ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bitterblossom : รักหวาน(ขม)ของต้นฤดูร้อน

    ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 13 : อดีต

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 57


    ห้างสรรพสินค้าที่เลยออกมาไม่ไกลนักจากที่ทำงานของเรานั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ใช้เวลาสักพักทั้งโจและฉันเองก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ยอมรับว่าแปลกใจนิดหน่อยที่ถนนโล่ง เพราะจริงๆแล้ววันศุกร์ควรจะรถติดมากกว่านี้ โจเองก็อธิบายว่า เพราะวันนี้เราออกมาเร็วกว่าที่ถึงเวลาเลิกงานของคนทั่วไปอย่างฉิวเฉียด เพราะสักพักหลังจากลงรถ ฉันเองก็เห็นรถในถนนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆจากหลายช่องทาง

    ฉันว่าวันนี้เราสองคนโชคดีละมั้ง แต่ความโชคดีนั้นหมดลงแต่เพียงเท่านี้ เพราะในห้างนั้นคนแน่นมาก กว่าเราสองคนจะขึ้นไปถึงแผนกกีฬานี้ใช้เวลาเอาการ ตอนเราจะเลือกที่จะใช้ลิฟท์เพื่อประหยัดเวลา แต่ว่าคงมีหลายๆคนที่คิดเหมือนกับเรา รอต่อคิวยาวขึ้นลิฟท์เหมือนกัน ฉันกับโจเลยตัดสินใจใช้บันไดเลื่อน แต่แน่นอนว่าก็พอมีคนบ้าง แต่ก็ยังเดินไปได้สบายๆ บันไดเลื่อนที่นี้ช้าชะมัด แถมชันอีกต่างหากแน่ะ ฉันมองลงไปข้างล่างขนลุกเลยเดียว ก็ฉันกลัวความสูงอะ แต่โจเองก็ดูสบายๆเรื่อยๆ แถมยิ้มตลอดตั้งแต่มาแล้ว เป็นอะไรของหมอนี้ก็ไม่รู้ ลืมไปเพราะมาดูเรื่องเกี่ยวกับกีฬา ท่าทางจะชอบจริงจังนะ

    แต่ตอนนี้ฉันเองก็มีเรื่องแปลกใจนิดหน่อยคือ วันนี้พิ้งค์ไม่ได้มาด้วย ทั้งๆที่ปกติพิ้งค์แทบจะตัวติดกับตาโจเลย ความจริงฉันเองก็ไม่ได้เห็นพิ้งค์มาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วละ

     
    “อ๋อ พิ้งค์ไปดูเรื่องสถานที่กับพวกจิปาถะอะไรนิดหน่อยน่ะครับ” โจพูดขณะที่สายตาเขากำลังดูเสื้อที่แขวนไว้เรียงราย
     
    “อ๋อ มิน่าถึงไม่เห็นตั้งแต่ช่วงบ่ายเลย”
     
    “ใช่แล้วครับ ออกไปตั้งแต่ช่วงบ่าย กับคนอื่นๆอีกเยอะแยะเลย” จริงด้วย มิน่าแผนกถึงโหรงเหรงชอบกล แต่นึกๆก็แอบอยากไปด้วยจัง จะได้ไม่ต้องทำงานช่วงบ่าย แต่จะพูดไปแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะออกไปอาจจะเหนื่อยกว่าอยู่ที่แผนกก็เป็นได้
     
    “คุณหลินคิดว่าตัวนี้เป็นไงครับ เนื้อดี แถมไม่แพงด้วย” โจชี้ชุดกีฬาสีฟ้าอ่อนจากชั้นมาให้ ฉันเองรับมาดูสักพักหนึ่ง จับๆดูมันดูนุ่มสบายดีนะ ตรงคอก็เขียนบอกไว้ซักแห้งก็ได้ ราคาก็ไม่แพงด้วย สีก็ดูโอเคดี ถึงฉันจะไม่รู้เรื่องชุดกีฬาอะไรมากนัก แต่จากที่โจแนะนำและเท่าที่ฉันเห็นมันก็ดีเลยละ
     
    “ดีเลยคะ ตกลงฉันเองตัวนี้คะ แล้วคุณโจละคะ” ฉันถามเขาต่อ
     
    “อืม ผมยังเลือกไม่ได้เลยอะครับ” เขาหันซ้ายหันขวา มองๆชุดที่แขวน
    ไว้อย่างเป็นระเบียบ พลางเอามือหยิบจับดูชุดอย่างร้อนรน

     
    “อืมม--มม คุณหลินพอจะช่วยเลือกชุดให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?”
     
    “ไม่ไหวมั้งคะ หลินเองไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับชุดกีฬาเลยด้วย”
     
    “แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆนะครับ” สีหน้าหมอนี้ดูไม่ได้เป็นกังวลเลยแฮะ แต่กลับยิ้มอีกต่างหาก ฉันเลยรู้สึกสับสนกับท่าทางนั้น
     
    “อ่า งั้นหลินจะลองดูคะ” ฉันเองก็ตอบรับคำเขาไป แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ฉันไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับชุดกีฬาเลย ไม่สิ รวมถึงชุดอื่นๆด้วย ฉันแทบไม่เคยดูพวกนิตยสารแฟชั่นอะไรนั้น แต่อาจจะมีผ่านตาจากตอนไปร้านตัดผมนิดหน่อย แต่เรื่องแบรนด์หรือเทรนอะไรที่กำลังดัง ลึกๆฉันเองก็ไม่รู้เลย จะรู้บ้างบางทีตอนที่ตลาดนัดแถวบ้านเริ่มเอาชุดใหม่ๆมาขายน่ะ นั้นละพอที่จะรู้ตัวบ้างว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แต่ฉันเองก็เลือกชุดจากที่ฉันว่ามันคงจะเข้ากับตัวเองและก็ฉลากสรรพคุณตรงปกเสื้อว่าซักยังไงได้บ้าง ก็เท่านั้นละ ไม่มีอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ

