ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6 : ความสัมพันธ์
ค่ำคืนนั้นไปผ่านเหมือนสายลม แต่เท่าที่ฉันรู้สึกว่า วันนี้อากาศนั้นไม่ร้อนเท่าเมื่อวานแล้ว สายลมเย็นๆช่วยพัดผ่านความร้อนออกไป ฉันขึ้นรถเมล์ที่ยังแน่นกับหัวฟูๆยุ่งเหยิงเหมือนเคย ยิ่งตอกย้ำกว่าจักรยานนี้มันเป็นทางเลือกที่จะทำให้ฉันรอดจากสถานการณ์แบบนี้ไปได้ ทั้งประหยัดเวลาและค่าเดินทางด้วยละ แต่วันนี้คงจะต้องเป็นเหมือนกับเมื่อวาน คือผจญภัยกันต่อไป และแน่นอนว่าคนที่ยืนบนรถเมล์นั้นก็คือคนเดิมๆ โจนั้นเอง
“สวัสดีหลิน วันนี้ก็เช้าเหมือนเคยนะ” เขาเริ่มทักทายฉันก่อน
“อ๋อ สวัสดีคะ คุณโจ” ในใจฉันมีแต่เรื่องต้องขอโทษเมื่อวานให้ได้ แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกไป เขากลับพูดกลับมาว่า
“เมื่อวานผมขอโทษนะ ที่ไม่ได้กลับหาคุณ ก๋วยเตี๋ยวนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ” เขาหัวเราะ
“ดุเดือดมากเลย ทำผมนี้สติกระเจิงไปหมด กว่าจะรู้ตัวก็หมดเวลาพักซะแล้ว ผมขอโทษคุณจริงๆนะ”
“อ๋อ ไม่เป็นไรๆคะ” ฉันเองก็รู้สึกผิดลึกๆเหมือนกัน แต่ว่าสถานการณ์นั้นมันพาไปกันขนาดนั้นจนควบคุมไม่ได้ แถมโจต้องมากินของเผ็ดขนาดนั้นทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่อง แต่ว่านี้ก็คงเป็นโอกาสดีที่จะบอกความจริงของฉันไป
“คุณโจคะ คือความจริง หลินเองก็กินเผ็ดไม่ได้”ฉันกล่าวด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“อ้าว คุณสั่งทำไมละ”
“อ๋าย—ยยคือฉันสั่งผิดไปน่ะคะ แถมป้าก็ทำเสร็จแล้วด้วย แถมเวลาพักก็ใกล้จะหมด ก็เลย เลยตามเลยไป”ฉันสารภาพ
“ฉันขอโทษจริงๆนะคะ ที่ทำให้คุณโจต้องมากินเผ็ดด้วย”
“ไม่เป็นไรครับๆ นั้นเป็นความผิดผมเองที่ผมอยากลองทำอะไรแบบเดียวกับคนพิเศษแบบคุณมันก็สนุกดีไม่ใช่เหรอ” เขาหัวเราะ ก็นะ ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นว่าเขาไม่โกรธอะไร ดูแล้วหมอนี้เป็นคนสบายๆดี แต่เดี๋ยวนั้น ไอ้คำว่า “คนพิเศษแบบคุณ”นี้มันอะไรกันน่ะ หรือว่าหมอนี้ว่าฉันเป็นตัวประหลาดอีกแล้ว ฮืออ—ออ ไม่เป็นไรๆ ถ้าหมอนี้ไม่โกรธอะไรก็ดีแล้วละ
“เมื่อวานคุณดูตั้งใจทำงานมากเลยนะ” โจพูดต่อ
“ขอบคุณคะ แต่เดี๋ยวนี้คุณอยู่บริษัทเดียวกับฉันเหรอคะ”
