ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bitterblossom : รักหวาน(ขม)ของต้นฤดูร้อน

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 8 : สวนสาธารณะ

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 57


    วันเสาร์นี้เป็นวันที่ริวชวนฉันไปสวนสาธารณะแล้ว ตลอดเดือนนี้หมอนี้ย้ำทุกวันเลย มีทั้งแบบเอาหน้ายื่นเข้ามาเขตบ้านและตะโกนลั่นว่าอย่าลืมๆ ไม่ก็พับจรวดปามาชนกระจกให้ฉันออกไปดูมีเสียงอะไร บางทีก็มากดออดหน้าบ้านฉันอย่างไม่มีเหตุผล ตาริวนี้มันกวนประสาทฉันจริงๆ ทั้งที่ฉันย้ำนักย้ำหนาว่าไปได้ แต่หมอนี้ก็ตามกวนตลอดเวลา พักหลังนี้เราเจอกันก่อนกลับถึงบ้านบ่อยมากขึ้น ทั้งที่เจอกันหน้าร้านปอเปี๊ยะทอดเจ้าประจำที่หมอนี้ชอบกิน ซึ่งป้าเจ้าของแกก็หน้าบานทุกครั้งที่หมอนี้ไปปรากฎให้เห็น เพราะริวซื้อทีละเยอะมากๆ อย่างว่านี้นิสัยหมอนี้ซื้อของกินที่ละมากๆเหมือนตอนชวนฉันมากินข้าวด้วยกัน ถ้าไม่เจอกันที่ร้านปอเปี๊ยะนั้น ฉันเองก็จะไปเจอเขาที่ร้านดอกไม้ เพราะฉันต้องซื้อดอกไม้มาเปลี่ยนในแจกัน

    ดอกไม้ของที่ร้านริวนี้สวยดีนะแถมยังอยู่นานกว่าที่ฉันคิดไว้ พอเวลาไปถึงที่ร้าน เจอตานี้ที่ไร ริวเองก็ทำให้หน้าตาดีใจแบบสุดๆ บางทีฉันก็คิดว่านี้มันหน้าเหมือนหมาเวลาเจอเจ้าของ ฮ่า ปอเองก็อารมณ์ดีทุกครั้ง เสียงที่อ่อนหวานกับความอ่อนโยนนั้นทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งเมื่อเวลามาอยู่ที่นี้

     
     
    ฉันเหลือบดูนาฬิกาในมือถือ นี้มันเกือบเก้าโมงแล้วนิ ฉันก็เองเปิดประตูในตัวบ้านออกไป สายตาพลันเหลือบเห็นตาริวยืนอยู่ที่รั้วบ้านแล้ว
     
     
    “ฮี่ๆ สวัสดี”
     
     
    “แหม วันนี้ทักทายดีๆเป็นด้วยหรอ ปกติเห็นจะเฮ้ย่ง เฮ้โย่วอะไรนั้นละ”
     
     
    “ฮ่าๆ เรารีบไปกันเถอะ a let’s go!!” หมอนี้ตะโกนเสียงดังอีกแล้ว ฉันไม่แปลกใจเลยถ้าสักวันคนแถวนี้จะเดินมาด่าว่าเสียงดังเกินไปแล้วนะ! รบกวนชาวบ้านชาวช่องเขา!
     
     
    เราสองปั่นไปด้วยตามทาง วันนี้อากาศไม่ร้อนเลย แถมยังดูครึ้มๆด้วย ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าฝนจะตกหรือป่าว เพราะสองสามวันนี้ฉันดูโทรทัศน์ เห็นว่ากรมอุตุฯบอกว่าช่วงนี้จะมีพายุฤดูร้อน ฉันเองก็ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์มาลึกซึ้งอะไรมาหรอกแต่ฉันรู้สึกสงสัยว่าฤดูร้อนจะมีพายุได้ยังไงกัน? ฤดูร้อนกับฝนนี้ดูไม่น่าจะเข้ากันเลยสักนิดในตามความคิดของฉัน แต่ว่าวันนี้ฉันเองก็หวังว่าคงจะไม่มีฝนมากวนใจ เราขับผ่านซอยแคบและข้ามสี่แยก ซึ่งสะดวกดีเพราะแถวนี้นั้นไม่ค่อยมีรถยนต์สวนกันไปมา
     
