( winner ) sf | ours - yoonwoo
Cherish what you have now, for it could vanish in an instant.
ผู้เข้าชมรวม
943
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
title : ours
author : themoestro
pairing : yoonwoo ft.busan line
rated/genre : g / fluff - romance
length : 10776 words
inspiration : 1 2 3
ช็อตเรื่องนี้แต่งขึ้นด้วยฟีลอะไรไม่รู้
ฟิควีนอเรื่องแรกของเลาเลย...
พล็อตนี้โหลมากพูดเลย ถถ แต่ชอบ คือละมุน
คิดว่าคาแรคเตอร์ตัวละครเหมาะกับคู่นี้ด้วยแหละ
จู่ๆก็นั่งแต่งเฉยเลย ; w ; วันนี้โดดเรียนมาสมัครสอบนะ..
สำหรับฟิคคงจะเพลาๆไปอัพอีกทีหลังติดเลยนะเจ้าคะ
ปล. ฝากฟิครักเฮงซวยมาร์คแบมด้วยครับ เยิ้บ..
ปล.2 มินฮยอนกะมินกิ(เร็น)คือนิวอีสท์
โดยูน(ตอนนี้เป็นนักแสดง)กะจีฮุนคือเซเว่นทีนทั้งหมดเด็กบูซาน....
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
I remember everything about you.
Small moments in a day would make my day.
Then one day, my world turned upside down.
Cherish what you have now, for it could vanish in an instant.
ผมยังจำทุกๆอย่างเกี่ยวกับคุณได้
เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ทำให้วันทั้งวันของผมสดใส
และแล้ววันหนึ่งโลกของผมก็เปลี่ยนไปหมด
จงโอบกอดทุกสิ่งที่คุณมีในตอนนี้เพราะมันอาจหายไปในพริบตา
- 소격동 - 아이유&서태지-
กลิ่นอายเก่าๆที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
เส้นทางเดิมๆที่ไม่ได้เดินผ่านมาหลายปี
เสียงเพลงเพลงนั้น ที่เรียกให้ความทรงจำจางๆในหัวกลับเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง
โดยไม่รู้ตัว ร่างบางเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยนั่น ก้าวไปตามเสียงเพลงที่ดังก้องอยู่ในหัว ราวกับวันวานเหล่านั้นกลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง หัวใจของเขาเต้นแรงรัวเหมือนกับเมื่อหลายปีที่แล้ว ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและหยดน้ำตาที่อัดแน่นอยู่เต็มในท่วงทำนอง ใบหน้าของใครบางคนปรากฎขึ้น รวมทั้งสัมผัสอุ่น ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เขายังจำแววตาของเจ้าของเสียงทุ้มตอนที่ร้องเพลงเพลงนี้ให้เขาฟังเป็นครั้งแรกได้
บทเพลงเพลงนั้น พี่พาให้เขากลับสู่ความทรงจำที่หอมหวานในวันเก่า
บทเพลงของเรา
คิมจินอูเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาๆ เกิดที่อิมจาโด เรียนที่นั่นจนจบชั้นมัธยมปลาย เขาสอบได้มหาลัยเล็กๆในเมืองใหญ่ที่ชื่อว่าบูซาน นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาต้องไปอยู่ที่ต่างถิ่นที่ไม่ใช่บ้านเกิด แม่ของเขาได้เช่าห้องพักเล็กๆใกล้ๆมหาลัยให้เขาอยู่ด้วยราคาไม่สูงนัก แต่เขาก็มีความสุขกับมันดี ชีวิตของคนเรียบร้อยอย่างจินอูเป็นไปอย่างเรียบง่าย เรียน กลับบ้าน ไปดื่มกับเพื่อนบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเมาหัวราน้ำกลับหอ ชีวิตของเขาเป็นเช่นนี้มาตลอด2ปีแรก
จนกระทั่งวันนั้น...
จำได้ว่าตอนนั้นจินอูเรียนอยู่ปีสาม มันเป็นวันที่แสนจะธรรมดาวันหนึ่งในชีวิตของเด็กหนุ่มตาแป๋ว ขณะที่กำลังเดินตามทางที่แสนคุ้นเคยกลับที่พักหลังเลิกเรียน จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่จากซอยเล็กที่อยู่ด้านข้างพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายที่ดังลั่นไม่ต่างกัน
“มึงหยุดเดี๋ยวนะนี้!!”
“ไอ้เหี้ยคังซึงยูน!!!!!!!”
“แน่จริงมึงก็อย่าหนีดิวะ ไอ้หน้าตัวเมีย!!”
เสียงก่นด่าเหล่านั้นดังมาพร้อมๆกับเสียงฝีเท้าซึ่งดูเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จินอูรีบก้าวเท้าให้ยาวขึ้น ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกนักเลงอันธพาลกำลังตีกันนั่นเอง เด็กเกเรมีอยู่ทุกที่ สมัยอยู่ที่อิมจาโดพวกอิลจินแบบนี้ก็มีให้เห็น แต่ดูเหมือนว่าเพราะเป็นเมืองใหญ่เจ้าพวกเด็กเกเรพวกนี้ดูจะอันตรายกว่าพวกที่เขาเคยเจอที่บ้านเกิดเยอะเลย
ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เสียงพวกนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าจะมีคนหนึ่งที่วิ่งนำมาไกลกว่าเพื่อนแถมใกล้ตัวเขาเข้ามาแล้ว จินอูรีบก้มหน้าเดินหวังว่าจะไม่ไปเกะกะขวางทางพวกเด็กเกเรพวกนั้นจนโดนลูกหลง เท้าเล็กก้าวชิดซ้ายเพื่อให้คนที่กำลังจะมาถึงตัววิ่งรุดหน้าไปได้ แต่ดูเหมือนว่าร่างสูงที่วิ่งออกมาจากซอยนั้นจะไม่ได้คิดเหมือนกับจินอู
‘ฟรึ่บ’ แขนใหญ่คู่หนึ่งพุ่งเข้าใส่เขาดึงให้ร่างเล็กตกเข้าสู่ไหล่กว้าง มือหยาบกร้านจับเข้าให้ที่แก้มขาวนวลเนียน จินอูเบิกตากว้างด้วยความรวดเร็ว แต่ไม่ทันทีที่จะได้ส่งเสียงร้องมือนั้นก็เลื่อนมาปิดปากเขาไว้แน่น ก่อนขาเรียวจะก้าวหลบเข้าไปในซอกแคบๆข้างตู้น้ำ
“ชู่ว” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู เด็กหนุ่มร่างสูงที่เผ้าผมกระเซอะกระเซิงก้มหน้าลงมาจนใกล้ใบหน้าเขาจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจ ดวงตาเรียวมองมายังคนตัวเล็กกว่าด้วยแววตาที่เรียบนิ่ง ดูเหมือนว่า ‘นักเลง’ ที่ถูกไล่ล่าเมื่อครู่จะหน้าตาดีกว่าที่คิดไว้ในตอนแรก จินอูมองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่สงสัย ใบหน้าที่ใหญ่กว่าเขานั่นมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย ท่าทางจะเป็นอันธพาลอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เมื่อคิดได้ดังนั้นมือเล็กก็ทำท่าจะผลักคนตรงหน้าต่อไป
