ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4 : ความอบอุ่น
ช่วงเย็น หลังจากที่ฉันผจญภัยบนรถเมล์มา ช่วงเย็นกับช่วงเช้ากลางฤดูร้อนนี้มันไม่ได้แตกต่างกันเลย มีแต่แดดกับแดด ฉันพลางถามตัวเองว่าจริงๆฉันชอบฤดูร้อนหรือป่าวนะ รถเมล์ที่อัดแน่นไปด้วยคนกับความร้อนที่คายออกจากพื้นถนนนี้ชวนทำให้ฉันเพลียสุดชีวิต แถมข้าวกลางวันก็ยังไม่ได้ตกถึงท้องเลย ฮืออ—อ เป็นการทำงานวันแรกที่ซวยอะไรเช่นนี้ ฉันได้พึมพำกับตัวเองเบาๆ ทั้งๆที่ในใจนั้นอยากจะตะโกนให้สุดเสียงเลย แต่ฉันว่านะ เสียงร้องของท้องฉันคงจะดังกว่าเสียงพูดของฉันแล้วละถึงเวลาจะหาของอะไรมาใส่ท้องแล้ว
ฉันเดินผ่านริมถนนเส้นหลักก่อนที่จะเข้าซอยแคบๆ ซึ่งเป็นทางจะเข้าสู่บ้านของฉันเอง ที่นี้เหมือนกับสวรรค์ของท้องฉันเลย มีร้านขายอาหารมากมาย ทั้งที่เป็นคูหาและเป็นรถเข็น รวมทั้งร้านค้าอื่นๆ จำพวกร้านขายของ ร้านกาแฟ
ถ้าจะว่ากันจริงๆฉันรู้สึกดีมากที่ย้ายมาที่นี้ หอพักของฉันเมื่อก่อนนี้แทบไม่มีอะไรเลยละ มีแต่ร้านข้าวร้านเดียวใต้หอ ที่ไม่มีอะไรเลยยกเว้นผัดกระเพราที่ดูเข้าท่าสุด แถมราคายังแพงหูฉี่ ฉันเคยต้องกล้ำกลืนฝืนเพราะละแวกนั้นมีแต่ร้านนั้นร้านเดียว ฉันรู้สึกว่าโชคดีที่ย้ายมาได้ แต่ถ้าจะพูดอย่างนั้นแล้วละก็นะ มันเป็นความโชคดีที่มากับความโชคร้าย…
ถ้าจะว่ากันจริงๆฉันรู้สึกดีมากที่ย้ายมาที่นี้ หอพักของฉันเมื่อก่อนนี้แทบไม่มีอะไรเลยละ มีแต่ร้านข้าวร้านเดียวใต้หอ ที่ไม่มีอะไรเลยยกเว้นผัดกระเพราที่ดูเข้าท่าสุด แถมราคายังแพงหูฉี่ ฉันเคยต้องกล้ำกลืนฝืนเพราะละแวกนั้นมีแต่ร้านนั้นร้านเดียว ฉันรู้สึกว่าโชคดีที่ย้ายมาได้ แต่ถ้าจะพูดอย่างนั้นแล้วละก็นะ มันเป็นความโชคดีที่มากับความโชคร้าย…
ฉันเริ่มอิ่มหลังจากเดินไปกินไปทุกอย่างขวางหน้า ข้าวของที่ซื้อระหว่างทางก็เริ่มมากขึ้นทุกที่ แต่ฉันก็มีความสุขจริงๆนะ เวลาคนเราได้กินของอร่อยมันก็เหมือนเป็นการให้รางวัลชีวิตนั้นละ แต่ในทางกลับกัน การที่น้ำหนักขึ้นเป็นบทลงโทษจากความสุขแบบนี้
ทำไมฉันถึงคิดแบบนั้นน่ะเหรอ ก็เพราะเหมือนกับว่าเรามัวแต่จะหาความสุขใส่ตัวเราตลอด แต่เราหลงลืมไปว่าสุดท้ายทุกสิ่งที่อย่างมันต้องมีความพอดีเสมอในทุกๆเรื่องนั้นละ การที่เรามัวจะไขว่คว้าแต่ดีๆมันเหมือนเราพยายามทำให้อะไรสักอย่างมันสมบูรณ์แบบ แต่เราลืมคิดไปว่าการให้แต่สิ่งดีๆ สุดท้ายสิ่งนั้นจะไม่เติบโตเพราะไม่เคยได้เรียนรู้อะไรอีกด้านหนึ่งเลย
