ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bitterblossom : รักหวาน(ขม)ของต้นฤดูร้อน

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 7 : จักรยาน

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 57


    พวกเราสี่คนรีบออกจากลิฟต์เพราะเหมือนจะรู้ดีว่าเสียเวลากับการพูดคุยกับหน้าลิฟต์ไปมาพอดู โจเองก็รีบหาจองโต๊ะได้อย่างรวดเร็วด้วยหนังสือเล่มเล็กๆของเขา ทำให้ฉันนึกถึงตอนช่วงมัธยมเหมือนกันเพราะตอนนั้นฉันก็จองโต๊ะแบบนี้ ทิพย์กับพิ้งค์เดินล่วงหน้าไปหาซื้อข้าวก่อนแล้ว ฉันเลยต้องเดินพร้อมกับโจ
     
     
    “วันนี้อย่าใจลอยอีกละ ”เขาหัวเราะในคอ
     
     
    “จ้า จ้า” ฉันพยายามตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อข่มความเขิน
     
     
    “แล้วก็อย่าไปซุ่มซ่ามไปชนคนอื่นอีกละ” เขาหัวเราะดังมากกว่าเดิม หน๊อย! ชอบแหย่ฉันจริงๆนะ
     
     
    ในที่สุดเราสองคนก็หาข้าวทานได้รวมทั้งสองสาวนั้นก็ซื้อเสร็จพอดีเหมือนกัน พวกเราเลยกลับมาที่โต๊ะแล้วเริ่มลงมือจัดการ วันนี้ฉันก็กินก๋วยเตี๋ยวร้านเดียวกับเมื่อวาน แต่แน่นอนว่าคงไม่ใช่ระดับห้า วันนี้ฉันมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วละ บรรยากาศในโต๊ะก็ดำเนินไปอย่างราบเรียบ แต่พิ้งค์เองก็บ่นๆถึงจำนวนออดอร์สินค้าล๊อตนี้ที่เข้ามามากเหลือเกิน ฉันบอกคุณไปหรือยังว่าบริษัทฉันทำงานเกี่ยวกับอะไร? บริษัทฉันขายดอกไม้น่ะ ดอกไม้ปลอม
     
     
    บริษัทของเราเป็นผู้ผลิตดอกไม้ปลอมรายใหญ่ที่สุดของประเทศ แถมยังส่งออกไปทั่วโลกเลย ซึ่งก่อนที่ฉันจะมาทำงานที่นี้ฉันเองก็มีอคตินิดหน่อยกับดอกไม้ปลอม เพราะว่าดูยังไงก็ไม่ใช่ของจริง แต่บริษัทนี้คิดค้นวิจัยทำดอกไม้ปลอมให้เหมือนจริงที่สุด พอฉันไปได้เห็นสินค้าตัวอย่างของที่นี้ ฉันนี้อึ้งไปเลย มันเหมือนจริงแบบมากๆ ทั้งกลีบดอกนิ่มๆ ก้านดอกไม้ที่มีชีวิตชีวานั้น ถ้าไม่มีใครบอกว่านั้นเป็นดอกไม้ปลอม ฉันคงนึกว่านั้นเป็นของจริงแล้ว

    แถมตอนหลังบริษัทเราได้เติมกลิ่นดอกไม้ลงไปอีก ยิ่งทำให้มันเหมือนชีวิตจริงๆ มิน่าละ ต่างชาติถึงได้ออดอร์สั่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก เมื่อวานฉันเองก็ตอบอีเมล์ภาษาอังกฤษมั่วไปหมดแทบไม่มีเวลาได้พักเลย ซึ่งทุกคนเองก็พงักหน้าตอบรับพิ้งค์ เพราะงานออเดอร์นั้นมันหนักหน้าจริง เมื่อวานฉันตอบกลับอีเมล์เป็นร้อยกว่าฉบับ โจเองก็บ่นอีกความซับซ้อนของงานเพราะลูกค้าเองก็ชอบสั่งอะไรแปลกๆ ทำให้เขาต้องคุยกับฝ่ายผลิตถึงความเป็นไปได้ ทิพย์เองก็ต้องรับโทรศัพท์ภาษาต่างๆที่เข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน แต่ถึงจะดูเหมือนทุกคนจะบ่น แต่ฉันว่าทุกคนก็พูดไปงั้น เพราะสีหน้าแต่ละคนดูเหมือนมีความสุขแบบสุดๆ ฉันเองก็ด้วยคนหนึ่งละ

