ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bitterblossom : รักหวาน(ขม)ของต้นฤดูร้อน

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 11 : การแข่งขัน

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 57


    “สวัสดีทุกคน มากันครบแล้วสินะ” หัวหน้าแผนกของฉันนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ห้องประชุมใหญ่ที่รวมพวกเราทุกคนที่ทำงานอยู่ในแผนกนี้ ฉันเองก็ไม่เคยเข้ามาที่นี้มาก่อนเลย เพราะปกติพวกเราเองก็ใช้ห้องประชุมอีกห้องหนึ่งที่เล็กกว่า และดูเป็นทางการน้อยกว่านี้ แถมส่วนใหญ่ก็ประชุมงานกันไม่ถึงสิบคนเลยไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเท่าใดนัก
     
    แต่วันนี้บรรยากาศของห้องที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมทั้งสีหน้าของหัวหน้านั้น ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนบ่าของฉันแบกรับอะไรสักอย่างไว้ ซึ่งบางคนในห้องก็ทำหน้าตาแบบเดียวกับฉันเลยในตอนนี้ แต่โจ พิ้งค์ และทิพย์ ทำสีหน้าปกติ แถมทำหน้าตาระรื่นซะด้วยซ้ำ พวกเพื่อนฉันเป็นอะไรกันน่ะ นี้มันถึงเวลาที่เราต้องเครียดไม่ใช่หรือไง แต่ว่าฉันเองก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะพวกเขาฉันอยู่ตรงกันข้ามกับฉัน ฉันยิ่งทำให้รู้สึกว่าอยู่ตัวเดียวไปมากขึ้นอีก เพราะความสบสันนั้นผสมกับความกดดันที่เกิดขึ้น

     
    “โอเค สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก” หว๋าย—ยย ว่าแล้วต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆเลย เรื่องอะไรละเนี้ย
     
    “เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภายในของบริษัท” หัวหน้าหรี่ตาลงอย่างมีเลศนัย ให้ตายสิ น้ำเสียงนั้นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกกังวลแบบสุดๆไปเลย
    “และแน่นอน เกี่ยวกับทุกแผนก และเกี่ยวข้องกับทุกคนด้วย!” 

    เหวออ—ออ อะไรน่ะ อะไรกัน! ฉันอยากจะไปวิ่งบีบคอหัวหน้าให้พูดออกมาได้แล้วว่ามันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันอยากจะบ้าตายแล้วตอนนี้! โอ๊ยยยย มีเรื่องอะไรกันนะ! ความเงียบงันของคนในห้องยิ่งทำให้บรรยากาศแห่งความดำมืดที่แผ่ซ่าน ขนฉันลุกเกรียวไปหมดเลยตอนนี้ ฉันอยากจะวิ่งหนีไปจากที่นี้จริงๆนะ!

     
    “การแข่งกีฬาภายในของเรานั้น…” หัวหน้าเริ่มพูดประโยคบรรยายอะไรต่ออะไร แต่ต้นคำพูดนั้นทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีคนมาทุบหัวฉันจนฉันไม่ได้ฟังอะไรต่อ ห๊ะ! ที่จะพูดนี้ก็คือเรื่องนี้? โหยย—ยย ฉันอยากตะโกนดังๆเลยว่านี้มันเรื่องบ้าอะไรกันฟระ! ทำไมถึงต้องพูดให้ดูซีเรียสอะไรกันนี้ อยากจะบีบคอหัวหน้าฉันจริง ๆใจฉันลงไปอยู่ตาตุ่มหมดแล้วว—วว

    ฉันเองก็หันไปเหลือบมองหน้าทั้งสามคนที่ตรงข้ามนั้น สีหน้าของพวกเขานี้เหมือนจะข่มหัวเราะฉันสุดๆ โดยเฉพาะตาโจนี้แทบเอามือปิดปาก แถมทุบโต๊ะเบาๆเพื่อข่มความขำเมื่อเขามองมาที่หน้าฉัน ให้ตายสิ เพื่อนฉันแกล้งฉันอีกแล้วอะ มิน่าเมื่อวานทั้งสามเลยไม่ได้บอกอะไรฉัน ตั้งใจจะมาแกล้งฉันวันนี้สิเนี้ย หน๊อยแน่! ฉันทำตัวไม่ถูก คิดแล้วแค้นชะมัด

