ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bitterblossom : รักหวาน(ขม)ของต้นฤดูร้อน

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 10 : ตื่น

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 57


    ฉันลืมตาตื่นขึ้นจากความงัวเงียด้วยการหลับไหลเป็นเวลาหลายชั่วโมง ที่นอนกับผ้าห่มนี้นุ่มแถมหอมชะมัด น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อใหม่ที่ซื้อมานี้ดีมากเลย ผิดกับยี่ห้อเก่าลิบลับ ถึงที่นอนกับผ้าห่มนี้จะมาเป็นของคุณยายฉันก็ตาม ดูแล้วๆมันก็เก่านิดหน่อยตอนที่เห็นมันครั้งแรกอะนะ แต่พอเอาไปซักนี้ โห สุดยอดแห่งความนุ่มจริงๆ ไม่รู้ว่าเพราะน้ำยาหรือของมันดีอยู่แล้ว

    นอกจากพวกที่นอน ก็มีพวกพรม ผ้าม่าน และพวกฟอร์นิเจอร์นี้ละ ที่พอทำความสะอาดจริงๆจังๆก็ทำให้รู้สึกว่ามันยังใช้ได้ดีอยู่ ฉันเลยไม่ได้ซื้ออะไรใหม่เข้าบ้านเลย ถ้าจะมีจริงๆก็คงพวกเสื้อผ้านั้นละ แต่มันไม่ใช้เสื้อผ้าสวยๆอะไรหรอกนะ ส่วนใหญ่ที่ซื้อมาก็พวกเป็นชุดทำงาน เสื้อเชิ๊ต กระโปรงสีเรียบๆ อะไรทำนองนี้ละ

    ถ้าใครสักคนมาเห็นบ้านของฉันละก็ตอนนี้ คงจะบอกว่าคงไม่น่ารัก เพราะที่บ้านก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากแจกันดอกไม้ที่วางอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น แถมสนามหญ้าเองก็ไม่ได้ต้นไม้หรือดอกไม้อะไรด้วยเลย มีแต่หญ้าเรียบๆ ที่ฉันคิดว่ามันโตเร็วชะมัด ทั้งที่ฉันเองก็ไม่ได้ไปยุ่งหรือทำอะไรกับมันเลย โชคดีที่บ้านนี้มีเครื่องตัดหญ้าอยู่ เป็นแบบที่ใช้เป็นอาศัยแรงเข็นใบมีดน่ะ ก็เลยตัดเองได้ คิดดูถ้าไม่มีเครื่องนี้ ฉันคงจะต้องไปซื้อกรรไกรตัดมาเอง สงสัยคงต้องมานั่งหลังปวดหลังแข็งทุกสัปดาห์แน่ๆ

     
     
    แต่จะพูดถึงเรื่องความน่ารัก ไอ้บ้าบ้านข้างๆฉันนี้กลับทำดีกว่าฉันซะอีก ตอนเวลาที่ฉันย้ายมาอยู่ทีนี้ หมอนี้เองก็หมั่นดูแลแปลงดอกไม้ จัดสวนนู่นนี้ไป บางวันริวก็รดน้ำต้นไม้สาดเข้ามารดสนามหญ้าฉันด้วย นอกจากเรื่องทำสวน งานบ้านหมอนี้ก็ดูแลดีไม่แพ้กัน หมอนี้ปัดกวาดบ้านซะสะอาดเชียว ขยันถู ขยันกวาด อยู่นั้นละ

