ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bitterblossom : รักหวาน(ขม)ของต้นฤดูร้อน

    ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 15 : สารภาพ

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ค. 57


    ตอนนี้เป็นช่วงเย็นวันศุกร์ที่คนในแผนกนั้นนัดแนะกันว่าจะมาซ้อมวอลเล่ย์บอลกัน ฉันเองก็ยืนอยู่ในโรงยิมที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ทำงานเลย แถมเดินทางสะดวกด้วย เพราะอยู่ดีๆหัวหน้านั้นให้รถตู้มาคอยมารับมาส่งพวกเรา สงสัยจะทุ่มเทเต็มที่ นอกจากพวกรถตู้ ก็ยังมีพวกขนม น้ำดื่ม มาคอยสนับสนุน ใจคอฉันเต้นตุ้มๆต่อมๆเลย ถ้าเราไม่ได้แชมป์คงโดนอะไรแหงๆ แต่โจเองก็คอยย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ซีเรียสอย่างที่คิด เล่นกันสนุกๆเอาเหงื่อกันมากกว่า

    และตอนนี้ฉันเองก็ว่าโจเองก็ไม่ได้โกหกอะไรให้ฉันสบายใจ เพราะมีสาวๆลงวอลเล่ย์เยอะ แต่ดูๆแล้วไม่ได้ตั้งใจมาเล่น เหมือนตั้งใจจะมาอยู่ใกล้โจมากกว่า เพราะฉันเห็นว่า สาวพวกๆนั้นคอยหันมาคุยเล่นกับโจมากกว่าจะอยู่ในสนามแถมมือยังเกาะแกะเขามากกว่าจะถือลูกบอล ก็นะ คนมันหน้าตาดีเนอะ แต่โจก็ไม่ได้รู้ตัวอะ ยังคุยเล่นไปตามประสาคนมนุษยสัมพันธ์ดีตามปกติ 

     
    ส่วนวันนี้ ทิพย์และพิ้งค์เองมาก็ด้วย ทั้งสองคนใส่ชุดวอร์มสีแดงอมม่วงยืนอยู่คู่กันที่มุมของโรงยิม ไปๆมาๆ ปรากฎสองคนนี้ไม่ได้ลงกีฬาอะไรทั้งสิ้น อ้าว! แล้วฉันจะลงทำไมละเนี้ย ไม่เป็นไรๆ ลงไปแล้วก็เลยตามเลยละกัน แต่ถึงสองคนจะไม่ได้ลงกีฬาอะไร แต่พวกเขาก็มีหน้าที่ติดต่อประสานงานต่างๆ รวมทั้งคอยสนับสนุนถ้ามีอะไรขาดตกบกพร่อง นอกจากนั้นยังมีคนอื่นๆที่ใส่ชุดวอร์มแบบเดียวกันสองสามคน พิ้งค์อธิบายว่าถ้ามีอะไรขาดเหลือหรือมีปัญหาอะไรใดๆก็บอกพวกเขาได้ พวกเขาจะเข้าช่วยเหลือทันที จากคำพูดนั้นฉันเองก็รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาเป็นซุปเปอร์ฮีโร่เลยดีทีเดียว เพราะจากชุดที่เป็นเหมือนเครื่องแบบ การใช้คำพูดที่เป็นทางการ ดูเป็นมืออาชีพมากทีเดียว

    ฉันเองก็ถามทิพย์และพิ้งค์ว่า ปีก่อนๆพวกเขาทำงานหน้าที่แบบนี้หรือเปล่า? ทิพย์บอกว่า ทิพย์เองก็ทำหน้าที่ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบริษัท ส่วนพิ้งค์เพิ่งจะมาลองเป็นปีนี้เป็นครั้งแรก เพราะตามปกติพิ้งค์ลงกีฬาเหมือนกัน แต่ตอนนี้อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างเพราะว่ามันน่าตื่นเต้น

     
    “เพราะทุกทีชอบมีปัญหาเข้ามาทุกทีน่ะสิค๊า” พิ้งค์บอกฉันด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น
     