‘ตึก ตึก ตึก’
.”เฮ้ย มันไปไหนวะ” เสียงฟีเท้าหลายคู่ที่ตามมาติดๆดังขึ้นพร้อมเสียงและคำสบถไม่สุภาพอีกมากมาย จินอูที่หันหน้าออกทางถนนมองเห็นใบหน้าเถื่อนๆของเจ้าพวกแก๊งก่อกวนนั่นอย่างชัดเจน หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความกลัวจะตกเป็นลูกหลง ร่างสูงที่เห็นคนตัวเล็กในอ้อมอกสั่นเล็กน้อย เขามองตาแป๋วๆที่มีแววความกังวลนั่นแล้วก็กระตุกยิ้มออกมา
ใบหน้าใหญ่เลื่อนเข้าใกล้ขึ้นอีก ใกล้จนน่าใจหาย เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆบริเวณใกล้ๆปากของเขา จินอูทำอะไรไม่ถูก รู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นมาเฉยๆโดยไม่มีสาเหตุ เขาเป็นผู้ชายและไม่ใฃ่เกย์ ถึงมีบ้างที่สงสัยว่าตัวเองจะเป็นพวกไบเซ็กชวลแต่ก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแบบนี้มาก่อน
ไม่รู้ว่าเขาอยู่ในท่านั้นนานแค่ไหน แต่รู้ตัวอีกทีเสียงโหวกเหวกโวยวายของพวกหน้าเถื่อนก็ได้จางหายไปแล้ว ดูเหมือนว่ามีคนสองสามคนเดินผ่านไปผ่านมาตามปกติ ร่างสูงที่ตั้งใจฟังเสียงรอบข้างอยู่จึงละออกมาจากใบหน้าบางที่เขาจงใจก้มลงไปใกล้ๆเมื่อครู่
“น....นาย…..” จินอูทั้งตกใจ ทั้งอึ้ง ทั้งกลัว ความรู้สึกในหัวมันชาวาบจนด่าออกไปไม่ถูก ตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะพูดด่าออกไปหรือไม่ คนตรงหน้านี้คือนักเลง หากเขาพูดอะไรไม่ถูกใจออกไปจะโดนต่อยหน้ากลับมาหรือเปล่าก็ไม่รู้
“คังซึงยูนครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ นิ้วหนาขี้ไปที่ป้ายชื่อที่อกข้างซ้ายของตนเอง ตอนนั้นเองที่จินอูเพิ่งจะสังเกตว่าอีกฝ่ายอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลายใกล้ๆ เข็มเล็กๆข้างบนบอกให้รู้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่ตรงหน้านี้เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสุดท้าย ถ้าอย่างงั้นเจ้าเด็กนี่ก็เด็กกว่าเขาตั้งสามปี.... ทำไมเด็กสมัยนี้....
“จะจ้องหน้าผมอีกนานไหม” น้ำเสียงที่ดูแข็งกระด้างกว่าเมื่อครู่ทั้งๆที่ใบหน้าแป้นๆนั้นก็ยังมีรอยยิ้มอยู่ทำเอาจินอูขนลุกซู่ไปทั้งตัว คนตัวเล็กกัดปากล่างเล็กน้อยด้วยความกังวล
“ข....ขอโทษครับ”
“หืม? ขอโทษทำไม? ฮ่าๆ” เจ้าเด็กตรงหน้าหัวเราะออกมา ท่าทางเหมือนว่าเมื่อกี้เจ้านี่กำลังแกล้งเขาอยู่ยังไงอย่างนั้น จินอูกระพริบตามองเด็กตัวโตที่หัวเราะชอบใจเหมือนกับเด็กๆผิดกับที่เขาเคยคิดว่า ‘นักเลง’ จะต้องโหดร้ายโดยสิ้นเชิง
“อ่า….”
“ชื่อครับ ผมอยากรู้ชื่อ” ซึงยูนพูดจุดประสงค์ที่แท้จริงของประโยคที่มาพร้อมกับน้ำเสียงเย็นเมื่อครู่ ร่างเล็กดูเหมือนจะเกร็งน้อยลงแล้วแต่ก็ท่าทางว่ายังกลัวเขาอยู่
“จินอู... ชื่อคิมจินอู”
ร่างเล็กตอบออกไป แต่ชายหนุ่มตรงหน้ายังยืนจ้องหน้าเขานิ่งๆ แขนกว้างนั่นยังโอบรอบเอวบางของเขาอยู่จนจินอูรู้สึกอึดอัด เป็นไงก็เป็นกันวะ
“อ..อายุยี่สิบ มาจากอิมจาโด ชอบ..”
“พอแล้ว ผมไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นซะหน่อย แค่แกล้งเล่นเฉยๆ” ซึงยูนพูดแล้วระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง มือหยาบกร้านนั่นขยี้กลุ่มผมสีน้ำตาลของจินอูเสียจนยุ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสุขที่ได้เห็นตาแป๋วๆนั่นสั่นระริก ส่วนเจ้าตัวเล็กตาแป๋วนั่นก็ดูเหมือนไม่รู้เลยซักนิดว่าอีกฝ่ายกำลังแกล้งอยู่
นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้พบกับคังซึงยูน
หลังจากวันนั้น เขาจึงได้รู้ว่าบ้านของซึงยูนอยู่ข้างๆหอพักของเขา ไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงเพิ่งเคยเห็นร่างสูงตรงหน้าเป็นครั้งแรกทั้งๆที่อยู่แถวนี้มาได้สองปีแล้ว อาจเป็นเพราะเวลาที่กลับมาไม่ตรงกัน หรือเพราะอีกฝ่ายเพิ่งจะย้ายมาอยู่เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
สรุปว่าคังซึงยูนก็เป็น ‘นักเลง’ อย่างที่คิดไว้ตอนแรกจริงๆ
ถึงเจ้าตัวจะใช้คำว่า ‘ชอบเที่ยวเล่น’ แต่ยังไงสำหรับเขา พฤติกรรมโดดเรียนบ่อยๆ ดื่มเหล้าทั้งๆที่อายุไม่ถึง มีเรื่องชกต่อย ‘ตามประสาผู้ชาย’ อย่างที่ซึงยูนว่ามันคือนิสัยเด็กเกเรชัดๆ ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่เจ้าเด็กตัวโตนั่นก็กลับบอกว่าเขานั่นแหละที่ทำตัวเป็นนักเรียนดีเด่นมากเกินไป
เขากับเจ้าเด็กตัวโตนั่นสนิทกันมากขึ้น ด้วยเหตุผลอะไรซักอย่างที่เขาเองก็ไม่สามารถทราบได้ อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นคนเงียบๆ วันๆไม่ค่อยมีอะไรที่น่าสนใจเท่าไหร่ในชีวิต การมีเด็กแบบที่แปลกประหลาดอย่างคังซึงยูนเข้ามาในชีวิตจะทำให้วันที่แสนน่าเบื่อของเขาดูน่าสนใจขึ้นอีกเยอะ
ซึงยูนไม่ใช่เด็กน่ากลัวโหดร้ายแบบที่เขาเคยคิดว่าพวกอันธพาลทั่วไปจะเป็นกัน ตรงกันข้าม เขากลับพบว่าเจ้าเด็กตัวโตนี่เป็นคนตลก บ้าๆบอๆ คอยสร้างเสียงหัวเราะให้กับเขาได้อย่างน่าประหลาด แถมยังมีบางมุมที่อ่อนโยนและอ่อนไหวยิ่งกว่าเขาเสียอีก นั่นแหละมั้งที่เรียกว่าอารมณ์ศิลปิน
ทีแรกเขาเข้าใจว่ามือของซึงยูนที่หยาบกร้านกว่าคนปกติคงเป็นเพราะชอบต่อยตี มือคู่นั้นคงจับมีดจับอาวุธอะไรมามากแต่เขาก็คิดผิด สาเหตุที่มือหนาคู่นั้นไม่เนียนนุ่มอย่างที่ควรจะเป็นกลับเป็นเพราะเจ้าเด็กนี่ชอบดนตรี
ซึงยูนชอบเล่นกีตาร์