     
    สวนสาธารณ์แห่งนี้กว้างกว่าที่ฉันเห็นภายนอกมากนัก ทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ดูกว้างสุดตาตัดกับต้นไม้น้อยใหญ่ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เส้นทางจักรยานนั้นคดเลี้ยวไปเหมือนเส้นทางที่เรายังไม่ได้ค้นพบ และรอให้เราได้ไปสำรวจ กลิ่นดอกไม้อ่อนลอยปลิวตามลมมา เสียงจั๊กจั่นระงมดังเป็นเครื่องแสดงถึงหน้าร้อน สระน้ำที่นิ่งเงียบสงบกับฝูงหงส์นั้นยิ่งเติมเต็มความร่มเย็นของที่แห่งนี้ เสียงผู้คนแผ่วเบาและดูเหมือนห่างไกลจากที่นี้ ฉันว่าฉันเจอสถานที่ใหม่ที่ฉันจะมาบ่อยๆแล้วละ
     
     
    เราสองคนปั่นจักรยานไปทั่วที่นั้น ยิ่งปั่นยิ่งทำให้รู้สึกว่าที่นี้ใหญ่มากจริงๆ ริวปั่นจักรยานเลี้ยวไปเลี้ยวมา แถมแกล้งจะชนฉันอีกต่างหาก โชคดีที่ฉันปั่นจักรยานค่อนข้างแข็งเลยได้โต้กลับไปเหมือนกัน คนอื่นคงมองว่าเราสองคนที่เหมือนกับเด็กๆที่คอยจะแหย่กันอยู่เรื่อยๆเลย ถึงริวจะแสดงออกเป็นเหมือนเด็ก แต่ฉันเองก็ไม่ได้รังเกียจหรือรำคาญอะไรหรอกนัก เพราะทุกอย่างที่เขาทำนี้ ฉันรู้สึกมีความสุขเวลาอยู่ใกล้ๆเขา รอยยิ้มที่สดในช่วยปัดเป่าความเหนื่อยล้าจากที่ฉันทำงานมาตลอดทั้งวัน
     
     
    พอเราปั่นไปได้สักพักหนึ่ง เราสองคนก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว ฉันเลยจอดตรงต้นไม้ใหญ่ริมสระน้ำนั้น ความร่มรื่นของที่นี้ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ฉันหยิบเสื่อออกมาปูและกล่องพลาสติกมาวาง
     
     
    “โห เธอมีเสื่อมาด้วย”
     
     
    “ฉันรู้อยู่นายคงไม่เตรียมมาอยู่แล้ว”
     
     
    “ผิดละ ฉันก็เตรียมมาเหมือนกัน” เขาหยิบเสื่อออกจากกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของเขา แล้วมาปูข้างฉัน ซึ่งมันก็ดีละ ทำให้เรามีพื้นที่มากขึ้น เพราะเสื่อที่ฉันเตรียมมานั้นมันก็ค่อนข้างเล็ก
     
     
    “ฉันเตรียมแซนวิช นายอยากกินไหม” นอนจากเสื่อแล้ว ฉันเตรียมแซนวิชมาด้วยละ ฉันเองก็เพิ่งนึกได้เมื่อวานจะต้องเตรียมอะไรเผื่อหิวสักหน่อย เลยแวะห้างสรรพสินค้าใกล้ๆที่ทำงานซื้อวัตถุดิบมาทำเองที่บ้าน ถึงฉันจะทำอาหารไม่ค่อยเก่ง แต่ฉันมั่นใจว่าแซนวิชของฉันมันต้องอร่อยอย่างแน่นอน
     
     
    “เดี๋ยวก่อนเลยนาย ไปล้างมือล้างหน้าก่อนมาจับเลย ไปๆ” ฉันดุเข้าเหมือนกับเด็กๆ หมอนี้เห็นแซนวิชของฉันทำตาลุกวาวแล้วจะลุกขึ้นมากินจริงๆ เขาอิดออดสักพักหนึ่งก่อนจะที่ลุกไปล้างหน้าล้างตาที่ก๊อกน้ำที่อยู่ใกล้กับที่เรานั่งอยู่ ฉันเองก็ลุกไปล้างกับริว
     