    ทำไมฉันเห็นน่ะเหรอ ก็เพราะกำแพงเตี้ยๆกับหน้าต่างกว้างๆที่อยู่ตรงข้ามกับระเบียงของฉันพอดีน่ะสิ แถมหมอนี้เป็นประเภทพวกไม่ชอบปิดผ้าม่านด้วย ฉันเองก็เลยแทบจะรู้ความเป็นไปของเขาหมด ถึงฉันจะไม่เคยเข้าไปในบ้านหมอนี้ แต่จากหน้าต่างนั้นทำให้ฉันรู้ว่าข้างในบ้านหมอนี้ตกแต่งได้น่ารักมากๆ ทั้งโคมอันสีขาวที่อยู่ตรงมุมห้องนั้น ตุ๊กตากระต่ายตรงที่ทีวี แถมเลยมาหน่อยยังมีผ้ากันเปื้อนสีชมพูอ่อนๆนั้นอีก ให้ตายสิ หมอนี้เบี่ยงเบนรึป่าวเนี้ย แต่ถ้าเป็นจริงๆฉันว่าปอเองก็คงไม่ได้ชอบ หรือว่าปอจะดูไม่ออก บ้าน่า! คบกันตั้งหลายปี ถ้าเป็นจริงก็คงรู้แล้วละ

    แต่จริงๆจะฟันธงว่าปอชอบริวจริงๆก็คงไม่ถูกนัก เพราะปอเองก็ไม่เคยมาพูดอะไรให้ฉันฟังเลย ฉันเองก็เดาไปมั่วเรื่อยเปื่อยมากกว่าน่ะ  แต่มีสองสิ่งที่ฉันมั่นใจคือ ริวเป็นคนบ้าแน่นอน ชัวร์ป้าบ เรื่องที่สองคือ บ้านหมอนี้ ไม่สิ รวมทั้งถึงอาชีพของหมอนี้ด้วย มันน่ารักมากๆ อย่างน้อยก็มากกว่าสาวออฟฟิศอย่างฉันที่ทำแต่เช็คเมล์ตอบรับออเดอร์ต่างๆ แต่จะว่าไปหน้าตาหมอนี้ก็หล่อ หุ่นก็ดีอีกด้วย ให้ตายสิ มันจะเพอร์เฟ็กต์ไปไหนละนิ ฉันเองก็อิจฉาชะมัด

     
     
    นี้เองก็ช่วงเวลาบ่ายโมง ฉันเองก็ตกใจนิดหน่อยที่ฉันตื่นสายขนาดนี้ แต่อย่างว่าละ เมื่อวานฉันเองก็ไปผจญภัยซะขนาดนั้นจะตื่นตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เมื่อวานสนุกจริงๆนะ ฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกสดชื่นแบบนี้มานานมากแล้ว ไม่เชื่อว่าการปั่นจักรยานในฤดูร้อนนั้นมันทำให้หวนระลึกอะไรได้หลายอย่าง ก็ไม่รู้สิ การปั่นจักรยานแบบนี้มันทำให้ถึงตอนที่ฉันยังเด็ก ไม่ต้องรับรู้เรื่องอะไรมากเท่านี้

    ตอนเด็กฉันว่า ฉันเองก็มีความสุขมากกว่าตอนนี้ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไร มีชีวิตอยู่ภายใต้ความร่มเย็นของครอบครัว และความผูกพันธ์ที่แน่นแฟ้นนั้น แต่พอเราได้เรียนรู้โลกตามกาลเวลาที่ผ่าน
    แม้ว่าเราจะรับรู้ถึงความจริงแท้แค่เพียงนิดหน่อยก็ตาม ความรู้สึกที่บริสุทธ์นั้นก็เหมือนกับจะจางหายไป ยิ่งนานวันความรู้สึกนั้นยิ่งเหมือนจะถูกลืมเลือนไปเรื่อยๆ เพราะความรู้สึกนั้นเอง ได้ถูกบดบังด้วยความคาดหวังที่ดูจะหนักอึ้ง แต่ผ่านไปสักพัก เราทุกคนกลับยอมรับมันได้อย่างแปลกประหลาด แต่ลึกๆฉันเองก็ไม่ได้ชอบความรู้สึกนี้เลย