     
     
    เสียงประกาศที่แสดงถึงว่า หมดเวลา ก็ดังขึ้น พวกเราเองก็ต่างขึ้นลิฟต์แยกย้ายทำงานกันไปแต่ละคน ช่วงบ่ายนี้เป็นช่วงที่อึกกะทึกแบบเดียวกันกับตอนเช้าเลย เพราะงานก็เข้ามาเรื่อยๆเหมือนกัน ทุกคนดูขยันขันแข็งกันมากที่เดียว แต่พออากาศเย็นๆแบบนี้ทำให้ฉันแอบง่วง พิ้งค์ก็แอบเคาะช่วยปลุกให้ฉัน ไม่ก็ชวนฉันเล่นมุกให้พอหายง่วง ซึ่งมันก็ได้ผลจริงๆนะ ถ้าเธอบอกว่าเธอเป็นตลกคาเฟ่นี้ก็เชื่อได้ทันทีโดยไม่ต้องสงสัย

    พอช่วงเย็นเลิกงาน โจเองก็เดินมาบอกลาฉันกลับบ้าน พิ้งค์เองก็เหมือนกัน ซึ่งพิ้งค์ก็ชวนฉันกลับเพราะเธอมีรถ ฉันเองก็ปฎิเสธไปเพราะดูท่าบ้านทั้งสองคนนั้นจะไกลกว่าฉันมาก แถมเส้นทางกลับก็ไม่ใช่ทางเดียวกัน อีกอย่างฉันเองก็เกรงใจ ฉันเลยขอตัวกลับคนเดียวดีกว่า

     
     
    หลังจากผจญภัยบนรถเมล์และการเดินที่ยุ่งเหยิงสุดๆตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมา ฉันเองก็ลากสังขารมายังร้านขายจักรยานตรงหน้าปากซอยที่ฉันตั้งใจว่าจะมาดูตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน ร้านนี้เป็นคูหาเดี่ยวๆ ค่อนข้างเก่า แต่ดูเหมือนว่าได้รับการดูแลอย่างดี จักรยานมากมายหลากหลายยี่ห้อจอดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ฉันเองก็กวาดสายตาดูว่าอันไหนจะเหมาะกับฉันบ้าง ตัวเตี้ยๆแบบนี้คงต้องเอาล้อเล็กๆหน่อยละมั้ง แต่ก่อนจะเดินดูให้ละเอียด สายตาใครสักคนที่อยู่ข้างหลังนั้นทำให้ฉันต้องกลับหันหลังไปดู
     
     
    “ Hey yo เธออีกแล้วเหรอ” น้ำเสียงยียวนกวนประสาทคงมีแต่หมอนี้คนเดียว
     
     
    “นี้งานที่ร้านว่างนักหรือไง”
     
     
    “ก็ไม่ว่างเท่าไรหรอก นี้ฉันเดินมาซื้อกับข้าวเตรียมไว้คืนนี้” ฉันเองก็สังเกตว่าหมอนี้ยังแต่งชุดผ้ากันเปื้อนแบบเดียวกับที่ร้านอยู่เลย สงสัยจะแค่แวะมาแปปเดียวจริงๆ
     
     
    “นี้เธอจะซื้อจักรยานเหรอ” เขาถามต่อ
     
     
    “ร้านนี้ดีนะ ฉันซื้อกี่คันก็มาแต่ที่นี้ ร้านนี้มีบริการหลังการขายด้วย จะซ่อมเซิ้มอะไรก็ออกมาดี แถมฉันรู้จักเจ้าของร้านด้วยละ” เขายิ้มๆบอกเป็นนัยว่าให้ถามเรื่องจักรยานกับเขาได้เลย
     
     
    “งั้นก็ดีนะ นายเองก็ช่วยแนะนำหน่อยสิ” ฉันเองก็ตอบรับความปรารถนาของเขา ถึงแม้ว่าหมอนี้จะเป็นคนประเภทที่พยายามจะแหย่ฉันตลอดเวลา ก็เอาเถอะ ที่ผ่านฉันเองก็มีจักรยานเก่าแค่คันเดียวตอนเด็กๆ เป็นจักรยานที่สืบทอดมาจากของญาติ แถมตอนที่ได้มานี้ สนิมก็เขรอะไปหมด เบรกก็ไม่มีอีกต่างหาก ฉันเลยไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับจักรยานเลย ถ้าหมอนี้แนะนำคงจะดีกว่า
     