    “ปัญหาเหรอคะ?” ฉันแอบงงนิดหน่อยว่าจะมีปัญหาอะไรกัน
     
    “โดยปกติหลักๆ ก็คือเรื่องบาดเจ็บระหว่างแข่งขันน่ะ” ทิพย์ตอบ
     
    “นอกจากยังมีพวกเรื่องการจัดการสถานที่ การดูแลคนของคนให้สุขภาพดีก่อนจะลงแข่ง” พิ้งค์กล่าวเสริม
     
    “และบางทีก็มีพวกที่ทะเลาะกันบ้างคะ พิ้งค์ต้องห้ามกันทุกทีเลย ฮ่าๆ” หว๋าย อย่าพูดเหมือนเป็นเรื่องสนุกสิ
     
    “ก็เข้าใจนะคะ บางทีเวลาจริงจังแล้วบางทีอารมณ์มันก็ขึ้นได้บ้าง” ทิพย์หัวเราะ หว๋าย ทิพย์ก็ดูเฮฮาไปด้วยอีกคน ตกลงมันเรื่องซีเรียสหรือเปล่ากันเนี้ยย—ยย
     
    “แต่แผนกเราไม่เคยมีเรื่องพวกนี้ สบายใจได้” มิน่าละ พวกเขาถึงดูไม่ค่อยเครียด แสดงว่าที่ไปห้ามๆนี้ก็คงแผนกอื่นสินะ
     
    “แผนกเราเล่นกันสนุกๆคะ ถือจะไม่ได้รางวัลอะไร แต่พวกเราก็มีความสุขคะ” ฉันพอเข้าใจละว่าทำไมทุกคนถึงยิ้มแย้ม แม้ว่าตอนแรกฉันจะคิดว่าหัวหน้าจะดูจริงจัง แต่รอยยิ้มนั้นที่แสดงออกมานั้นทำให้ฉันผ่อนคลายลงไปมาก
     
    “โอ้ คุณหลินคร๊าบบ พร้อมหรือยังคร๊าบบ—บบ” โจตะโกนจากอีกฟากหนึ่งของสนาม พลางกวักมืออยู่โหยงๆ
     
    “ค๊า คุณทิพย์คุณพิงค์ ฉันขอตัวก่อนนะ” 
     
    “จ้าๆ ไปเลยจ้า” ฉันรีบวิ่งไปหาโจ
     
    ฉันเองก็รีบไปหาเขา โจเองก็นัดแนะคุยกับทุกคนว่าใครจะเล่นตำแหน่งไหนดี ดูจากความสมัครใจเป็นหลัก ฉันเองก็เลือกเป็นคนเล่นฝั่งหลัง เพราะถ้าให้อยู่ข้างหน้า ฉันกระโดดเลยตาข่ายไม่ถึงอะ เล่นมาอยู่ข้างหลังคอยรับบอลจะดีกว่า ซึ่งโจเองเลือกก็เลือกเป็นคนเล่นฝั่งหน้า ซึ่งฉันว่าก็เหมาะสมดี แรงแขนคงเยอะ ฝ่ายตรงข้ามคงหวั่นๆบ้างละ พอแบ่งตำแหน่งเสร็จ ปรากฎว่าโจลืมไปว่าคนลงกีฬาวอลเล่ย์บอลมีเพียงหกคนเท่านั้น
     
    “หกคนก็ครบพอดี ไม่ใช่เหรอ” ฉันถามโจ
     
    “ใช่แล้ว แต่เผอิญว่าเราไม่มีทีมซ้อมด้วยสิเนี้ย” ลืมไปว่าแบ่งเป็นทีมละหกคนพอดี
     
    “งั้นวันนี้เราแบ่งเป็น3-3 ละกัน ถึงมันจะดูขาดๆเกินๆไปหน่อย แต่ก็พยายามเข้านะ ทุกคน” โจพูดกับทุกคน
     