     
    เสียงน้ำจากก๊อกไล่ผ่านมือและหน้าของริวไป ฉันเองก็ขยับเข้าไปใกล้ๆเพื่อผลักกันใช้น้ำล้างร่างกายของเรา ทำให้ฉันเห็นใบหน้าชัดๆปราศจากเหงื่อของเขา ผิวสะอาดนั้นแสดงถึงสุขภาพดี น้ำไหลรินระหว่างใบหน้าไปจนถึงลำคอสะท้อนให้เห็นถึงภาพพระเอกในภาพยนตร์ที่ฉันเคยดู ดวงตาที่อ่อนโยนหันมาจ้องตาฉัน เราสองคนสบตากับผ่านน้ำที่ไหลลงมา มันทำให้ฉันรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาในใจ เขาเองก็ยิ้มกลับมาให้ฉัน ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอ่อนไหวอย่างแปลกประหลาด…
     
     
    เราสองคนเดินกลับมาที่เสื่อ พลางเช็ดใบหน้าและมือให้แห้งด้วยผ้าขนหนูของเขาที่เตรียมมา ฉันมัวแต่เตรียมแซนวิซจนลืมอย่างอื่น ผ้าขนหนูของหมอนี้นุ่มมากจริงๆ ก่อนจะคิดอะไรต่อหมอนี้ก็เอาหน้าใกล้ๆฉันและเช็ดหน้าของเขาขณะที่ฉันกำลังเช็ดหน้าอยู่ ทำไมฉันรู้สึกใจเต้นโครมครามขนาดนี้เวลาที่เขาเอาหน้ามาใกล้ๆกันนะ!
     
     
    “ร้อนหรอ”
     
     
    “ก็…ป่าวนิ”
     
     
    “เห็นหน้าแดงๆน่ะ”
     
     
    “ป่าวๆ ไม่ได้ร้อนๆ” ฉันตอบกลับไปอย่างลุกลี้ลุกลน
     
     
    “แหน่ะ แน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นอะไรฉันเป็นห่วงนะ” หมอนี้ตอบกลับมาแบบนี้อีกแล้ว คำพูดนั้นทำให้หน้าฉันร้อนแผ่วและกลับแดงขึ้นไปอีก
     
     
    “ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรๆไง เลิกถามซะที” ฉันพยายามตัดบทไปก่อนที่ฉันจะทำตัวอะไรไม่ถูก
     
     
    “งั้นหรอ โอเค แต่ถ้ามีอะไรก็บอกฉันนะ” ริวพูดตอบกลับมา มือเขาก็เริ่มหยิบแซนวิชของฉันขึ้นมาจากกล่อง เอาเข้าปากหมุบหมับ
     
     
    “โหๆ อร่อยดีๆฉันชอบๆ” เขาพูดอย่างตื่นเต้น
     
     
    “นอกไส้อื่น ยังมีไส้นี้อีกนะ” ฉันชี้ไปยังแซนวิสอีกแถวหนึ่ง ริวกินแซนวิสชิ้นแรกหมดลงอย่างรวดเร็ว แล้วลงมือกินชิ้นที่สองต่อไปทันที
     
     
    “โหๆ อันนี้ก็อร่อย ชิ้นแรกเป็นไส้ทูน่า อันนั้นเป็นไส้หมูทงคัตสึ อร่อยจังๆ” เขาพูดทั้งๆที่แซนวิชอยู่เต็มปาก
     
     
    “นี้นายเคี้ยวก่อนพูดสิๆ เดี๋ยวติดคอ” ฉันพลางยื่นน้ำชาจากกระติกให้ริวดื่ม
     
    เราสองคนนั่งกินแซนวิชกันไปคุยกัน ฉันเองก็ดีที่เขาเอ่ยปากชอบว่าอร่อย เพราะฉันเองก็ไม่เคยทำแซนวิชให้ใครชิมมาก่อน แถมพวกทูน่า หรือหมูทอดอะไรแบบนี้ฉันเองก็ไม่เคยทำและก็ไม่เคยชิมมาก่อนด้วย จนกระทั่งนายโจและพิ้งค์ซื้อมาฝากช่วงพักกลางวัน ฉันรู้สึกว่ามันอร่อยดี เลยลองทำมาดู
     
     
    “นายยังไม่อิ่มใช่ไหมละ” ความจริงฉันเองก็พูดไปอย่างนั้นละ แซนวิซที่เตรียมมาหมอนี้ก็ซัดไปตั้งเยอะแล้ว
     
     
    “ฉันมีอะไรบางอย่างอย่างให้นายลองชิมดู”
     