นั่นคือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ตอนไปที่บ้านของซึงยูนครั้งแรก ห้องแถวเล็กๆที่เหมือนกับร้านขายของเล่นเก่าๆทว่ามีแผ่นไม้ปิดไว้ด้านหน้าที่เขาคิดว่าร้างมาตลอดสองปีมีทางเข้าอยู่ด้านหลัง ถึงแม้ว่ามันจะดูเก่าและรกไปสักนิด แต่มันเต็มไปด้วยซีดีเพลงมากมาย ทั้งเก่าและใหม่ กีตาร์ตัวใหญ่ตัวหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะที่เกลื่อนกลาดด้วยโน้ตเพลงนับไม่ถ้วน กระป๋องเบียร์และขวดโซจูไม่มากนักวางเกลื่อนกราดเหมือนไม่เคยได้รับการจัด
นี่แหละมั้งที่เขาเรียกว่าห้องของศิลปิน
ตอนแรกเขาแทบไม่กล้านั่งในห้องนี้ด้วยซ้ำ กลัวว่านั่งลงไปบนโซฟาเละๆที่ซึงยูนเพิ่งโกยเสื้อผ้าใช้แล้วหลบออกไปให้เขาแล้วจะมีหนูโผล่ออกมา แต่ก็โชคดีที่สุดท้ายมีเพียงแค่ฝุ่นเท่านั้นที่คลุ้งออกมาเมื่อเขาตัดใจนั่งลงไปจริงๆ เจ้าเด็กนั่นเป็นคนโรแมนติกกว่าที่คิด ทักษะทางดนตรีของเด็กที่ดูไม่เอาถ่านนี่กลับเก่งจนหน้าประหลาดใจ เรียกได้ว่าเมื่อได้ฟังบทเพลงของคังซึงยูนแล้วเขาแทบจะลืมโลกรอบข้างไปเลยทีเดียว
หลังจากนั้นเขาก็ได้มาฟังเพลงของซึงยูนที่ห้องรังหนูนี่บ่อยๆ กลายเป็นกิจวัตรที่เขาทำประจำก่อนกลับบ้าน บางวันซึงยูนก็มารอรับเขาที่หน้ามหาลัย บางวันเขาก็แวะซื้อขนมมาฝากเด็กหนุ่มที่อยู่คนเดียว ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะชอบเล่นดนตรีมากเสียกว่าต่อยตีด้วยซ้ำไป
“ซึงยูน คังซึงยูน เอ็งอยู่บ้านรึเปล่า?” เสียงที่ฟังดูร้อนรนดังขึ้นจากประตูหลังพร้อมกับเสียงทุบประตูแรงรัวจนน่ากลัว จินอูที่กำลังนั่งฟังเสียงกีตาร์ของเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกก็สะดุ้งด้วยความตกใจ แต่ดูเหมือนว่าร่างสูงที่นั่งอยู่ใกล้ๆนั่นจะไม่ได้มีความรู้สึกตระหนกอย่างที่เขาเป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย มือหนาหยาบกร้านลูบลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลของคนแก่กว่าเบาๆเป็นเชิงปลอบประโลม
“ไม่ต้องกลัวน่าฮยอง” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้จินอูรู้สึกร้อนๆที่หน้าแต่ก็ทำให้เขารู้สึกสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ เจ้าเด็กนั่นหัวเราะน้อยๆก่อนจะผละออกไปเปิดประตู เด็กอิมจาโดพยายามชะเง้อมองไปยังประตูว่ามีอะไรไม่น่าไว้วางใจรึเปล่า แต่เขาก็พบเพียงชายหนุ่มตาตี่ร่างสูงที่เดินตามซึงยูนเข้ามาอย่างไม่มีพิษมีภัย คนตัวสูงนั่นหน้าตาไม่คุ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตที่จะมาทำร้ายร่างกายของเจ้านักเลงเหมือนที่เจอกันในวันแรก
“ใคร?” ถามสั้นๆ ดวงตาเรียวเล็กนั่นมองมาทางเขาพร้อมเลิกคิ้วสงสัย สำเนียงบูซานแท้นั่นบ่งบอกว่าผู้มาใหม่นี่ต้องเป็นคนในท้องถิ่นนี้อย่างแน่นอน
“ชื่อคิมจินอู แก่กว่าฮยองปีนึง” ซึงยูนพูดตอบแล้วนั่งลงที่เดิม มือหนาจับกีตาร์ขึ้นพาดวางบนตักพร้อมเล่นเพลงที่ยังแต่งค้างไว้เมื่อครู่ต่อแต่ก็ต้องโดนผู้มาเยือนพูดเบรกไว้เสียก่อน
“เป็น....?” พูดสั้นๆอีกแล้ว จินอูเดาเอาเองว่าหมอนี่คงต้องการถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซึงยูน แต่เพราะยังรู้สึกตื่นกลัวอยู่เล็กน้อยเจ้าของดวงตากลมโตจึงได้แต่มองคนตัวสูงไม่พูดไม่จา
“นักศึกษาปีสาม เรียนอยู่มอตรงนู้น” ไม่รู้ว่าตอบไม่ตรงคำถามจริงๆหรือตั้งใจจะกวนอีกคน แต่ซึงยูนก็ก้มหน้าก้มตาสนใจโน้ตเพลงตรงหน้ามากกว่าผู้ถามคำถามนั่น จินอูคิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่พอใจกับคำตอบที่เหมือนแกล้งนั่น แต่ผิดคาด เจ้าเด็กหนุ่มตาตี่ตัวสูงนั่นกลับระเบิดหัวเราะออกมาอย่างรุนแรงเสียจนเขารู้สึกคิดผิดที่แอบกลัวหมอนี่ในคราวแรกที่ก้าวเข้ามา
“เอ้า เอาที่สบายใจแล้วกันนะเอ็ง เอ้อ ผมชื่ออีซึงฮุนนะ เป็นรุ่นพี่ของไอ้เด็กนี่” ร่างสูงแนะนำตัวก่อนจะยื่นมือมาจับมือบางนุ่มนิ่มเบาๆ ซึงฮุนแอบเห็นเจ้าเด็กที่เล่นกีตาร์แอบเหลือบมองมาทางเขาด้วยแววตาที่ไม่พอใจเท่าไหร่ก็อดยิ้มแซวอีกคนไม่ได้ ที่หายหน้าหายไปพักนี้ก็คงเป็นเพราะเอาแต่ขลุกตัวอยู่กับผู้ชายที่มีดวงตาเหมือนลูกกวางคนนี้นี่เอง
“ผมเกิดปี92” ซึงฮุนพูด ถือวิสาสะกวาดโน้ตดนตรีที่วางไว้เกลื่อนบนโต๊ะออกแล้วนั่งลงตรงข้ามกับคนแก่กว่า จินอูมองอีกคนอย่างงงๆจึงค่อยตอบประโยคที่คล้ายกันกลับไป
“ผมเกิดปี91”
“ผมเกิดปี94” แต่ดูเหมือนจะมีเด็กขี้อิจฉาบางคนอยากมีส่วนร่วมด้วย ซึงยูนพูดต่อขึ้นหลังจากจินอูพูดจบทันที ซึงฮุนแทบจะระเบิดหัวเราะออกมาอีกรอบเมื่อเห็นท่าทางเหมือนเด็กหวงของเล่นของน้องชายคนสนิท
“ข้าไม่ได้ถาม” ซึงฮุนพูดขึ้นตามด้วยเสียงหัวเราะ อีซึงฮุนดูเหมือนจะเป็นคนไม่มีพิษมีภัยอย่างที่จินอูคิดจริงๆ ถึงดูจากร่างกายกำยำที่ดูเหมือนพวกเด็กต่อยตีกับหน้าตาที่ดูกวนตีนนิดๆแต่จากท่าทางที่ดูจะหัวเราะง่ายนั่นแล้วหมอนี่ยังห่างจากนิยามคำว่านักเลงที่เขายัดเยียดให้ซึงยูนที่พบกันในวันแรกลิบลับ
“เอ้า ไอ้เฮียนี่ แล้วโผล่มานี่มีเรื่องอะไร ทุบซะนึกว่าพวกนู้นตามมาฆ่า” เสียงกีตาร์เบาๆยังดังคลอไปเรื่อยๆ ในขณะที่อีกคนเอ่ยถามคนแก่กว่าที่กำลังนั่งเท้าคางมองจินอูที่นั่งตาแป๋วอยู่โดยที่เด็กนักดนตรีไม่ได้หันหน้าขึ้นมามองอีกคนเลยแม้แต่น้อย ท่าทางกำลังตั้งใจแต่งเพลงอยู่ ซึงฮุนไม่ได้เห็นเด็กนี่จดจ่อกับดนตรีมานานแค่ไหนแล้วนะ
อดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้ซึงยูนกำลังแต่งเพลงแบบไหนอยู่
เพลงคันทรีแบบที่เหมาะกับเสียงกีตาร์
เพลงร็อคจังหวะเร็วที่ฟังสนุก
เพลงเศร้าช้าๆที่ฟังแล้วพาให้หน่วงตามเนื้อ
หรือเพลงรักหวานซึ้งให้เด็กหนุ่มตาหวานนี่หน้าอ่อนเกินอายุนี่กันแน่นะ....
