ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 14 : ดอกไม้ดอกนั้น
เราสองคนเดินผ่านร้านค้าต่างๆ ที่คนเริ่มแน่น ร้านอาหารก็เริ่มมีการต่อคิวกันบ้างแล้ว เพราะนี้คงเป็นเวลาเลิกงานบวกกับวันศุกร์ที่คนทำงานอยากจะหาอะไรพักผ่อน ก่อนที่จะไปผจญภัยในเช้าวันจันทร์ ฉันเองก็เหมือนกันนั้นละ วันศุกร์ได้ออกมาเดินอะไรทำนองนี้ก็เหมือนเปิดหูเปิดตาบ้าง เพราะส่วนใหญนั้นฉันเอาแต่เดินตลาดซื้อของกินเข้าบ้านบ้างละ ไม่ก็กลิ้งกลอกตรงระเบียงเพื่อกันคนบ้าเข้าบ้านบ้างละ วนๆอยู่แค่นั้น
แต่จริงๆแล้วฉันเองก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนคิดแบบเดียวกับฉันเยอะแยะเต็มไปหมด คนถึงได้เต็มห้างกันมากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะมีห้างถัดไปอีกไม่รู้ต่อกี่ห้าง แต่มันดูเหมือนจะไม่เคยพอที่จะรองรับคนเลย
แต่จริงๆแล้วฉันเองก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนคิดแบบเดียวกับฉันเยอะแยะเต็มไปหมด คนถึงได้เต็มห้างกันมากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะมีห้างถัดไปอีกไม่รู้ต่อกี่ห้าง แต่มันดูเหมือนจะไม่เคยพอที่จะรองรับคนเลย
โจและฉันเดินผ่านบันไดเลื่อนลงมาอีกสักสองชั้น ฉันยังไม่ชินกับบันไดบ้านี้เลย ตอนขาลงนี้หนักกว่าขาขึ้นอีก ตอนฉันยืนนี้ได้อารมณ์เหมือนกำลังลงเหวเลยอะ ใครเป็นคนออกแบบเนี้ยย—ยย เพราะสุดทางบันไดได้ความรู้สึกแบบว่า “โอ้ว ฉันรอดแล้ว” อะไรประมาณเลย แต่สุดท้ายปลายทางของเราสองคนนั้น มาหยุดตรงแผนกของแต่งบ้าน
ฉันเองก็งงๆนิดหน่อยที่เขามาที่แผนกนี้ คิดไม่ออกเหมือนกันว่าเขาจะมาซื้ออะไรดี แต่ความจริงแล้วนอกจากพวกเฟอรนิเจอร์ต่างๆ ยังมีพวกจานชาม รวมทั้งของประดับต่างๆรวมอยู่ด้วย ซึ่งมันดูสวยดีเมื่อแรกเห็นนั้นละ แต่พอไปดูราคาปั๊ป ความสวยงามมันเหมือนแปรผันตามราคาสินค้าเลยอะ แพงชะมัด ฉันเห็นเชิงเทียนอันเล็กๆนิดเดียว ราคาเป็นพันบาทเลย ฉันว่าถ้าฉันจะหาของแต่งบ้านจริงคงจะไม่มาที่นี้ละ คงจะไปหาที่อื่น เพราะอย่างน้อยมันคงถูกกว่า
แต่จะพูดอย่างนั้นก็คงไม่ได้หรอก เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ ฉันไม่เคยจะซื้อข้าวของอะไรตกแต่งบ้านเลย บ้านเลยดูโล่งๆ จะมีแต่แจกันดอกไม้ที่วางอยู่ตรงมุมห้องนั้นละ พูดถึงเรื่องของแต่งบ้านทำให้นึกถึงตาริวชะมัด บ้านหมอนี้ของตกแต่งเยอะ บางทีฉันควรจะหาโอกาสถามตานี้ไปซื้อจากไหนบ้าง บ้านของฉันจะได้ดูสดชื่นขึ้น
