเงียบๆไปตอนที่ฉันคุยโทรศัพท์กับริวตอนกลับบ้าน
     
     
    “ก็ไม่รู้อะ ก็คงดีมั้ง” ริวเองก็ทำหน้าตาเฉยๆ เหมือนไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ ยิ่งทำให้ฉันสงสัยกว่าเดิม
     
     
    “นายพูดแบบนี้หมายความว่าไง” ฉันถามเขาอีกครั้ง
     
     
    “ไม่รู้อะ ไม่ได้สังเกตอะ” ริวก็หน้าตาแบบเดิมๆ ถ้าฉันเป็นปอ ฉันเองก็คงฉุนไม่น้อย คนบ้าอะไรนั่งรถไปด้วยกันแท้ๆแต่กลับไม่ได้รู้อะไรเลย นายนั่งไปด้วยจริงเปล่าเนี้ย ไม่ใช่แอบลงกลางทางละ
     
     
    “นายนี้น้า นั่งไปกับปอแท้ๆ นายเองก็น่าดูปอเขาหน่อย เผื่อเขาจะเป็นอะไร เห็นเงียบๆ”
     
     
    “ได้ๆ งั้นฉันโทรหาเลย” ห๊ะ! จะโทรหาตอนนี้เลยเนี้ยนะ นี้มันดึกมากแล้ว แต่ถึงจะพูดแบบนั้นฉันเองก็ห้ามเขาไม่ทันเหมือนกัน เขาเองก็กดโทรศัพท์ไปหาแล้ว และใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ ปอก็รับโทรศัพท์ริว หมอนี้ก็เปิดลำโพงให้ฉันฟังด้วย คงอยากให้ฉันได้ยิน จะได้สบายใจละมั้งฉันว่า
     
     
    “เป็นไงบ้าง ปอ” ริวทักทาย
     
     
    “อ้าว ริวเองเหรอ วันนี้นึกอะไรโทรมาหาได้เนี้ย สงสัยหิมะจะตกแน่เลย” เสียงปอฟังดูร่าเริงสุดไปเลย ฉันแอบในใจว่าไม่ง่วงกันเหรอ ฉันแอบหาวหวอดๆแล้วเนี้ย
     
     
    “ก็ป่าวหรอก แค่อยากโทรมาเชคดูว่าเธอยังokไหม”
     
     
    “ปอสบายดีจ้า วันนี้ปอเองก็สนุกมากด้วยที่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน แถมวันนี้ริวเองก็นั่งรถส่งปอด้วยละ นี้เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้ไปไหนข้างนอกกับริว ถึงแม้จะเผอิญเจอกันก็ตาม” อ้าว หมอนี้ไม่เคยไปไหนตอนไหนกับปอเลยเหรอ แปลกๆแฮะ แต่อย่างว่า ปอก็อยู่ตั้งไกลจะหามาเตร่ๆนี้คงไม่ดีเท่าไรมั้ง ฉันว่า
     
     
    “จ้าๆ เธอเองก็รีบนอนซะละ นี้มันดึกมากแล้ว” ริวตอบ
     
     
    “จ้า ฝันดีนะ วันนี้ปอมีความสุขจริงๆนะ บาย” ปอตอบกลับและวางสายไปด้วยเสียงที่มีความสุขสุดๆ
     
     
    “อะ พอใจเธอหรือยัง เห็นไหมว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร” เขาหันกลับมาถามฉัน
     
     
    “ยะ ก็ดีแล้วนิ แต่ก่อนอื่นนายปีนเข้ามาทำไม” ลืมไปซะสนิทเลยว่าหมอนี้จะเข้ามาบ้านฉันมาทำไมดึกๆดื่นๆ
     
     
    “ป่าวๆ ฉันแค่สงสัยว่าเธอเงียบไป ทั้งที่ฉันแอบตะโกนเรียกเธอจากข้างบ้านตั้งนาน แถมได้ยินเสียงทีวีเปิดไว้อีก เลยสงสัยว่าเธอจะเป็นอะไรหรือป่าว ก็เลยมาเคาะดู”
     