     
    “แปะคร๊าบบบ แป๊ะ” ริวตะโกนเข้าไปในร้าน
     
     
    สักพักก็มีคนแก่เดินออกมา ฉันว่าเขาเองดูมีอายุมาก แต่ดูเหมือนว่าร่างกายยังแข็งแรงอยู่เลย เดินมาอย่างทะมัดทะแมงไม่เหมือนคนแก่ทั่วไป ฉันเดาว่าคงจะเป็นผลจากทำงานหนักจนเหมือนเป็นการออกกำลังกายทุกวัน เพราะฉันเห็นว่าเขาเองก็เดินผละออกมาจักรยานคันหนึ่งที่ยังซ่อมไม่เสร็จ แถมยกจักรยานนั้นสูงเหนือหัวอย่างกับมันเบาๆด้วย
     
     
    “อ้าวลื้อเองเหรอ ริว มาทำอาราย ลื้อจะมาซื้อจักรยานอั๊วใช้ม้าย”
     
     
    “ป่าวๆ แปะ เพื่อนอั๊วเอง”
     
     
    “อ๋อๆ ล่ายๆไม่มีปัญหา เพื่อนริวก็เหมือนเพื่อนอั๊ว เดี๋ยวอั๊วจัดห๊าย” คุณลุงตอบรับอย่างอารมณ์ดี
     
     
    คุณลุง ไม่สิ อาแปะตามที่ริวเรียกนั้นเป็นคนที่อารมณ์ดีมาก พูดแนะนำจักรยานแถมยังขำไปด้วย ไม่แปลกหรอกจะที่เป็นเพื่อนหมอนี้ ริวเองก็เข้ามาช่วยฉันเลือก เอามือชี้นู่นชี้นู่น แถมทำปากมุบมิบเพราะกำลังกินปอเปี้ยะทอดที่ซื้อมาด้วย หมอนี้นี่นะ ตั้งใจมากินยั่วฉันหรือเปล่าเนี้ย ระหว่างที่เดินดูนั้น ฉันเองก็เห็นว่ามีจักรยานสีเขียวแป็ดๆแบบของตาริวด้วย หมอนี้คงจะซื้อมาจากร้านนี้จริงๆละ

    แต่ดูไปดูมาจักรยานนี้มันเข้ากับฉันดี เพราะล้อเล็กๆนั้น โครงสร้างที่ไม่หนักมาก พอที่ฉันจะยกไปได้อย่างสบายๆ แถมเป็นจักรยานพับได้อีกต่างหาก คงจะเหมาะกับเอาไปไหนต่อไหนดี พลางนึกถึงว่าวันนี้ฉันขี้เกียจปั่นจักรยานไปทำงาน ฉันเองก็แบกขึ้นรถเมล์ได้โดยไม่ได้เกะกะใครเขามานัก แต่ติดใจตรงสีของมันนี้ แมงทับชัด

     
     
    “คือ อาแปะคะ คันนี้พอจะมีสีอื่นไหมคะ” ฉันถาม
     
    “อ๋อ เมเม เปงสีส้ม” อาแปะชี้ไปยังแถวจักรยานที่อยู่ด้านหลัง
     
    หว๋าย สีส้มนี้มันก็โหดเกินไป คือมันไม่ใช้สีส้มธรรมดา คือมันเป็นสีส้มสะท้อนแสง เอาเป็นว่าสีมันแสบตามากๆ ถ้าจักรยานแมงทับของหมอนี้เด่นแล้ว สีส้มอันนี้เด่นกว่าอย่างแน่นอน เด่นพอที่จะให้ใครที่ผ่านมาผ่านไปหันมามองจนเหลียวหลังตาม อ๊ายย—ยย แค่ฉันจินตนาการปั่นไปตามถนนก็อายแล้วละ ริวเองก็ดูเหมือนจะเห็นด้วย เพราะเขาขำๆทันทีที่ได้เห็นสีจักรยานคันนี้ แต่ฉันอยากได้จักรยานทรงแบบนี้จริงๆนะ รูปร่างหน้าตาดีแถมไม่แพงอีกต่างหาก
     