     
    “กีฬาภายในของบริษัท แผนกของเรานี้เรียกได้ว่าเป็นตัวเต็งหนึ่งมาโดยตลอด ปีที่แล้วก็ผลงานได้ยอดเยี่ยมเป็นที่น่าพอใจ แต่นั้นไม่ได้หมายความพวกเราได้เป็นที่หนึ่ง แค่เกือบน่ะ อีกนิดเดียวเอง” หัวหน้าฉันพูดด้วยสีหน้าแข็งขันแต่สายตาของเขานั้นดูเศร้าๆ
     
    “เดี๋ยวเราต้องเริ่มแบ่งทีมซ้ำกันตั้งแต่เนิ่นๆ ใครจะลงอะไรหรือจะเสนออะไร ก็ลองไปคุยกับทิพย์ดูนะ จะได้เริ่มซ้อมกันเร็วๆ” เดี๋ยวนะๆ คือนี้มันแข่งกีฬาภายในไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมจริงจังกันขนาดนี้ละ นี้ไม่ได้จะไปแข่งระดับประเทศสักหน่อย อะไรจะมีอารมณ์ร่วมกันขนาดน้าน สายตาหัวหน้านี้ดูเอาจริงเอาจังยิ่งกว่าตอนทำงานซะอีก
     
    “ถึงพนักงานใหม่ พวกคุณอาจจะสงสัยว่าทำไมผมต้องซีเรียสกันขนาดนั้น” ใช่น่ะสิ ทำไม่ต้องขึงขังกันขนาดนี้
     
    “เพราะพวกคุณยังไม่ได้รู้ถึงรางวัลที่จะได้น่ะสิ” รางวัล? รางวัลอะไร? รางวัลคงจะเป็นพวกขนมนมเนย ไม่ก็อาหารดีๆสักมื้อละมั้ง หรือจะเป็นทริปไปเที่ยวหรูๆ แต่ก็ว่านะ มันเองก็ไม่ได้แรงขนาดต้องดูฮึดกันขนาดนี้นา แต่ว่ามันจะเป็นอะไรน่ะ
     
    “ถ้าแผนกของเราได้เหรียญทองสูงสุด รางวัลที่จะได้คือ เพิ่มวันลาหยุดให้อีกสิบวัน โดยไม่หักเงิน! เพิ่มเวลาพักกลางวันเป็นสองชั่วโมงทันที! เปลี่ยนเวลาตอกเวลาเข้าทำงานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง! แจกคูปองโรงอาหารทุกคนเดือนละสองพันบาท! แถมทริปไปเที่ยวดูงานต่างจังหวัดหนึ่งอาทิตย์! เครื่องชงกาแฟใหม่ล่าสุดและอาหารว่างขนมสุดหรูตลอดปี!” เฮ้ยๆ เดี๋ยวนี้ ในชีวิตทำงานแบบนี้ นี้มันยิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งซะอีก ให้ตายเหอะ! แจกอะไรมากมายก่ายก่องขนาดนี้ งบบริษัทเหลือเยอะมากหรือไงยะ

    แต่ช่างเถอะ ถ้าจะแจกขนาดนี้แล้วละก็ เป็นพอเป็นเหตุเป็นผลหน่อยที่หัวหน้าของฉันจะดูแข็งขันซะขนาดนั้น แถมยังทำให้สีหน้าเจ็บใจอีกเพราะปีที่แล้วแผนกเราก็ชวดรางวัลไป ก็นะ เป็นใคร ใครก็อยากได้ทั้งนั้น