    สุดท้ายก็แบ่งทีมกันได้ โจกับฉันมาอยู่ทีมเดียวกัน แน่นอนมีสายตาริษยานิดหน่อยจากฝั่งตรงข้ามๆ ช่างเถอะๆ เอาสนุกเข้าว่าละกัน 
    “อ้าว ฮึบ!” ผู้เล่นฝั่งฉันอีกคนเป็นคนเสริ์ฟลูก เขาเสริฟ์ได้ดีที่เดียวเลย แต่จะถ้าจะให้พูดถึงใครเก่งที่สุดก็คงเป็นโจ เขาดูคล่องแคล่วมากเมื่อลงสนาม แถมหน้าตายังดูสดชื่นกว่าตอนที่อยู่ที่ทำงานด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเหงื่อของเขาจะโทรมกายไปหมด แต่ทักษะของเขานั้นทำให้ดูโดดเด่นกว่าใครๆทั้งหมดในสนามแห่งนี้

    บางทีฉันเองก็คิดว่าเขาออมๆมือด้วยซ้ำเพราะเห็นว่าเล่นกันเองขำๆ แต่จังหวะรับส่งและความว่องไวนี้มันมืออาชีพชัดๆ ไม่แปลกเลยที่คนของแผนกจะให้เขาคอยเป็นแกนนำดูแลสั่งการในด้านต่างๆ เพราะตอนนี้ฉันเองก็เห็นกับตาเหมือนกันว่าเขามีความสามารถมากแค่ไหน แต่ว่านะ ฉันเองก็ไม่ยอมแพ้เขาหรอก ลงสนามถ้ากลัวคู่ต่อสู้ก็มันแพ้แล้ว!

     
    นกหวีดสัญญานเป่าครึ่งแรกหมดเวลาดังขึ้นจากขอบสนาม แน่นอนพิ้งค์เป็นคนเป่า
     
    “ทุกคนพักได้แล้วค๊า” พิ้งค์ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่น่ารักสุด ฉันว่ามีคนแอบปลื้มพิ้งค์บ้างเหมือนกันนั้นละ สายตาผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเรา กับพวกคนในทีมสนับสนุนต่างพายิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันทั้งนั้น ผู้หญิงตัวเล็กน่ารักแถมผมสีแดง เหมือนหลุดมาจากในการ์ตูนแบบนี้ใครๆก็ชอบทั้งนั้นละ
     
    “อ่ะ นี้ของหลินครับ” โจหยิบน้ำดื่มกับผ้าเย็นมาให้ฉัน ขณะที่ฉันกำลังนั่งอยู่อัฒจันทร์
     
    “ขอบคุณค๊า” ฉันพูดพลางรับมิตรไมตรีจากเขา
     
    “วันนี้คุณหลินเล่นได้ดีเลยนะครับ มือหนักมาก”
     
    “แหะๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกคะ” ท่าทางที่ริวพูดนี้จะเป็นเรื่องจริง ป่านนี้หมอนั้นคงพิการไหล่หลุดยกแขนไม่ได้แล้วมั้ง
     
    “แต่ว่าคุณโจก็เก่งนะคะ เล่นได้คล่องเชียว”
     
    “ฮ่าๆ แค่คุ้นเคยกับสนามเฉยๆน่ะครับ”
     
    “ปกติซ้อมกันที่สนามนี้เหรอคะ”
     
    “ใช่ครับ เผอิญหัวหน้ารู้จักกับคนที่นี้เป็นการส่วนตัว เราเลยได้ลด แถมใกล้ที่ทำงานอีก” 
     
    “นอกจากนั้นสนามที่นี้ยังได้มาตรฐานด้วยครับ” ถึงฉันจะไม่รู้ว่ามาตรฐานมันวัดจากอะไร แต่ที่นี้ดูสะอาดสะอ้าน ไม่ร้อนหรืออับชื้นเลย ห้องน้ำก็ดูดีด้วย ถึงไม่เกี่ยวกับสนามที่เราใช้อยู่ก็ตาม แต่ว่ามันได้อารมณ์เหมือนปั๊มน้ำมันที่ห้องน้ำสะอาด และมีร้านสะดวกซื้อดีๆ มันก็ยกระดับให้แห่งนี้และดึงดูดให้คนเข้ามาใช้บริการมากขึ้น นอกจากทีมของเรา ฉันเองก็เห็นคนอื่นๆที่ฉันไม่รู้จักเข้ามาใช้สนามบ้างเหมือนกัน แต่ว่าอยู่กันคนละส่วน เพราะที่นี้มันกว้างขวางมากที่เดียว
     