    ความกว้างใหญ่ของโลกที่แสนอบอุ่นตอนเด็กนั้น ฉันไม่อยากจะลืมมันไปจริงๆ ฉันยังอยากเก็บความรู้สึกให้นานเท่านาน ตราบใดที่ฉันยังคงยืนหยัดบนโลกในนี้ได้ แต่ว่าฉันเองก็ขอถอนคำพูดนะ ที่บอกว่าตอนเด็กของฉันดูเหมือนจะมีความสุขมากกว่า เพราะจริงๆแล้วพวกเราเองก็สามารถเก็บเกี่ยวความสุขที่ผ่านเข้ามาจากทุกช่วงเวลาของชีวิต

    ถึงแม้ว่าจังหวะชีวิตของเรานั้นจะไม่ราบรื่น หรือไม่ได้อบอุ่นเท่ากับเวลาที่เคยเป็นมา แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในองค์ประกอบของชีวิต ความสุขนั้นเดินเข้ามาเราในรูปแบบที่แตกต่างกันเสมอ มันอาจจะไม่ได้เป็นเหมือนตุ๊กตากระต่ายที่ดูนุ่มน่ากอด แต่อาจจะเป็นยารสขมที่เราทุกคนเบือนหน้าหนี แต่มันเยียวยาให้เรารู้สึกตัวและตื่นจากฝันร้ายได้ ฉันไม่เชื่อว่าความสุขของคนเราไม่ได้มาเป็นรูปแบบอ่อนโยนนั้น แต่ความสุขนั้นอยู่เคียงข้างเราเสมอ และคอยสะกิดเราตลอดเวลา และหวังว่าเราจะรับรู้ถึงการมีตัวตนของความสุขนั้นได้

     
     
    ความรู้สึกบ้าบอๆของฉันในตอนนี้นั้นแทนที่ด้วยเสียงท้องร้องแล้วละ อ๊ายย-ยย หิวชะมัด มีอะไรกินบ้างนิ ฉันลากตัวเองในสภาพที่ยับเยิน มันยู้ยี้เหมือนที่สภาพที่นอนของฉันเลย ก็ฉันเป็นคนนอนดิ้นนิ ฉะนั้นจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าตื่นนอนมาตอนเช้า ฉันอยู่ที่พื้นแทนที่จะอยู่บนเตียง

    แต่ก่อนอื่นเที่ยงนี้ ไม่สิ บ่ายนี้มีอะไรกินบ้าง ฉันเดินไปเปิดตู้เย็นดู มันพอมีไข่อยู่สักแพคหนึ่ง นับดูคราวๆประมาณโหลหนึ่งละมั้ง กับพวกบรรดาผัก กับเนื้อสัตว์นิดหน่อย แล้วก็ข้าวเปล่าที่ฉันชอบหุงไว้เยอะๆแล้วค่อยมาอุ่นด้วยไมโครเวฟทีหลัง ฉันจะได้ไม่ได้เสียเวลาหุงหลังจากกลับมาจากทำงาน วิธีมันก็ดูสะดวกดี แต่ว่าถึงว่ามันไม่ถูกสุขลักษณะก็เถอะ เพราะของที่ทำใหม่ๆก็ดีกว่าที่กว่าของที่เก็บไว้นานๆ

    นอกจากพวกอาหารสด ฉันเองก็มีขนมปัง กับพวกขนมกินเล่นอยู่เต็มเลย ถึงจะหิวแค่ไหนก็ตาม แต่จะให้มากินขนมแทนข้าวกลางวันนี้คงจะไม่ดีเท่าไรมั้งฉันว่านะ แต่ฉันเองก็หิวมากเลย เลยยัดขนมปังเข้าปากไปแผ่นหนึ่ง และลงมือทำกับข้าว แต่ว่าคงไม่ได้ทำอะไรยุ่งยากมากนักหรอก ก็คงเป็นไข่เจียวโปะข้าวธรรมดาไปให้พออิ่มท้องไปมื้อหนึ่งก็พอ