    พูดถึงเรื่องฉลาก ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างเรื่องมากเพราะฉันอ่านบ่อยมาก และชอบเอาเปรียบเทียบกับยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ว่าอันไหนมันดีกว่า แต่หลักๆแล้วก็คงเป็นเรื่องราคาละ อันไหนถูกกว่าและฉลากหรือสรรพคุณมันพอเทียบกันได้ ก็เอาอันนั้นละ จากที่พูดมานี้สรุปก็คือ ชุดกีฬาสีฟ้าอ่อน ที่คล้ายๆของฉัน คือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดในตอนนี้ละ

     
    “ชุดนี้ดีไหมคะ ทั้งซักมือ ซักเครื่องก็ได้ ผ้าก็โปร่งสบายดี ยี่ห้อก็เป็นผ้าปักคงไม่ลอก ราคาก็เหมาะสมดี คุณโจว่าไงคะ?”
     
    “โห คุณนี้แม่บ้านชัดๆ” โจนี้ทำหน้าตะลึงไปเลย
     
    “ฮ่าๆ ฉันจะถือว่าเป็นคำชมละกันนะคะ”
     
    เราสองคนเดินไปจ่ายเงินที่เคาเตอร์ตามปกติ โจเองก็ดูยิ้มไม่หุบมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ดูๆไปหมอนี้ก็มีลักษณะแบบเดียวกับริวอยู่บ้าง คือเรื่องรอยยิ้ม ถึงโจจะไม่ยิ้มบ่อยเท่ากับคนบ้านั้น แต่ก็รอยยิ้มเขามักจะมาถูกเวลาเสมอ ก็นะ มันเป็นพรสวรรค์ที่ถูกสร้างเพื่อให้คนหน้าตาดีละมั้ง เอาเป็นว่ามันเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ทำเสริมให้หมอนี้ดูป๊อป

    ไม่ต้องอะไรมาก พนักงานที่ยืนอยู่แคชเชียร์จ้องโจตาเป็นมันอยู่แล้ว และแน่นอนฉันเองก็ถูกจ้องเขม็งเหมือนกัน แต่มันคนละความหมาย ความหมายของฉันคือ “ยัยจืดนี้มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงยะ” อะไรทำนองนี้ละ ฉันว่านะ

     
    “ถ้าคุณหลินไม่ได้มีธุระไปที่ไหนต่อ เราไปทานข้าวกันไหมครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง” โจพูดขึ้นหลังจากเราสองคนเดินออกมาแผนกกีฬาเรียบร้อยแล้ว
     
    “ก็ได้คะ แต่คุณโจไม่ต้องเลี้ยงก็ได้คะ หลินเกรงใจ” ฉันเหลือบมองนาฬิกานี้หัวค่ำแล้ว ถึงเวลาจะหาอะไรเติมท้องที่ว่างเปล่าพอดีเลย

    เราสองคนเดินไปเรื่อยๆผ่านร้านอาหารหลากหลายร้าน มากมายจนเลือกไม่ถูก ห้างนี้เป็นศูนย์รวมอะไรหลายอย่างจริงๆ ถ้าอยากได้อะไรก็มาที่นี้ มีทุกอย่างเกือบครบทั้งหมด นึกถึงตัวฉันสมัยเด็ก แถวบ้านเก่าฉันเองไม่มีอะไรแบบนี้เลย มีแต่ร้านขายของชำเล็กๆที่สมัยนั้นฉันว่ามองว่ามันเติมเต็มฉันได้ทุกอย่าง หิวก็มีขนมมีน้ำกิน ข้าวของเครื่องใช้นี้ก็มีครบ

    แต่ถ้าจะให้ดูจากสายตาจากตัวฉันตอนนี้ ร้านขายของที่ว่านั้นเหมือนกลายเป็นสิ่งธรรมดาเมื่อพบกับความใหญ่โตของที่นี่ ก็นะ เหมือนพอเราโตขึ้น สายตาที่มองนั้นมักเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเสมอ

     
    “ร้านนี้ดีไหมครับ” โจชี้เข้าไปร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง แต่ข้างนอกมันเขียนด้วยภาษาญี่ปุ่นและแน่นอนว่าฉันอ่านไม่ออก
     
    “ร้านนี้อร่อยดีครับ ผมกับพิ้งค์เคยมาทานหลายครั้งแล้ว” 
     
    “จริงเหรอคะ งั้นก็ได้คะ” ฉันวนไปวนดูร้านอาหารอื่นๆหลายรอบแล้ว เลยรู้สึกมึนๆหัวเล็กน้อยเพราะข้าวยังไม่ได้ตกถึงกระเพาะสักที ตอนนี้จะให้กินอะไรกินได้หมดอะ พูดจริงๆ
     
    เราสองคนเดินผ่านพนักงานต้อนรับที่ดูนอบน้อมมาก เธอใส่ชุดญี่ปุ่นสีม่วงอ่อนที่เข้ากับเธอ ชุดแบบนี้เรียกว่าอะไรนะ กิโมโนเหรอ? ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรทั้งที่พอเคยเห็นมาบ้างในโทรทัศน์ แต่มันสวยจริงๆ แบบที่ฉันเองก็อยากลองใส่ชุดแบบนี้บ้าง ถึงจะเดาว่าไม่น่ารักเท่าเธอแน่นอน พนักงานคนนี้นำทางเราไปที่โต๊ะ ระหว่างทางนั้น บรรยากาศในร้านอาหารสะท้อนถึงความเรียบง่าย โคมไฟประดับด้วยแสงไฟสีส้มอ่อน ประกอบด้วยฉากกั้นไม้ไผ่ที่ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว ผนังที่ทำด้วยไม้ยิ่งทำให้รู้สึกจิตใจสงบเยือกเย็นมากขึ้น