     
    “ถ้าเธอไม่ได้มาเปิดเร็วๆละก็ ฉันได้ฟังประตูเข้าไปแน่นอน” เขาพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
     
     
    “โห ไม่ต้องเลยๆ ฉันเก่งอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอกหน่า โทษทีฉันเผลอหลับไป” ฉันตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพราะฉันเองก็ไม่อยากเห็นเขากังวลหรือจะมาเครียดอะไรเพราะฉัน ฉันเองก็ไม่สบายใจน่ะ
     
     
    “อือๆ แต่คราวหลังอย่าลืมอีกละ ฉันเป็นห่วงจริงๆนะ” หมอนี้ทำหน้าตาจริงจังอีกแล้ว
     
     
    “จ้าๆ ฉันจะไม่ลืมอีกแล้วเจ้าค่ะ” ฉันพูดอย่างยิ้มๆพลางตะเบ๊ะไปด้วยขำๆ ริวเองก็มีสีหน้าสบายใจขึ้น
     
     
    “ถ้าเธอไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้ว ฉันเองก็กลับดีกว่า ขอโทษนะที่มารบกวนเธอตอนที่หลับอยู่”
     
     
    “ไม่เป็นไรๆ ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจหลับ ดีซะอีกที่นายมาปลุกก่อน ไม่งั้นเสียค่าไฟบานแน่” แต่มันก็โชคดีจริงๆละที่หมอนี้เข้ามาก่อน แถมเดือนนี้ฉันเองก็ใช้ไฟไปเยอะด้วย ถ้ามีเรื่องนี้เข้ามาอีกฉันคงตายแน่ๆ พูดจบเขาเองก็เดินมาที่สนามหญ้าที่อยู่ข้างหน้าระเบียงไม้ของฉัน สักพักก็หยุดมองไปที่ท้องฟ้า

     
    “นายจะหยุดทำไม รีบปีนข้ามไปได้แล้ว”
     
     
    “เธอว่าวันนี้ท้องฟ้าสวยเนอะ ว่าไหม”
     
     
    จริงด้วย วันนี้ท้องฟ้าดูสวยกว่าทุกวัน ไม่สิ อาจจะเป็นเพราะฉันไม่เคยสังเกต ดาวเป็นล้านตัวประกายอยู่เต็มท้องฟ้าราวกับหิ่งห้อยตัวเล็กๆบนผืนผ้าใบสีดำสนิท ความสว่างของดวงดาวที่ปรากฎนั้นกับสายลมฤดูร้อนนั้นทำให้คืนนี้ฉันรู้สึกว่ามันแตกต่างจากทุกๆวัน อาจจะเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ หรือจะเป็นอะไรก็ตามแต่ ความสวยงามของช่วงเวลานี้มันทำให้ฉันอบอุ่นในใจ ท่ามกลางค่ำคืนที่แสนยาวนาน ณ ตอนนี้
     
     
    “ตอนแรกฉันไม่คิดว่าจะได้เห็นดาววันนี้ด้วยซ้ำ” เขากล่าว
     
     
    “ปกตินายดูดาวเหรอ”
     
     
    “อือ ฉันชอบดูน่ะ” หมอนี้อารมณ์ศิลปินชะมัด ดูดงดูดาวกับเขาด้วย
     
     
    “วันนี้ฝนตกแรงซะขนาดนั้น เลยคิดว่าน่าจะมีเฆมบัง” ฉันมองไปยังที่ท้องฟ้าที่ดูแสนไกลนั้น
     
     
    “ก็จริงนะ ความจริงเฆมมันก็มีอยู่บ้าง” ฉันเองก็สังเกตว่ามีเฆมบางส่วนลอยอยู่อีกฝั่งหนึ่งของท้องฟ้า แต่ตรงที่เรายืนอยู่กลับฟ้าเปิด ไม่มีอะไรบัดบังสายตาของเราทั้งคู่
     
     
    “ก็อย่างว่า เจอเรื่องอะไรบางอย่างขนาดนั้น ยังไงก็ต้องมีอะไรหลงเหลือบ้าง” เขาพูดน้ำเสียงเบาๆเรียบๆ แถมดูตายังลอยๆอีกด้วย
     