     
     
    ฉันเริ่มตอกไข่ใส่ชาม พลางเอาข้าวใส่จานแก้วที่ทนความร้อนไปอุ่นใรนไมโครเวฟ ตั้งกระทะรอน้ำมันร้อน แต่ก็ยังไม่ได้ทันทำอะไร คนบ้ามาเกาะประตูกระจกตรงระเบียงอีกแล้ว แถมหน้าตาประหลาดอีก ฉันเลยเปิดไฟก่อนแล้วเดินไปดู
     
     
    “มาอีกแล้ว บ้านช่องตัวเองไม่อยู่หรือไง”
     
     
    “แหะๆ เธอทำไรอยู่” หมอนี้ทำบู้บี้แถมดูอ้อนๆเหมือนอีกต่างหาก
     
     
    “ว่าจะเริ่มทำกับข้าวน่ะ” ฉันตอบไปอย่างเซงๆเพราะหิวข้าวชะมัด มาทำอะไรตอนนี้เนี้ย
     
     
    “โห ทำไรกินอะ กินด้วยดิ” หมอนี้เดินเปิดประตูเข้าบ้านฉันมาเฉยเลย และดินดุ่มๆไปที่ครัวอีกต่างหาก แถมตู้เย็นดูนู่นดูนี่อีกต่างหาก ฉันเองก็ห้ามเขาไม่ทันตลอดเลย
     
     
    “หืม เธอจะทำไข่เจียวสินะ งั้นฉันทำให้ๆ” ริวคงสังเกตไข่ที่ฉันตอกเอาไว้ แถมหน้าตื่นเต้นอีกต่างหาก จะมาตื่นเต้นกับอะไรกับไข่เจียวกันเนี้ยย--ยย
     
     
    “งั้นเดี้ยวฉันทำให้ละกันนะ เธอไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนเถอะ” เขาพูดพลางโบกมือไล่ฉันไป แถมยิ้มอย่างมั่นใจอีกด้วย
     
     
    “ไม่เป็นไร ฉันทำเองได้”
     
     
    “น่าๆ ให้ฉันทำ” เขาพูดด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า เหมือนมั่นใจในฝีมือตัวเองสุดๆ ก็ดีนะ เพราะฉันเองก็เพิ่งตื่นเลยยังเมื่อยๆอยู่นิดหน่อย แต่ก็แปลกใจนิดหน่อยที่หมอนี้ยังไม่ได้กินข้าว คนกินเก่งอย่างริวนี้น่าจะซัดข้าวกลางวันไปตั้งแต่สิบเอ็ดโมงแล้ว

    แต่ก่อนอื่น ลืมไปฉันเองก็ยังอยู่ชุดนอนแถมหน้าตาก็ยังไม่ได้ล้างเลยนินา น่าอายชะมัด รีบเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ก็อาบน้ำเลยดีกว่า หว๋าย หมอนี้ก็นะ ไม่ได้ทักอะไรเลย ฉันตัวเหม็นไหมนิ ฟันก็ยังไม่ได้แปรงด้วยละ อ๊ายย—ยย อยากจะบ้า ทำไมหมอนี้ต้องโผล่มาตอนนี้ด้วยเนี้ยย—ยย

     
     
    “งั้นเดี๋ยวฉันไปทำธุระแปปนะ” ฉันเองก็รีบๆพูดไป เพราะฉันเองก็อายจะแย่อยู่แล้ว
     
     
    “จ้าๆ” ริวตอบกลับมาทั้งๆที่เขาไม่ได้หันมามองที่ฉันด้วยซ้ำ สายตาหมอนี้จมองแต่ของในตู้เย็นแถมเปิดตู้เก็บข้าวเครื่องใช้ในครัวซะหมดเลย ช่างเถอะ ตอนนี้ถึงเวลาต้องหลบไปแต่งตัวละ ฉันเองก็รีบวิ่งเข้าห้องนอนตัวเองไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ห้องนอนของฉันมีห้องน้ำในตัว มันก็ดีนะสำหรับสถานการณ์แบบนี้ เพราะฉันไม่เองก็ไม่กล้าไปอาบน้ำที่ห้องน้ำใกล้ๆห้องครัวนั้นหรอก ขืนไปหมอนี้คงจะได้เห็นอะไรๆในตัวฉันแน่ ว่าแล้วฉันก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า
     