“ก็มีเรื่อง แต่ไม่ใช่เรื่องของข้า ไม่รู้ว่าควรจะบอกเอ็งดีรึเปล่าเห็นอารมณ์ดีๆแบบนี้” ซึงฮุนละสายตาจากคนแก่กว่าที่ยังคงมองมาด้วยแววตาสงสัย หันไปพูดกับเด็กหนุ่มข้างๆแทน ซึงยูนเงยหน้าขึ้นจากโน้ตเพลงแล้วหันมามองอีกคนบ้าง สีหน้าที่ดูจริงจังขึ้นนั่นทำให้เขาต้องถอนหายใจยาว
“เรื่องนั้นอีกแล้วสินะ...” พูดเสียงอ่อย ซึงฮุนหันหน้าไปอีกทางแล้วถอนหายใจ
“ข้าช่วยอะไรเอ็งไม่ได้จริงๆ เอ็งก็รู้ว่าบ้านนั้นใหญ่แค่ไหนถึงพวกมิน..”
‘ปัง!’ ไม่ทันได้พูดจบ ซึงยูนก็กระแทกปึกโน้ตเพลงลงกับโต๊ะ ซึงฮุนถึงกับกลืนน้ำลายเอือกเมื่อเห็นแววตาไม่พอใจของคนเด็กกว่า
“อย่าพูดชื่อไอ้หมอนั่นให้ผมได้ยินอีก” แววตาแข็งกร้าวและโหดร้ายถูกส่งตรงไปยังคนแก่กว่า จินอูที่นั่งมองอยู่รู้สึกหนาวๆร้อนๆ ตั้งแต่รู้จักกันมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นเด็กคนนี้โกรธอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึงฮุนคงหันมาเห็นอีกคนที่ดูจะตื่นกลัวกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของซึงยูน
“เอ็งใจเย็นเถอะซึงยูน จินอูฮยองตกใจแล้ว เออ ข้าว่าทุกคนก็คงไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอกเอ็ง” ซึงฮุนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นลงหน่อย ตอนนี้จินอูได้แต่มองสองซึงสลับกันไปมาด้วยท่าทางสนใจปนกลัวนิดๆ กระพริบตาปริบๆเพราะไม่เห็นจะเข้าใจอะไรที่พวกนี้พูดเลยแม้แต่น้อย พูดง่ายๆก็คือรู้สึกเป็นคนนอกนั่นแหละ...
“เฮียไม่เข้าใจผมเหรอ วันนั้นก็ไปด้วยกัน โดยูนก็เพื่อนผม แล้วทำไม...”
“เอ็งดันไปจับไม้โง่ๆนั่นเอง ไอ้พวกนั้นก็เล่นสกปรก เอ็งก็รู้ว่าบ้านโดยูนใหญ่แค่ไหน ลูกเค้าเป็นอะไรไปทั้งคน จับใครไม่ได้แม่.งก็ต้องหาแพะมารับอยู่แล้ว..” ซึงฮุนพูดคำพูดเดิมๆ นี่ก็ผ่านมาห้าเดือนแล้วหลังจากเหตุการณ์วันนั้น แต่จนถึงตอนนี้ซึงยูนก็ไม่ได้มีทีท่าที่จะใจเย็นลงเลย
“มินฮยอนกับมินกิไม่ได้อยากทำแบบนี้กับเอ็งนะ พวกมันพยายามช่วยมึงเต็มที่แต่...”
“ช่วยเหี้ยอะไรล่ะเฮีย ตั้งแต่วันนั้นมันเคยเสนอหน้ามาหาผมมั้ย ก็ไม่ วันนั้นที่เกิดเรื่องทั้งๆที่ผมแม่.งโดนไปเต็มๆพวกมันก็หนีกันไปหมดทิ้งผมไว้คนเดียว.....”