แต่จะพูดอย่างนั้นก็คงไม่ได้หรอก เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ ฉันไม่เคยจะซื้อข้าวของอะไรตกแต่งบ้านเลย บ้านเลยดูโล่งๆ จะมีแต่แจกันดอกไม้ที่วางอยู่ตรงมุมห้องนั้นละ พูดถึงเรื่องของแต่งบ้านทำให้นึกถึงตาริวชะมัด บ้านหมอนี้ของตกแต่งเยอะ บางทีฉันควรจะหาโอกาสถามตานี้ไปซื้อจากไหนบ้าง บ้านของฉันจะได้ดูสดชื่นขึ้น
“คุณโจตั้งใจจะมาซื้ออะไรเหรอคะ?” ฉันสงสัยนิดหน่อยเพราะของที่นี้มันเยอะมากจริงๆ
“อ๋อ ผมตั้งใจว่าจะมาดูเครื่องครัวสักหน่อยน่ะครับ”
“เครื่องครัว?” ฉันแอบแปลกใจนิดหน่อยที่เขามาซื้อ เพราะเท่าที่ฉันรู้จักกับเขา เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องทำครัวแม้แต่นิดเดียว ไม่สิ มีตอนสูตรปอเปี๊ยะทอดนั้น แต่นั้นมันหมายถึงว่าเขาจะสนใจเรื่องทำครัวสักหน่อย แค่หาสูตรอาหารมาให้เท่านั้นเอง
“ครับ ปกติผมไม่เคยทำกับข้าวทานเอง อยากลองทำดูบ้างน่ะครับ” โจหยุดยืนที่ชั้นวางเครื่องครัวหลากหลายชนิดเรียงรายกันอยู่ พลางเอามือจับนั้นจับนี้ดู
“กระทะนี้ดีไหมครับ คุณแม่บ้าน” โจหยิบกระทะใบหนึ่งมาให้ฉันดู
“อืม ฉันคิดว่ามันค่อนข้างจะหนักมือไปหน่อยน่ะค่ะ ” กระทะเทฟล่อนใบใหญ่นั้นดูดีก็จริง แต่ก็นะ ใบใหญ่ขนาดนั้นฉันเองก็ถือไม่ไหวหรอก แต่ฉันลืมนึกว่าหมอนี้กล้ามแขนสักขนาดนั้นก็คงยกไหวละ
“งั้นใบนี้ดีไหมครับ” หมอนี้หยิบกระทะใบเล็กจิ๋ว นี้เกิ๊นไป เล่นมุกหรือป่าวเนี้ย
“มันไม่เล็กไปหน่อยเหรอคะ” ฉันแอบขำนิดหน่อย
“ฮ่าๆ จริงด้วยเนอะ” โจพูดพลางยิ้มแก้เขินไป
“คุณตั้งใจจะซื้อทำอาหารพวกไหนล่ะคะ”
“ก็ทั่วๆไปละครับ ต้มผัดแกงทอด แบบไทยๆไปก่อน”
“งั้นลองพวกกระทะจีนไหมคะ ก้นมันลึก น่าจะทำอะไรได้เยอะอยู่ จะปรุงพวกน้ำๆก็ทำในนี้ได้ไม่ง้อหม้อ” ฉันค่อนข้างจะชอบกระทะจีนแบบมากๆเลยละ เพราะมันสะดวกมากจริงๆ ร้อนก็เร็ว ล้างก็ง่าย แถมน้ำหนักก็เบา ฉันยกเองได้สบายมือเลยละ
“แต่ข้อเสียมันคือร้อนเร็วมาก เวลาทำต้องคุมอุณหภูมิดีๆ และเรื่องที่สองคือกระทะแบบนี้อาจจะทำความสะอาดยากหน่อยถ้าเทียบกับพวกเทฟล่อนน่ะคะ”
“ไม่ผิดจริงๆ ที่เรียกคุณว่าแม่บ้านน่ะ”
“ฮ่าๆ ความจริงฉันเองก็ทำอาหารไม่เก่งนะคะ อาศัยครูพักลักจำเอา” โชคดีที่เครื่องครัวของคุณยายฉันนั้นอยู่เต็มตู้เลย ฉันเลยมีโอกาสทดลองนู่นนี้มาโดยตลอด
