ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bitterblossom : รักหวาน(ขม)ของต้นฤดูร้อน

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 : การพบพาน

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 57



    “กริ๊งงงง---งงง”
     
     
    เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จไว้ทั้งคืน ฉันลุกขึ้นมาอย่างงัวเงีย ทำตาปรือเกาหัวสองสามที ทำไมเวลามันช่างเดินเร็วอะไรแบบนี้ ฉันมีความรู้สึกเหมือนจะนอนไปแค่สองชั่วโมงเองอะ แต่ช่างเถอะ กาแฟร้อนๆสักแก้วตอนนี้คงจะให้อะไรดีขึ้น ฉันเดินลากสังขารตัวเองเดินเปิดประตูออกมาจากห้อง ผ่านห้องครัว และมาหยุดตรงที่โซฟาของห้องนั่งเล่น
     
     
    นี้เธอคิดว่า หมอนั้นตื่นหรือยัง? ฉันพึมพำกับตัวเองราวกลับว่าฉันเป็นคนอื่น แต่เดี๋ยวนะ ทำไมฉันต้องสนใจหมอนั้นด้วยละ
     
     
    “เพราะหมอนั้นหล่อไงละ! เธอชักสนใจเขาเข้าแล้วใช่ม๊า?” จริงๆแล้วฉันเองก็มีนิสัยประหลาดอยู่บ้างเหมือนกัน คือมันเหมือนกับว่ามีอีกคนอยู่สมอง ถ้าจะให้เปรียบให้เห็นภาพคงเหมือนในการ์ตูนไม่ก็ในหนัง ที่มีตัวละครสักตัวหนึ่ง มักจะมีนางฟ้ากับซาตานคอยชักจูงให้ทำนู่นทำนี้ แต่คนที่อยู่ภายในหัวฉันน่ะ อารมณ์เหมือนคนที่คอยจะยั่ว คอยกัดจิกฉันตลอดเลยอะ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของฉันไปแล้ว ฉันก็เคยคุยกับคนบนเนตเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อนก็บอกว่ามันค่อนข้างจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนเท่าไป พวกเธอเหมือนเคยจะผ่านจะเหตุการณ์แบบนี้กันมาทุกคน แต่เดาว่าฉันคงเป็นคนที่มีจินตนาการเยอะแยะบ้าบอ อีกคนในตัวของฉันเลยปรากฎผ่านเสียงก้องในหัวมาเลยตลอด
     
     
    “ไม่ใช่ยะ ก็เห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน หมอนั้นเมื่อวานก็ดูไม่ได้แย่อะไรใส่ฉันสักหน่อย” ฉันดุเสียงในหัวของตัวเอง แต่ยังไงก็ตามมือของฉันนั้นเอื้อมไปเปิดม่านออก เปิดประตูกระจกบานใหญ่ แล้วออกไปยืนที่ระเบียงนั้นซะแล้วสิ สายตาก็ไปสอดส่องบ้านของริวเฉยเลย
     
     
    แน่นอนบ้านริวปิดหน้าต่างสนิท แต่ฉันก็สังเกตว่ามอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของเขานั้นได้หายไปแล้ว หมอนั้นคงไปทำงานแล้วละมั้ง? โห แสดงว่าหมอนี้ตื่นเร็วกว่าสักอีกละเนี้ย นี้ยังเช้าตรู่อยู่เลยแท้ๆ หมอนี้ทำงานอะไรนะ? ฉันแต่ได้ตั้งคำถามกับตัวเอง แต่ดูสถานการณ์ที่เขาตื่นเช้าขนาดนี้ คงจะที่ทำงานไกล พาลนึกถึงตัวเองว่าถ้าฉันยังอยู่หอพักเก่านั้นคงจะลำบากกว่านี้แน่ๆ เดาว่าคงจะต้องตื่นเช้ากว่านี้ และคงไม่มีเวลาที่จะอ้อระเหยอะไรแบบนี้หรอก
     
     
    ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างจะเช้า ฉันก็รีบออกจากบ้านอย่างรวดเร็วแม้ว่าที่ทำงานจะใกล้ๆก็ตาม แต่ยังไงก็ต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปลงปากซอย แล้วค่อยไปต่อรถเมล์สักสี่ห้าป้ายละ ตามแผนที่ทำงานที่เขียนไว้ในเว็บไซด์ วินมอเตอร์ไซค์ที่นี้ขับเร็วชะมัดยาด เร็วขนาดที่ให้ผมที่ฉันเพิ่งจะหวีมานี้ฟูยังกะสิงโต ถึงฉันจะสาวผมสั้นก็ตามแต่นะ สงสัยคราวหน้าก็คงจะหาหมวกเมิกอะไรใส่แล้วมั้ง ไม่ก็เอาหัวซุกหลังพี่วินไปนั้นละ
     