     
    ฉันหยิบกล่องพลาสติกอีกกล่องจากกระเป๋า ข้างในนั้นเป็นปอเปี๊ยะทอดที่ฉันเตรียมไว้ ปอเปี๊ยะนั้นเรียงไว้ในกล่องอย่างสวยงาม ทำให้ฉันนึกถึงว่าตอนทำปอเปี๊ยะนี้ลำบากมากๆ ตอนแรกฉันเองก็ไม่รู้วิธีทำเลย จนกระทั่งไปลองหาสูตรในร้านหนังสือที่ใต้ตึกของบริษัทที่โจแนะนำว่าที่นี้มีหนังสือเยอะแยะ แถมยังช่วยฉันหาหนังสือสูตรด้วย พอฉันหาไม่เจอ เขาเองพยายามค้นขวายหาสูตรการทำมาให้เห็นว่าไปถามแม่ของตัวเองมาให้น่ะ เผอิญเห็นว่าโจบอกว่าแม่เขาทำอาหารเก่ง ถึงฉันจะได้สูตรมาแล้ว แต่การลงมือทำนี้มันยากกว่าที่ตาเห็นซะอีก ทั้งการห่อแป้ง ทั้งการทำไส้ ฉันทำเสียไปตั้งหลายอันแหนะ โจเองก็พยายามติดตามนะว่าฉันทำได้ไปถึงไหนแล้ว วันหลังฉันคงต้องไปทำไปให้เขาชิมบ้างแต่ตอนนี้นายริวนี้ตาโตยิ่งกว่าเห็นแซนวิซเมื่อกี้อีก
     
     
    “โหๆ สุดยอดๆ”
     
     
    “นายจะโหๆอีกนานไหมนิ พูดคำอื่นเป็นไหมยะ”
     
     
    “แหะๆ ก็ฉันอึ้งนิ ไหนบอกว่าเธอทำอาหารไม่ค่อยเก่ง แต่ที่ออกมาแต่ละอย่างสุดยอดทั้งนั้น แถมทำของที่ฉันชอบมาอีก”ฉันเองก็พอรู้อยู่นิดหน่อยหมอนี้ก็ชอบแซนวิซพอๆกับปอเปี๊ยะ เพราะเวลาฉันจะไปร้านหมอนั้นที่ไหนเห็นเขาแอบกินแซนวิซอยู่หลังร้านทุกที
     
     
    “ก็ฉันตั้งใจทำมาเพื่อนายไงละ” ตายแล้ว—วว ฉันพูดบ้าอะไรออกไปไม่ทันคิดละเนี้ย บ้าที่สุด! ฉันพูดอย่างนั้นออกไปได้ยังไงกัน เดี๋ยวหมอนี้ก็คิดไปไกลหรอก แต่ทำไมฉันต้องตื่นเต้นเองด้วยกันเล่า เดี๋ยวนะ ใจเย็นๆตั้งสติก่อน เพราะฉันสังเกตเห็นว่ารินเองก็ดูอึ้งๆไปนิดหน่อย ฉันเลยรีบตัดบทว่า
     
     
    ”เปล่าๆ ไม่มีอะไร แค่ฉันเห็นนายช่วยซื้อจักรยาน ฉันเลยทำมาตอบแทนน่ะ”
     
     
    “โหๆ ไม่เป็นไรๆ ขอบคุณมากนะ” หมอนี้ดูเป็นปกติเหมือนเดิม แถมยิ้มให้ฉันด้วย สงสัยคนบ้าคงไม่ได้คิดอะไรเพิ่มเติม แต่ฉันก็ไม่คิดอะไรทั้งนะ! บอกไว้ก่อนเลย!
     
     
    “อิ่มๆอิ่มมากเลย” ริวพูดพลางลูบพุงไปด้วย
     
     
    “ฮ่า ดีแล้วที่นายอิ่ม ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะเตรียมมาไม่พอด้วยซ้ำ ตอนกินข้าวกับฉันนั้นนายกินอย่างเยอะ”
     
     
    “หูย แค่นี้ก็อิ่มอกอิ่มใจพอแล้วละ” หมอนี้พูดจาบ้าอะไรก็ไม่รู้ แถมพูดไปยิ้มไปอีกต่างหาก
     