ฉันว่าถ้าคนเราเคยได้พานพบเรื่องเลวร้ายและและพบเจอความสุขมาก่อนในชีวิตแล้ว เขาคนนั้นจะเติบโตขึ้น แต่ก็ว่านะ ฉันมานั่งนึกบ้าอะไรอยู่เนี้ย เรื่องของกินกลายมาเป็นเรื่องปรัชญาอะไรก็ไม่รู้ ฉันคงหวังว่าฉันคงจะเติบโตขึ้นละมั้ง… แต่ก่อนจะคิดอะไรต่อไป ฉันสังเกตุเห็นว่าถนนข้างหน้านั้นมีซอยตรงลึกเข้าไป แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญนักหรอกนะ ประเด็นคือตรงทางเข้าซอยมันมีร้านดอกไม้ร้านเล็กร้านหนึ่ง
ทำไมฉันถึงคิดแบบนั้นน่ะเหรอ ก็เพราะเหมือนกับว่าเรามัวแต่จะหาความสุขใส่ตัวเราตลอด แต่เราหลงลืมไปว่าสุดท้ายทุกสิ่งที่อย่างมันต้องมีความพอดีเสมอในทุกๆเรื่องนั้นละ การที่เรามัวจะไขว่คว้าแต่ดีๆมันเหมือนเราพยายามทำให้อะไรสักอย่างมันสมบูรณ์แบบ แต่เราลืมคิดไปว่าการให้แต่สิ่งดีๆ สุดท้ายสิ่งนั้นจะไม่เติบโตเพราะไม่เคยได้เรียนรู้อะไรอีกด้านหนึ่งเลย
ฉันว่าถ้าคนเราเคยได้พานพบเรื่องเลวร้ายและและพบเจอความสุขมาก่อนในชีวิตแล้ว เขาคนนั้นจะเติบโตขึ้น แต่ก็ว่านะ ฉันมานั่งนึกบ้าอะไรอยู่เนี้ย เรื่องของกินกลายมาเป็นเรื่องปรัชญาอะไรก็ไม่รู้ ฉันคงหวังว่าฉันคงจะเติบโตขึ้นละมั้ง… แต่ก่อนจะคิดอะไรต่อไป ฉันสังเกตุเห็นว่าถนนข้างหน้านั้นมีซอยตรงลึกเข้าไป แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญนักหรอกนะ ประเด็นคือตรงทางเข้าซอยมันมีร้านดอกไม้ร้านเล็กร้านหนึ่ง
ชื่อร้าน “ด้วยรัก” งั้นเหรอ…ฉันพึมพำกับตัวเอง
---------------------------------------------------------------------------
ความเงียบสงบของบรรยากาศบริเวณนี้มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันได้หลุดไปยังอีกโลกหนึ่ง เมื่อกี้ฉันผ่านร้านค้ามากมายที่เต็มไปเสียงอันดังของผู้คนที่เดินขวักไกว่ พอฉันเดินมาถึงที่นี้เหมือนกับฉันได้เจอปลายทางของเส้นทางที่เดินผ่านมา…ทำให้ฉันรู้สึกสงบลง ร้านนี้ตั้งอยู่หัวมุมถนนพอดี เหมือนกับว่ามันเป็นประตูสำคัญที่ใครก็ตามที่เข้ามาต้องผ่านมาอย่างที่ละสายตาไม่ได้
ร้านดอกไม้นี้เหมือนกับว่าเป็นบ้านคนมากกว่าร้านค้า ซึ่งจะมีพื้นที่เล็กๆแต่ร้านกลับดูโดดเด่นจากผนังอิฐสีน้ำตาล มีระแนงไม้เลื้อยคอยทำหน้าที่บังแสงแดดบริเวณหน้าร้านตามธรรมดา รั้วกันเป็นไม้สีขาวดูสะอาด ทางเดินก่อนเข้าไปตัวร้านหน้านั้นปูด้วยหินกรวดมน แซมไว้ด้วยใบหญ้าสีเขียวอ่อน
ตุ๊กตาเซรามิกสีขาวรูปกระต่ายที่ตั้งอยู่เคียงข้างอยู่บริเวณหน้าร้านนั้นยิ่งทำให้มีความรู้สึกอบอุ่นเข้าไปใหญ่ ฉันเดินผ่านสิ่งเหล่านี้และชื่นชมกับบรรยากาศเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว
ตุ๊กตาเซรามิกสีขาวรูปกระต่ายที่ตั้งอยู่เคียงข้างอยู่บริเวณหน้าร้านนั้นยิ่งทำให้มีความรู้สึกอบอุ่นเข้าไปใหญ่ ฉันเดินผ่านสิ่งเหล่านี้และชื่นชมกับบรรยากาศเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว
“กริ๊ง”เสียงกระดังที่แขวนไว้ด้านในประตูไม้สีขาวนั้นเป็นสิ่งแจ้งเตือนว่าใครสักคนกำลังพบพานดินแดนแห่งนี้แล้ว
“สวัสดีค่ะ ด้วยรักยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดออกจากเคาน์เตอร์สีครีมนั้น ท่าทางเธอดูทะมัดทะแมงดี ผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีขาวนั้นดูเข้ากับเธอ รวมทั้งผมสีดำตรงของเธอด้วย ใบหน้าเล็กๆที่ได้รูปกับดวงตาที่เป็นประกายนั้น ฉันมั่นใจว่ามีใครหลายคนเคยตกหลุมรักเธอแน่ๆ และไม่มีทางที่จะถอนตัวขึ้นได้อย่างแน่นอน
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง“ของนั้นดูเหมือนจะหนักนะค่ะ ฉันว่าเอาฝากที่ฉันก่อนดีกว่าคะ”น้ำเสียงที่อ่อนโยนของเธอเหมือนกับจะดึงดูดฉันเข้าไป เผลอแปปเดียวฉันกลับยื่นของฉันให้เธอเก็บทั้งหมดเลยก่อนที่ฉันจะทันคิดอะไรซะอีก
“เชิญดูดอกไม้ในตู้ก่อนได้เลยคะ ถ้าชอบดอกไหนบอกฉันได้นะ ทางร้านเรารับช่อด้วยนะคะ หรือจะเป็นกระเช้าก็ได้ทั้งนั้นค่ะ” ให้ตายสิ เสียงนั้น ขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังรู้สึกหวั่นไหวเลย ทำไมเสียงเธอถึงได้ดึงดูดขนาดนั้นนักนะ แต่ระหว่างที่เดินดูดอกไม้ในตู้ เสียงผู้ชายคนหนึ่งได้ทำลายความเงียบงันของที่แห่งนี้ลง
“โอ๊ส!สวัสดีครับ!” เสียงแบบนี้มีคนเดียวที่ฉันเคยได้ยิน
“นายริว!”ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจ
“อ้าว หลิน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบสุดๆ คิดไปคิดมาหมอนี้ก็เสียงก็นุ่มเหมือนกัน
“นายมาทำอะไรที่นี้น่ะ!” ฉันสงสัยสุดๆ ผู้ชายที่ขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆน่ากลัวๆ มาอยู่ร้านดอกไม้น่ารักๆแบบนี้เนี้ยนะ
“ฉันควรจะถามเธอมากว่านะ” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เอ๊ะ หรือนายจะมาซื้อดอกไม้เหมือนกัน” ฉันสวนกลับไป
“นี้เธอ จะมาซื้อดอกไม้จริงๆนี้ต้องมากล่าวต้อนรับเธอหรอกหรอ ฉันเป็นเจ้าของร้านนี้ ยัยเบ๊อะ”