    ที่นี้คงเหมาะกับใครๆที่ชอบทานข้าวแบบดึ่มดำบรรยากาศที่เงียบสงบละ แต่ตั้งแต่ที่ฉันทำงานมานี้ไม่ค่อยจะได้ทานข้าวแบบสงบๆเลย ปกติที่โรงอาหารก็ครึกครื้นอยู่ กลับถึงบ้านก็มีคนบ้ามาร่วมโต๊ะเสมอ นี้คงอาจจะเรียกได้ว่า เป็นการทานข้าวครั้งแรกที่ให้ความรู้สึกสงบแบบนี้


     
    “เชิญนั่งคะ อีกสักพักดิฉันจะมารับออเดอร์นะคะ” พนักสาวคนนั้นบอกกับเราด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมทั้งรอยยิ้มพลางยิ้มเมนูอาหารมาให้ เธอน่ารักจริงๆนั้นละ ร้านนี้เลือกคนเข้ามาทำงานถูกแล้วละ  

     
    “อืมม—มม ทานอะไรดี” โจที่นั่งตรงข้ามฉันคิ้วขมวดพลิกหน้าเมนูอาหารไปๆมาๆดูอยู่ ฉันเองก็เหมือนกัน แต่ว่ามันคงจะเป็นกรณีต่างกันนิดหน่อย โจคงคิดไม่ออกว่าจะทานอะไรดี ส่วนฉันไม่ค่อยรู้เรื่องอาหารญี่ปุ่นหรอกเลยงงๆกับชื่อเมนู แต่โชคยังดีที่มีรูปประกอบให้พอจินตนาการภาพออกหน่อย พอเห็นอย่างนี้แล้ว ทุกอย่างเริ่มดูน่ากินชะมัด โหอันนี้ก็ดี อันนั้นก็เยี่ยม ทั้งๆที่ไม่เคยกินมาก่อนแต่จินตนาการตะเลิดไปไกลละ หรือว่าเพราะหิวกันนะ

     
     “คุณหลินทานอะไรครับผม เลือกได้หรือยังครับ?” โจหันหน้ามามองฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สงสัยหมอนี้จะเลือกได้แล้วละ

     
    “ได้แล้วคะ แล้วคุณโจละคะ?”

     
    “อ๋อ เรียบร้อยแล้วครับ"

     
    “งั้นหลินเรียกพนักงานเลยนะคะ” ฉันพูดพลางกวักมือเรียกพนักงานคนสวยนั้นมา

     
    “สวัสดีคะ รับอะไรดีคะ?” รอยยิ้มนั้นน่ารักจริงนั้นละ

     
    “ของผมขอเป็นชุดสุกี้ยากี้เนื้อ กับชาเขียวร้อนครับ” ตะกี้ฉันก็เล็งๆเมนูนี้ไว้เหมือนกัน คราวหน้าหลังลองดูดีกว่า

     
    “แล้วของคุณผู้หญิงล่ะคะ?”

     
    “เอาเป็นชุดข้าวหน้าปลาไหลย่างคะ กับชาเขียวเย็นคะ” ถึงเมนูนี้จะดูแพงไปหน่อย แต่รูปภาพที่เมนูนี้ทำให้ลืมราคาไปเลย


     
    “ขอเพิ่มเป็นสลัดแซลม่อน กับ ทาโกะยากิด้วยครับ เดี๋ยวเรามากินด้วยนะ” หว๋า ฉันได้แต่พงักหน้าตอบรับเขาไปซะอย่างงั้น นึกในใจจะกินหมดไหมเนี้ย แต่จริงๆคงจะกินหมดละ เพราะช่วงหลังๆ เวลากินข้าวคนบ้านั้นก็เอามาเยอะแยะกว่านี้อีก แค่นี้ก็สบายๆละมั้ง

     
    ฉันหันซ้ายหันซ้ายไปโดยรอบ ที่นี้ดูเงียบสงบจริงๆนะ พาลทำให้นึกถึงช่วงเวลาที่ฉันอาศัยอยู่กับญาติๆ แต่นั้นเป็นความเงียบงันที่แตกต่างกัน ความสงบของที่นี้เกิดจากบรรยากาศที่อบอุ่นผสานกับรอยยิ้มที่สามารถพบได้บนใบหน้าของทุกคน

    แต่ช่วงเวลานั้นของ ความเงียบนั้นเกิดจากการกล้ำกลืนฝืนทนอะไรสักอย่างจนไม่สามารถพูดอะไรกับใครได้ นั้นเป็นสิ่งที่แตกต่างจนฉันไม่อยากจะนึกถึงมัน แต่สุดท้ายแล้วมันก็รบกวนอยู่เรื่อยๆนั้นละ แต่ช่างเถอะ ทุกอย่างมันผ่านมานานแล้ว ถึงเวลาต้องเรียนรู้และจัดการความรู้สึกนั้นเสียที



     
    “คุณหลินดูเหม่อๆ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

     
    “อ๋อ เปล่าคะ แค่เห็นบรรยากาศที่นี้มันสวยดีน่ะคะ” ฉันเฉไฉไปเรื่อยเปื่อยนั้นละ

     
    “จริงด้วยครับ ผมมาที่นี่หลายครั้งแล้ว ก็ยังรู้สึกชอบอยู่ดี” เขายิ้มตอบรับฉัน

     
    “ทำงานที่นี้มาสักพักแล้ว รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” โจเริ่มชวนคุยระหว่างรอ