    “ไง โจจ๋าวันนี้เหนื่อยเน้อ” เสียงสาวน้อยนั้นมาเดินมาอยู่ใกล้ๆฉัน แถมทิพย์ก็เดินตามมาด้วย
     
    “แหะๆ ไม่เท่าไรหรอก”
     
    “สนุกไหมคะคุณหลินวันนี้”
     
    “สนุกมากเลยคะ”
     
    “พิ้งค์เองก็น่าจะลงเหมือนเดิมเนี้ยนะ” โจทำหน้าบู้ๆใส่พิ้งค์
     
    “แหน่ะ ไม่ต้องอ้อนเลย เปลี่ยนอารมณ์บ้างอะไรบ้าง” พิ้งค์พูดพลางเอานิ้วจิ้มหน้าผากโจ สนิทกันจริงๆคู่นี้ ถ้าฉันไม่รู้ว่าเขาสองคนเป็นเพื่อนกัน ก็คงคิดว่าเป็นแฟนแล้วละ แต่ก็นะ อยู่ด้วยกันมานานจนคงรู้กันหมดทุกอย่างแล้ว ฉันเองก็อยากเห็นพิ้งค์ในช่วงมหา’ลัยบ้างเหมือนกัน เพราะสมัยที่โจเจ็บปวดนั้น พิ้งค์เองก็ช่วยประคองเขาจนเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะเข้าถึงใจคนอื่นได้ดีกว่าที่คิดก็เป็นได้ ซึ่งตำแหน่งคนดูแลตอนนี้ก็เหมาะกับเธอแล้วละ
     
    เราพูดกันสักพักก่อนที่เสียงนกหวีดจะให้เราเริ่มไปซ้อมกันต่อ ฉันแอบสังเกตเห็นทีมฝ่ายนู่นไปประชุมอะไรกันก็ไม่รู้ เดาว่าเมื่อก่อนที่จะพัก ทีมเราเองค่อนข้างจะเล่นได้ดีกว่ามากๆ ถึงแม้ว่าจะเล่นกันเองขำๆ แต่พอเข้าแข่งขันใครก็อยากทำผลงานให้ดีที่สุดทั้งนั้นละ แน่นอน ฉันเองก็หนึ่งในคนพวกนั้น
     
    บรรยากาศในสนามเริ่มกดดันนิดหน่อย เท่าที่ฉันสัมผัสได้ แต่ไม่ได้อารมณ์เหมือนเราจะแข่งทีมชาติหรือโอลิมปิกอะไรหรอกนะ เหมือนอารมณ์ว่า อยากจะแสดงฝีมือสักหน่อย ฉันเองก็เห็นโจว่าเขาเริ่มสังเกตอะไรได้บางอย่างว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และแน่นอนว่า หมอนี้เตรียมตั้งรับด้วยความใจเย็น พลางหันมามองหน้าฉันและยิ้มให้ ฉันคิดว่าเขาคงทำให้ฉันลดความกดดันจากบรรยากาศแบบนี้
     
    ลูกตบแรกจากฝ่ายตรงข้ามนั้นค่อนข้างรวดเร็วและรุนแรงต่างจากครึ่งแรก ฉันเห็นบรรดาสาวๆที่อยู่เข้าแข่งมีความรู้สึกว่า “เครื่องเริ่มร้อน”แล้ว ครึ่งแรกที่เราซ้อมนั้นคือเป็นแค่การอุ่นเครื่องธรรมดา แต่ตอนนี้คือของจริง ฉันขอถอนคำพูดว่าพวกเขามาแบบไม่ได้ตั้งใจซ้อม แต่ที่ไหนได้ พวกนี้มีความสามารถมากพอที่จะลงแข่งได้อย่างสบาย แถมยังเหมือนมีทักษะในการสื่อสารกับระหว่างการแข่งขันด้วย ทุกคนเหมือนรู้หน้าที่ รู้ตำแหน่ง รู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป โจเองก็เหมือนกัน เขาเรียนรู้จากสภาพการแข่งขันอย่างไม่นับไม่ถ้วน และแน่นอนหมอนี้ก็ดูพร้อมเต็มที่กว่าเดิม แถมยังยิ้มกว้างแบบสุดๆไปด้วย นี้คงไม่ใช่ออมมือเล่นแบบปกติแล้ว เขาคงจะแสดงอะไรๆให้ฉันได้เห็นเร็วๆนี้แน่นอน
     