     
    “ความจริงฉันเองก็ชวนเธอไปทานข้าวที่ร้านแถวๆนี้” ริวพูดต่อ
     
     
    “อ้าวงั้นหรอ โทษทีๆ คราวหลังบอกกันก่อนสิ”
     
     
    “ไม่เป็นไร ของเธออร่อยกว่าอยู่แล้วละ ฮ่าๆ”ฉันเริ่มไม่รู้ละว่าริวพูดแหย่ฉันหรือพูดความจริงกันแน่
     
     
    “แต่ว่าร้านนั้นอยู่ตรงไหนน่ะ”
     
     
    “อยู่ถัดไปจากสวนเนี้ยละ ไม่ไกลมาก ฉันเองก็ชอบไปกินร้านนี้บ่อยๆ อร่อยแถมถูก บรรยากาศดีอีกต่างหาก”ริวทำมือชี้ๆไปทางหลังสวน
     
     
    “โห งั้นเหรอ น่าไปจัง”ฉันเองก็คิดว่าที่นั้นคงจะน่าสนใจละ อย่างน้อยมาเปิดหูเปิดตาแถวนี้บ้าง เพื่อบางวันฉันเบื่อข้าวปากซอย อาจจะแว้บมาฝากท้องที่นี้บ้างก็ได้
     
     
    “งั้นเย็นนี้เราไปกินร้านนั้นกันไหมละ”
     
     
    “ได้ๆ” ฉันเองก็ตอบรับเขาไป เพราะข้าวเย็นที่บ้านฉันเองก็ไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย ก่อนที่เราสองคนจะพูดอะไรกันต่อ หมอนี้ล้วงกระเป๋าควานหาอะไรสักอย่าง สักพักเขาก็คว้ามันออกมา เป็นหมอนสองใบ”
     
     
    “อ๊ะ ฉันให้เธอใบหนึ่ง”
     
     
    “เดี๋ยวๆนะ นี้เราออกปั่นจักรยานกันไม่ใช้เหรอ แล้วส่งหมอนมาให้ฉันทำไมเนี้ย!”
     
     
    “หรือเธอไม่ง่วง ไม่ต้องหลับเลยก็ได้ แค่เอนหลังก็พอ” เขามองหน้า
     
     
    ฉันเองก็รู้สึกง่วงๆนิดๆ เหมือนกันเพราะอาจเป็นฤทธิ์ของเวลาเราอิ่มท้อง ไม่ก็อาจเป็นเพราะบรรยากาศดีๆที่นี้ ฉันเองก็นอนราบลงไป เขาก็นอนอยู่ข้างๆฉันเหมือนกัน สายตาของเราสองนั้นมองไปยังสระน้ำที่อยู่ตรงหน้า กับสายลมที่พัดผ่านทุ่งหญ้าที่ปลิวไสวอย่างเบาๆ
     
     
    “ไม่คิดเลยว่าฉันจะได้มาที่นี้อีกครั้ง” ริวถามฉันแต่สายตาเขาเหมือนมองไปยังที่ไกลแสนไกล
     
     
    “อ้าว นายไม่ได้มาที่นี้บ่อยๆเหรอ” ฉันเองก็สงสัยเพราะที่นี้มันค่อนข้างใกล้กับร้านของเขา
     
     
    “อื้อ นานมากแล้วที่เคยมาน่ะ”
     
     
    “ฉันเองจำได้วันนั้นที่มา บรรยากาศเหมือนกับตอนนี้เลย” ริวพูดต่อ
     
     
    “โห แสดงอะไรๆยังไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสินะ” ฉันเองก็กวาดสายตาไปรอบตัว
     
     
    “มีบางอย่างที่เปลี่ยนแล้ว”
     
     
    “อะไรล่ะ”
     
     
    “คนที่อยู่ข้างๆฉันตอนนี้ยังไงล่ะ” เขาหันมาสบตากับฉัน คำพูดนั้นทำให้ฉันหัวใจเต้นแรงขึ้นมา
     
     
    “งั้นหรา งั้นหรา” ฉันตอบกลับไปอย่างกวนๆเพื่อกลมความอายจากคำพูดหมอนั้น
     
     
    “แล้วปอไม่เคยมากับนายที่นี้เลยหรือไง” ฉันพยายามจะเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะรู้สึกอะไรไปมากกว่านี้
     
     
    “อ๋อ ไม่เคยเลยละ ฉันไม่เคยเอ่ยปากชวนสักครั้ง”
     