“ผมนั่งอยู่โต๊ะข้างหลังคุณถัดไปสองโต๊ะด้วยซ้ำ” หว๋าเขาทำงานอยู่ที่เดียวกัน แถมยังอยู่แผนกเดียวกันกับฉัน อีกทั้งอยู่ใกล้ๆอีกต่างหาก เมื่อวานสงสัยฉันจะไม่สนใจใครเลยทั้งสิ้น มัวแต่จ้องจอคอมพิวเตอร์อย่างไม่กระพริบตา มือนี้เป็นระวิงเลยไม่ได้สังเกตอะไรคนรอบข้างขนาดจนไม่ได้คุยกับใครยกเว้นโจ ฉันว่าฉันน่าจะมองอะไรให้รอบคอบได้แล้วมั้ง ตกหล่นขนาดนี้
“ผมไม่มีโอกาสได้ทักคุณเลย เห็นคุณทำงานไม่หยุดเลย พอตอนพักกลางวัน คุณก็หายตัวไปอีก” โจกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูจะงอนนิดๆ
“หว๋า ฉันขอโทษจริงๆคะ ที่มัวแต่ทำงาน”
“ไม่เป็นไรครับๆ ไม่ได้เป็นความผิดอะไรที่จะตั้งใจทำงาน งั้นกลางวันนี้ผมชวนคุณทานข้าวนะ จองตัวไว้ก่อนเลย ก่อนที่จะคุณหายตัวไป” เขาหัวเราะอีกครั้ง ฉันเองก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากพูดคุยต่อกับเขาระหว่างเดินทางไป น้ำเสียงที่ดูอบอุ่นและเป็นกันเองของเขาทำให้อะไรๆดูสดใสขึ้น อย่างน้อยการเดินทางด้วยรถเมล์ ถ้ามีคนแบบเขาอยู่ละก็ มันคงจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด
เราสองเดินลงป้ายรถเมล์ เดินเข้าบริษัทและขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกัน พอถึงจุดหมายปลายทาง ก็ได้ยินสาวน้อยอารมณ์ดีมาต้อนรับเหมือนกับเมื่อวาน
“สวัสดีค่ะ คุณหลิน เอ๊ะ!วันนี้มาพร้อมคุณโจด้วย” ทิพย์เริ่มต้นบทสนทนา
“ไง สวัสดีทิพย์ เป็นไงบ้างเช้านี้”
“ก็ดีคะ งานยังไม่มา แต่ตอนสายจะเป็นไงไม่รู้นะคะ” เธอหัวเราะ น้ำเสียงนั้นแสดงถึงว่าสองคนนี้รู้จักมานาน คนอารมณ์ดีๆนั้นมักดึงดูดคนอารมณ์ดีๆเข้ามาเสมองั้นสินะ พวกเขาคุยเรื่องจิปาถะไปต่อไปเรื่อยๆฉันเลยไม่ได้จังหวะที่ฉันจะแทรกเข้าไปในบทสนทนาของสองคนนั้นเลย ฉันไม่รู้ว่าฉันคิดเป็นหรือเปล่านะ ฉันว่าระยะห่างของสองคนนี้แทบจะไม่มีอะไรห่างเลย ยิ่งพูดกัน ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเป็นเหมือนคนที่ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น… แต่ว่าละคงจะโทษกันไม่ได้ เราเพิ่งเคยจะเจอเขาเมื่อวานเอง แต่สุดท้ายเสียงของโจนั้นทำลายภวังค์ของห้วงความคิดของฉันลง
“จริงสิๆ ทิพย์รู้จักหลินด้วยเหรอ?”