“เอ็งจะพูดอะไรก็พูดไปเหอะ แต่ข้าจะบอกให้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่มึงคิด” ซึงฮุนได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างเอือมระเอา ไม่มีใครอยากให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ แต่เขาเองที่เป็นแค่ตัวกลางก็คงลงไปยุ่งอะไรกับเรื่องของเด็กๆพวกนี้ไม่ได้มากเท่าไหร่ ทำได้แค่เพียงแวะมาเยี่ยมเยียนเด็กนักดนตรีใจร้อนคนนี้แทนเพื่อนๆเป็นบางคราว
จะให้บอกว่าเด็กพวกนั้นส่งเขามาเยี่ยมก็คงไม่ได้ ขืนพูดไปเช่นนั้นมีหวังโดนซึงยูนเตะโด่งออกจากบ้านแหงๆ
“แต่ตอนนี้ข้ามาบอกเอ็งว่าเอ็งทำเหมือนมันไม่เกิดอะไรขึ้นแบบนี้ไม่ได้แล้วนะซึงยูน”
“หมายจับเอ็งออกมาแล้ว”
มีนักเลงก็ต้องมีต่อยตี
มีต่อยตีก็ต้องมีบาดเจ็บ บางทีอาจจะแค่เป็นแผล แขนหัก
แต่จินอูก็ไม่เคยคิดถึงการเสียชีวิตจริงๆมาตลอด
การตายของใครซักคนเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับจินอู และคนที่ปลิดชีวิตของใครซักคนไปก็เหมือนกับคนที่ไร้หัวใจ เขาเชื่อเช่นนั้นมาตลอด จนกระทั่งวันนี้
หลังจากซึงฮุนเดินมายัดกระดาษบางๆแผ่นนึงลงในมือของซึงยูน เด็กหนุ่มร่างสูงก็เดินออกไปทางประตูที่เข้ามา ทิ้งเขาไว้กับคนเด็กกว่าที่นั่งนิ่งเงียบแววตาเลื่อนลอยมาตั้งแต่เมื่อครู่ บทสนทนาที่เขาเองฟังไม่ค่อยเขาใจแต่ก็พอจะเดาได้อยู่ว่าคงเกี่ยวกับการต่อยตีเป็นแน่ คงเกิดเรื่องขึ้นกับใครซักคนจนถึงกับเกิดการฟ้องร้อง การทะเลาะกันในกลุ่มเพื่อน การหักหลัง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเด็กเกเรที่เขาไม่ได้กังวลอะไร
จนกระทั่งใบปลิวใบนั้นร่วงลงพื้นนั่นแหละเขาจึงได้รู้ว่าไอ้ ‘หมายจับ’ ที่ได้ยินเมื่อครู่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
ในกระดาษแผ่นนั้นมีรูปของคังซึงยูนอยู่ รูปที่เหมือนกับรูปถ่ายชุดนักเรียนในหนังสือรุ่น ใบหน้านิ่งๆที่ไม่มีรอยยิ้มดูหาเรื่องอยู่ไม่ใช่น้อย มีชื่อเขียนกำกับไว้ด้านล่างตัวใหญ่เป็นคำว่า ‘คังซึงยูน’ บอกให้รู้ว่าไม่ผิดตัวแน่ ข้อมูลในประกาศจับนั่นบอกไว้ว่าคังซึงยูนเป็นตัวอันตราย เป็นผู้ต้องหาในคดีต่อยตีกันจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหนึ่งคนเมื่อครึ่งปีที่แล้ว
คำว่าผู้เสียชีวิตนั่นเล่นเอาจินอูขนลุกซู่ ความเป็นความตายไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่พอมองอีกคนที่ดูจะซึมลงไปก็กวาดเอาความรู้สึกกลัวที่จู่โจมจิตใจเมื่อครู่ออกไปเสียหมด
เขารู้จักคังซึงยูน เด็กนั่นไม่ใช่คนเลือดเย็นชนิดที่ว่าจะฆ่าใครได้เสียหน่อย
แถมจากบทสนทนาที่ฟังมาเมื่อครู่แล้วก็พอจะสรุปได้คร่าวๆว่าเด็กนี่เป็นเพียงแค่แพะรับบาปที่ต้องกลายมาเป็นคนต้องคดีแทนคู่อริเสียอย่างนั้นทั้งๆที่ผู้เสียชีวิตก็เป็นเพื่อนของเด็กนี่เหมือนกัน พอลองคิดตามดูแล้วซึงยูนก็น่าสงสาร ในแววตาที่เรียบนิ่งนั่นซ่อนความรู้สึกเศร้าไว้ได้ไม่มิด เจ้าเด็กนักเลงคงรู้สึกผิดหวังที่โดนเพื่อนปัดความรับผิดชอบทุกอย่างมาไว้ที่ตนเพียงคนเดียวให้รับความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ
พอคิดแบบนั้นแล้วจินอูก็รู้สึกไหววูบ
แขนเล็กเอื้อมไปพาดไว้บนไหล่กว้างของอีกคนรั้งให้ร่างสูงเข้ามาใกล้ตน มือเล็กลูบหัวคนเด็กกว่าเบาๆเหมือนกับตอนที่อีกคนชอบปลอบเขาเวลาที่รู้สึกกลัว ซึงยูนเงยหน้ามามองคนแก่จอมขี้ขลาดที่น่าจะกลัวจนเผ่นแน่บไปตั้งแต่เห็นใบประกาศเมื่อครู่แล้วก่อนจะพบว่าจินอูไม่ได้มีแววตาตกใจเหมือนกับทุกครั้ง ดวงตากลมโตที่มองมายังเขานั่นทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เวลาที่เขาตกใจกลัว คังซึงยูนมักจะปลอบเขาแบบนี้เสมอ
เพราะอย่างนั้นในวันนี้ที่คังซึงยูนกำลังกลัว คิมจินอูก็ขอใช้อ้อมกอดเล็กๆที่ปลอบอีกคนไว้บ้างก็แล้วกัน
แล้วคังซึงยูนก็ร้องไห้ออกมา
ตอนนั้นเองเขาจึงได้รู้ว่าคังซึงยูนเป็นเด็กที่อ่อนไหวกว่านักเลงที่เขานิยามไว้ เหมือนกับเพลงที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟังได้ลึกซึ้ง อารมณ์ของเด็กคนนี้ก็คงเป็นแบบนั้น วันนั้นเจ้าเด็กตัวโตร้องไห้ระบายความรู้สึกที่เก็บกดมาตลอดหลายเดือนลงบนไหล่เล็กๆของคิมจินอูพร้อมกับเล่าเรื่องราววุ่นวายที่พลิกให้ชีวิตของเด็กมอปลายปีสามที่มีความฝันจะเข้ามหาลัยศิลปะอย่างซึงยูนกลายมาเป็นเพียงเด็กกุ๊ยนักเลงข้างถนน
จินอูเลยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนที่เจอกับซึงยูนครั้งแรก เด็กคนนี้ยังอยู่ในชุดนักเรียน แต่พอรู้จักกันได้สองสามอาทิตย์เขาก็ไม่เห็นอีกฝ่ายไปโรงเรียนอีก เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องตั้งแต่เช้าจนเย็น ทีแรกเขาสรุปไปเองว่าเด็กนี่คงมีปัญหากับเพื่อน เพิ่งจะรู้ว่าไอ้ ‘ปัญหา’ ที่เขาเข้าใจว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมันกลับหนักหนากว่านั้นเยอะ..