     
    “อ้าว ฉันคิดว่านายน่าจะสนิทกับปอมากกว่านี้ซะอีก”
     
     
    “สนิทก็สนิทอยู่หรอก เรียนมหา’ลัยมาด้วยกันตั้งนาน ถึงเขาจะหายหน้าไปสองสามปีหลังจบก็เถอะ แต่สุดท้ายก็มาช่วยงานที่ร้านตลอด” มิน่าละทั้งสองคนดูสนิทสนมกันดี ก็รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว
     
     
    “คราวหลังนายก็ชวนมาสิ”
     
     
    “ได้ๆ ไว้วันหลังนะ” เขายิ้มกลับมา
     
     
    เราคุยกันไปหลายต่อหลายเรื่อง ทั้งเรื่องรายการโทรทัศน์ เรื่องทำอาหาร เรื่องต้นไม้ และแน่นอนว่าต้องมีเรื่องของไคจู มอเตอร์ไซค์ของนายนั้นแทรกมาเป็นระยะๆ แต่ว่าหมอนี้เป็นคนพูดเก่งชะมัด แต่ฉันว่าฉันเองก็พูดไม่แพ้เขาหรอกนั้น การโต้ตอบกันไปมากนี้ทำให้บทสนทนานั้นไหลลื่น ความง่วงเหงาหาวนอนช่วงกลางวันไปหมดลงไปแล้ว แต่บรรยากาศของสนุกสนานที่กลั่นผ่านจากบทสนาของเรานั้น ทำให้ช่วงเวลาที่เกิดขึ้น มลายจางหายไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งท้องฟ้าที่เคยครามใสนั้น เริ่มก่อนตัวเป็นเฆมสีเทาขมุกขมัว เสียงคำรามบนนั้นเหมือนเป็นระฆังที่บอกให้เรานั้นหยุดลง
     
     
    พวกเราจึงรีบม้วนเสื่อและเก็บของลงกระเป๋าอย่างรวดเร็ว เสียงลมจากที่แผ่วเบาเมื้อกี้กลายเป็นหวีดหวิวโหยหวน บรรยากาศที่ดำมืดปกคลุมไปทั่ว ริวเองเห็นท่าไม่ดี เขาเลยชี้ไปศาลาไม้เล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสระน้ำ แต่ระยะมันก็ไกลพอดี แต่วินาทีฉันเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะฝนนั้นกำลังจะหยดลงพื้นแล้ว ฉันและริวจึงรีบขึ้นจักรยาน และลงมือปั่นอย่างรวดเร็ว
     
     
    “จะทันไหม จะทันม๊าย” ฉันเองก็ร้องเสียงหลง
     
     
    “ทันสิ ทันแน่ๆ” ริวก็ตั้งหน้าตั้งตาปั่น ฉันเองเหมือนกัน
     
     
    เส้นทางที่เราปั่นไปนั้นมืดครึ้มด้วยเสียงลมที่พัดผ่านเราจากทางด้านหลัง ความชื้นที่ลอยตามลมนั้นเป็นเครื่องแจ้งเตือนว่าฝนกำลังเข้าใกล้เราแล้ว ความกดดันเริ่มก่อตัวขึ้นจากบรรยากาศที่อึมครึมและเส้นทางที่คดเคี้ยวไปตามทาง
     
     
    ด้วยความพยายามของเราหรือความโชคดีที่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน วินาทีเราก้าวลงบนพื้นไม้สีขาวบนศาลาเล็กนั้น หยาดฝนก็ไหลหลั่งกันมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกดีใจที่เป็นเหมือนชัยชนะของพวกเรานั้นแผ่ซ่านบนหน้าฉัน แต่ความเงียบงันของบรรยากาศและความมืดมนที่มาพร้อมกับสายฝนนั้น ทำให้เรานั้นรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ อาจจะเพราะเรื่องนี้หรืออาจจะเพราะที่นั่งมันแคบจนเกิน ฉันและริวเลยนั่งชิดกว่าที่ควรจะเป็น แต่ก่อนที่เราจะพูดอะไรต่อไป ฉันเองก็สังเกตเห็นคำพูดคำจาของตาริวที่เคยสดใสเมื่อไม่นานมานี้ กลับถูกความหม่นหมองปกคลุมจนทำให้เสียงของเขาหายไป
     