     
    “อ๋อดีคะดี ไม่ได้มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ ช่วงแรกแค่สับสนเรื่องออเดอร์นิดหน่อย แต่ตอนหลังก็เริ่มชินคะ” นึกถึงช่วงแรก ฉันงงกับโปรแกรมบ้านั้นจริงๆ ซับซ้อนเป็นบ้า ต้องกรอกตรงนี้ต้องเติมตรงนั้น 

     
    “เหมือนกันเลยครับ ช่วงแรกๆผมมาทำที่นี้ ปวดหัวมากกับเรื่องออเดอร์” จริงๆแล้วฉันว่าตอนนี้โจเองก็ดูปวดหัวเหมือนเดิมนั้นละ ออเดอร์แปลกๆพิลึกพิลั่นมาอยู่เรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย 

     
    “คุณโจทำที่นี้มานานแล้วเหรอครับ” เพราะฉันเห็นเขาเองก็ดูสบายๆกับเพื่อนร่วมงานดี

     
    “จริงๆแล้วก็ไม่นานเท่าไรครับ สักสามปีเห็นจะได้”

     
    “หูย หลินว่าก็นานแล้วนะคะ เห็นว่าดูสนิทกับคนในแผนกจัง”

     
    “ครับผม อยู่ด้วยกันมานานแล้วก็เลยคุ้นเคยกันมั้งครับ ฮ่าๆ”

     
    “แล้วคุณหลินมาทำที่นี้เป็นที่แรกเลยหรือเปล่าครับ”

     
    “อ๋อ ที่แรกเลยคะ จบปุ๊ปก็ได้งานที่นี้เลย”

     
    “ผมได้งานที่นี้เป็นแห่งที่สองครับ ที่แรกทำเกี่ยวกับส่งออก แต่ทำแค่ไม่กี่เดือน ไม่ถูกใจเลยย้ายมาที่นี้” โจเองก็มีดูเหมือนมีประสบการณ์ในที่ทำงานมาบ้างละ เขาจึงดูเป็นมิตรกับทุกคน

     
    “ที่นี้ทำแล้วสบายใจกว่าครับ มีพิ้งค์อยู่แล้วเฮฮาตลอดเลย” เป็นหนึ่งในข้อสงสัยของฉันมานานตั้งแต่มาทำงานที่นี้ ทั้งสองคนเหมือนจะมีอะไรเกินเลยบ้างบางที แต่ในบางครั้งก็ไม่ ฉันว่าก็ถามเขาไปเลยดีกว่า จะได้หายสงสัยสักที แต่ก็นะ ถามตรงๆคงดูไม่ดีนัก งั้นลองถามอ้อมๆไปเรื่อยๆดีกว่า

     
    “เอ่อ...คุณโจรู้จักคุณพิ้งค์มานานแล้วเหรอคะ”

     
    “นานมากๆเลยครับ”

     
    ก่อนที่โจจะพูดต่อ พนักงานเดินมาเสริฟ์น้ำให้เราสองคนก่อน โจยกชาจิบขึ้นนิดนึง ฉันแอบสงสัยว่าโจไม่ร้อนหรือยังไง เพราะควันฉุยเลยที่เดียว แถมตอนนี้ยังหน้าร้อน ตอนกลางวันนี้แดดเปรี้ยงเลยทีเดียว เดาว่าหมอนี้ชอบทานอะไรร้อนๆละมั้งนะ เพราะปกติเวลาพวกเราไปทานข้าวที่โรงอาหารทีไร หมอนี้จะชอบสั่งอะไรร้อนๆมาทาน พวกก๋วยเตี๋ยว ซุป อะไรทำนองมากินอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าวันนั้นจะอากาศร้อนแค่ไหนก็ตาม ขนาดพวกกาแฟยังสั่งเป็นแบบร้อนเลย พวกฉันนั้นนั่งเหงื่อตกไหลเป็นทาง หมอนี้ยังกินหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย 

     
    “ตั้งแต่ผมจำความได้ ก็รู้จักพิ้งค์แล้วละครับ” โจวางแก้วชาลงอย่างระมัดระวัง

     
    “พิ้งค์เป็นลูกของคนข้างบ้านน่ะครับ พ่อแม่เราสนิทกัน พวกเราเลยสนิทกันด้วย เล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆเลย” โจยกแก้วชาขึ้นมาดื่มอีกรอบ 

     
    “แถมพอโตขึ้นมาหน่อย ก็เรียนโรงเรียนเดียวกัน มหา’ลัยก็ที่เดียวกัน แถมพอจะมาทำงานก็ทีเดียวกันอีก พิ้งค์ก็เลยอยู่ทุกช่วงจังหวะชีวิตเลยครับ พิ้งค์เองก็นิสัยดีครับ เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจตลอดเลย” โจพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ฉันเข้าใจละว่าทำไมพวกเขาในบางครั้ง ถึงเหมือนคนประเภทไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจกัน

    ความจริงฉันเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นอย่างไร มันเหมือนเป็นความรู้สึกของคนที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานจนเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ฉันเองก็อยากมีความรู้สึกร่วมแบบนี้บ้างเหมือนกัน แต่ก่อนที่จะสู่ความรู้สึกแบบนั้น ความรู้สึกหรือความสัมพันธ์แบบธรรมดาๆยังเกิดยากเลย ตลอดเวลาที่ผ่านฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกสนิทสนมกับใครๆเลยทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่บทสนทนาใดๆระหว่างกัน เพราะเรื่องราวที่ผ่านมานั้นเหมือนเป็นบทเรียนที่ฉันจำฝังลึกในใจ แต่สุดท้ายนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่ได้รู้จักริว ความบ้าบอนั้นเข้ามาทำให้ฉันมีความสุขจริงๆ