คังซึงยูนเป็นคนบูซานตั้งแต่เกิด แต่บ้านของเด็กนี่อยู่ในอีกเขต เพิ่งจะย้ายเข้ามาในเขตตัวเมืองแห่งนี้ได้สองปีตอนขึ้นมอปลายปีสอง เพราะย้ายสำมะโนครัวมาที่นี่ จึงต้องทำเรื่องย้ายโรงเรียนทั้งที่เป็นเรื่องยุ่งยากยิ่งนัก แถมเมื่อย้ายเข้ามาแล้วยังกลายเป็นว่าหาเพื่อนยากเพราะคนต่างพากันเข้าใจว่าซึงยูนไปมีเรื่องจนต้องย้ายโรงเรียนมาเสียอย่างนั้น สุดท้ายก็เข้าเป็นสมาชิกในชมรมดนตรีเล็กๆที่ก่อตั้งใหม่ และได้รู้จักกับเด็กกลุ่มหนึ่ง
ซึงยูนเข้ามาตอนมอปลายปีสอง เข้ามาเป็นสมาชิกมอปลายปีสองคนเดียวในขณะที่สมาชิกที่เหลือเป็นเด็กมอปลายปีหนึ่ง อันที่จริงเรียกว่าชมรมก็คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่นักเพราะดูเหมือนว่าจะมีสมาชิกในชมรมกันอยู่แค่เพียง4คนเท่านั้น คือเขา คังซึงยูนผู้เป็นพี่ใหญ่ เชวมินกิ เด็กหนุ่มหน้าสวยราวกับสาวน้อยแรกรุ่น จางโดยูน เพื่อนสนิทของมินกิที่เป็นคนสร้างสีสันให้กับพวกเขา และฮวังมินฮยอน เด็กหนุ่มตัวสูงที่เคยสนิทกับเขามากที่สุด
โดยูนกับมินกิมีเด็กมอต้นที่สนิทอยู่หนึ่งคนชื่ออีจีฮุน และอีจีฮุนก็มีพี่ชายซึ่งเป็นศิษย์เก่าที่เรียนจบไปแล้วชื่ออีซึงฮุน พวกเขาและซึงฮุนเลยสนิทกันมาตั้งแต่ตอนนั้น เด็กทั้งสี่คนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ดูหนัง เที่ยว กินเหล้า หรือแม้แต่มีเรื่องบ้างเป็นครั้งคราวตามประสาวัยรุ่น
ชีวิตของซึงยูนก็ไปได้ดี เขาเล่นกีตาร์เก่ง ส่วนมินฮยอนก็เล่นเปียโน มินกิจะร้องเพลง ส่วนโดยูนก็นั่งนิ่งๆซะงั้น สองพี่น้องจีฮุนและซึงฮุนก็มักจะโผล่มาประจำ มีจีฮุนที่ชอบมางอแงเรียนกีตาร์กับเขา และซึงฮุนที่ชอบมาแร็พแล้วเต้นท่าแปลกๆเรียกเสียงหัวเราะให้กับเด็กๆ ทุกๆอย่างในตอนนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
แต่แล้วเรื่องบ้าๆก็เกิดขึ้นในวันนั้น
ตอนปิดภาคเรียนฤดูร้อนที่มินกิไปเยี่ยมญาติที่อันยัง พวกเขาสามคนดันไปมีเรื่องกับนักเลงที่อยู่อีกเขตด้วยเหตุผลโง่ๆที่โดยูนดันไปจีบผู้หญิงของพวกมันด้วยความไม่รู้ ในขณะที่พวกเขาไม่ได้เป็นนักเลงเก่งกาจอะไรมากมาย แต่พวกนั้นกลับเป็นพวกอำนาจมืด เล่นพาพวกนับสิบคนมารุม จากที่ปกติเคยสู้มือเปล่ากับพวกลูกกระจ๊อกในโรงเรียนกลับต้องไปสู้กับพวกนักเลงหัวไม้ที่มีอาวุธครบมือ
สุดท้ายโดยูนก็โดนไม้หน้าสามฟาดจนเสียชีวิต ตะปูแหลมที่ยื่นออกมายังเสียบอยู่ในเนื้อของรุ่นน้องคนสนิท ซึงยูนเป็นคนแรกที่รีบรุดเข้าไปหาแล้วดึงอาวุธนั้นออกจากกายบาง
โดยหารู้ไม่ว่านั่นกลายเป็นหลักฐานที่มีรอยนิ้วมือเขา....
โดยูนจากไป ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของทุกคน ตำรวจมากมายกรูกันมาที่นั่น แต่เขากับมินฮยอนไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว ความรู้สึกมากมายจุกอยู่ในอกเสียจนพูดไม่ออก ตอนนั้นเขาไม่ได้นึกโทษอะไรคนเด็กกว่า ไม่มีใครโทษอะไรกัน เพราะทุกอย่างมันเกิดด้วยเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น
แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึง เมื่อตำรวจมาที่บ้านเขาพร้อมกับหมายเรียก โชคดีของซึงยูนที่วันนั้นเขาดันไม่ได้อยู่ที่บ้าน แม่ของเขาบอกว่าตำรวจตรวจพบลายนิ้วมือของเขาเพียงคนเดียวบนอาวุธที่ใช้ฆ่าโดยูน ทีแรกเขาหวังให้มินฮยอนออกมาปกป้อง เพื่อนของเขาเป็นพยานเพียงคนเดียวที่สามารถให้ปากคำได้
แต่มินฮยอนก็ไม่ทำ
หรือทำแล้วไม่มีผลอะไรก็ไม่รู้ พ่อแม่ของจางโดยูนเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่มีชื่อเสียงในบูซาน พวกเขาเร่งรัดให้หาตัวคนผิด และตำรวจโง่เง่าเหล่านั้นก็ไม่มีเบาะแสอื่นใดนอกจากรอยนิ้วมือของเขาที่ปรากฎอยู่ ซึงยูนรู้สึกหนังอึ้งเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมา พวกนั้นใส่ถุงมือ ใช่ เขาจำได้ว่าพวกนั้นใส่ถุงมือ เขาไม่น่าโง่ไปแตะต้องอาวุธนั่นเลย...
แล้วเขาก็ออกจากบ้าน เพราะไม่ได้ไปตามหมายเรียก นอกจากคำพูดของมินฮยอนที่ไม่มีผลใดๆนั้นก็ไม่มีหลักฐานใดๆที่สามารถปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นคนฆ่าโดยูนได้เลย ตำรวจจะแวะมาที่บ้านอีกหลายครั้ง และซึงยูนก็ยังไม่อยากจะรับผิดชอบในความผิดที่เขาไม่ได้ก่อ เขาหอบข้าวของมาอยู่ในร้านของเล่นที่ถูกทิ้งร้างนี่เมื่อหลายเดือนก่อนเพราะไม่อยากให้แม่เขาต้องลำบากใจกับการโดนตราหน้าว่ายังให้ที่อยู่อาศัยกับลูกชายที่เป็นฆาตกรหลบหนีคดี
ซึงยูนเกลียดคำว่าฆาตกร
สำหรับเขาโดยูนก็เป็นเพื่อนคนสำคัญที่เขาไม่เคยคิดจะฆ่า เมื่อได้ยินคำพูดถากถางเสียดสีเหล่านั้นเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเกรี้ยว และการที่มินฮยอนและมินกิปิดปากเงียบไม่พูดอะไรยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดกว่าเดิม สุดท้ายซึงยูนก็กลายมาเป็นนักเลงอย่างว่าจริงๆ นานเข้าก็เริ่มหมดความรู้สึกอยากเรียน บวกกับการไปเรียนอาจทำให้ตำรวจตามหาเขาได้ง่ายซึงยูนจึงตัดสินใจหยุดเรียนทั้งที่กำลังจะจบในไม่กี่เดือนนี้ ยังไงซะรอเวลาให้เรื่องเงียบลงไปก่อนแล้วค่อยกลับไปเรียนก็ไม่เสียหาย
ที่ผ่านมาเขาคิดว่าหากอยู่เงียบๆแบบนั้นเดี๋ยวทุกอย่างคงผ่านไปเอง แต่นั่นก็เป็นการหลอกตัวเอง
พ่อแม่ของโดยูนไม่มีทางยอมความได้ง่ายๆ เพราะเจ้าเด็กนั่นเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน
ถึงแม้จะใช้เวลาซักหน่อย แต่สุดท้ายหมายจับก็ออกมา พร้อมกับใบปลิวประกาศจับพร้อมราคาค่าตัวสูงลิ่วที่ปลิวว่อนไปทั่วบูซานเมื่อเช้านี้
จินอูไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงแต่โอบกอดร่างหนาไว้แน่นแล้วลูบผมดำนั่นอย่างเบามือที่สุด ความอบอุ่นจากกายบางแผ่ซ่านเข้าไปทั่วหัวใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลและความหวาดกลัวของคังซึงยูน ตลอดหลายเดือนมานี้เด็กหนุ่มไม่เคยแสดงออกถึงความสับสนและความอ่อนแอให้คนแก่กว่าเห็น
นั่นไม่ใช่เพราะเขาเข้มแข็งอะไรหรอก
แต่เป็นเพราะว่าเวลาอยู่ใกล้คิมจินอูแล้ว เขาลืมความกังวลใจทั้งหมดไปเลยต่างหาก
จินอูจำได้ว่าหลังจากประโยคหวานเลี่ยนนั่นถูกพูดออกมาแล้วร่างสูงก็ขยับเข้าใกล้เขา มอบสัมผัสอุ่นบางเบาที่ข้างแก้มพร้อมกับเสียงกระซิบสั้นๆที่ทำให้ใจเต้นแรงรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“คิมจินอูยา ผมชอบฮยองนะครับ”
“ไม่ต้องออกมาเลย อยู่ในนั้นไปนั่นแหละ เกิดคนมาเห็นขึ้นมาทำยังไงล่ะ” จินอูพูด ร่างเล็กพยายามทำเสียงให้เข้มที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สิ่งที่ได้รับจากเจ้าเด็กตัวโตคือเสียงหัวเราะร่วนอย่างขบขัน ก็ตอนนี้จินอูเหมือนกับลูกกวางตัวเล็กๆที่พยายามจะสู้กับหมีตัวโตด้วยตาใสๆของมันน่ะสิ
“ไม่เป็นไรหรอกน่าแค่นิดเดียวเอง....”