    “ปัง!!!” เสียงฝ่ามือปะทะกับลูกบอล ตัดผ่านอากาศไป ความผ่อนปรนจของสภาพการแข่งขันครึ่งแรกเหมือนถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ด้วยกำลังแขนของโจ แต่ฝ่ายตรงข้ามนั้นก็รับมือกับความตั้งใจที่ส่งมาจากเขาได้ และสวนกลับด้วยพลังที่เหนือยิ่งกว่า ฉันเองก็ตอบสนองแรงผลักดันนั้นไปอย่างสุดกำลังเหมือนกัน รองเท้าเสียดสีกันจนเกิดความร้อน จากร่างกายที่ขยับตัวอยู่ตลอดเวลา สายตาจ้องมองลูกบอลอย่างไม่กระพริบตา ลมหายใจของเรานั้นส่งเสียงคำรามอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อการชิงชัยในสนามนั้นเริ่มเข้มข้นไปทุกที่
     
    “โอ๊ย!!” ความรุนแรงจากลูกบอลที่พุ่งตรงเข้ามาทำให้ฉันเอื้อมมือไปรับตามสัญชาติญานนั้นเริ่มเป็นพิษเสียแล้ว เพราะความมุ่งมั่นจนลืมตัวนั้นทำให้ฉันไม่ได้ทันได้นึกคิดว่าท่าทางการรับบอลนั้นมันผิดธรรมชาติ ฉันกุมมือตัวเองไว้ โจส่งสัญญานมือของเวลานอก
     
    “พักแปปนึงนะ หลินเป็นอะไรไหม”
     
    “อูยๆ” ฉันพูดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ความเจ็บปวดนั้นลุกลามเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้
     
    “ไหนๆ ขอผมดูหน่อย” เขาพูดพลางจับมือฉันไปด้วย
     
    “อูย นี้มันอาการหนักนะนิ เดี๋ยวคุณไปห้องพยาบาลกับผมก่อนดีกว่า”
     
    “คุณเป็นอะไรไหมครับ ผมขอโทษด้วยนะครับ” ฝ่ายตรงข้ามเข้ามายืนดูอาการของฉัน
     
    “ไม่เป็นไรๆคะ หลินยังไหว” แต่คำพูดนั้นคงจะสวนทางกับหน้าตาฉันตอนนี้
     
    “เอาเป็นว่าเดี๋ยวคุณไปห้องพยาบาลกับผมก่อนละกัน เดี๋ยวผมมานะทุกคน” หมอนี้พยุงฉันให้ลุกขึ้น แล้วเขาใช้มือเข้าอุ้มฉันไปห้องพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆทันที การกระทำของเขาทำให้ฉันตัวแข็งค้างไปเลย สมองก็พาลคิดอะไรไม่ออก ทั้งเจ็บก็เจ็บนะ อายก็รู้สึกอายจนทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งเขาวางฉันลงบนเตียงสีขาวบนห้องพยาบาล พลางเปิดตู้ และคว้าอุปกรณ์ทำแผลออกมาให้
     
     “คุณโจไม่ต้องอุ้มหลินก็ได้คะ หลินเจ็บที่มือ ไม่ได้เจ็บที่ขาสักหน่อย”
    ฉันเริ่มได้สติกลับคืนมานิดหน่อยแล้วละ แต่ยังช๊อกอยู่ไม่หาย

     
    “แหะๆ โทษทีๆ ผมตกใจน่ะ” เขาหัวเราะนิดๆ แต่หน้าตายังตื่นอยู่
     
    “คุณโจกลับไปซ้อมต่อก่อนก็ได้คะ หลินทำเองได้”
     
    “กรรม มือคุณอีกข้างหนึ่งใช้การไม่ได้แล้ว แล้วพันผ้ายังไงละ” จริงด้วย มันก็จริงของเขา เขาเอื้อมมือไปหยิบหลอดยามาหนวดบริเวณที่ฉันปวด
    “อูยๆ” แค่เพียงสัมผัสเบาๆ ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
     
