ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พัฒนาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย

    ลำดับตอนที่ #4 : 1.2.2 ความสัมพันธ์กับรัฐในเอเชีย

    • อัปเดตล่าสุด 15 ม.ค. 52


    1. จีน อยุธยาทำการติดต่อกับจีนในสมัยราชวงศ์หมิง (พ.ศ. 2187-2454) โดยรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับจีนเป็นไปในรูปความสัมพันธ์แบบรัฐบรรณาการ คือ กษัตริย์อยุธยาจะจัดส่งคณะทูตพร้อมกับนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีน แล้วจักรพรรดิจีนจะทรงตอบแทนคณะทูตอยุธยาด้วยการพระราชทานของขวัญมีค่าที่มากกว่าให้ และอนุญาตให้ อยุธยาซื้อสินค้าจากจีนได้ โดยอยุธยาสามารถนำสินค้าและของขวัญจีนไปขายต่อในราคาสูง ทำให้อยุธยาได้รับผลประโยชน์จากการมีความสัมพันธ์กับจีน อยุธยาจึงรักษาความสัมพันธ์กับราชสำนักจีนมาโดยตลอด

    ในระบบความสัมพันธ์แบบรัฐบรรณาการนั้น จักรพรรดิจีนถือว่าอยุธยาคือประเทศราชของจักรวรรดิจีน แต่สำหรับราชสำนักอยุธยาแล้วถือว่าความสัมพันธ์กับจีนเป็นในรูปแบบของการค้าเป็นหลัก ดังจะเห็นได้จากอยุธยาส่งคณะทูตพร้อมเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิบ่อยครั้งกว่าที่จีนกำ-หนอไว้คือ 3ปีต่อครั้ง เป็นเพราะอยุธยาเห็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้เป็นสำคัญ ผลประโยชน์ของอยุธยาคือเรือสำเภาที่แล่นกลับอยุธยาบรรทุกสินค้าจากจีนมาด้วย เช่น ผ้าไหมและเครื่องลายคราม บางส่วนก็เป็นสินค้าที่ซื้อมาจากจีนและบางส่วนก็เป็นของกำนัลจากจักรพรรดิจีน การติดต่อในรูปแบบนี้จึงเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังทำให้อาณาจักรอยุธยากลายเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายการค้าทางเรือสำเภาของจีนในแถบทะเลจีนใต้ เรือสำเภาจีนจะแวะเข้าอยุธยาทุกๆปี และถึงแม้จะเป็นในระหว่างช่วงที่จีนประกาศกีดกันเรือการค้าของตนไม่ให้ออกค้าขายในต่างแดน เรือสำเภาของพ่อค้าชาวจีนโพ้นทะเลที่อยู่นอกประเทศก็ยังสามารถแล่นเข้ามาค้าขายในทะเลแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้

    การค้าและการทูตระหว่างจีนกับอยุธยา เป็นผลให้ชาวจีนเข้ามาตั้งรกรากเป็นชุมชนขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา ส่วนใหญ่เป็นพวกพ่อค้า มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับการค้าและการเดินเรือ และมีจำนวนไม่น้อยเข้ารับราชการในราชสำนักอยุธยาโดยเฉพาะในกรมพระคลัง ซึ่งรับผิดชอบทางด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศและการค้า รวมทั้งในกรมกองอื่นๆอีกด้วย

     

    เรื่องน่ารู้ 

           หมู่เกาะริวกิว ( Ryukyu  Islands )อยู่ทางตะวันตกของมหาสมุทรแปรซิฟิกระหว่างเกาะไต้หวันกับเกาะคีวซู  หมู่เกาะนี้เป็นที่ตั้งของอาณาจักรโบราณ  คือ  อาณาจักรริวกิว  ราชธานีชื่อ นะฮะ ตั้งอยู่บนเกาะ โอะกินะวะ  อาณาจักรริวกิวเป็นประเทศราชของจีน  ในพุทธ-ศตวรรษที่ 19  และเป็นประเทศราชของญี่ปุ่นด้วย ในพุทธศตวรรษที่  20 รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นใน พ.ศ. 2422

    2. ญี่ปุ่น  ช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 อยุธยาได้ติดต่อกับริวกิว และญี่ปุ่น ความสัมพันธ์ระหวางอยุธยากับริวกิวมีการแลกเปลี่ยนคณะทูต ของกำนัล และการค้าได้เข้ามาในรูปของการทูต  ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยาและริวกิวเจริญงอกงามเพราะญี่ปุ่นและจีนต่างก็ใช้ริวกิวเป็นศูนย์กลางในการค้าทางทะเล  เครื่องบรรณาการของริวกิวที่ส่งมาอยุธยาประกอบด้วยสินค้าจากจีนและญี่ปุ่น  เช่นผ้าแพร  ดาบญี่ปุ่น  พัดกระดาษ และกำมะถัน  ในขณะที่อยุธยาส่งสินค้าของป่า  เช่น ไม้ฝาง  กลับไปยังเมืองนะฮะเมืองหลวงของริวกิว   ริวกิวถูกญี่ปุ่นยึดครองในพุทธศตวรรษที่ 22

           ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 22 ญี่ปุ่นกลายเป็นตลาดการค้าที่สำคัญของอยุธยา  ญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าประเภทไม้ฝาง  หนังกวาง  หนังปลา  กระเบน  และหนังสัตว์อื่นๆ  จากอยุธยา  เรือสำเภา  ไทยเข้าไปค้าขายในเมืองท่าของญี่ปุ่น  เช่น นะงะซะกิ  ส่วยเรือสำเภาญี่ปุ่นที่จะเดินทางค้าขายจะต้องรับใบอนุญาตจากโชกุนเรียกว่า  ใบเบิกร่อง  ประทับตราแดงจึงสามารถค้าขายกับจีนและประเทศต่างๆ  ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้

           ขณะที่ญี่ปุ่นขยายตัวทางการค้า  รัฐบาลญี่ปุ่นได้มีนโยบายกีดกันการเผยแผ่คริสต์ศาสนาชาวญี่ปุ่นที่เข้ารีตจึงอพยพออกมาจากต่างประเทศ  มีบางส่วนเข้ามาตั้งหลักแหล่งในกรุงศรีอยุธยา  และได้รับเสรีภาพในการนับถือศาสนาและการประกอบอาชีพ  จึงเกิดชุมชนญี่ปุ่นขึ้นในอยุธยา  ประกอบด้วยพ่อค้าและทหารรับจ้าง

           ความกล้าหาญและการเป็นนักรบของชาวญี่ปุ่นเป็นที่เลื่องลือ  ทำให้ราชสำนักอยุธยารับทหารรับจ้างชาวญี่ปุ่นเข้ารับราชการการจัดตั้งเป็นกองทหารอาสาญี่ปุ่น  หัวหน้าชาวญี่ปุ่นได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นออกญา-เสนาภิมุก  แม้ว่ากองทหารอาสาญี่ปุ่นจะมีบทบาทสำคัญเป็นกำลังของกษัตริย์ในการปราบกบฏ  แต่บางครั้งกองทหารอาสาญี่ปุ่นก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในราชสำนัก  จนต้องถูกขับไล่ออกไปจากกรุงศรีอยุธยา  อย่างไรก็ตาม  ชุมชนญี่ปุ่นยังคงอยู่ต่อมาจนกระทั่งสิ้นสุดสมัยอยุธยาใน  พ.ศ. 2310

           นับตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 22 อยุธยากับญี่ปุ่นไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน  เพราะญี่ปุ่นประกาศปิดประเทศ  ห้ามคนญี่ปุ่นออกนอกประเทศ  อนุญาตให้เฉพาะฮอลันดาและจีนเท่านั้นที่ค้าขายกับญี่ปุ่นได้เฉพาะที่เมืองนะงะซะกิ  แต่การค้าระหว่างอยุธยากับญี่ปุ่นยังคงดำเนินต่อไป  โดยผ่านพ่อค้าจีนที่ตั้งหลักแหล่งในกรุงศรี-อยุธยา  เรือสำเภาจากอยุธยาและหัวเมืองปักษ์ใต้ที่ไปค้าขายกับญี่ปุ่นทั้งหมดล้วนดำเนินโดยพ่อค้าคนจีนทั้งสิ้น  การติดต่อการค้ากับญี่ปุ่นเป็นไปในลักษณะเช่นนี้จนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2

           3. ชาติเอเชียตะวันตก พ่อค้าจากชาติต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกที่มีอิทธิพลและบทบาททางการค้าสูงมาก  คือ พวกมัวร์  ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกชาวอินเดียมุสลิม  ชาวเปอร์เซีย  หรืออิหร่าน ชาวตุรกี และชาวอาหรับที่นับถือศาสนาอิสลาม

           พ่อค้าชาวมัวร์เดินทางเข้ามาค้าขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นานมาแล้ว  และคงได้ติดต่อค้าขายกับอยุธยามาตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 21 จนกระทั่งบางคนตั้งรกรากและรับราชการเป็นขุนนางอยู่ที่กรุงศรี-อยุธยา  ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชพวกมัวร์โดยเฉพาะชาวเปอร์เซียเข้ามามีอิทธิพลและบทบาทในราชสำนัก  โดยมีอับดุลราซัก  และอุกามุฮัมมัด  เป็นตัวแทนที่มีอำนาจสูงสุด  โดยเฉพาะอะกามุฮัมมัดได้รับเอกสิทธิ์ผูกขาดในการขายไม้กฤษณา  นอกจากนี้ชาวมัวร์ยังรับราชการเป็นเจ้าเมืองท่าหาลายแห่ง  ทำให้มีอิทธิพลและสามารถควบคุมการค้าส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา  นอกจากนี้จากบันทึกของชาวต่างชาติ  พบว่าอยุธยามีการแลกเปลี่ยนคณะทูตกับอาณาจักรเปอร์เซียด้วย

           พ่อค้ามัวร์นำผ้าพิมพ์และผ้าชนิดอื่นๆ  มาขายให้แก่อยุธยา  และนำไม้กฤษณา  ดีบุก  และงาช้าง  จากอยุธยากลับไปขายยังเมืองท่าในแถบอินเดีย

           ชาวมัวร์ตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนใหญ่ที่กรุงศรีอยุธยา  ทำให้มีการผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมระหว่างชาวมัวร์ที่นับถืออิสลามกับชาวพื้นเมืองสืบทอดเชื้อสายที่อยู่ที่กรุงศรีอยุธยาจนถึงคราวเสียกรุงครั้งที่ 2

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×