     
    ---------------------------------------------------------------------------
     
     
    เสียงประตูไม้เก่าถูกเปิดออกมา ฉันก้าวออกมาจากห้องด้วยชุดที่เรียบง่ายธรรมดา แต่มันดูสุภาพหน่อยที่พอจะให้แขกไม่ตกใจ ถึงแม้ว่าแขกของฉันจะไม่ได้เป็นคนอื่นคนไกลก็ตาม แถมเขามาแบบไม่ได้รับเชิญอีกด้วย แต่ก็นะเพราะว่าเป็นหมอนี้ฉันเองก็รู้สึกเบาใจและไม่ประหม่าเลย ถึงฉันจะเป็นพวกประเภทที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนักก็ตาม แต่การที่ริวมาอยู่ที่นี้กับฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกมันอึดอัด กลับรู้สึกสบายๆด้วยซ้ำ ฉันเดินมาจากทางเดินแคบๆจากห้องนอนนั้น แล้วมาหยุดตรงห้องครัว ก็เหมือนเห็นริวกำลังเสร็จจากในครัวพอดี พร้อมถือจานกับข้าวอยู่ในมือแล้ว
     
     
    “เสร็จแล้วเหรอ มากินกันมาๆ” เขาเดินผ่านหน้าไปตรงยังโต๊ะทานข้าว แล้วถอดผ้ากันเปื้อนออกวางไว้ที่เก้าอี้
     
     
    “อ้าว จะยืนอึ้งทำไม มาๆ” เขาพูดพลางกวักมือเรียกฉันให้ไปนั่ง
     
     
    ถึงเขาจะไม่ได้เรียก แต่กลิ่นกับข้าวหอมๆนั้นเหมือนจะเชิญชวนให้ฉันเข้าไปนั่งอย่างไม่ลังเลอะไร กับข้าวบนโต๊ะก็เป็นเมนูง่ายๆ อย่างหมูกระเทียม ผัดผักรวม ไข่เจียว ถึงจะดูธรรมดาแต่ว่าจากวัตถุดิบที่เหลือๆในตู้เย็นนั้นก็เพียงพอแล้วละ แถมยังดูน่ากินกว่าที่ฉันคิด

    ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะความหิวหรือเปล่าถึงจะได้ทุกอย่างเลยดูน่าอร่อยชะมัด ริวเองก็เดินมาตักข้าวจากล่องพลาสติกนั้นใส่จานฉัน และตักใส่จานตัวเองบ้าง แล้วเขาก็นั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามฉัน ฉันก็เองยิ้มให้เขาสักทีเป็นนัยยะว่าฉันขอบคุณเขา เขาเองก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มเหมือนกัน

     
     
    แสงแดดช่วงบ่ายที่ลอดผ่านบล๊อคแก้วตรงผนังสาดเข้ามาให้ทำโต๊ะทานข้าวของฉันในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ ถึงแม้ว่าฉันว่าวันนี้จะดูร้อนๆไปหน่อย แต่ในบ้านของฉันที่มีหน้าต่างมากขนาดนี้ กับการที่ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จนั้นก็ไม่ทำให้รู้สึกร้อนจนเกินไป กับข้าวของหมอนี้อร่อยจริงๆละ ฉันเองก็ตักข้าวคำแล้วคำเล่าเพราะรสชาตินั้น ไหนหมอนี้เป็นแค่ลูกมือคุณยายไง แต่ว่าริวเองก็คงมีฝีมือจริงๆละ ทั้งรูปร่างหน้าตา รสชาติ ฉันให้ผ่านจริงๆนะ หมอนี้ไปเปิดร้านอาหารได้โดยไม่ต้องอายใครเลย
     