     
    “ เอิ่ม มีแค่สองสีนี้เหรอคะ” ฉันถามต่ออย่างมีความหวังว่าคงจะมีสีอื่นๆที่ดูแรงน้อยกว่านี้
     
     
    “มีแค่เน้ลา” อาแปะตอบกลับมาทำให้ฉันหัวใจสลายเลย นี้ฉันต้องเอาสีใดสีหนึ่งเหรอเนี้ย ถ้าจะว่ากันตามจริงนี้คงจะต้องเอาสีแมงทับเพราะมันดูเข้าท่าสุดในตอนนี้ แต่ว่ามันจะไปซ้ำกับของริวนั้นสิ
     
     
    “หลินก็เอาสีเขียวนั้นละไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันแปะอะไรให้แตกต่างเอง” เขาพูดเหมือนรู้ความคิดฉันอีกแล้ว
     
     
    “อือ ขอบคุณมาก” ฉันเองก็ตอบรับเขาไป เพราะฉันเองก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าฉันต้องการสีนี้ถึงแม้ว่าจะซ้ำไปเขา แต่ฉันทำใจไม่ได้จริงกับจักรยานสีส้มนั้น ฉันก็คงต้องหาสติกเกอร์หรืออะไรมาแปะจะได้ไม่ซ้ำกับรถของหมอนี้ ว่าแล้วฉันเลยตกลงราคากับอาแปะ อาแปะเองก็ใจดีลดราคาให้ฉันด้วยละ ฉันว่าฉันโชคดีที่เจอริวที่นี้นะ
     
     
    “งั้นฉันขอตัวไปกลับไปร้านก่อนละ” เขาขอตัวก่อนทั้งที่ปากเขายังมุบมิบไปด้วยปอเปี๊ยะ
     
     
    “จ้าๆ ขอบคุณมากนะวันนี้” ฉันเองก็รู้สึกว่าเขามาเสียเวลากับเรื่องของฉันมาได้สักพักละฉันเลยโบกมือลาเขาไป เขาเองก็ยิ้มตอบกลับมาแถมยังหยิบปอเปี้ยะขึ้นมากินต่อ ฉันเองก็ยกจักรยานออกมานอกร้าน แต่ความจริงฉันคิดว่าน่าจะซื้อของกินก่อนจะเดินมาดูจักรยานที่นี้ ถึงแม้ว่าจะจักรยานจะไม่หนัก แต่จะให้หิ้วไปหิ้วซื้อกับข้าวคงไม่ใช่เรื่อง ฉันเองก็ฝากจักรยานไว้ที่ร้านก่อนแล้วเดินไปซื้อกับข้าวก่อน แล้วเดินมารับรถกลับบ้าน
     
     
    ---------------------------------------------------------------------------
     
     
    ระหว่างที่ฉันปั่นจักรยานที่ซื้อมากลับบ้านนั้น ฉันเองก็คิดว่าคิดถูกจริงๆที่ซื้อมา เพราะมันปั่นสบายมาก ขับได้ลื่นจริงๆ แถมไม่เร็วมากไปจนทำให้หัวฟูแบบพี่วิน ต่อไปนี้หัวฉันจะไม่เป็นสิงโตต่อไปแล้ว อยากจะกระโดดกรี๊ดดังๆจริงๆ สองข้างทางที่นี้นั้นมันก็ให้ความรู้สึกสงบจริงๆ เพราะว่าบ้านแถวนี้นั้นนิยมปลูกต้นไม้ใหญ่ เลยเป็นเหมือนร่มเงาระหว่างทางทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยร้อน แถมตรงที่กลางซอยนั้น มีสองบ้านตรงข้ามกันที่ปลูกต้นไม้ใกล้กับกำแพง ทำให้ต้นไม้นั้นโน้มเข้าหากันระหว่างสองบ้าน ทำให้เหมือนเป็นซุ้มโค้งต้นไม้ตามธรรมชาติ ตรงนี้เป็นที่ฉันชอบมากๆเพราะความครึ้มที่เขียวขจีนั้น มันเหมือนในภาพยนตร์รักๆสักเรื่องที่ฉันเคยดู
     