     
    ก่อนที่เราเริ่มบทสนาต่อไป อาหารก็ถูกเสริฟ์วางไว้ตรงหน้า ให้ตายสิ กลิ่นปลาไหลย่างนี้หอมชะมัด บวกกับความที่ฉันท้องว่าง มันกระตุ้นให้ความอยากอาหารเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ฉันฉีกซองตะเกียบออกมา แล้วบรรจงใช้สิ่งนั้นตักข้าวและปลาเข้าปาก ให้ตายสิ นี้มันสวรรค์ชัดๆ เนื้อปลาที่ชุ่มฉ่ำกับน้ำซอสรสเค็มปนหวาน ข้าวที่หุงสุกเป็นเม็ดสวยกำลังดี เครื่องเคียงก็เสริมรสให้รื่นรมย์มายิ่งขึ้น ราคาที่เห็นในเมนูนี้ ฉันเองก็ยกโทษให้ก็ได้ เพราะมันอร่อยจริงๆนั้นละ

     
    “คุณหลินทานนี้ด้วยสิครับ ทานเป็นเพื่อนผมหน่อย” โจพูดพลางเอาตะเกียบๆชี้สลัด กับอะไรสักอย่างที่ฉันลืมชื่อไปละ

     
    “ค่ะ ค่ะ” จากที่เขาขยังขยอ ฉันเองก็ตอบตกลงเขาไป

     
    ฉันเอื้อมตะเกียบไปยังหยิบลูกกลมๆที่อยู่ตรงหน้า แป้งทอดเหรอ? ฉันถามกับตัวเอง ลูกกลมๆนี้ราดน้ำซอสข้นๆสีครีมปนน้ำตาล กับโรยอะไรไม่รู้เป็นผงดำๆ สาหร่ายละมั้งฉันว่า กลิ่นมันก็หอมดี รสก็คงดีตามละ วินาทีแรกที่เข้าปากสัมผัสกับกรอบที่ห่อหุ้มความนุ่มละมุนของตัวแป้ง ผสานกับซอสข้นรสเปรี้ยวเล็กน้อยที่กระตุ้นความอยากอาหาร

    เมื่อพอใจกับรสสัมผัสภายนอกนั้น ไส้ข้างในนั้นเด้งและมีความหยุ่นแตกต่างจากแป้งด้านนอก สะท้อนแรงขบกัดนั้นให้มากระทบกับตัวฟัน สัมผัสที่แตกต่างนั้นให้ความรู้สึกที่รื่นรมย์มาก พร้อมด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของสาหร่ายฟุ้งกระจายเต็มไปทั่วปาก ให้ตายสิ ฉันลืมชื่อเมนูไปแล้วจริงๆ เดี๋ยวแอบดูในบิลตอนเก็บเงินก็ได้


     
    จานที่สองนี้ฉันเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก สลัดให้ตายยังไงก็คือสลัด ทำจากผักเหมือนกันนั้นละ แต่ที่แตกต่างคือน้ำสลัดที่ใส่มาเป็นสีน้ำตาลกึ่งใส ซึ่งแตกต่างจากสลัดที่ฉันกินแถวบ้าน แถมยังมีแซลมอนแล่บางๆมาประดับไว้ และแน่นอนมันดูเหมือนไม่ได้ผ่านความร้อนใดๆ ฉันเคยได้ยินมาบ้างว่าวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่นนั้นนิยมใช้ปลาดิบ แต่ยังไม่เคยได้ลองสักที นี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ลองกินดู 

     
    หลังจากคำแรก ฉันขอถอนคำพูดว่าสลัดที่ไหนก็มันเหมือนกัน ผักในสลัดจานนี้มีรสสัมผัสที่แตกต่างจากที่ฉันเคยกินมา อาจจะเป็นเพราะความสดของตัวผัก ผสมกับน้ำสลัดนั้นให้รสที่บางเบาจนไม่กลบความหวานของผัก รวมทั้ง รสสัมผัสของแซลมอนนั้นนุ่มนวลตัดกับผักที่มีความกรอบ อันเป็นรสจากธรรมชาติที่มาจากผืนดินพานพบความสะอาดจากผืนน้ำ เป็นการจับคู่ที่ดีจริงๆละ สลัดจานนี้มีรสชาติเบาๆแต่ให้ความรู้สึกที่เข้มขันไปพร้อมๆกัน

     
    “เป็นไงครับ ถูกใจไหมครับ?” โจหันหน้ามามองฉันแถมยิ้มแป้นอีกต่างหาก สงสัยตอนที่กิน ฉันคงแสดงออกทางสีหน้าไปแน่ๆ

     
    “คะ อร่อยดีคะ” แน่นอน มันไม่ใช้การพูดไปตามมารยาท ของอร่อยควรได้รับคำชม

     
    มันก็รู้สึกดีมากที่ได้กินของอร่อยไป ว่าตามกันจริง ฉันเองเพิ่งจะเคยได้ทานอาหารพวกนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันไม่เคยได้มีโอกาสแตะอาหารพวกนี้ เพราะเงินที่ญาติส่งมาให้นั้นแทบจะเดือนชนเดือน แค่ฉันจ่ายค่าหอ ก็ร่อยหรอเต็มทีแล้ว