     
    “นี้เธออย่ารีบกินสิ เดี๋ยวติดคอ” เขาพูดแล้วหันมามองหน้าฉัน
     
     
    “โอ๊ะๆ” ฉันพูดพลางเอามือปิดปาก และหันหน้าไปอีกทาง เพราะมันเขินชะมัดที่เขาพูดถูก ฉันรีบกินจริงๆนั้นละ เขาเลยเดินเข้าไปครัวอีกรอบ เปิดตู้หยิบแก้วและรินน้ำจากตู้เย็นมาให้ฉัน
     
     
    “อือ ขอบคุณนะ” ฉันตอบเขาไป พลางดื่มเข้าไปเล็กน้อยเพราะฉันเองก็ติดคอหน่อยๆละ
     
     
    “นายเองก็มีฝีมือนะ” ฉันพูดพลางตักข้าวเข้าปากเคี้ยวไปด้วย
     
     
    “ฉันว่าเธอหิวมากกว่ามั้ง” เขาหัวเราะเบาๆ
     
     
    “ก็คงงั้น” ฉันตอบเขาไปอย่างส่งๆ เพราะความหิวนั้นละ
     
     
    “โห เธอนี้ใจร้ายชะมัด น่าจะบอกว่า “นี้นายทำอร่อยจริงๆ” ประมาณนี้อะ” ริวทำหน้าผิดหวังสุดๆ แต่มันก็จริงที่หมอนี้ทำกับข้าวอร่อย แต่พอเห็นหน้ากวนประสาทของหมอนี้ทีไร ฉันยิ่งอยากจะแกล้งเขาไปให้สุดๆเหมือนกัน ยิ่งเวลาเขาทำหน้าแบบเด็กๆนะ ฉันเองก็ยิ่งอยากแกล้งเขาเข้าไปอีก
     
     
    “จ้าๆ” ฉันก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อ
     
     
    “แต่ว่าบ่ายโมงแล้ว ทำไมนายเองถึงยังไม่ได้กินข้าว” ฉันถามเขาไป เพราะปากเองก็เริ่มว่างจากท้องที่เริ่มอิ่ม
     
     
    “ก็ฉันเพิ่งตื่น ฉันเองก็เดาว่าเธอก็คงเหมือนกัน เลยปีนมาดู”
     
     
    “นายนี้เป็นแมวหรือไงยะ ปีนเข้าบ้านคนนู่นคนนี้อยู่ได้"
     
     
    “แต่ฉันก็เดาถูกใช่ไหมละ” เขามองหน้าฉันราวกว่าเขาเองจับผิดอะไรฉันได้สักอย่าง ฉันเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก็อย่างว่ามันเป็นเรื่องจริงนิ
     
     
    “ตอนแรกฉันว่าจะมาหาตอนเย็นละ แต่นี้ก็ดีแล้ว ตอนเย็นเธอจะได้พักสักหน่อย พรุ่งนี้ทำงานไม่ใช่เหรอ”
     
     
    “ก็จริงนะ แต่ยังไงซะก็ขอบคุณมากนะสำหรับอาหาร อร่อยมากเลย”
     
     
    “ว่าแล้วเธอเองก็ไม่ได้เป็นคนใจร้ายหรอก” เขาหัวเราะลั่น หลังจากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะเราเต็มไปด้วยความสนุกสนาน พอๆกับหน้าตาหมอนี้ละ เอาเรื่องร้อยพันมาเล่าให้ฉันฟังแบบไม่มีหยุด มื้ออาหารของฉันทุกครั้งที่มีริวร่วมโต๊ะนี้ไม่เคยจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเลยจริงๆนะเหมือนเวลาจะผ่านไปเร็วเสมอตลอดเลย จากตะวันสาดแสงส้มสะท้อนเข้ามา ท้องฟ้าเริ่มกลับกลายเป็นสีม่วงอมดำ เป็นสัญญานบอกเวลาว่านี้ใกล้ค่ำแล้ว
     