“ห๊ะ!!!!” ฉันได้แต่อึ้ง นายริวเป็นเจ้าของร้านดอกไม้แห่งนี้เหรอ! ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ภาพลักษณ์ที่ดูสวนทางไปกันหมดขนาดนี้ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า บ้านหมอนี้มันก็สีชมพูนี้หน่า แถมกระถางและแปลงดอกไม้ที่บ้านหมอนั้นก็ช่วยประติประต่อเรื่องราวต่างๆให้ดูชัดเจนขึ้น นายริวคงจะเป็นเจ้าของจริงๆนั้นละ แต่ที่ขัดหูขัดตานั้นก็คือมอเตอร์ไซค์ของหมอนั้น เสียงดังชะมัด เรื่องอื่นๆนายทำตัวน่ารักขนาดนี้แล้วทำไมต้องมาขับมอเตอร์ไซค์โหดๆแบบนั้นด้วยเล่า ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะให้ตายสิ
“แล้วมอเตอร์ไซค์ของนายอยู่ที่ไหน”ฉันถามต่อ
“อ๋อ ฉันเอาไคจูไปซ่อมอู่ใกล้ๆนี้เอง สองสามวันนี้ เสียงเครื่องมันดังผิดปกติน่ะ เลยให้เขาเช็คหน่อย” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ ดูเหมือนว่านายริวจะชอบมอเตอร์ไซค์นั้นจริงๆ แต่ที่เขาพูดนั้น แสดงว่ามอเตอร์ไซค์นั้นไม่ได้ดังอย่างที่ฉันน่ะสิ นั้นมันก็แค่เรื่องชั่วคราว ถึงว่าตอนที่กลับมาถึงบ้าน นายถึงค่อยๆมอเตอร์ไซค์จูงเข้าบ้าน ไม่อยากให้มีเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้านนั้นเอง แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้ชื่อไคจูนี้มัน!
“นายตั้งชื่อรถด้วยเรอะ!ไคจงไคจูอะไรนั้นน่ะ”
“ใช่แล้ว หมอนี้เหมาะกับชื่อไคจูจะตาย เป็นสัตว์ประหลาดน่ะ ย๊ากกกกกก ตู้มๆๆๆ” หมอนี้ตะโกนออกมายังกะเด็กๆเวลาเล่นของเล่น นี้นายโตแล้วนะเนี้ย แถมเรียกรถตัวเองว่าหมอนั้นด้วย นี้นายมันโอตาคุรถมอเตอร์ไซค์ป่าวเนี้ย
“ฉันชอบไคจูสุดๆไปเลยละ ฉันไม่สนใจด้วยถ้าเธอจะไม่ชอบหมอนี้ ยังไงก็รักหมอนี้อยู่ดี ไคจูจ๋าเมื่อไรจะซ้อมเสร็จน๊า คิดถึงจังง—งง” นายริวทำท่ากอดตัวเองพลางทำตัวดุ๊กดิ๊กเหมือนกับตัวการ์ตูน หมอนี้เพี้ยนไปแล้วแหงๆ
“ฉันว่านะ ถ้าว่างๆฉันจะตามหมอมาให้มาดูนายสักหน่อย นี้มันหน้าร้อนแล้วสงสัยคงต้องฉีดวัคซีนเพิ่ม เดี๋ยวหลุดไปกัดใครเข้า” ฉันหัวเราะลั่น
“หน๊อย ยัยบ้า! ว่าฉันเป็นหมาบ้าเหรอ!” ริวบ่นเสียงดัง
“ฮะฮ่าฮ่าตลกจัง” เสียงหัวเราะที่น่ารักนั้นเปลี่ยนที่แห่งนี้ให้มีความรู้สึกอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้เหมาะกับร้านแห่งนี้เสียจริงๆ ความอ่อนโยนของเธอนั้นทำให้ร้านนี้ดึงดูดคนเข้ามาได้แน่เธอเดาได้เลยว่าถึงแม้ว่าร้านจะเปลี่ยนแปลงอะไรไปก็ตาม เพราะผู้หญิงคนนี้ทำให้ร้านนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาจริงๆ
“นี้เห็นคุยกันสนิทขนาดนี้ ใจคอจะไม่แนะนำเพื่อนตัวเองให้รู้จักหน่อยเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส
“อ๋อ ยัยนี้นั้นเหรอเป็นเพื่อนบ้านใหม่ฉันเอง จำได้ไหมว่าที่เล่าเรื่องบ้านคุณยายข้างบ้านน่ะ ยัยนี้เป็นหลานสาว ชื่อหลิน”
“หลานคุณยายหลิวนั้นเอง งั้นสวัสดีอีกครั้งนะคะคุณหลิน ฉันชื่อว่าใบปอ เรียกสั้นๆว่าปอก็ได้คะ”
“สวัสดีคะคุณปอ ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ”
“เช่นกันค่ะ”เธอยิ้มตอบรับกลับมาด้วยท่าทางเป็นมิตร
“โหยย—ยนี้พวกเธอไม่ต้องเป็นทางการขนาดนี้ได้มะ? ทำธุรกิจกันอยู่หรือไง ห๊ะ!” นายริวเข้ามาแทรกจังหวะ
“ฮะฮะฮ่า จริงด้วยสิ” ปอหัวเราะ
“นายนี้นะ ต้องหัดจริงจังหน่อยเวลาพูดกับคนอื่นน่ะ” ฉันทำเสียงหน่ายๆตอบกลับไป
“บู้!ฉันไม่ฟังยัยเตี้ยอย่างเธอหรอก ไปจัดดอกไม้หลังร้านต่อดีฝ่า ไปละ”
อ๊ากกก---ก ไอ้บ้านั้นมาบอกว่าฉันเตี้ย!ก็จริงอยู่ที่ฉันเตี้ย ยิ่งเดินเข้ามาอยู่ร้านนี้ก็ยิ่งทำให้ฉันดูเตี้ยลงกว่าเดิมอีก เพราะหมอนั้นก็สูงชะลูดอยู่แล้ว ปอก็ดูสูงกว่าฉัน แถมขาเรียวยาวนั้นอีก ถึงแม้ว่าจะอยู่ในกางเกงสีดำนั้น โห นั้นเป็นขาที่ผู้หญิงหลายคนอิจฉาแน่นอน ฉันจะได้กัดฟันกรอบแกรบในปากเพราะเถียงหมอนี้ไม่ได้เลย
“อย่าถือสาริวไปเลยนะค่ะ หมอนั้นเป็นแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ริวก็เป็นคนนิสัยดีนะคะ ถึงบางครั้งจะดูแปลกๆไปบ้าง แต่ก็เป็นคนที่อ่อนโยนเสมอน่ะค่ะ”ปอกล่าวด้วยหน้าตาแดงๆระเรื่อ
ฉันเองก็ไม่อยากเชื่อหรอกกับหมอนี้ แต่ปอพูดถึงริวขนาดนี้คงจะรู้จักกันมานาน อย่างน้อยก็นานกว่าฉันที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อวานนี้ แต่อย่างว่าละนะ หมอนี้ดูเหมือนจะเข้ากับทุกคนได้ง่ายละ อารมณ์ดูเหมือนจะดีตลอดเลยนินา จะว่าไปฉันก็ปากเสียไปกับหมอนั้นเหมือนกัน ไม่รู้สึกตัวเลยแหะ เพิ่งจะเคยเจอกันแต่กลับให้ความรู้สึกที่เหมือนรู้จักกันมานาน คงจะเป็นข้อดีของนายริวที่ปอเอ่ยปากชมขนาดนั้น
สุดท้ายฉันก็ได้ดอกทิวลิปสีแดงมาหนึ่งดอก ฉันว่าจะเอามาประดับแจกันในบ้านให้มันดูสดชื่นขึ้นมาหน่อย แต่ความจริงฉันอยากจะได้ดอกทิวลิปสีม่วงมากกว่าเพราะว่ามันคงจะเข้ากับผนังสีครีมของบ้าน แต่พอไปถามปอถึงว่ามีดอกทิวลิปสีนี้ไหม ปอได้แต่อึ้งๆไป และส่ายหัวว่าไม่มีดอกไม้สีนี้เลย ฉันเองก็แปลกใจนิดหน่อยเพราะที่ร้านหมอนั้นมีดอกสีอื่นๆครบ ทั้งขาว แดง ส้ม ชมพู ขาดแต่สีม่วงสีเดียว แต่ก็ช่างมันเถอะ ฉันเดาว่ามันคงจะหายากไปหน่อยละมั้ง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น