    งั้นในเกือบๆทุกวันที่ฉันมีเรียนฉันเองก็ฝากท้องกับโรงอาหารที่มหาวิทยาลัย วันเสาร์-อาทิตย์ฉันเองก็ทำงานเล็กๆน้อย ซึ่งไม่ได้เก็บตังไปซื้ออะไรหรอกนะ เอามาเผื่อไว้เป็นค่าข้าวน่ะ ดังนั้นอาหารพวกนี้จึงไม่เคยผ่านหน้าผ่านตาฉันให้เห็นจริงจังๆสักที มีแต่เพียงในรูปอินเตอร์เน็ตที่ทำให้ฉันจินตนาการไปเองว่ารสชาติมันเป็นยังไง 


     
    แต่ระหว่างมื้ออาหารที่อร่อยนี้มันควรจะเป็นช่วงเวลาที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันสินะ ในฐานะที่ฉันเองก็เป็นเพื่อนกับเขาคนหนึ่ง ฉันน่าจะเองก็น่าจะเล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟังบ้างเหมือนกัน เพราะวันนี้เขาก็เองบอกเล่าเรื่องพิ้งค์มาแล้ว แต่ก่อนที่ฉันจะพูดอะไร โจก็หันมาถามฉันว่า

     
    “เอ่อ คุณหลินมีคนพิเศษบ้างหรือยังครับ?” เขาจ้องตาฉัน

     
    “ยังไม่มีคะ” ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้เลยนะ พูดจริงๆ แค่ความสัมพันธ์ธรรมดาๆฉันท์เพื่อนนี้เพิ่งจะเคยมีกับเขาเนี้ยละ เรื่องคนพิเศษนี้ฝันไปเถอะ ยังอีกยาวไกล ฉันว่าอย่างนั้นนะ

     
    “แต่ว่าคุณโจมีหรือยังคะ?” ฉันแกล้งถามเขากลับไป

     
    “อืม ถ้าจะให้พูด ก็คงมีครับ แต่ผมเดาว่าตอนนี้เขาคงเป็นเพียงคนพิเศษสำหรับผมฝ่ายเดียวละมั้งครับ” เขาหัวเราะ

     
    “แล้วเขาเป็นใครเหรอคะ พอบอกได้ไหม” อืม หนุ่มหล่ออย่างโจแอบปิ๊งใครสักคนนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆนั้น ฉันเองก็อยากเห็นว่าเขาคนนั้นเป็นใคร

     
    “ตอนนี้ผมยังบอกไม่ได้หรอกครับ และแน่นอนเขาคงยังไม่รู้ตัว รอให้ผมมั่นใจอะไรสักอย่างแล้วจะบอกคุณเป็นคนแรกเลยละ” เขาหัวเราะอีกครั้ง แปลกๆฮะ ต้องให้มั่นใจถึงจะบอก ทำไมต้องมั่นใจด้วยละเนี้ย แล้วมั่นใจเรื่องอะไรล่ะ? ไม่เป็นไรๆ เอาไว้ทีหลัง แต่ตอนนี้ฉันเองก็รู้สึกดีนิดหน่อยที่ฉันรู้เรื่องเพื่อนร่วมงานมากขึ้น

     
    “ถึงฉันจะเดาไม่ถูกตอนนี้ แต่ฉันว่าอย่างคุณโจคงทำคนนั้นรู้ตัวและหันมามองได้ละคะ” ที่ฉันพูดไม่ได้เกินจริงสักหน่อย หนุ่มหล่อล่ำแถมมนุษยสัมพันธ์เยี่ยม ใครก็ๆปรารถนาอยากได้ตัวเขาไปทั้งนั้น คิดไปคิดมา ที่พนักงานยิ้มหวานแถมนอบน้อมขนาดนี้เป็นเพราะตาโจหรือป่าวเนี้ย

     
    “หวังว่า เขาคงจะหันมามองผมจริงๆละครับ” โจพูดพลางมองตาฉัน แถมสายตาเขาดูเศร้าหน่อย ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าเนี้ย? รีบเปลี่ยนเรื่องพูดดีกว่า

     
    “แล้วคุณโจรู้จักคุณทิพย์นานหรือยังคะ” ฉันถามเขาต่อ

     
    “อ๋อ รู้จักหลังผมเข้าทำงานมาสักปีน่ะครับ ผมเดินผ่านหน้าเคาเตอร์หน้าลิฟท์ทุกวันเลยหันไปทักทายบ้าง ไปๆมาๆสนิทกันยังได้เมื่อไรก็ไม่รู้ เดาว่าอาจเพราะพิ้งค์ด้วยละครับ”

     
    “เพราะคุณพิ้งค์เหรอคะ?”

     
    “เหมือนคนมีเคมีตรงกันน่ะครับ พิ้งค์กับทิพย์ก็เลยสนิทกันเร็วมาก ผมก็เลยพาลสนิทกับพวกเขาไปด้วย” แต่จริงๆแล้วฉันว่าสิ่งที่ดึงดูดพวกเรามาทั้งหมดนี้ก็คือตัวโจเองนั้นละ เพราะตอนแรกที่ฉันรู้จักเขาเพราะเขาเองก็เข้ามาชวนฉันคุย ความสัมพันธ์ของกลุ่มเราตอนนี้มันเกิดขึ้นจากหมอนี้คอยรวบรวมพวกเราไว้ด้วยกัน

     
    “ตอนเด็กๆฉันเองก็มีเพื่อนแบบนี้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร” ฉันหัวเราะ

     
    “ครับ ความสัมพันธ์ของคนเราบางทีมันซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ” ใช่ เรื่องนี้ฉันเข้าใจดีเลยละ สายสัมพันธ์ในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตนั้นไม่สามารถหาเหตุผลที่จะมาสืบสายถึงความเป็นมา แต่เพียงเรารับรู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกในขณะนั้น พอที่จะเป็นสิ่งที่สามารถอธิบายในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น