    หลังจากประชุมในตอนเช้านั้น ฉันเองก็ฝันกลางวันจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยเลยว่าถ้าได้รางวัลนี้จะเป็นยังไง โห ลองคิดดู ฉันก็จะตื่นสายได้มากกว่าเดิม ปั่นจักรยานมาไม่ได้ต้องรีบ มีเวลาพักเยอะแถมประหยัดค่าข้าวไปด้วย ที่ทำงานจะกลายเป็นสวรรค์เลยชัดๆ

     
    “ไง คุณหลิน” เสียงนั้นปลุกฉันจากภวังค์ที่เพ้อเจ้อนั้น
     
    “อ้าว ไงคะ คุณโจ” โจเดินมาหาที่โต๊ะของฉันพร้อมๆกับพิ้งค์ ความจริงฉันเองก็ไม่ได้สังเกตว่าคนนั่งข้างๆฉันหายไป ตั้งแต่หลังประชุมช่วงเช้านั้น เพราะตั้งแต่หลังจากเลิกประชุม ฉันกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานและเริ่มจินตนาการว่ากำลังปั่นจักรยานอย่างเอื่อยเฉื่อยมาทำงาน ตอนทานข้าวก็ทานแบบเอื่อยเฉื่อย ดื่มกาแฟทานขนมหรูไปเรื่อยเปื่อย ให้ตายสิ แค่จินตนาการก็รู้สึกดีชะมัดแล้ว ถ้าเป็นจริงนี้ก็คงดีสุดๆ
     
    “สองคนหายไปไหนมาคะ” ฉันเองก็แกล้งถามไป เพราะจริงๆฉันเองก็เพิ่งรู้สึกตัวเมื้อกี้นี้เอง
     
    “อ๋อ ผมกับพิ้งค์ไปคุยกับทิพย์มาเรื่องแข่งกีฬามาน่ะ”
     
    “แล้วคุณหลินอยากลงแข่งอะไรไหมค๊า” พิ้งค์ถาม
     
    “ตอนนี้หลินเองก็ไม่รู้เหมือนกันคะ เพราะหลินเล่นกีฬาไม่เก่งเลย” ฉันเองก็ตอบพวกเขาไปตามจริง เพราะเห็นฉันจะดูเป็นสาวมั่นๆแบบนี้ แต่จริงๆแล้วกีฬาเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ไม่ถนัดเลยละคะ จำได้แต่ว่าเคยลงวิ่งแข่งตอนอยู่ประถมละมั้ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้แตะอะไรเลย จักรยานนี้เพิ่งแตะในรอบหลายปี เลยคิดว่าถ้าจะลงสนามไปเลยคิดว่าน่าจะเกะกะเขาเปล่าๆมากกว่าจะช่วยให้ดีขึ้น แต่ลึกๆเองฉันก็อยากมีร่วมในกิจกรรมนี้นะ อย่างน้อยก็ถือซะว่าเป็นการสานสัมพันธ์อันดีของผู้คนที่นี้ก็แล้วกัน
     
    “งั้นคุณหลิน ลองไปคุยกับทิพย์ดูก็ได้คะ เพราะนอกจากกีฬาหลักๆ ยังมีพวกแข่งแบบสันทนาการรวมอยู่ด้วยละค๊า”
     
    “อ๋อ งั้นเหรอคะ ขอบคุณมากคะ” ฉันเองก็รู้สึกโล่งใจนิดหน่อยเพราะคิดว่าอย่างน้อยพวกกีฬาจำพวกสันทนาการอะไรทำนองนี้คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงมากหรอก ดีดี อย่างน้อยให้มีส่วนร่วมกับพวกเขาบางก็ยังดี ฉันเลยจะลุกไปจากโต๊ะเพราะตอนนี้ฉันเองก็ว่างหน่อยๆจากการตอบจดหมายเสร็จทั้งหมด แถมหัวหน้าเองก็ไม่ได้อยู่แถวนี้ด้วย ทิพย์เองก็คงว่างอยู่เพราะเพิ่งคุยกับสองคนนี้เสร็จ ฉันว่าฉันเดินไปคุยเลยดีกว่า แต่ก็ที่ฉันจะลุกจากเก้าอี้ โจเองก็เอาถุงกระดาษส่งให้ฉัน
     