“งั้นเอาอันนี้ละกันครับ” หมอนี้หยิบกระทะกับตะหลิวอันหนึ่งเดินไปจ่ายเงินที่เคาเตอร์ จินตนาการนึกถึงโจใส่ชุดเชฟนี้ก็คงดูเท่ไม่เบาเลยละ ระหว่างฉันรอเขายืนต่อคิวจ่ายเงินที่ยาวเหยียดนั้น ฉันเองก็มาเดินดูดอกไม้ที่ไว้ประดับบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าพวกนี้ไม่ใช่ดอกไม้จริงหรอก เป็นดอกไม้ปลอมน่ะ แถมยังมีผลิตภัณฑ์ของบริษัทเราวางขายอยู่ด้วย มองกี่ทีก็อดทึ่งไม่ได้ เทคโนโลยีสมัยนี้มันก้าวไกลเกินกว่าที่เราคิด
ดอกไม้ปลอมที่ฉันเคยเห็นในสมัยเด็กๆนั้นถูกลืมไปอย่างหมด เหลือเพียงแต่ดอกไม้ที่ดูสวยงามจนเกินกว่าจะอธิบายว่านี้เป็นเพียงดอกไม้ปลอมๆ
ดอกไม้ปลอมที่ฉันเคยเห็นในสมัยเด็กๆนั้นถูกลืมไปอย่างหมด เหลือเพียงแต่ดอกไม้ที่ดูสวยงามจนเกินกว่าจะอธิบายว่านี้เป็นเพียงดอกไม้ปลอมๆ
“ชอบดอกไม้เหรอครับ อ๊ะ! นี้มีของบริษัทเราด้วย” หมอนี้มันยืนอยู่ข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“ค่ะ หลินชอบ”
“ผมก็ชอบเหมือนกัน โดยเฉพาะดอกไม้ปลอม ไม่สิ ดอกไม้เสมือนจริง” เขาพูดพลางหยิบดอกไม้ขึ้นมาอ่านคำที่โปรยไว้ตรงยี่ห้อผลิตภัณฑ์ ฉันแอบแปลกใจนิดหน่อยที่มีคนชอบดอกไม้ปลอม เพราะเท่าที่ฉันเคยได้ยิน ใครๆก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไงๆก็ชอบดอกไม้จริงๆมากกว่า
“ทำไมคุณโจชอบดอกไม้ปลอมนี้ละคะ” ฉันถามเขาด้วยความสงสัย
“เพราะมันคงอยู่ได้ตลอดไงละครับ ดอกไม้จริงสุดท้ายแล้วความ
สวยงามนั้นคงอยู่ได้เพียงไม่นาน สุดท้ายมันหายไปและไม่เหลืออะไรเลย” โจก้มหัวมองลงพื้นเหมือนหยุดคิดอะไรสักพัก
สวยงามนั้นคงอยู่ได้เพียงไม่นาน สุดท้ายมันหายไปและไม่เหลืออะไรเลย” โจก้มหัวมองลงพื้นเหมือนหยุดคิดอะไรสักพัก
“และเราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ดอกไม้ที่เราได้มาดอกนั้นสุดท้ายมันก็สลายไป ต่อให้เราไปซื้อดอกไม้ดอกใหม่มา แต่มันก็ไม่ใช่ดอกเดิม มันแตกต่างกันในรายละเอียด”
“แต่ดอกไม้นี้มันไม่มีชีวิตนะคะ” ฉันอยากจะแย้งเขานิดหน่อย
“ถ้าจะพูดอย่างนั้นมันคงเสียมารยาทไปหน่อย ดูสิ สุดท้ายดอกนี้ก็พยายามตั้งมากตั้งมายเพื่อให้ตัวเองดูทัดเทียมกับดอกไม้จริงๆ จะบอกว่าไม่มีชีวิตมันก็ใช่ แต่สุดท้าย ความสวยงามที่ออกมานั้นก็ไม่ต่างกัน” หมอนี้หยิบดอกทิวลิปขาว ซึ่งรูปลักษณ์เหมือนของจริงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เพราะฉันสัมผัสอยู่เป็นประจำที่แจกันมุมห้องนั้น
“แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ เป็นดอกไม้ดอกเดียวที่สามารถอยู่กับคุณตราบนานเท่านาน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดอกไม้นี้ยังเป็นดอกไม้ดอกเดิมตลอดไป” โจพูดพลางมองเข้าไปในตาฉัน ก็เป็นเหตุเป็นผลดีสำหรับคำพูดของเขา ฉันเองก็น่าจะมองดอกไม้ปลอมนั้น ไม่สิ ดอกไม้เสมือนจริงนั้นด้วยมุมมองใหม่ด้วยเหมือนกันละ
สุดท้ายเราสองคนก็เดินออกมานอกห้างด้วยรอยยิ้ม โจเองก็ดูดีใจมากที่ได้กระทะ เขาบอกว่าเขาจะลองทำอาหารพรุ่งนี้เลย ฉันเองก็แซวระวังไฟไหม้ละ ฉันเหลือบมองนาฬิกา เป็นเวลาที่ฉันสมควรจะกลับไปซุกผ้าห่มแล้วละ ถึงเวลาที่เราต้องแยกย้ายกันแล้ว โจเองตอนแรกก็มาส่งฉัน ฉันเองก็ปฎิเสธเขาไปเพราะว่าเกรงใจ แถมบ้านเขาเท่าที่ฉันรู้นั้นมันอยู่คนละทางเลย ฉันย้อนกลับไปเองนั้นมันสะดวกกว่า เขาอิดออนนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ยอมรับแต่โดยดี ฉันเองก็ไปเดินไปส่งเขาที่ป้ายรถเมล์
“ปอเปี๊ยะคุณเป็นไงบ้าง?” บรรยากาศตอนแรกที่เงียบสงัดนั้นทำให้ฉันรู้สึกวังเวงนิดหน่อย แต่พอได้ยินเสียงโจฉันเองรู้สึกใจชื้นขึ้น
“อ๋อ ดีคะ ตอนแรกทำแทบไม่เป็นเลยคะ ทอดทีไรแตกหมดเลย” ฉันหัวเราะ
“เหรอ ผมอยากลองกินบ้างจัง” หมอนี้ส่งยิ้มให้ฉัน
“ได้ค่ะ ไว้ว่างๆนะค่ะ ขอบคุณสำหรับสูตรนั้นอีกครั้งนะคะ”
“ครับผม ไม่เป็นไร ตอนแรกแม่ผมดีใจใหญ่เลยว่ามีคนมาขอสูตร”
“ฝากขอบคุณคุณแม่อีกครั้งนะคะ อร่อยจริงๆคะ”
“ครับผม แต่ผมขอคำขอบคุณนั้นเปลี่ยนอาหารสักมื้อที่คุณลงมือเองได้ไหมครับ?” โจหันหน้ามองมาหน้าฉัน ความเงียบของช่วงกลางคืนกับสายตาคู่นั้นทำให้รู้สึกใจเต้นแปลกๆ เสียงของเราเงียบหายลง เหลือเพียงเสียงลมหายใจเบาๆของเราสองคน แสงไฟถนนกลับดูอบอุ่นกว่าที่เคย ฉันเป็นอะไรไปเนี้ย
“ได้ค่ะได้” ฉันรีบตัดบทก่อนที่ตัวเองจะเพ้อเจ้อไปมากกว่านี้
“คุณโจค่ะ รถเมล์มาแล้วคะ ไม่ต้องรอฉันหรอกคะ” ฉันพูดพลางชี้แกมบังคับให้เขาไปก่อน เพราะฉันรู้ว่าบ้านเขาอยู่ไกล
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”
“ไปเถอะคะๆ เดี๋ยวสายหลินก็มาแล้วคะ” ฉันทำเสียงแข็งๆนิดหน่อยให้เขาไป ฉันเกรงใจเขาน่ะ
“ครับผม งั้นผมไปก่อนนะ ไว้เจอกันวันจันทร์ครับ” รถเมล์สายนั้นมาพอดี โจรีบวิ่งก้าวขาขึ้นรถไป พลางโบกมือลาฉัน ตามคาดสักพักรถเมล์สายของฉันก็มาถึง รถเมล์เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ว่างเปล่า แทบจะไม่มีรถเลย ฉันก็สงสัยว่านี้มันเกิดอะไร ขามาขาไปทำไมมันสะดวกแบบนี้นะ คงจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่ “เหมาะสม” แบบที่ตาโจบอก ถ้าบางสิ่งบางอย่างมาถูกที่ถูกเวลาแล้วละก็ มันจะดำเนินต่อไปได้ด้วยดี