     
    อีกอย่างป้ายรถเมล์ที่นี้ คนเยอะมาก ฉันก็พอเข้าใจว่านี้มันเป็นชั่วโมงเร่งด่วน แถมเป็นถนนสายหลักอีก แต่จำนวนคนที่รอที่ป้ายนี้ไม่ต่ำกว่าสามสิบคนแหงๆ รถเมล์มาแต่ละที คนนี้กรูเบียดเข้าไป จากรถเมล์โล่งๆกลายเป็นแน่นเอี๊ยด แน่นแบบมากจริงๆ ชนิดแบบแทบจะปิดประตู พาลถึงพวกรถไฟของญี่ปุ่นตอนเช้าที่ฉันเคยเห็นสาระคดี ที่ต้องมีคนมาคอยดันคนเข้าไปข้างในเพื่อที่จะปิดประตูไป ฉันว่าประเทศเราควรจะมีแบบนี้บ้างนะเนี้ย
     
     
    ฉันได้ยืนรอรถคันแล้วคันเล่า โดยที่จะหวังว่ารถเมล์คันต่อไปคนจะน้อยลงสักที ฉันไม่อยากทำงานวันแรกแบบตัวเปียกๆเหงื่อนะ ยิ่งฉันใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ดูเรียบร้อยแล้ว โห ถ้าเปียกเหงื่อทีละไม่อยากจะคิด ถึงจะแม้ว่าฉันจะเซฟตัวเองดีแล้วแต่ก็ไม่อยากเสี่ยงอยู่ดี แต่จะทำไงได้ละ รถที่ผ่านมาผ่านไปนี้ไม่มีที่ท่าจะคนน้อยลงดูสักที ขืนรอต่อไปอย่างนี้ สิ่งที่ฉันตั้งใจไว้ว่าจะไปทำงานเช้าๆนี้คงสลายไป ฉันเลยจำใจขึ้นไปบนรถที่อัดแน่นเหมือนปลาประป๋อง
     
     
    “โว้ยยยยยยย” ฉันบ่นในใจเสียงดัง ถึงแม้ว่าฉันจะชินกับอะไรๆที่วุ่นวายในเมืองช่วงที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยก็ตาม แต่ยังไงซะ สิ่งที่น่าอึดอัดก็ยังเป็นสิ่งที่น่าอึดอัดอยู่วันยังค่ำนั้นละ ส้นสูงกับกระโปรงสอบสีดำยิ่งทำให้ฉันทรงตัวยากไปกว่าเดิม อ๊ากกกก—กก ฉันอยากจะบ้าตายไปให้รู้แล้วรอด ถึงฉันจะชอบอะไรร้อนๆก็ตาม แต่คงจะไม่ใช่สถานการณ์แบบนี้
     
     
    “เอ่อ…คุณจะนั่งไหมครับ” เสียงผู้ชายทุ้มๆพูดออกมาจากเบาะหลังที่ฉันยืนใกล้ๆอยู่
     
     
    ฉันหันหัวไปมองต้นตอของเสียง ผู้ชายที่ดูอายุไล่เลี่ยกับฉันกำลังมอง
    มา

     
     
    “ใช่ คุณนั้นละ” เขากล่าวตอบรับให้ฉันมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง
     
     
    หล่อและเท่ ฉันคงให้คำนิยามกับตัวเขาแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะเขาจะไม่ใช่แบบความหล่อตามแบบของนายริว คนข้างบ้านของฉัน แต่หน้าตาคมๆ ผมสีน้ำตาลยาวพอประมาณนี้มันรับกันกับใบหน้า แถมสายตาสาวเล็กสาวใหญ่บริเวณนั้นมองแต่เขานี้ก็แสดงให้เห็นว่าหมอนี้ดูดีไม่เบา ไหล่กว้างๆกับแขนนั้นก็ดูเหมือนว่านายคนนี้คงดูแลตัวเอง คงจะเข้ายิมหรือฟิตเนสอะไรทำนองนั้นบ่อยๆอยู่แน่ๆ
     