     
    ถึงการปั่นจักรยานจะดีสำหรับฉันเพียงไร โจที่เจอฉันบ่อยๆบนรถเมล์นั้นเองก็ทำหน้าตาผิดหวัง หลังจากที่ฉันบอกว่าจะปั่นจักรยานมาทำงานแทนที่จะขึ้นรถเมล์ ฉันเองก็บอกว่าไม่เป็นไรๆ บางวันฉันเองก็ขึ้นรถเมล์บ้างละ ไม่ได้จะปั่นทุกวันสักหน่อย เขาเองก็บอกว่า เขาเองก็อยากปั่นเหมือนกันนะ แต่ว่าบ้านเขาก็ไกลเกินกว่าที่จะเอาแรงมาลงกับจักรยาน ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้น ทำให้เราสองคนไม่ค่อยได้เจอกันในตอนเช้ากันเหมือนเดิมแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เราสองคน ไม่สิ สี่คนยังไปทานข้าวด้วยกัน และยังเฮฮาด้วยกันเสมอ
     
     
    พอใกล้หัวค่ำฉันเองก็มานั่งรับลมตรงที่ระเบียงนั้นเหมือนเดิม พลางเคี้ยวปอเปี๊ยะที่ซื้อมาจากปากซอยเหมือนกัน เพราะฉันเห็นริวกินแล้วมันอยากกินบ้าง ซึ่งฉันว่ามันก็อร่อยดี ไส้วุ้นเส้นกับผักนุ่มๆ ผสานแป้งบางกรอบนั้นทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนพลุระเบิดขึ้นในปาก ยิ่งเคี้ยวยิ่งมีรสชาติ ขนาดพอคำแบบนี้มันก็ทำให้ยิ่งรู้สึกอร่อย มิน่าละหมอนั้นถึงจะกินเอากินเอา ขนาดตอนที่ขนาดออกจากร้านจักรยานยังเคี้ยวหงุบหงับอยู่เลย ฉันว่าฉันคงต้องแอบไปขโมยสูตรมาแอบมาทำเองที่บ้านบ้าง เพราะฉันจะได้กินได้เยอะๆ เพราะเท่าที่ฉันซื้อมานี้เขาให้แค่นิดเดียวเองอะ ความอร่อยนั้นผ่านไปอย่างเร็วจัง ยังไม่หน่ำใจเลยอะ
     
     
    สักพักเสียงมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นหูดังมาตามถนนอีกแล้ว แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ดังเท่าที่ฉันได้ยินครั้งแรก ตอนนั้นคงจะมีปัญหาจริงๆอย่างที่ริวว่า แต่ว่าหมอนี้คงจะดีใจน่าดูที่ไคจูซ่อมเสร็จแล้ว เห็นหมอนี้ที่ผ่านมานี้คิดถึงจะเป็นจะตาย ฉันว่าเดี๋ยวจะต้องมาโม้อะไรให้ฉันฟังแน่ๆ ไม่ทันขาดคำ ริวนี้รีบเปิดประตูเอารถเข้าบ้าน พลางถอดหมวกกับเสื้อคลุม แล้วมายืนเกาะรั้วทำตาแป๋วมองฉัน
     
     
    “ฮี่ๆ” ริวยิ้มฟันขาวใส่ฉัน แถมทำท่าทำทางดีใจสุดๆด้วย
     
     
    “อะไรฮะ อาราย วันนี้กลับเร็วจังนะ” ฉันตอบกลับไปด้วยด้วยน้ำเสียงกวนๆเหมือนเดิม
     
     
    “ไคจูซ่อมเสร็จแล้ว ที่ร้านเขาบอกว่า…” แล้วริวก็พูดต่อยืดยาวถึงอาการของรถ พูดชื่อนั้นชื้อนื้ที่ฉันฟังแล้วไม่รู้จัก แต่เดาว่าคงเป็นชิ้นส่วนมอเตอร์ไซค์ ตานี้เล่าเป็นฉากเลยๆ ทั้งตอนที่เอารถไปให้ร้าน ช่างพูดว่าอะไรบ้าง บรรยากาศที่ร้านด้วย แถมยังพูดเพ้อเจ้อว่าคิดถึงไคจูอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ตายสิ ริวนี้พูดเก่งจริงๆ พูดจนฉันไม่สามารถแทรกได้ แถมพูดจนฉันจะหลับ ฉันเลยปล่อยให้หมอนี้ฟุ้งไปก่อนสักพักหนึ่ง เพราะดูท่าจะหยุดยากจริงๆ สักพักหมอนี้ก็หยุด แล้วหันมาถามฉันต่อ
     