ใช้เวลาสักพักฉันเองก็มาถึงหน้าบริษัท ฉันรีบเข้าไปในอาคารเพื่อเอาจักรยานกลับบ้าน บรรยากาศระหว่างทางช่วงยังพอมีแดดกับการกลางคืนนี้แตกต่างกันจริงๆนะ ที่แตกต่างกันคือความเงียบนั้นเอง
ที่ฉันพูดถึงเรื่องความเงียบหลากหลายครั้งนั้นจริงๆแล้ว ฉันอยากจะบอกว่า ที่ไหนๆก็ตามล้วนมีความเงียบงันเป็นองค์ประกอบเหมือนกัน มันแทรกซึมอยู่ที่และรอคอยเวลาที่จะแสดงตัวออกมา ถึงแม้ว่าจะเราอยู่ในเมืองหลวงที่มีรถติดเป็นอันดับต้นๆของโลก หรือแม้เราอยู่ใจกลางย่านธุรกิจที่รวบรวมผู้คนไว้เป็นจำนวนมาก แต่มีบางครั้งบางคราวเหมือนกันที่เสียงเหล่านั้นเงียบลงอย่างน่าใจหาย
มันเงียบจนเรารู้สึกว่า เราอยู่คนเพียงแต่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ และวินาทีหลังจากนี้ต่อไป เราต้องดำเนินชีวิตต่อไปด้วยตัวคนเดียว ความอ้างว้างลึกๆนั้นคอยกัดกินความรู้สึกของฉันที่ละเล็กที่ละน้อยเสมอ
ที่ฉันพูดถึงเรื่องความเงียบหลากหลายครั้งนั้นจริงๆแล้ว ฉันอยากจะบอกว่า ที่ไหนๆก็ตามล้วนมีความเงียบงันเป็นองค์ประกอบเหมือนกัน มันแทรกซึมอยู่ที่และรอคอยเวลาที่จะแสดงตัวออกมา ถึงแม้ว่าจะเราอยู่ในเมืองหลวงที่มีรถติดเป็นอันดับต้นๆของโลก หรือแม้เราอยู่ใจกลางย่านธุรกิจที่รวบรวมผู้คนไว้เป็นจำนวนมาก แต่มีบางครั้งบางคราวเหมือนกันที่เสียงเหล่านั้นเงียบลงอย่างน่าใจหาย
มันเงียบจนเรารู้สึกว่า เราอยู่คนเพียงแต่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ และวินาทีหลังจากนี้ต่อไป เราต้องดำเนินชีวิตต่อไปด้วยตัวคนเดียว ความอ้างว้างลึกๆนั้นคอยกัดกินความรู้สึกของฉันที่ละเล็กที่ละน้อยเสมอ
แต่ความเงียบงันนั้นคงอยู่ไม่นาน ความคิดของฉันสิ้นสุดไปจากเสียงคนบ้าที่เกาะกำแพงยืนหน้าเข้ามาในบ้านฉันอยู่
“แน่ะๆ ไปไหนมา กลับดึกเชียวนะ” ริวทำหน้าทะเล้นๆยั่วฉันนิดหน่อย
“ไปเที่ยวมา” ฉันตอบส่งๆไปพลางเข็นจักรยานเข้ามาเก็บในโรงรถ
“ห๊ะ! ไปดื่มมาเรอะ หนอย เดี๋ยวฉันจะโทรเรียกตำรวจมาจับเธอแน่! เด็กน้อย!” ริวทำให้หน้าตาขึงขัง ยังกับเป็นพ่อคนแน่ะ
“ไม่ได้ไปดื่มโว้ยคะ และอีกอย่างฉันบรรลุนิติภาวะแล้วยะ ถ้าจะไปดื่มก็ไม่มีใครมาว่าหรอกนะคะ!”