“ไม่ เข้าไปๆๆๆ” มือเล็กๆดันอกกว้างให้กลับเข้าไปในประตูไม้เก่าๆนั่นแต่แรงเขาก็สู้แรงอีกคนไม่ได้เลย โลกนี้ไม่ยุติธรรม ทั้งๆที่เขาเกิดก่อนแท้ๆ แต่ทำไมเจ้าเด็กนี่กลับแรงเยอะกว่าเขาขนาดนี้กันนะ
“โหยยย เข้าก็ได้ครับ แต่ฮยองต้องจุ๊บผมก่อน” คังซึงยูนเบะปากเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงง้องแง้งเหมือนเด็กๆ ก่อมจะก้มลงทำแก้มป่องยื่นไปหาคนแก่กว่าที่ยืนอยู่ด้านหน้า
“ย่าห์ คังซึงยูน!” จินอูหน้าแดงด้วยความเขิน เขาไม่ใช่แฟนสาวของหมอนี่เสียหน่อยจะต้องทำอะไรแบบนั้นก่อนไปเรียนน่ะ
“จินูฮยองอา...” ทำเสียงอ่อยกับหน้าเหมือนลูกหมาโดนดุ สุดท้ายคนแก่กว่าก็เลยได้แต่ถอนหายใจแล้วยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเด็กหนุ่มตัวโตอย่างช่วยไม่ได้ ร่างเล็กรีบหันหลังแล้ววิ่งดุ๊กดิ๊กออกจากหลังร้านไปยังถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว ใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อนั่นทำให้คนเด็กกว่าที่ยืนมองอยู่ตรงนั้นเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านรกๆเหมือนทุกคราว
ความสัมพันธ์ของจินอูกับซึงยูนไม่ชัดเจนมาตั้งแต่วันนั้น วันที่จู่ๆซึงฮุนก็พรวดพราดเข้ามาในบ้านแล้วยัดประกาศจับใส่มือจนซึงยูนต้องบ่อน้ำตาแตกต่อฮยองตัวเล็กที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาโดยไม่รู้ตัว พอมือเล็กๆนั่นกอดเขาไว้เด็กหนุ่มตัวโตก็ปล่อยโฮออกมายกใหญ่แถมยังเมาน้ำตาจนพูดอะไรแปลกๆออกมาเสียด้วย
ซึงยูนไม่พอใจตัวเองเลยที่เป็นแบบนั้น
ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะบอกรักอีกคนด้วยวิธีที่เท่ๆกว่านี้เป็นร้อยเท่า ในวันที่เขาโตกว่านี้และพ้นโทษพ้นคดีบ่วงกรรมบ่วงเวรอะไรนี่ให้หมด หรืออย่างน้อยก็ตอนแต่งเพลงให้เสร็จก็ยังดี แต่สุดท้ายก็หลุดปากเผลอบอกชอบออกไปแบบโง่เง่าสุดๆ แถมเจ้าของตาลูกกวางที่เขาสนใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกันก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเสียด้วย วันนั้นจินอูเพียงแค่ยิ้มน้อยๆแล้วก็กลับบ้านไป ทีแรกเขาก็กลัวว่าอีกคนจะเกลียดเขาแล้วไม่กลับมาแล้วเสียอีก แต่สุดท้ายคนแก่จากอิมจาโดก็โผล่เข้ามาในบ้านเขาวันต่อมาเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหมือนกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรออกไปซะงั้น
ถึงจะอยากถามออกไปเท่าไหร่แต่สุดท้ายแล้วคังซึงยูนที่ใครๆมองว่าเท่ มองว่าแน่ก็เป็นแค่ไอ้กากที่ได้แต่ชวนลูกกวางตัวน้อยเล่นไปวันๆไม่กล้าถามออกไปตรงๆเสียอย่างนั้น
ป๊อดชะมัดเลยคังซึงยูน
คิดแล้วร่างสูงก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะประกาศบ้าๆนั่นติดไปทั่วเมือง พักนี้เขาจึงไม่ได้ออกไปไหนมาไหนเหมือนเช่นเคย จากที่เคยออกแอบมองอีกคนที่มหาลัย ไปรับบ้านเป็นบางวัน ไปเล่นดนตรีตามถนนอย่างที่ชอบตอนนี้เขาก็ถูกทั้งจินอูและซึงฮุนที่โผล่มาเยี่ยมนานๆครั้งสั่งให้อยู่แต่ในห้อง ชีวิตของคังซึงยูนจึงมีเพียงแค่กองโน้ตเพลงยักษ์ กีตาร์ตัวโต และนาฬิกาเรือนใหญ่ที่เขาเหลือบมองรอเวลาที่จินอูจะกลับมาก็เท่านั้น
ถึงแม้ว่าอะไรๆจะดูน่าเบื่อขึ้นเยอะแต่ซึงยูนกลับรู้สึกว่าชีวิตของเขาสดใสกว่าที่ผ่านมามากมาย คิมจินอูเป็นคนที่ทำให้เขาลืมเรื่องทุกข์ใจได้เป็นปลิดทิ้ง ดวงตากลมๆใสๆกับรอยยิ้มหวานๆนั่นทำให้เด็กหนุ่มหัวใจเต้นแรงเหมือนกับพระเอกนิยายตาหวาน เพียงแค่ได้เห็นหน้าอีกคนเขาก็สามารถเขียนเพลงได้เป็นพันๆเพลงแทนความรู้สึกที่มีให้ผู้ชายตัวเล็กคนนั้นแล้ว
แต่ก็นะ นั่นมันก็แค่คำพูดเปรียบเปรยนั่นแหละ เอาเข้าจริงตอนนี้เขากำลังแต่งเพลงให้กับคิมจินอู ทั้งๆที่คำพูดมากมายล่องลอยอยู่ในหัวแล้วแท้ๆ แต่พอยัดคำพวกนั้นลงไปในเมโลดี้ที่ต้องการมันกลับไม่ได้ไพเราะอย่างที่เขาคาดคิดไว้ เพราะอะไรกันนะ กลัว? ประหม่า? กังวล? หรือว่ากำลังเขิน... บอกไม่ถูกแต่เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาตลอด
ยิ่งเขาเข้าใกล้พี่ชายคนนั้นมากเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกว่าคนคนนี้พิเศษกว่าใครๆ
เพราะเป็นคนพิเศษก็เลยอยากทำให้ออกมาดี เพราะแบบนั้นแหละ เพลงที่เขาตั้งหน้าตั้งตาแต่งจนจบถึงยังไม่มีเนื้อร้องที่ลงตัวเสียที มือหนาหยาบกร้านเล่นกีตาร์เป็นทำนองซ้ำๆร้องวนไปวนมาแบบนี้หลายวันแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาแรงบันดาลใจ...