     
    “ฉันขอบคุณอีกครั้งนะ สำหรับอาหาร และก็เรื่องตลกๆของนายด้วย”
     
     
    “ไม่เป็นไรๆ ฉันเองก็มีความสุขด้วยที่ทำ” เขายิ้มแป้นเลยทีเดียว
     
     
    “ก็นะ แต่ว่านายเองก็กลับบ้านไปได้แล้วมั้ง เดี๋ยวพรุ่งนี้นายก็ต้องไปเปิดร้านไม่ใช่เหรอ วันนี้ฉันเกรงใจนายแย่แล้ว”
     
     
    “พรุ่งนี้ที่ร้านหยุดน่ะ” ห๊ะ! หยุด? หยุดทำไม? ฉันเองเหลือบตามองปฎิทินตรงตู้เย็น พรุ่งนี้เองก็ไม่ได้เป็นวันพิเศษอะไรนินา
     
     
    “หยุดทำไมน่ะ? ปฎิทินไม่เห็นมีอะไรบอกไว้เลย” ฉันสงสัย
     
     
    “ก็ฉันอยากหยุด”
     
     
    “นายนี้อินดี้เป็นบ้า” คนบ้าชอบทำอะไรบ้าๆสินะ
     
     
    “ฮะฮ่า ฉันล้อเล่น พรุ่งนี้มีธุระข้างนอก แต่ว่าฉันเองก็ไปดีกว่า เพราะต้องไปแต่เช้า งั้นฉันไปละ บาย” ริวลุกจากเก้าอี้ เปิอดประตูกระจกออกไปที่ระเบียง เดินผ่านสนามหญ้าของฉัน แล้วปีนออกไปนอกกำแพงเฉยเลย
     
     
    “อ่า โอเค งั้นบาย ไว้เจอกันนะ” ฉันตะโกนไล่เขาเข้าไป หมอนี้บทจะไปจะมานี้ก็นะ เป็นอะไรที่ตั้งตัวไม่ถูกจริงๆ แต่ตอนหลังฉันเองก็เริ่มชินๆละ แต่ว่าฉันเองก็สงสัยนิดหน่อยถึงธุระของริว ถึงตานี้จะดูเหมือนเด็กๆชอบเล่นอะไรแพลงตลอดเวลา แต่ว่าริวเองก็เป็นประเภทคนขยันทำงาน ตื่นแต่เช้าตรู่ไปเปิดร้านตลอด ตอนนี้ฉันไปหาเขาที่ร้านนั้นก็เห็นเขาทำนู่นทำนี่อยู่ตลอด ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญจริงๆหมอนี้ไม่ปิดร้านหรอก ฉันว่าอย่างนั้นนะ

    แต่ก็ก่อนที่ฉันจะไปยุ่งเรื่องเรื่องชาวบ้านฉัน ที่แผนกก็มีประชุมพรุ่งนี้เหมือนกัน หัวหน้าเองก็บอกว่าเป็นเรื่องสำคัญด้วย ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไร เพราะดูจากผลประกอบการของบริษัทเองก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีอยู่แล้ว ไม่น่ามีปัญหาอะไร พอถามโจ โจเองก็บอกว่า “เดี๋ยวรู้เอง” ยิ่งทำให้ฉันกังวลแบบสุดๆไปเลยเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา โชคดีที่ริวเองก็ชวนฉันไปเที่ยวช่วงวันหยุด ฉันเลยไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ทำงานเลย ไม่เป็นไรๆ ฉันเองก็ปลอบใจตัวเองให้หายเครียด เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เองละนา
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×