    แต่ในขณะเดียวกัน การตัดขาดความสัมพันธ์ของคนเรานั้นบางทีอาจจะเป็นเรื่องง่ายดายเสียจนเราไม่สามารถยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ฉันเองไม่รู้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับโจ ไม่สิ พิ้งค์ ทิพย์ รวมทั้งริวและปอนั้นจะดำเนินต่อไปอีกนานแค่ไหน ซึ่งฉันเองไม่อยากรับรู้ถึงวันข้างหน้าต่อไป แต่ฉันยังหวังว่ามันคงจะอยู่ได้อย่างตราบเท่านาน เพราะฉันเองก็ไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้ว 


     
    “แล้วแข่งกีฬาเมื่อปีแล้วเป็นยังไงบ้างคะ” ฉันพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อตัดความรู้สึกของตัวเองออกไป

     
    “ดีครับ ดีเลย เหมือนที่หัวหน้าบอก เราเองก็เกือบเป็นแชมป์แล้ว น่าเสียดาย” เพิ่งนึกขึ้นได้ ฉันเองก็รู้สึกกังวลนิดหน่อยถ้าฉันไม่สามารถเล่นได้ดีพอที่จะให้ทีมชนะ ฝีมือฉันเองก็ไม่ดีเด่นอะไรมากนัก แถมไม่ได้แตะการออกกำลังกายซะนานพอดูตายละๆ ฉันควรจะถอนตัวออกไปไหมเนี้ย 

     
    “ถึงจะดูจริงจัง เอาจริงๆไม่มีใครซีเรียสขนาดนั้นหรอกครับ เพราะทุกคนก็เป็นเพื่อนกันหมด แข่งกันสนุกๆ ไม่มีใครถือโทษ โกรธกันหรอกครับ” เขาพูดเหมือนปลอบใจฉัน ให้ตายสิ คนรอบฉันนี้อ่านใจฉันได้หมดเลยปะเนี้ย?

     
    “ค่ะๆ ถึงหลินจะไม่เก่งเท่าไร หลินก็จะพยายามให้ถึงที่สุดคะ”

     
    “ครับ เยี่ยมเลย ความมุ่งมั่นนั้นชนะทุกอย่างแล้วครับ”

     
    “ค๊า” ฉันเองก็หวังว่าอย่างนั้นนะ ยังไงก็ตามฉันก็จะพยายามให้ถึงที่สุดละกัน แต่ก่อนอื่น หมอนี้เล่นกีฬาเก่งขนาดนี้สงสัยเล่นมาแล้วแน่เลย 
    “แต่ว่า คุณโจเล่นกีฬามานานหรือยังคะ?” ฉันแอบเหลือบดูกล้ามแขนเขา นานแน่ๆกว่าจะได้ขนาดนั้น

     
    “จริงแล้วผมเองก็เพิ่งเล่นได้ไม่นานเองครับ สักปีสองปีเอง” ห๊า! สักปีสองปี กล้ามขึ้นขนาดนี้เลยเนี้ยนะ ฉันนึกว่าเขาน่าจะเล่นตั้งแต่มหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำไป

     
    “โห ฉันเองก็นึกว่าเล่นตั้งแต่อยู่มหา’ลัยเลยละคะ” มันน่าแปลกใจจริงๆนะ หรือหมอนี้ใช้ยาโด๊ปอะไรหรือป่าว แต่ดูแล้วคงจะไม่ใช่ละมั้ง เหมือนเป็นคนที่มีวินัยเข้มงวดมากกว่า ฉันเองก็เห็นเขาเข้าเว็บพวกเพาะกายอะไรบ้างนิดหน่อย กับดูพวกตารางแคลลอรี่อะไรบ้างบางทีนะ บางครั้งเวลาเราไปโรงอาหารหมอนี้ก็กินซะน้อยเกินกว่าปกติที่กิน บางทีสงสัยคำนวณเรื่องพลังงานในแต่ละวันละมั้ง เป็นคนหล่อแถมยังดูแลตัวเองอีกด้วย น่านับถือ น่านับถือ

     
    “ไม่เลยครับ ผมมีอะไรบางอย่างให้คุณดู” โจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เอามือกดลงหน้าจอ สักพักส่งมือถือของเขาให้ฉันดู

     
    “ หืม? ” หน้าจอเขาปรากฎรูปชายคนหนึ่งที่อ้วน อ้วนมากแบบจริงๆจังๆ กางเกงนั้นแทบจะปริบออกมาแล้ว หน้าตานั้นก็ดูไม่ได้เลย ไม่ใช่หน้าตาไม่ดีนะ แต่เหมือนคนไม่เคยสนใจตัวเอง ปล่อยปละละเลยอะไรต่อมิอะไรไป แต่ดวงตานั้นฉันกลับคุ้นเคยอย่างประหลาด

     
    “นั้นผมเอง” หา ฉันอยากจะตะโกนให้ดังก้องจนคนในร้านหันมา เฮ้ยย—ยย นี้มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมนิ หนุ่มหล่อล่ำตรงหน้าฉันเคยเป็นแบบนี้มาก่อนจริงๆเหรอเนี้ย ฉันไม่อยากจะเชื่อ

     
    “คุณโจไม่ได้เล่นมุกใช่ไหมคะ” ฉันถามเขาอีกรอบเพื่อเขาจะแกล้งอะไรฉัน

     
    “เปล่าครับ ไม่เลย ผมพูดจริงๆ”  คำตอบนั้นทำให้ฉันแทบหงายหลัง ให้ตายสิ! นี้มันเป็นเรื่องที่สุดยอดจริงๆ ต้องใช้ความพยายามมากมายขนาดไหนเนี้ยที่ทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ขนาดนี้