     
    “จักรยานเป็นไงบ้าง” เขาถาม
     
     
    “อ๋อดีๆ ขับสนุกมาก ไม่เหนื่อยเลย ขอบคุณอีกครั้งนะ”
     
     
    “ดีแล้วๆ อย่างนี้เธอจะไปขี่รถเล่นกับฉันได้แล้วสิเนี้ย”
     
     
    “ห๊ะ!อะไรยังไงล่ะนั้น”
     
     
    “ก่อนอื่น เสาร์ต้นเดือนหน้าหลินว่างไหม?”
     
     
    “ก็...คิดแปป…ก็ว่างอยู่หรอก ทำไมล่ะ?”
     
     
    “ถัดไปสามซอยจากร้านฉันน่ะ ข้ามสี่แยกไป มันมีสวนสาธารณะน่ะ” จะว่าไปแล้วฉันเองก็สังเกตเห็นนะ ตอนที่ย้ายเข้ามา ดูแล้วก็ร่มรื่นดี แถมดูเหมือนจะกว้างมากๆด้วย
     
     
    “งั้นเราไปขี่จักรยานเล่นกันไหม” เขาทำหน้าแบบอ้อนหน่อยๆ เหมือนเวลาที่เราเห็นเด็กตามห้างสรรพสินค้า ทำหน้าแบบเวลาอยากได้ของเล่นนั้น หน้าตาแบบหมอนี้ตอนนี้เลย ฉันไม่รู้เป็นอะไรว่า เหมือนจะแพ้ทางหน้าตาริวเวลาตานี้ทำหน้าตาแบบนี้ เสียงอิดอ้อนทำให้ฉันรู้สึกเขินหน่อยๆ แต่ยังไงก็คงต้องวางฟอร์มบ้างอะไรบ้าง
     
     
    “เรื่องอะไรที่ฉันต้องไปกับนายด้วย”
     
     
    “หูย ใจร้ายอะ ใจร้ายมาก”ริวทำหน้าบู้บี้ หมอนี้ทำตัวแบบเป็นประจำ
     
     
    “อ๊ะๆ ไปก็ได้ สักเช้าๆเจอกันที่หน้าบ้านนะ” ว่าแล้วการวางฟอร์มกับคนนี้ไม่ได้ผล แถมฉันคงจะต้องใจอ่อนกับหมอนี้เรื่อยไปสินะ ดูเหมือนจะปฎิเสธอะไรไม่ได้ ถ้าจะว่าสภาพฉันตอนนี้ก็เหมือนแม่ที่มีลูกเล็กๆ เหมือนว่าฉันก็ตามใจเขาไปเพราะทนความน่ารักไม่ไหว ประมาณนั้นละ
     
     
    “เย้ๆ เจอกันนะ” เขายิ้มหวานๆให้ฉัน
     
     
    “เอ้อ อีกอย่างหนึ่ง ฉันเอาไอ้นี้มาให้” เขายื่นสติกเกอร์เป็นรูปหัวใจสีแดงตัวเล็กๆให้ฉันมา
     
     
    “อ้าว แล้วให้มาทำอะไรอะ” ฉันถามเขาไป
     
     
    “ก็เธอบอกว่าจักรยานของเราซ้ำกันไม่ใช้หรอ เดี๋ยวจะแยกไม่ออกมาคันไหนของใคร ฉันเลยไอ้นี้มาให้เธอแปะรถ”
     
     
    “เกรงใจน่ะ” แต่จะพูดอย่างนั้นมือฉันก็รับของเขาแล้ว
     
     
    “แหม เพราะวันนี้เธอใจดี ไม่งั้นอดได้ไปแล้วละ” เขาตอบกลับมาด้วยความร่าเริง จริงๆแล้วฉันเองก็เกรงใจริว แต่ว่าสติ๊กเกอร์ที่เขาให้นั้นก็น่ารักจริงๆนะ เป็นหัวใจสีแดงเล็กเต็มไปหมดเลย ตอนแรกฉันเองก็ปวดหัวจะหาอะไรมาใส่ให้จักรยานฉันดีจะได้ไม่เหมือนของริว พอได้แบบนี้ก็สบายละ
     
