ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พัฒนาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย

    ลำดับตอนที่ #5 : 1.2.3 ความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก

    • อัปเดตล่าสุด 15 ม.ค. 52


    1. โปรตุเกส โปรตุเกศเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เข้ามาติดต่อกับอยุธยาในช่วง พุทธศตวรรษที่ 21 โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ  คือต้องการผลประโยชน์ทางการค้าและเผยแผ่ศาสนา

           หลังจากโปรตุเกสยึดครองมะละกาได้ส่งทุ๖เข้ามาเจริญพระราชไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2054   ตรงกับสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าของสองประเทศได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการและดำเนินไปด้วยดี  โปรตุเกสได้รับอนุญาตให้ค้าขายได้ที่กรุงศรีอยุธยา  ปัตตานี  นครศรีธรรมราช  และมะริด

           โปรตุเกสขายปืนและอาวุธสงครามให้แก่อยุธยาเป็นการแลกเปลี่ยนกับสิทธิในการค้า  ชุมชนชาวโปรตุเกสได้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่  ประกอบด้วยบาทหลวง  พ่อค้า  และทหารรับจ้าง เหล่านี้รับราชการในราชสำนักอยุธยาเช่นเดียวกับที่รับราชการอยู่ในรัฐต่างๆ ในเอเชีย  โดยเป็นผู้เชียวชาญในเรื่องอาวุธปืน การสร้างป้อมปราการและการทำสงครามตามแบบฉบับของยุโรป  การที่กษัตริย์อยุธยามีอาวุธปืนไว้ใช้ทำให้เป็นที่ยำเกรงของศัตรู  บาทหลวงชาวโปรตุเกสยังได้สร้างโบสถ์บนพื้นที่  ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโปรตุเกส

            2.  สเปน ชาวสเปนสามารถตั้งมั่นอยู่ที่เมืองมะนิลาในหมู่เกาะฟิลิปปินส์  ผู้สำเร็จราชการสเปนที่กรุงมะนิลา  ส่งคณะทูตเข้าติดต่อกับกรุง-ศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2141 ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแต่สัมพันธภาพระหว่างไทยกับสเปนไม่ได้ราบรื่นและขาดความต่อเนื่อง  เนื่องจากสเปนสนับสนุนให้เขมรซึ่งเป็นประเทศราชของไทยเป็นอิสระจากอยุธยา  โดยหวังจะใช้เป็นศูนย์กลางการค้าและเป็นแหล่งเผยแผ่คริสต์ศาสนาจึงบาดหมางกับไทย

           ใน พ.ศ. 2167 สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม  ไทยกับสเปนขัดแย้งกัน เนื่องจากสเปนและโปรตุเกสได้ยึดเรือสินค้าของฮอลันดาในแม่น้ำเจ้าพระยา  แต่ถูกอยุธยาบังคับให้คืนแก่ฮอลันดาความสัมพันธ์กับสเปนจึงเสื่อมลง และขาดการติดต่อกันไปประมาณ  60 ปี สเปนจึงกลับเข้ามาติดต่ออีกครั้งในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  แต่ความสัมพันธ์ยังคงไม่ราบรื่นเช่นเคย

           สเปนส่งคณะทูตมายังกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งครั้งหนึ่งใ พ.ศ. 2261สมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 ( พระเจ้าท้ายสระ ) แต่สัมพันธภาพไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น

           ชาวสเปนไม่ได้ตั้งรกรากในกรุงศรีอยุธยาจึงไม่ได้มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมหลงเหลือให้เห็นเด่นชัด

            เรื่องน่ารู้   

    เมื่อชาติตะวันตกเข้ามาค้าขายทางโลกตะวันออก มี 3 ชาติที่ตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของชาติตนขึ้นได้แก่

    บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ( English East India Company ) ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2143 ยุบเลิกเมื่อ พ.ศ. 2380 อังกฤษอนุญาตให้ผูกขาดการค้าในตะวันออกไกลและอินเดีย  ภายหลังมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้างมากทำให้บริษัทได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นผู้แทนของจักรวรรดิอังกฤษ

    บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา ( Dutch East India Company ) มีชื่อเต็มเป็นภาษาดัชว่า Vereenigda Geactroyeerde Oost Fndisch Companie  เรียกย่อว่า วีโอซี ( VOC ) เป็นกึ่งราชการอยู่ในความคุ้มครองดูแลของรัฐบาลฮอลันดา ได้รับอนุญาตให้ผูกขาดการค้าในน่านน้ำมหาสมุทรอินเดียจากแหมกู๊ดโฮปมาถึงช่องแคบมาเจลลัน บริษัทมีสิทธิในการทำสนธิสัญญากับดินแดนที่ติดต่อด้วย  สามารถสร้างป้อมค่ายและจัดตั้งกองกำลังทหารได้  ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2145 หลังการตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ 2 ปี ยุบเลิกเมื่อ พ.ศ. 2342

    บริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศส ( French East India Company ) ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2270 ยุบเลิกไปเมื่อ พ.ศ. 2262 ได้รับอนุญาตจากฝรั่งเศสให้ผูกขาดการค้ากับดินแดนในแถบอินเดีย แอฟริกาตะวันออก และมาดากัสการ์ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท คือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทำให้หารดำเนินงานของบริษัทอยู่อำนาจของพระองค์  ทูตมากกว่า  ทั้งนี้ก็เพื่อถ่วงดุลอำนาจราชและคนไทยยอมรับนับถือคริสต์ศาสน

     

           3.  ฮอลันดา  ไปช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 อิทธิพลทางการค้าของโปรตุเกสในเอเชียลดน้อยลงไปอย่างมาก  เนื่องจากประเทศโปรตุเกสถูกประเทศสเปนยึดครองระหว่าง พ.ศ. 2123 จนถึง พ.ศ.2183  ทำให้ฮอลันดาและอังกฤษได้ก่อตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของตนขึ้น เพื่อผูกขาดการค้าในแถบตะวันออก  บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาได้รับมอบเอกสิทธิ์ในการเจรจาทางการค้ากับเจ้าผู้ปกครองชาวพื้นเมืองต่างๆ และมีกองทหารและกองเรือรบเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ทางการค้าในที่สุดฮอลันดาสามารถตั้งสถานีการค้าขั้นที่เมืองปัตตาเวียเพื่อเป็นศูนย์กลางการดำเนินการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกทั้งหมด

           ฮอลันดาเข้าติดต่อกับกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกใน พ.ศ. 2147 โดยผ่านเมืองปัตตานีประเทศราชของเมืองปัตตานีในขณะนั้น  จุดมุ่งหมายสำคัญของฮอลันดา  คือต้องการซื้อสินค้าจากจีนและหาช่องทางเข้าไปค้าขายในประเทศจีน โดยอาศัยเรือสำเภาของไทย  แต่ไทยยินดีต้อนรับเฉพาะเรื่องที่ชาวฮอลันดาจะเข้ามาค้าขายเท่านั้นดังนั้นบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาจึงผิดหวังที่ไม่สามารถอาศัยเรื่อสำเภาของอยุธยาเข้าไปค้าขายยังประเทศจีนได้  แต่ฮอลันดาก็ยังสนใจที่อยู่หาลู่ทางการค้าที่กรุงศรี-อยุธยาต่อไป  ทั้งนี้เนื่องจากอยุธยามีสินค้ามากมายทั้งสินค้าประเภทของป่าและธัญญาหาร เช่น ไม้ยาง ไม้กฤษณา  ดีบุก หนังสัตว์  น้ำมันมะพร้าว และข้าว  ชาวฮฮลันดาจึงเห็นประโยชน์จากการเข้ามาค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา  และตั้งสถานีการค้าที่กรุงศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. 2151-2308

           ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดากับราชสำนักอยุธยาในปลาย พุทธ-ศตวรรษที่ 22 รุ่งเรืองมาก  คณะทูตไทยเดินทางไปกรุงเฮก  ถวายพระราชสาสน์แด่กษัตริย์ฮอลันดาใน พ.ศ. 2151 นับเป็นคณะทูตไทยชุดแรกที่เดินทางไปถึงทวีปยุโรปของฮอลันดา  ทำให้เกิดขัดแย้งกับผลประโยชน์และระบบการค้าผูกขาดพระคลังสินค้าของอยุธยา  หลายครั้งที่ฮอลันดาขอสิทธิผูกขาดในการส่งสินค้าออก  เช่น หนังกวาง  ดีบุก  แต่มักจะไม่มีผลในทางปฏิบัติทำให้ฮอลันดาไม่พอใจ  บางครั้งเกิดกรณีการขัดแย้งกันจนถึงขั้นฮอลันดานำกองเรือปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา  แต่เมื่อความขัดแย้งสิ้นสุด ลงบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาก็ทำการค้ากับอยุธยาต่อไป

           ในช่วงพุทธศตวรรษที่  23  การค้าของฮอลันดาที่กรุงศรีอยุธยาค่อยๆ ลดความสำคัญลง เพราะมีอุปสรรคนานาประการ  เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าและการต่างประเทศของพระมหากษัตริย์อยุธยา  และความผันผวนทางการเมืองในราชสำนัก  ประกอบกับสภาวการณ์ทางการค้าในยุโรปและเอเชียตะวันออกเปลี่ยนแปลง  สถานการณ์ทางการเงินของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาไม่อำนวยและมีปัญหา  ฮอลันดาจึงค่อยๆ ถอนตัวจากการค้าที่กรุงศรีอยุธยา

            4.  อังกฤษ   บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ   เข้ามาติดต่อการค้ากับอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม  เพื่อใช้อยุธยาเป็นฐานในการค้ากับญี่ปุ่น  แต่เนื่องจากบริษัทอินเดียตะวันออของอังกฤษไม่สามารถทำการค้าแข่งกับฮอลันดาได้   การค้าของอังกฤษกับอยุธยาจึงสบเซา  ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษปิดสถานีการค้าที่อยุธยาไป

    อังกฤษกับเข้ามาติดต่อการค้าที่อยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  แต่ต้องประสบความล้มเหลวอีกครั้งหนึ่ง  เพราะเกิดความขัดแย้ง  ระหว่างบริษัทกับขุนนางระดับสูงในราชสำนักไทย  บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ  จึงต้องปิดสถานีการค้าที่อยุธยาใน  พ.ศ. 2227  ต่อมาความสัมพันธ์กับอังกฤษหยุดชะงักลงเนื่องจากอังกฤษพยายามจะยึดเมืองมะริด  แต่ถูกขับไล่ออกไป ใน พ.ศ. 2230  กรุงศรีอยุธยากับอังกฤษหยุดชะงักลงเนื่องจากอังกฤษประกาศสงครามต่อกัน  แม้สงครามจะไม่เกิดขึ้น  ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายห่างเหินกันไปนับตั้งแต่นั้นมา  แต่ยุติลงอย่างเด็ดขาดเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาใน  พ.ศ. 2310

    5.  ฝรั่งเศส   ฝรั่งเศสเข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยาในช่วงพุธศตวรรษที่  23  หลังชาวยุโรปชาติอื่นๆ  ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสเป็นระยะเวลาค่อนข้างสั้นเฉพาะในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเท่านั้น

     

    สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงให้การต้อนรับคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างดี   นอกจากจะเผยแพร่คริสต์ศาสนาแล้ว  พวกบาทหลวงยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่  14  กับราชสำนักอยุธยา  พ่อค้าฝรั่งเศสได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำการค้าที่กรุงศรีอยุธยา  หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนคณะทูตระหว่างกัน คณะทูตของฝรั่งเศสชุดแรกเข้ามาใน  พ.ศ.  2228  โดยมีเชอวาเลีย  เดอ  โชมอง เป็นราชทูต  คณะทูตชุดที่ 2 เข้ามาใน พ.ศ.  2230  มีลาลูแบร์  เป็นราชทูต  ส่วนคณะทูตของไทยที่เดินทางไปถึงฝรั่งเศสและมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือคือคณะทูตที่มี  พระวิสุทธสุนทร ( โกษาปาน )  เป็นราชทูตได้เดินทางไปฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2229