“ฮ่าๆ แล้วตกลงไปไหนมา” ริวถามต่อ
“ไปซื้อชุดกีฬามา” ฉันพูดพลางส่งชุดกีฬาให้เขาดู
“อืมๆ สวยดี แต่ซื้อมาทำไมละ” หมอนี้ทำหน้าตางงๆ
“อ๋อ ที่ทำงานฉันจะมีจัดแข่งกีฬาภายในน่ะ ก็เลยซื้อชุดมาใส่ซ้อมบ้างสักหน่อย”
“โหๆ เจ๋งๆ เธอจะลงอะไรละ”
“วอลเล่ย์กับวิ่งสามขา”
“วิ่งสามขานี้มันเด็กน้อยชัดๆ”
“หน๊อย ว่าฉันเหรอ” ฉันเอามือตีไหล่ขวาเขา
“โอ๊ย! เจ็บ เธอนี้มือหนักชะมัด” ริวพูดพลางเอามือซ้ายลูบไหล่ตัวเอง ท่าทางจะเจ็บน่าดู
“สมควรแล้วยะ มือหนักอย่างนี้ก็ดี ฉันจะได้เล่นวอลเล่ย์เก่งๆ” ฉันทำหน้าตาแบบภูมิใจสุดๆ
“กลัวตบแล้วลูกแตกก่อนนะสิ” เขาหัวเราะ
“นายเนี้ยนะ!” ฉันซัดเขาอีกรอบ ไหล่เขาแดงแป๊ดเลย
“พอเลยๆ คุยกับเธอแล้วเจ็บตัวชะมัด” เขาพูดพลางลูบไหล่ตัวเองเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดออกไป
“ก็นายชอบปากเสียนิ” ฉันทำหน้าขมึงใส่เขา
“ฮ่าๆ ถึงฉันจะไม่รู้เรื่องกีฬาอะไรมากนัก แต่ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้นะ” เขายิ้มอย่างอบอุ่น พลางเอามือลูบหัวฉันเบาๆ
“นายจะลูบหัวฉันทำไมละเนี้ย! ตาบ้า!” อยู่ๆดีมาลูบหัว อะไรของนายกันน่ะ
“ก็เธอเป็นเด็กน้อยนิ” เขาหัวเราะลั่น
“หนอยย—ยย ตายสักเถอะ!” ก่อนที่ฉันจะลงมือทำอะไร คนบ้านั้นวิ่งหนีเข้าไปบ้านแล้ว แถมทำหน้าตาเยาะเย้ยฉันที่หน้าต่างอีกต่างหาก
หน๊อย! ไว้วันหลังก่อนเถอะ แต่พูดจริงๆตอนที่เขาลูบหัวฉัน ฉันเองก็รู้สึกยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูกเหมือนกัน รอยยิ้มกับท่าทางนั้นทำให้ความรู้สึกของฉันหวนคิดถึงวันเก่าๆตอนที่ฉันยังเล็ก ก็นะ บางทีฉันอาจจะเป็นเด็กน้อยๆจริง ตามที่เขาบอกก็เป็นได้
หน๊อย! ไว้วันหลังก่อนเถอะ แต่พูดจริงๆตอนที่เขาลูบหัวฉัน ฉันเองก็รู้สึกยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูกเหมือนกัน รอยยิ้มกับท่าทางนั้นทำให้ความรู้สึกของฉันหวนคิดถึงวันเก่าๆตอนที่ฉันยังเล็ก ก็นะ บางทีฉันอาจจะเป็นเด็กน้อยๆจริง ตามที่เขาบอกก็เป็นได้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น