     
    “งั้นฉันช่วยแปะ” ไม่ทันขาดคำ ตานี้กระโดดลอยตัวข้ามกำแพงมาเฉยเลย ฉันว่าแล้วละ กำแพงนี้มันเตี้ยจริง พลางนึกว่าโชคดีขนาดไหนที่มีริวเป็นเพื่อนบ้านแทนที่จะเป็นคนอื่น ถ้าข้างบ้านเป็นคนน่ากลัวละก็ ฉันไม่อยากคิดว่าต้องจมอยู่ความหวาดระแวงไปขนาดไหน
     
     
    หมอนี้หยิบสติ๊กเกอร์จากมือฉันแล้ว แล้วค่อยๆแปะตรงตามโครงจักรยานอย่างระมัดระวัง ซึ่งเซนส์ศิลปะหมอนี้ก็ใช้ได้ ดูเหมือนไม่ได้แปะตามใจ แต่แปะให้ดูเข้ากันตัวรถ แถมยังดูเรื่องโซ่และล้อว่ายังอยู่ในสภาพดีไหม แถมยังปรับเบาะนั่งให้พอดีกับตัวของฉันอีกต่างหาก สักพักหมอนี้ปีนไปหยิบผ้ามาเช็ดจักรยานจนสะอาดเงาวับเลย

    ให้ตายสิ ริวนี้เป็นผู้ชายแฟมิลี่แมนจริงๆ เขาเหมาะกับการดูแลเอาใจใส่ใครๆจริงนะ หมอนี้ก็หล่อแถมนิสัยก็ยังดูดีอีกต่างหาก แต่ทำไมหมอนี้ยังไม่มีแฟนกันนะ เห็นอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ หรือว่ามีแล้ว แต่เดี๋ยวนะ ฉันจะไปยุ่งอะไรกับเขาละ แต่มันก็น่าสงสัยจริงนะ คนแบบนี้ผู้หญิงน่าจะไม่ปล่อยไว้นานขนาดนี้ ฉันเลยถามเขาไปตรงๆ

     
     
    “นายมีแฟนกับเขาหรือยัง”
     
     
    “…” หมอนี้หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาเลย
     
     
    “หรือว่าเธอจะสนใจฉัน” ริวพูดเสียงเขินๆพลางลูปหัวตัวเองไปด้วย
     
     
    “แต่อย่างว่าละ ฉันมันหล่อ นิสัยก็ดี จะมีสาวมาปลื้มก็ไม่แปลก แหะๆ” หมอนี้ทำหน้าระรื่น ตาบ้า! คนบ้าอะไรหลงตัวเองชะมัดยาก แต่มันก็ปฎิเสธเขาไม่ได้จริงละว่าตานี้มันครบเครื่อง ขาดแต่ความบ้าที่ทำให้ความหล่อแบบนี้หายไปหมด
     
     
    “พอเลยๆ ฉันแค่อยากรู้เฉยๆ แต่ตอนนี้ไม่ละ รู้สึกหมั่นไส้แทน!” ฉัน
    อยากบีบคอริวจริงๆ

     
     
    “โอ๋ๆ ล้อเล่นๆ ยังไม่มีจ้า ยังไม่มี” เขาตอบด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
     
     
    เราสองคนเริ่มคุยเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฉันเองก็รู้สึกเกรงใจเขาที่มาทำนู่นทำนี้ให้ เลยชวนเข้ามานั่งระเบียงและฉันก็ยกน้ำมาให้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมว่าพวกเรานั้นถึงรู้สึกสนิทกันขนาดนี้ และฉันเองก็หวังว่าลึกๆเขาจะรู้สึกสนิทกับฉันเหมือนที่ฉันคิด อาจจะเป็นเพราะความสบายใจที่สื่อถึงกันก็ได้มั้ง มันช่วยปัดเป่าความรู้สึกปิดกั้นบางอย่างให้หายไป รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้นทำให้บรรยากาศในเมืองที่ฉันว่าบางทีมันขมขื่นไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างฉัน ให้กลับมาสดใสอีกครั้ง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×