     
    ถึงแม้ว่าฉันจะออกเป็นแนวหญิงมั่นที่ไม่อยากให้ใครมาดูแล แต่วินาทีนี้ฉันกลับพยักหน้าพูดขอบคุณเขาไปแล้วรีบลงนั่งอย่างรวดเร็ว ก็ฉันไม่อยากให้ตัวเองเปียกเหงื่อนี้หน่า เข้าใจฉันใช่ไหมละ พลางกวาดสายตาคนรอบข้าง สาวๆนี้จ้องตาฉันเขม็งเลย ก็อย่างว่าหมอนี้หล่อ พอใครมาทำอะไรให้คนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง คงเกิดความรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆขึ้นมาแน่นอน แต่ตอนนี้จะเอายังไงก็เอาเถอะ ฉันไม่คิดอะไรแล้วละ
     
     
    “ช่วงนี้ร้อนจังนะครับ”เขากล่าวขึ้นมา สายตาก็มองมาตรงนี้ฉัน
     
     
    “ใช่แล้วคะ ร้อนสุดๆไปเลย” หว๋าย หมอนี้เข้ามาพูดกับฉันอีกแล้ว ฉันรู้สึกได้เลยว่ารถมันร้อนขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว เพราะสายตาคนรอบข้างดูมันดุเดือดว่าเดิม ฉันคิดอยู่ถ้าเขาลงจากรถไป คนรอบข้างฉันจะลุกขึ้นมาตบฉันเหมือนในละครหรือเปล่าเนี้ย แต่ที่เขามาพูดนั้น ทำให้ฉันมองเห็นใบหน้าเขาชัดกว่าเดิม หมอนี้มีเชื้อลูกครึ่งแน่ๆ ตาคมๆแบบนั้นได้อารมณ์แบบตะวันตกแบบแปลกๆ หุ่นแน่นๆก็รับกับใบหน้า ถ้าใครสักคนชอบผู้ชายสไตล์แบบตะวันตก คงจะตกหลุมรักหมอนี้ทันทีที่เห็นหน้า แต่ฉันสังเกตว่าหมอนี้ใส่ชุดทำงานเหมือนกับฉัน คงจะไปทำงานที่ไหนสักแห่ง ซึ่งถ้าพูดเรื่องบริษัทที่ทำงานตาทางสายรถเมล์นี้ก็มีอยู่ไม่กี่ที่ หมายถึงที่ทำงานใหญ่ๆนะไม่นับพวกโฮมออฟฟิศ  ถ้าเป็นอย่างนั้นเซนส์ของฉันก็บอกว่าคงมีโอกาสได้เจอหมอนี้อีกครั้งเร็วๆนี้แน่ๆ เผลอๆพรุ่งนี้ฉันอาจจะเจอเขาบนรถเมล์ก็ได้
     
     
    สุดท้ายรถเมล์ก็จอดที่ป้ายที่ฉันต้องการจะลง ป้ายนี้คนลงเยอะมาก ซึ่งแน่นอนฉันก็แอบเลือบไปเห็นว่า หมอนี้ก็ลงป้ายเดียวกันกับฉัน แต่คนลงรถที่ชุลมุนขนาดนี้นะ สักพักเขาก็คลาดสายตาหายไปไหนไม่รู้ แต่ช่างเถอะนี้มันก็ใกล้เวลาที่เริ่มเข้าทำงานแล้ว ฉันผ่านเดินถนนกว้างๆที่คนเดินผ่านไปมาอย่างพลุกพล่าน เดินไปเข้าตึกขนาดใหญ่ ผ่านคำทักทายของยาม มือกดไปลิฟต์ไปที่ชั้น10 ซึ่งเป็นที่ที่ฉันต้องเข้ามาทำงานเป็นครั้งแรก
     
     
    ---------------------------------------------------------------------------
     
    ลิฟต์ผ่านไปไวที่ให้ความรู้สึกแค่เสี้ยววินาที ประตูลิฟต์ค่อยๆเปิดออก พนักงานประชาสัมพันธ์นี้นั่งอยู่ตรงข้ามนั้นทักทายกับฉันอย่างอารมณ์ดี
     