    “คืออะไรค่ะ?” ฉันงงๆกับท่าที่ของโจ
     
    “อ๋อ ผม ไม่สิ พวกเราอยากจะขอโทษที่แหย่คุณเล่นเมื่อวันศุกร์น่ะ โทษทีนะ ที่ทำให้เครียด”
     
    “เป็นเค้กมองบลังนะคะ อร่อยน๊า พิ้งค์ชอบกินเค้กร้านนี้ประจำเลย”
     
    “อ๋อๆ ขอบคุณนะคะ แต่หลินเองก็ไม่ได้เครียดอะไร” ฉันเองก็พูดรักษาน้ำใจพวกเขาไว้หน่อย แต่ถึงจะบอกไม่เครียดก็ตาม แต่มันก็พูดไม่ได้เต็มปากหรอกนะ แต่ถ้าพวกเขาทำเพื่อฉันแล้ว อะไรๆฉันก็โอเคทั้งนั้นละ
     
    “ไม่เป็นไรๆ ถือว่าเราสองคนซื้อมาฝากละกันนะ” พวกเขาสองคนยิ้มด้วยท่าทางที่เป็นมิตร นั้นทำให้ความรู้สึกของฉันดีขึ้นจากเมื่อเช้า เอาเข้าจริงๆฉันเองก็ไม่ได้โมโหพวกเขาสักหน่อยที่มาแกล้งฉันเล่น แต่อาจจะไม่ชอบใจที่โจทำท่าอย่างนั้น แต่ว่ามันคงเป็นเรื่องขี้ประติ๋วไปหน่อยถ้าจะใส่ใจขนาดนั้น

    ให้ตายสิ คนเรานี้มันรู้สึกซับซ้อนอะไรกันขนาดนี้เลยเหรอ หรือว่าเป็นฉันคนเดียวที่มีความรู้สึกอะไรประมาณนี้ แต่ตอนนี้ฉันเองก็ขอบคุณพวกเขาที่รักษาน้ำใจนั้น ฉันเองก็ควรตอบรับความรู้สึกนั้นด้วย...ละมั้ง

     
    ฉันเอ่ยปากขอบคุณพวกเขาและขอตัวเดินไปหาทิพย์ที่เคาเตอร์หน้าลิฟท์นั้น ฉันเองก็รีบเดินไปอย่างรวดเร็ว เรองเท้าส้นสูงสีดำกระทบกับพื้นที่ปูด้วยพรมสีน้ำเงินเข้มนั้นส่งเสียงเป็นจังหวะ ถึงแม้ว่าจะไม่ดังมากนัก แต่ว่าถ้าใครสักคนคุ้นเสียงกับความจอแจในที่ทำงาน นั้นคงรู้ว่าคงเป็นใครสักคนที่กำลังรีบเดินอย่างสุดๆ ถึงแม้ว่าเมื่อกี้ฉันจะหันซ้ายหันขวา เหลือบมองดูหัวหน้าแล้วเขาคงไปที่อื่น

    แต่ว่ายังไงก็ตาม การเดินออกมาทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาพักนี้ก็ดูเป็นอะไรที่เสี่ยง แล้วทำไมฉันถึงไม่รอตอนพักละ ก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันเองมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าจะอยากทำอะไรสักอย่าง ก็อยากทำให้มันเสร็จๆเมื่อมีโอกาส การแข่งขันกีฬานี้มันกวนใจฉันชะมัด เพราะรางวัลบ้าๆบอๆนั้นละ การทำงานฉันเลยเหมือนสะดุดกึก ถ้าไปคุยกับทิพย์มันคงจะโล่งใจไปได้เปราะหนึ่งละ ฉันจะได้เอาเวลาไปเตรียมตัวซ้อม ไม่สิ จะได้คิดเรื่องอื่นต่อ ให้มันเสร็จเป็นเรื่องๆไป
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×