“อ๋อ ทิพย์จำหน้าเขาได้ตอนที่หลินมาสมัครงานนะคะ”
“แต่ว่าน๊า โจไปรู้จักคุณหลินได้ยังไง บอกมาเลยนะ” ทิพย์พูดเหมือนจับผิดอะไรสักอย่าง แต่เป็นน้ำเสียงที่ทีเล่นทีจริง
“อ๋อ โจไปเจอหลินบนรถเมล์น่ะ แถมยังอยู่แผนกเดียวกัน และนั่งใกล้ๆกันด้วยละ”
“อ๋อ งั้นเหรอคะ” ทิพย์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่คลายความสงสัยออกไป
“โจไปก่อนนะ บายๆทิพย์ หลินมาด้วยกันสิ” เขาโบกมือลาทิพย์ ฉันเลยก็สวัสดีทิพย์อีกรอบแล้วเดินตามโจไป ทิพย์ก็โบกมือตอบรับอย่างอารมณ์ดี ฉันว่าทิพย์เป็นคนสบายๆเหมือนโจนั้นละ แถมเป็นคนที่มนุษย์สัมพันธ์ดีทีเดียว โจเดินนำหน้าฉันไปที่โต๊ะทำงาน เราสองคนพูดคุยกันสักพักด้วยบทสนาที่มีกาแฟเป็นตัวนำ ทำให้บรรยากาศในการพูดคุยกับเขานั้นยิ่งรู้สึกนุ่มลึกเข้าไปอีก
ฉันสังเกตว่าโจกินกาแฟดำแก่ๆ ไม่ใส่น้ำตาลหรือแม้แต่นม โห แค่ฉันจินตนาการความขมนั้นฉันก็อยากเบือนหน้าหนีแล้ว แต่ว่ากาแฟดำๆกับดวงตาคมๆนั้นเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก ถ้าจะวัดจากความรู้สึกและมุมมองผู้หญิงอย่างฉัน ฉันว่าเขาดูเท่สุดๆ หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือ เขา“มาดแมน”จริงๆ ฉันเองก็ไม่แปลกใจนักหรอกนะ ถ้าเขาจะเป็นหนุ่มฮอต เพราะเท่าที่ฉันสังเกตระหว่างการพูดคุยของเรา สายตาของสาวในละแวกข้างเคียงนั้นมองเขาไม่วางตาเลย มีทั้งสายตาที่สื่อประมาณว่า อยากจะมาแทนที่ฉัน ทำไมไม่เป็นตัวฉันเอง อะไรประมาณนี้
รวมทั้งสายตาแบบเดียวกันกับรถเมล์เมื่อวานที่แสดงถึงความรู้สึกหมั่นไส้ฉันสุดๆ ถืงพวกสาวๆพวกนี้จะไม่ได้พูดอะไรออกมาตรงๆ แต่ว่าด้วยความเป็นผู้หญิงเหมือนกันฉันเองก็เดาออกว่าคิดอะไรอยู่ และถ้าฉันไม่ได้เป็นคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ฉันเองก็รู้สึกเจ็บใจนิดๆเหมือนกัน เอ๊ะ! แต่ถ้าจะพูดแบบนี้ก็เหมือนฉันปิ๊งโจน่ะสิ ไม่หรอกมั้ง ถึงหมอนี้มันจะหล่อ แต่ฉันว่าฉันคุยกับเขาแค่เพราะมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีของเขานั้นละ และอีกอย่าง ฉันไม่คิดว่าโจจะมาสนใจอะไรฉันด้วย ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่ผมยุ่งๆและอยากตั้งใจที่จะทำงานให้มันสุดๆเท่านั้นโดยไม่คิดเรื่องอื่นก็เท่านั้นเอง..
ฉันสังเกตว่าโจกินกาแฟดำแก่ๆ ไม่ใส่น้ำตาลหรือแม้แต่นม โห แค่ฉันจินตนาการความขมนั้นฉันก็อยากเบือนหน้าหนีแล้ว แต่ว่ากาแฟดำๆกับดวงตาคมๆนั้นเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก ถ้าจะวัดจากความรู้สึกและมุมมองผู้หญิงอย่างฉัน ฉันว่าเขาดูเท่สุดๆ หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือ เขา“มาดแมน”จริงๆ ฉันเองก็ไม่แปลกใจนักหรอกนะ ถ้าเขาจะเป็นหนุ่มฮอต เพราะเท่าที่ฉันสังเกตระหว่างการพูดคุยของเรา สายตาของสาวในละแวกข้างเคียงนั้นมองเขาไม่วางตาเลย มีทั้งสายตาที่สื่อประมาณว่า อยากจะมาแทนที่ฉัน ทำไมไม่เป็นตัวฉันเอง อะไรประมาณนี้
รวมทั้งสายตาแบบเดียวกันกับรถเมล์เมื่อวานที่แสดงถึงความรู้สึกหมั่นไส้ฉันสุดๆ ถืงพวกสาวๆพวกนี้จะไม่ได้พูดอะไรออกมาตรงๆ แต่ว่าด้วยความเป็นผู้หญิงเหมือนกันฉันเองก็เดาออกว่าคิดอะไรอยู่ และถ้าฉันไม่ได้เป็นคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ฉันเองก็รู้สึกเจ็บใจนิดๆเหมือนกัน เอ๊ะ! แต่ถ้าจะพูดแบบนี้ก็เหมือนฉันปิ๊งโจน่ะสิ ไม่หรอกมั้ง ถึงหมอนี้มันจะหล่อ แต่ฉันว่าฉันคุยกับเขาแค่เพราะมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีของเขานั้นละ และอีกอย่าง ฉันไม่คิดว่าโจจะมาสนใจอะไรฉันด้วย ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่ผมยุ่งๆและอยากตั้งใจที่จะทำงานให้มันสุดๆเท่านั้นโดยไม่คิดเรื่องอื่นก็เท่านั้นเอง..