    “อดทนสักนิดนะครับ” เขาพลางๆนวดคลึงอย่างเบามือที่สุด ซึ่งใช้เวลาไม่นานเท่าไร ผลจากการนวดนั้นทำให้ฉันรู้สึกเจ็บน้อยลงแล้วละ
     
    “ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมพันผ้าให้ มืออยู่นิ่งๆนะครับ” เขาหยิบผ้าพันแผลออกมาจากกล่องปฐมพยาบาล แต่ก่อนจะลงมือทำอะไร เสียงประตูห้องพยาบาลได้ถูกเปิดขึ้น
     
    “หว๋าย ตัวเองเป็นไรมากไหมอะ” พิ้งค์รีบกุลีกุจอมาหาฉัน
     
    “ขอโทษทีคะ ตะกี้พวกเราไปเข้าห้องน้ำกันมาน่ะ” ทิพย์พูดก้มหัวประหลกๆเพื่อสำนึกผิด
     
    “ไม่เป็นไรๆคะ หลินเจ็บแค่นิดเดียว” ฉันกัดฟันพูดนิดหน่อยเรื่องความเจ็บปวด ตอนแรกมันเจ็บแบบมากๆ แต่ตอนนี้ยาทาคงออกฤทธิ์แล้วละ ฉันเลยรู้สึกปวดน้อยลง 
     
    “โจจ๋า เดี๋ยวพวกเราดูต่อเอง เดี๋ยวโจไปซ้อมต่อเถอะ ไว้เป็นหน้าที่เราเอง” พิ้งค์หันหน้ามาพูดกับโจ
     
    “อ๋อ ไม่เป็นไรๆ”
     
    “ไปเถอะๆ มีพิ้งค์อยู่แล้วทั้งคน”  พิ้งค์ตอบโจด้วยสำเนียงที่ร่าเริง
     
    “ไปเถอะคะ คุณโจ หลินดีขึ้นมากแล้วคะ” ฉันเกรงใจเขาที่ต้องมาอยู่กับฉัน ให้เขาไปดูเรื่องฝึกซ้อมน่าจะดีกว่ามานั่งอยู่เปล่าๆแบบนี้
     
    “อ๋อ งั้นเดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ” โจลาทุกคน ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง
     
    “ไปซะที ตะเองดีขึ้นแล้วใช่ไหม” พิ้งค์หันมาพูดกับฉันด้วยท่าทีที่อ่อนโยน
     
    “ขอโทษทีที่พิ้งค์ไล่โจไปเมื่อตะกี้ พอดีไม่มีโอกาสที่เราสามคนจะคุยได้พอดี” ฉันได้ยินอย่างนั้น ฉันเองก็งงๆ ว่าพิ้งค์ต้องการจะสื่อหรือจะพูดอะไรกับฉันกันแน่
     
    “ทิพย์บอกหลินไปสิ” หืม ทิพย์มีอะไรจะบอก? แต่พอฉันหันไปมองทิพย์ ปรากฎว่าเธอหน้าแดงแบบสุดขีด แถมหมุนตัวเองไปๆมาๆอีก ฉันเลยยิ่งงงเข้าไปใหญ่
     
    “คือมันน่าอายน่ะคะ” ทิพย์หันมาจ้องหน้าด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
     
    “บอกหลินไปเลย ฮี่ๆ” 
     
    “ไม่เอาคะ แค่นี้ทิพย์ก็เขินจะแย่แล้ว ทิพย์ไปดีกว่า” ทิพย์หันหลังกลับและกำลังเดินออกไปนอกห้อง
     
    “เดี๋ยวว—ววก่อนน—นน อย่าเพิ่งไปสิ” พิ้งค์จับมือทิพย์ไว้ไม่ให้ไป สรุปมีเรื่องอะไรกันแน่เนี้ย จากที่ปวดมือเมื่อกี้จะกลายเป็นปวดหัวแทนแล้ว
     
    “ทิพย์เขาชอบโจจ๋าน่ะ”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×