     
    “สวัสดีค่ะ คุณหลิน” เธอกล่าว
     
     
    ฉันยอมรับว่าฉันค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อยที่มีคนจำชื่อฉันได้ เพราะเราเคยเจอกันไม่อีกครั้งตอนที่ฉันเข้ามาสัมภาษณ์งานที่บริษัทนี้ ดูเธอเป็นคนที่อารมณ์ดีทีเดียวละ นอกจากนั้นเป็นคนสวย ที่ฉันยอมรับอย่างปวดใจนิดหน่อยว่า เธอสวยกว่าฉันเยอะ แถมเสียงยังน่ารักด้วย แต่อย่างว่าประชาสัมพันธ์ต้องเป็นคนที่มีบุคลิกภาพดีๆใช่ไหมละ อย่างน้อยมันก็สะท้อนให้เห็นศักยภาพอะไรบางอย่างได้
     
     
    “อ๊ะ สวัสดีคะ” ฉันกล่าวตอบรับเสียงที่น่ารักนั้น แต่ทว่าเธอเหมือนจะรู้ใจทันทีว่าฉันคงจำชื่อเธอไม่ได้อย่างแน่นอน
     
     
    “ฉันชื่อทิพย์นะคะ ยินดีที่ได้รู้จักคะ” เธอกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแบบสุดๆ เธอน่ารักจริงๆนั้นละ ฉันขอปลีกตัวไปก่อน เดินผ่านแผนกมากมาย ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีคนเข้ามามากนักเพราะว่ามันค่อนข้างจะเช้า ฉันรู้สึกดีนิดๆที่ทำตามความต้องการของตัวเองได้ ถึงแม้ว่าฉันไม่ได้อยากได้หน้าอะไร แต่ฉันมั่นใจว่าถ้าหัวหน้าหรือใครก็ตามเข้ามาเห็นฉันคงจะรู้สึกดีด้วยแน่ๆ ฉันแค่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองจากที่ผ่านมานิดหน่อยก็เท่านั้น
     
     
    ช่วงเช้าที่ผ่านมานี้งานเยอะเป็นบ้า หัวหน้าของฉันเอางานแบ่งให้คนที่แผนกอย่างเท่าๆกัน แต่ไอ้ที่เท่าๆกันนั้นทำไมฉันรู้สึกว่าของฉันมันหนักหนายังไงก็ไม่รู้ว่า เสียงคีย์บอร์ดที่ระรัวไม่หยุดนั้นแทบจะเป็นเสียงที่ได้ยินทุกวินาที เสียงเครื่องพิมพ์ เสียงเสียดสีกระดาษที่ใครสักคนนั่งนับ เสียงโทรศัพท์สั่งงานดังมาเป็นระยะๆ ถึงที่นี้มันจะวุ่นวายแบบสุดๆไปเลย แต่ฉันว่ามันคงเป็นสิ่งที่ฉันต้องการมาตลอด เป็นอะไรที่เป็นจริงเป็นจังของชีวิตไงละ มันก็สนุกดี…
     
     
    เวลาของนาฬิกาตะโกนบอกฉันว่านี้มันถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว จะมีอะไรสุขใจเท่ากับการได้พักหลังทำงานเหนื่อยๆละ ถึงแม้ว่าแผนกของฉันจะมีช่วงให้พักวันละหลายครั้ง แต่การพักยาวๆระหว่างวันนี้เป็นอะไรที่สุดยอด ฉันได้ยินมาว่าแถวนี้มีอะไรอร่อยๆเยอะ โรงอาหารที่นี้ก็อร่อยด้วย จะว่าได้ยินมันคงจะผิด เพราะฉันเคยกินตอนที่เข้ามาสัมภาษณ์แล้วละ ฮะฮ่า ร้านขายก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นอร่อยแบบสุดๆไปเลย
     
     
    ฉันรีบลงลิฟท์ไปเลยไม่สนใจใคร ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ควรจะทำแบบนั้น เวลาช่วงพักเที่ยงนี้ละสมควรจะเป็นช่วงเวลาผูกมิตรกับคนที่อยู่ในแผนกเดียวกัน แต่ท้องของฉันนี้มันบอกว่าไม่ไหวแล้ว กาแฟขนมปังแผ่นเดียวช่วงเช้านี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ฉันว่าถ้ากลับบ้านไปตอนเย็นฉันคงเดินตลาดแถวบ้านเพื่อหาของกินติดบ้านไว้หน่อย แค่กาแฟกับขนมตอนเช้าคงจะไม่อยู่ท้องนักหรอก แค่ฉันต้องเอาพลังงานไปสู้กับคนบนรถเมล์นี้คงหมดแรงก่อนแน่ๆ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×