     
    “เป็นอะไรฮะ เป็นอาราย” ฉันลากเสียงยาวๆ ให้เขาสดใสขึ้น
     
     
    “เซงฝนเหรอ”
     
     
    “อือ ฤดูร้อนแบบนี้ไม่น่ามีฝนเลย” ริวพูดเสียงเศร้าๆ
     
     
    “อะไรมันก็ไม่แน่นอนจริงๆเนอะ ขนาดตอนเช้ายังดีๆอยู่เลย” ฉันเองก็ตอบกลับไป ทั้งที่ดูพยากรณ์อากาศมาบ้างแล้ว แต่ใจจริงฉันเองก็ไม่อยากเชื่อนักหรอกนะ แต่สุดท้ายคำภาวนาของฉันก็ไม่เป็นจริง
     
     
    “แต่เอาน่าๆ อย่างเราก็ปั่นจักรยานเต็มที่ช่วงเช้าแล้ว” ฉันเว้นวรรคไปสักแปปนึง แล้วพูดต่อ
     
     
    “แถมยังมีโอกาสกินแซนวิซของฉันใต้ต้นไม้ด้วยนะ”
     
     
    “ฮ่า จริงด้วยๆ”
     
     
    “อะไรที่มันต้องเกิดก็ให้มันเกิดไป มีความสุขกับทุกช่วงที่เกิดขึ้นจะดีกว่านะ” ฉันตอบกลับไปหาริวอีกครั้ง ริวเองก็จ้องตาฉันไม่กระพริบเลย แถมยังเขยิบเข้ามาชิดฉันมากขึ้นไปอีก ฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่าเนี้ย?
     
     
    “เธอนี้ ใช้คำพูดแก่เป็นบ้า” เขาหัวเราะ
     
     
    “จ้าๆ ฉันมันคนแก่”ฉันเองก็เฉไฉไปเรื่อยให้เขารู้สึกดีขึ้น เพราะฉันไม่อาจยอมรับสีหน้าเวลาเขานั้นเศร้าเสียใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยแสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมาสักครั้ง แต่เพียงฉันแค่เห็นเพียงแววตาที่ขมขื่นนั้นทำให้รู้สึกใจไม่ดีแล้ว ความสดใสที่จะหายไปนั้นทำให้โลกของฉันเหมือนจะพังทลายลงไปในพริบตา เพราะรอยยิ้มนั้นฉันเองก็อยากให้ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขาตลอดไป ไม่รู้ฉันคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ฉันรู้สึกจริงว่าความรู้สึกของเขานั้นเหมือนส่งตรงมาที่ฉัน เป็นความสัมพันธ์บางอย่างที่ฉันอธิบายไม่ได้เหมือนกัน
     
     
    แต่สุดท้ายนั้น บรรยากาศของฝนนั้นยิ่งโหมกระหน่ำลง ความเย็นยะเยือกจากความชื้นข้างนอกนั้นยิ่งทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปกว่าเดิม แสงแดดที่เคยส่องสว่างเมื่อกี้นั้นถูกกลืนด้วยเฆมสีเทานั้น ราวกลับว่ามันมอดไหม้ความอบอุ่นต่างๆให้หายไป เราสองคนจึงเริ่มเขยิบใกล้เขามาขึ้นที่ละนิด ทีละนิด อย่างไม่รู้ตัว บทสนทนาบางช่วงบางตอนนั้นพอที่ทำให้เหมือนมีสติกลับคืนมาบ้าง แต่สถานกาณ์พาให้เราเหมือนยิ่งแอบอิงกัน เพราะร่างกายนั้นเหมือนจะพยายามจะเรียกหาความอบอุ่นที่ขาดหายจากที่ตรงนี้ ริวเองก็คงรู้สึกแบบเดียวกับฉัน เพราะตอนนี้เราทั้งสองคนไหล่ชิดติดกันจนความร้อนจากเราสองคนไหลผ่านตามรู้สึก

    บทสนาของเรานั้นเงียบลงไปแล้ว เหลือเพียงแต่สายตาของริวที่กำลังจับจ้องดวงตาฉันอยู่ และมือของเขานั้นเหมือนจะสัมผัสมือที่เย็นเฉียบของฉัน วินาทีนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรอีกแล้ว มันขาวโพลนเหมือนหยาดน้ำฝนที่ไหลกระหน่ำอยู่ข้างนอกนั้น...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×