เมื่อกาแฟของเรานั้นหมดลง บทสนทนาของเรานั้นก็หมดลงด้วย เสียงประกาศเวลานั้นกระตุ้นเตือนว่าถึงเวลาต้องเริ่มทำงานอีกครั้ง แต่วันนี้ฉันจะไม่หลงลืมอะไรรอบๆตัวอีกแล้ว ฉันเชื่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้นเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต คนรอบตัวที่ดีนั้น เป็นเสมือนแรงผลักดันบางอย่างที่คอยสนับสนุนชีวิตของเรา รวมทั้งนำพาหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เราต้องเผชิญหน้าพร้อมกัน
แต่ที่ฉันพูดนี้นั้นไม่ได้หมายความว่า เราไม่อาจดำรงชีวิตได้เพียงคนเดียว การที่เราเผชิญบางสิ่งตามลำพังโดยไม่ได้มีใครมาคอยแบกรับหรือคอยสนับสนุนเราไว้นั้น ไม่ได้แสดงถึงความอ่อนแอในความสัมพันธ์ เพราะในบางครั้งความสัมพันธ์ของคนเราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมาอยู่ระยะทางที่เหมาะสม ทั้งความใกล้ชิด ความห่างไกลนั้นเป็นบทบาทตามแต่ละสถานการณ์ให้เราได้สัมผัสถึง และเป็นแค่พียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง อย่างที่ฉันเคยพูดตอนเรื่องของกินนั้นได้ไหม?คนเราจำเป็นต้องเรียนรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรตาม
แต่ที่ฉันพูดนี้นั้นไม่ได้หมายความว่า เราไม่อาจดำรงชีวิตได้เพียงคนเดียว การที่เราเผชิญบางสิ่งตามลำพังโดยไม่ได้มีใครมาคอยแบกรับหรือคอยสนับสนุนเราไว้นั้น ไม่ได้แสดงถึงความอ่อนแอในความสัมพันธ์ เพราะในบางครั้งความสัมพันธ์ของคนเราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมาอยู่ระยะทางที่เหมาะสม ทั้งความใกล้ชิด ความห่างไกลนั้นเป็นบทบาทตามแต่ละสถานการณ์ให้เราได้สัมผัสถึง และเป็นแค่พียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง อย่างที่ฉันเคยพูดตอนเรื่องของกินนั้นได้ไหม?คนเราจำเป็นต้องเรียนรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรตาม
ก่อนที่ห้วงความคิดแปลกๆนั้นจะครอบงำ ฉันพลันไปเหลือบเห็นสายตาของใครสักคนจ้องมองฉันอยู่ผ่านกระจกที่โต๊ะทำงานระหว่างกัน สายตานั้นคิ้วขมวดเล็กน้อยเหมือนกับว่าสงสัยอะไรบางอย่างในตัวฉัน หรือว่าจะเป็นสายตาที่รู้สึกหมั่นไส้ฉันเมื่อกี้ที่คุยกับโจกันนะ! แต่ว่าสายตาก็ไม่ได้แสดงถึงอะไรที่เลวร้ายเลย ฉันเลยทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาดีหรือมาร้ายกันแน่
สักพักเจ้าของสายตานั้นก็เอียงหัวหลบกระจกที่ขวางเราไว้นั้นออกมาเป็นสายตาที่มองชั้นอย่างตรงๆ เป็นสายตาของผู้หญิงผมม้าสีแดง ฉันพูดผิดไปละ นี้มันสายตาของคนที่อยากรู้อยากเห็นแบบเด็กๆ เป็นสายตาแบบเดียวกับคนบ้าตัวสูงข้างบ้านฉันเอง
“ไฮฮฮฮฮฮฮฮ” เสียงใสแบบเด็กๆนั้นเริ่มทักทายฉัน
“อ๊ะ!สวัสดีคะ” ฉันเองก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ให้ตายสิ นึกว่าทักทายแบบประหลาดนี้มีแต่ริวที่ทำ
“เห็นตัวเองตั้งแต่เมื่อวานแล้วล๊า แต่ยังไม่ได้มีโอกาสทักทายเลยเน๊อ” เธอยิ้ม เสียงนั้นเป็นเสียงเด็กจริงๆนั้นละ
“อ๋อค่ะๆ โทษทีนะ เมื่อวานยุ่งนะ” ฉันเองก็เริ่มผ่อนคลายลงหน่อย เพราะว่าฉันเคยผ่านกับคนลักษณะแบบนี้มากแล้วเลยรู้สึกไม่เครียดอะไร สักพักเธอเลยลุกขึ้นมาคุยกับฉันเป็นเรื่องเป็นราวเลย เป็นผู้หญิงที่ตัวเล็กน่ารักมากเลยละ ฉันว่าฉันตัวเล็กแล้วแต่เธอกลับตัวเล็กมากกว่าอีก ผมหางยาวๆนั้นเข้ากับผิวขาวๆสว่างของเธอดี ลักยิ้มตรงแก้มนั้นยิ่งทำให้ตากลมโตนั้นยิ่งน่ารักเข้าไปกว่าเดิม แขนขาก็เรียวเล็ก ถ้าจะให้ฉันเปรียบเทียบคงจะเหมือนพวกไอดอลของญี่ปุ่นเลยละไม่ก็เหมือนพวกตัวการ์ตูนในอนิเมะเลย ให้ตายสิ! คนที่ฉันรู้จักตั้งแต่อยู่ที่นี้มีแต่คนหน้าตาดีๆทั้งนั้น ฉันนี้มันธรรมดาอยู่คนเดียวเลย ฮืออ—อ น้อยใจชะมัด
“เค้าชื่อพิ้งค์นะค๊า ยินดีที่ได้รู้จักน๊า หลิน” เธอยิ้มแป้นใส่ฉันเลยทีเดียว แต่มันก็ทำให้ฉันสงสัยไม่น้อยเลยว่าพิ้งค์รู้จักฉันได้ยังไง?