     
    “คุณโจเก่งจังเลยนะคะ เปลี่ยนแปลงตัวเองได้มากขนาดนี้” ฉันยังตกใจไม่หาย แต่คิดไปคิดมานี้มันเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมาก คนเราจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือต้องมีเหตุจูงใจอะไรสักอย่างแน่ๆ

     
    “ทำไมคุณจึงเปลี่ยนแปลงตัวเองละคะ” จริงๆแล้วเป็นคำที่ดูไม่สุภาพนิดหน่อย ออกแนวละลาบละล้วงไปหน่อย แต่ฉันพูดออกไปแล้วไม่ทันได้คิดดีๆเสียก่อน

     
    “อ๊ะ ขอโทษคะ หลินคิดว่าเป็นสาเหตุส่วนตัวของคุณ ไม่ต้องตอบก็ได้คะ” ฉันพยายามตัดบทก่อนที่ถลำลึกไปมากกว่านี้

     
    “อ๋อ ไม่เป็นไรครับ ผมอยากเล่า” โจทำหน้าตายิ้มแย้ม

     
    “เมื่อก่อนผมเองเหมือนอยู่คนเดียวน่ะครับ ไม่ค่อยเข้ากับใครได้ เพราะร่างกายนี้ละ ใครจะชวนทำอะไรก็เหนื่อยง่าย จะพูดกับใครเขาก็ไม่อยากจะพูดด้วยเท่าไร พูดไปหอบไปน่ะครับ” ก็นะ ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลอยู่หรอก ตาโจหยิบแก้วชาขึ้นมาดื่มแล้วพูดต่อว่า

     
    “แถมจะจีบสาวก็ได้แต่แอบมองเขาอยู่ฝ่ายเดียว จนสาวคนนั้นมีคนมาจีบแถมได้เป็นแฟนด้วย  แต่เราก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดกับเขาสักที” โจทำหน้าตาเศร้าๆ สาวคนนั้นคงสำคัญมากสำหรับเขาจริงๆจนทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนั้น

     
    “นอกจากนั้น แฟนคนนั้นไม่ใช่คนดีอะไรด้วย แถมทำให้เธอเจ็บตลอดเลย ผมเห็นเธอวันๆเอาแต่ร้องไห้ ผมยิ่งรู้สึกโทษแต่ตัวเอง ว่าทำไมไม่ลงมือทำอะไรสักที มัวแต่ทำอะไรอยู่”

     
    “แต่ที่ผิดที่สุดไม่ใช่หมอนั้น แต่เป็นผม คนที่ไม่มีความกล้าแม้แต่จะพูดคุยกับเธอ และปล่อยให้เธอผ่านไป” โจพูดด้วยน้ำตาที่คลอเบ้าทั้งสอง พลางขบกรามแน่น ฉันเองก็รู้สึกแย่ที่ไปกระตุ้นอารมณ์เขาแบบนี้ สถานการณ์แบบนี้ทำยังไงดีละเนี้ย?

     
    “ไม่เป็นไรคะ ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ถ้าเขาคนนั้นมาเห็นโจในตอนนี้ เขาจะเข้าใจคะ” ฉันเข้าใจทุกอย่าง ทั้งเรื่องกีฬา และมนุษยสัมพันธ์ที่ดีของเขา เพราะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เขาขาดหายไปในชั่วหนึ่งของชีวิต และเจ็บปวดกับสิ่งนั้นๆมากอย่างแสนสาหัส ฉันเองก็พูดได้คำว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างที่เลวร้ายจะช่วยทำให้เราเติบโตขึ้นทั้งนั้น

     
    “ครับผม ขอโทษที่ทำคุณหลินเครียดไปด้วยนะครับ” หมอนี้ยกชาขึ้นมา และทำให้สีหน้ายิ้มแย้มตามปกติ

     
    “ฝ่ายนี้ต้องเป็นฝ่ายขอโทษมากกว่าน่ะคะ” ฉันก้มหัวสำนึกผิดอย่างเต็มที่ ฉันขอโทษจริงๆนะ

     
    “ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็อยากเล่า ไม่เป็นไรๆ วันนี้ผมเรียนรู้ที่จะจัดการกับอดีตแล้ว มีความสุขกับปัจจุบันดีกว่าครับ” หมอนี้พูดพลางหยิบเนื้อเข้าปาก

     
    “ค๊า” ฉันเห็นหมอนี้ยิ้มได้อีกครั้ง ฉันเองก็รู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วละ
    เราพูดกันอีกสักเล็กน้อยก่อนที่มื้ออาหารของเราจะหมดลงไป สุดท้ายเราสองคนเลือกวิธีหารกันเพื่อความสบายใจของฉัน เพราะฉันก็ทานของเขาไปเยอะพอตัว ก็มันอร่อยนิหน่า เผลอตักเข้าปากไปไม่รู้ตัวตั้งหลายคำแน่ะ ฉันว่ามากินข้าวกับโจในครั้งนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะทำให้ฉันได้รับรู้อะไรหลากหลายอย่างในตัวเขาเอง และแน่นอนก็คือทบทวนความรู้สึกในตัวฉันเองถึงเรื่องราวต่างๆที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะเหมือนกัน

     
    “คุณหลินอยากกลับหรือยังครับ? คือผมต้องมีอะไรซื้อเพิ่มสักหน่อย” โจหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้านอาหารหลังจากเราสองคนจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว
    “อ๋อ ยังไม่ คุณโจเชิญตามสะดวกเลยคะ” นาฬิกาฉันเองก็เพิ่งจะบอกเวลาสองทุ่ม ปั่นจักรยานกลับคงไม่มืดเท่าไรมั้ง
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×