    จุดมุ่งหมายหลักของฝรั่งเศสอยู่ที่การติดต่อการค้ากับไทย  และพยายามโน้มน้าวให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชและคนไทยยอมรับนับถือคริสต์ศาสนานิการโรมันคาทอลิก  แต่ฝ่ายไทยให้ความสนใจในเรื่องการค้าและความสัมพันธ์ทางการทูตมากกว่า  ทั้งนี้ก็เพื่อถ่วงดุลอำนาจของฮอลันดา  เนื่องจากฮอลันดาไม่ใจระบบการผูกขาดสินค้าของกรุงศรีอยุธยา   จึงมีท่าทีแข็งกร้าวต่อกรุงศรีอยุธยา

    ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเกิดความสับสนขึ้นเมื่อคอนสแตนติน  ฟอลคอน ชาวกรีกของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ  ได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีมีบรรดาศักดิ์เป็นออกญาวิไชเยนทร์และเป็นคนใกล้ชิดของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ได้ใช้อิทธิพลที่มีอยู่ในราชสำนักสนับสนุนให้กองทหารฝรั่งเศสเข้ามาประจำการที่บางกอกและมะริด เพื่อป้องกันการก่อกบฏของขุนนางไทย  ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องค้ำประกันผลประโยชน์และอิทธิพลในราช-สำนักของฟอลคอนให้มั่นคงด้วย

    ในปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ขุนนางไทยรวมตัวกันต่อต้านฟอลคอนและฝรั่งเศส  ขณะที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชประชวร  เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง  โดยพระเพทราชาหัวหน้าขุนนางไทยได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง  ฟอลคอนถูกประหาร กองทหารฝรั่งเศสถูกล้อมที่ป้อมเมืองบางกอก  และถูกขับไล่ออกไปใน พ.ศ. 2231

    ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสหยุดชะงักไปเป็นเวลา 15 ปี จึงได้เริ่มมีการติดต่อกันอีกครั้งแต่ความสัมพันธ์มิได้ก้าวหน้านัก  เพราะอยุธยาระมัดระวังในการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น  ขณะที่ฝรั่งเศสต้องทำสงครามในยุโรป  อย่างไรก็ตาม  คณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสก็ยังคงเผยแผ่คริสต์ศาสนาที่กรุงศรีอยุธยา  จนสิ้นสุดสมัยอยุธยา

    ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสไม่ได้มีผลเฉพาะทางด้านการค้าและการเมืองเท่านั้น  แต่ศิลปวิทยาด้านต่างๆ ของฝรั่งเศสได้เผยแผ่ในอยุธยาด้วย  โดยเฉพาะด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมวิศวกร  ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบพระราชวังตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง  บ้านหลวงรับราชทูตที่ลพบุรี  สร้างและซ่อมแซมป้อมต่างๆ ทั้งที่ลพบุรีและบางกอกให้ได้มาตรฐานชองตะวันตก  ส่วนทางด้านการทหาร  นายทหารฝรั่งเศสได้เข้ามาฝึกกองทหารแบบยุโรป  ขณะเดียวกันบาทหลวงฝรั่งเศสไดมีบทบาททางการใช้เครื่องมือดาราศาสตร์  เช่น กล้องส่องดูดาวแก่กลุ่มเจ้านายน้อย ถึงกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอดูดาวขึ้นที่ลพบุรี  นอกจากนี้ยังมีแพทย์ชาวฝรั่งเศสซึ่งเข้ามารับราชการเป็นแพทย์หลวง  ได้รักษาคนป่วยด้านการผ่าตัด

    อย่างไรก็ตาม  วิทยาการเหล่านี้ไม่ได้มีการสานต่อความรู้ให้สืบทอดต่อมา  เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในตอนปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  เมื่อขุนนางและข้าราชการไทยได้ปลุกระดมราษฎรให้ต่อต้านอิทธิพลของฝรั่งเศสในราชสำนักอย่างรุนแรง  ราชสำนักอยุธยาจึงมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการติดต่อกับต่างประเทศ  และแม้ว่าคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสจะได้รับอนุญาตให้อยู่ที่กรุงศรีอยุธยาต่อไปได้  แต่ก็ถูกควบคุมเข้มงวดจากราชสำนัก  ศิลปะวิทยาการต่างๆ ที่ฝรั่งเศสนำมาเผยแพร่จึงสะดุดลง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×