“เค้ารู้จักตัวเองผ่านโจแล้วน๊า เมื่อวานเขาเล่าให้ฉันฟังตอนกลับบ้านแล้วล๊า” คำตอบนั้นช่วยมลายความสงสัยของฉันได้ไปเปราะหนึ่ง แต่นึกสงสัยนะว่านายโจพูดถึงฉันว่ายังไงบ้างอะ คงจะเป็นมุมเปิ่มของฉันแน่เลย แค่คิดถึงเรื่องเมื่อวานก็ทำให้ฉันอายแทบแทรกแผ่นดินหนีแล้ว—วว
เราสองคนคุยกันได้แค่สักพักหนึ่งเท่านั้น เพราะแปปเดียวหัวหน้างานก็เดินมาตรวจงานแถวนี้ซะแล้ว แต่การพูดคุยนั้นทำให้ฉันรู้ว่าพิ้งค์เป็นคนสดใสสมชื่อเธอ เวลาเธอพูดทีนี่ ฉันเหมือนเห็นตัวอีโมติค่อนแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นเลย เหมือนในหนังสือนิยายวัยรุ่นน่ะ ทำให้เวลาคุยกับเธอมีแต่เรื่องสนุก ถึงแม้เวลาที่เราไม่ได้คุยกัน ก็ชอบทำเสียงแปลกๆไม่ก็เล่นมุขล้อเลียนหัวหน้าให้ฉันแอบขำตลอด ฉันรู้สึกดีจริงๆที่มีเพื่อนร่วมโต๊ะทำงานแบบนี้ มันทำให้บรรยากาศของที่ทำงานนั้นสดใส ไม่รู้สึกกดดันเท่าเดิมอีกต่อไป
เราสองคนคุยกันได้แค่สักพักหนึ่งเท่านั้น เพราะแปปเดียวหัวหน้างานก็เดินมาตรวจงานแถวนี้ซะแล้ว แต่การพูดคุยนั้นทำให้ฉันรู้ว่าพิ้งค์เป็นคนสดใสสมชื่อเธอ เวลาเธอพูดทีนี่ ฉันเหมือนเห็นตัวอีโมติค่อนแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นเลย เหมือนในหนังสือนิยายวัยรุ่นน่ะ ทำให้เวลาคุยกับเธอมีแต่เรื่องสนุก ถึงแม้เวลาที่เราไม่ได้คุยกัน ก็ชอบทำเสียงแปลกๆไม่ก็เล่นมุขล้อเลียนหัวหน้าให้ฉันแอบขำตลอด ฉันรู้สึกดีจริงๆที่มีเพื่อนร่วมโต๊ะทำงานแบบนี้ มันทำให้บรรยากาศของที่ทำงานนั้นสดใส ไม่รู้สึกกดดันเท่าเดิมอีกต่อไป
พอตอนพักเที่ยง โจก็เดินมารับฉันที่โต๊ะ พลางโบกมือเรียกพิ้งค์ไปด้วยกัน ทั้งสองคนนี้ดูสนิทกันมากจริงๆ ขนาดฉันคิดว่าทิพย์น่าจะเป็นคนที่สนิทกับหมอนี้มากที่สุดแล้ว แต่พิ้งค์นี้ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับโจแบบแปลกๆ เพราะคำเรียกชื่อว่า “โจจ๋า” นี้มันชวนให้คิดมากชัดๆ พวกเราสามกำลังจะเดินไปลิฟต์ ซึ่งเผอิญเจอทิพย์พอดี แน่นอนว่าเธอขอไปทานข้าวร่วมกับเราด้วย
“ไงคะ ทุกคน วันนี้ทิพย์ขอไปด้วยคนนะ”
“ได้ๆสิมาเลยๆ โต๊ะพออยู่แล้ว” โจตอบรับคำขอ
“เชิญเลยค๊า คุณทิพย์” พิ้งค์ก็ตอบรับทิพย์เหมือนกัน สักพักคุณทิพย์ก็หันกลับคุยกับฉัน ซึ่งไปๆมาๆพวกเราทั้งสี่คนนั้น กลับยืนตั้งวงคุยหน้าลิฟต์อย่างเป็นเรื่องราวเฉยเลย แถมยังหัวเราะลั่นกันอีกต่างหากจนกระทั่งคนแถวนั้นหันมอง ซึ่งทำให้พวกเรากลับมามีสติอีกรอบว่าเป้าหมายเราคือจะไปทานข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร
“นี้โจจ๋า กดลิฟต์สิ มัวแต่คุยอะไรไม่รู้เนอะ ว่าไหมๆ หลินกับทิพย์” พิ้งค์พยักหน้างึกงักเหมือนจะหาพวกและตั้งใจจะแกล้งโจ
“นี้ยายบ้า เธอก็ร่วมวงเหมือนกันฉันนั้นละ”โจหันมาค้อนพิ้งค์ ฉันว่าสองคนนี้ซี้กันจริงนั้นละ พวกเราทั้งสี่คนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ฉันหวังว่าบรรยากาศแบบนี้คงจะอยู่ต่อไปนะ อย่างน้อยมันทำให้ที่ทำงานแห่งนี้มีความสุขและน่าทำงานมากขึ้นเยอะเลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น