     
    “อยู่ดีๆพูดเรื่องอะไรน่ะ” ฉันถามกลับ
     
     
    “เปล่าๆ ไม่มีอะไร” เขาตอบกลับมา
     
     
    “ก็นะ แต่ถึงยังไงซะ เราสองคนก็ยังเห็นดาวได้ไม่ใช่เหรอ” ฉันมองหน้าริว
     
     
    “หึ” เขามองตาฉัน แล้วก้มหน้าลงมองที่พื้นดิน
     
     
    “เธอนี้นะ จริงๆเลย” เขาพูดตอบกลับมาด้วยสายตาที่ยิ้มแย้ม
     
     
    “พูดอะไรของนาย ตั้งแต่เมื่อกี้ละ” ฉันเริ่มสงสัย
     
     
    “ป่าวๆ ฉันว่าฉันไปดีกว่า” เขาเองก็เริ่มปีนกำแพงกลับเข้าบ้านตัวเอง ฉันเองก็ควรจะกลับไปนอนได้แล้ว แต่ไม่ใช่ที่โซฟาละ คงต้องเป็นที่เตียงละ แต่ก่อนที่ฉันเลื่อนประตูกระจกตรงระเบียงเข้าบ้าน เขาก็ตะโกนมาอีกว่า
     
     
    “เอ่อ...พรุ่งนี้เย็นกินข้าวกันนะ” เขาหันมาเกาะกำแพง พลางยืนหน้ามาเข้ามาในเขตบ้านฉัน
     
    “ค่อยว่ากันพรุ่งนี้ละกัน มาตัดสินใจอะไรกันตอนนี้” ตอนนี้ฉันเองก็ง่วงจนไม่สนใจอะไรอีกแล้วละ
     
     
    “ได้ๆ ราตรีสวัสดิ์นะ หลิน” เขาเองก็ทำหน้าบู้ๆนิดหน่อย แต่ก็ดูยิ้มนะๆ
     
     
    “จ้า ราตรีสวัสดิ์ ริว” ฉันพูดพลางโบกมือลาเขาไป
     
     
    กลับมาที่เตียง ภายใต้หมอนและผ้าห่มที่แสนนุ่มของฉัน ทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ ถึงท่าที่ปอที่แสดงออกมา ฉันเองก็เดาไปว่า ปอคงจะรู้สึกอะไรบางอย่างที่ดีกับริว แต่เผอิญหมอนี้ซื้อบื้อเลยไม่ได้เหมือนรับรู้อะไรสักอย่าง ทั้งๆที่ฉันก็รู้ว่าพวกเขานั้นใกล้ชิดกันมานาน แต่อย่างว่า เรื่องบางอย่างของผู้หญิง ผู้ชายจะไม่มีวันเข้าใจจนกว่าฝ่ายหญิงจะพูดขึ้นมา ไม่สิ ต่อให้พูดขึ้นหรือแสดงออกมาเท่าไร ก็ไม่มีวันเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่เราอยากจะสื่อออกไปอยู่ดี ยิ่งคนบ้าอย่างริวนี้คงจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น

    แต่ว่านะ วันนี้ฉันเองก็ดีใจที่ปอมีความสุข จากเสียงในโทรศัพท์นั้น ให้ตายสิ ยิ่งคิดยิ่งโมโห หมอนี้ไม่เคยไปส่งปอ หรือชวนปอออกไปข้างนอกบ้างเลยหรือไง ทั้งๆที่อยู่ใกล้ชิดกัน ริวเป็นผู้ชายประเภทไหนกันเนี้ย แต่จะว่าจะใช้บรรทัดฐานคนธรรมดากับคนบ้านี้คงไม่ถูกต้องเท่าไรหรอก แต่เดี๋ยวก่อนนะ นี้มันใช่เวลาที่ต้องมาคิดเรื่องอะไรพวกนี้ไหมนิ รีบนอนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้คนบ้าตัวสูงคงจะมาถล่มบ้านฉันอีก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×