แล้วเด็กหนุ่มก็เหลือบไปเห็นแจ็กเก็ตตัวโตที่หน้าห้อง ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ขอโทษนะครับ จินอูฮยอง วันนี้ผมจะขัดคำสั่งฮยองนิดหน่อยแล้วกันนะ
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่วันนี้จินอูเลิกเรียนเร็ว เพราะอาจารย์ไม่เข้าสอนในคลาสเย็นอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว นักศึกษาที่เดินออกจากมหาลัยในเวลาบ่ายสองแบบนี้จึงไม่เยอะมากนัก ส่วนมากถ้าไม่มีเรียนในเวลาแบบนี้เหล่าคนส่วนใหญ่ก็มักจะไปเที่ยวกันต่อเพราะแบบนั้นรถประจำทางสายที่ออกนอกเมืองไปทางหอพักของจินอูจึงโล่งอย่างไม่น่าเชื่อ คนทั้งสองเดินก้าวขึ้นรถเมล์ที่ร้างผู้คนไปอย่างเงียบๆ ซึงยูนไม่กล้าพูดอะไรออกมาหลังจากเพิ่งโดนดุไปเมื่อครู่
เจ้าเด็กดื้อคังซึงยูนที่อยู่บ้านเบื่อๆไม่มีอะไรทำตัดสินใจออกมารับพี่ชายหน้าหวานที่มหาลัยอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน ร่างสูงอยู่ในชุดแจ็กเก็ตตัวโตที่คลุมฮู้ดปิดหัวเสียจนหมด พร้อมกับผ้าปิดปากสีดำและแว่นกันแดดอันโต ตอนแรกที่จินอูเห็นคนแปลกๆนั่นหน้ามหาลัยก็ตกใจแทบแย่ ถึงแม้จะแอบเหมือนพวกวอนนาบีแร็พเปอร์ที่ไม่สามารถเข้าถึงศาสตร์แห่งการแต่งตัวของชาวฮิพฮอพอยู่แต่เจอตอนกลางวันแสกๆแบบนี้เขากลับเข้าใจว่าเป็นพวกโจรโรคจิตเสียมากกว่า พอคนแปลกๆนั่นเดินมาดักหน้าเขานี่แทบหัวใจวาย แต่พอซึงยูนเฉลยออกไปว่าคือใครแล้วจินอูก็จัดบ่นเสียเซ็ตใหญ่เล่นเอาหูชาไปเลยทีเดียว
แต่ก็นะ ก็ดีแล้ว อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าอีกคนเป็นห่วงเขา
พอขึ้นรถมาได้ซักพัก คนที่บ่นเป็นตาแก่เมื่อครู่ก็ดันหลับไปเสียอย่างนั้น หัวเล็กๆของจินอูพิงอยู่ที่ไหล่กว้างของซึงยูนอย่างน่ารัก อกบางกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆตามจังหวะหายใจ ใบหน้าขาวนวลเนียนอยู่ห่างจากคนเด็กกว่าไม่กี่เซนติเมตรจนนักเลงผู้มีประกาศจับทั่วเมืองในชุดโจรโรคจิตกลั้นความรู้สึกตื่นเต้นไว้ไม่ได้ มือหนาเอื้อมไปลูบแก้มขาวเบาๆด้วยความเอ็นดู
“จินอูฮยองอ่า...” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ รอยยิ้มกว้างซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าปิดปากสีเข้มเช่นเดียวกับแววตาที่เต็มไปด้วยความหมายใต้แว่นกันแดดอันโต สัมผัสอุ่นๆเป็นเพียงสิ่งเดียวที่คงส่งผ่านไปถึงร่างเล็กบนไหล่ที่อยู่ในห้วงนิทรานี้
“วันนั้นน่ะ วันที่ฮยองเจอซึงฮุนฮยองครั้งแรก” กระซิบเบาๆพร้อมกับไล้มือไปตามโครงหน้าหวานที่ทำให้เขาใจเต้นแรงอย่างแผ่วเบา
“ทำไมฮยองถึงไม่ตอบผมนะ... ไม่ได้ยินหรือว่าไม่อยากตอบกันแน่”
น้ำเสียงทุ้มสั่นไหวเล็กน้อยเหมือนกับตัดพ้อ ซึงยูนค่อยๆพูดสิ่งที่เขาคิดมาตลอดหลายวันนี้ออกมาหลังจากเห็นว่าอีกคนคงกำลังหลับลึก ขี้ขลาดชะมัดเลยคังซึงยูน.. ถ้าจินอูตื่นลืมตาขึ้นมาตอนนี้เขาต้องรู้สึกอยากระเบิดตัวตายแน่ๆ เมื่อเห็นว่าอีกคนยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเร็วๆนี้ คนเด็กกว่าจึงเอ่ยปากออกไปเบาๆ
“รักนะครับ คิมจินอูฮยอง” ซึงยูนพูดเบาๆแล้วผละออกจากร่างบางที่ทิ้งน้ำหนักลงบนไหล่ของเขาแล้วหลับตาลงพิงกระจกรถ ออกตามหาอีกคนในห้วงนิทราไป... แต่ไม่ทันได้หลับเต็มตา เสียงเล็กๆก็ดังอู้อี้ขึ้นมาเสียก่อน
“ย่าห์ คังซึงยูนคนโง่! ฉันก็รักนายเหมือนกัน”
หืม อะไรนะ
นี่ไม่ได้หลับอยู่หรอกเหรอ
แปปนะครับ นักเลงคังซึงยูนขอระเบิดตัวตายก่อนแปป
จนแล้วจนรอดจนตอนนี้ที่คังซึงยูนได้คิมจินอูมาเป็นคนรักอย่างที่ต้องการแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังไม่เคยจะได้บอกรักคนหน้าหวานนี่แบบโรแมนติคๆอย่างที่คิดไว้เสียที แต่แผนการไปรับอีกคนที่มหาลัยวันนั้นดูจะได้ผลดีเกินคาด แค่เพียงไม่นานเพลงรักหวานซึ้งที่เขานั่งแต่งเนื้อเพลงมาหลายวันก็ถูกแต่งเสร็จได้อย่างรวดเร็วจนพร้อมโชว์ให้คนตัวเล็กได้ฟังแล้วในที่สุด
และวันนี้ก็เหมือนกับทุกวัน จินอูมาที่ห้องรกรังหนูของคังซึงยูนหลังกลับจากมหาลัย เมื่อเปิดประตูเข้าไปเด็กอิมจาโดก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าห้องที่ปกติเน่าแสนจะเน่าถูกจัดเก็บให้เรียบร้อย เศษขยะขวดเบียร์ขวดอาหารถูกทิ้งไปจนหมด ผ้าที่ใช้แล้วถูกใส่เก็บในตะกร้าส่วนผ้ายังไม่ได้ใช้ก็แขวนไว้ที่มุม โน้ตเพลงที่เคยกระจุยกระจายก็ถูกเรียงเป็นระเบียบตั้งไว้บนโต๊ะ และเจ้าเด็กหนุ่มตัวโตก็ไม่ได้หายไปไหน คังซึงยูนอยู่ในเสื้อเชิร์ตตัวที่มั่นใจว่าหล่อที่สุดพร้อมกับกีตาร์คู่ในในมือ
จินอูแอบเห็นว่าอีกคนมีท่าทางประหม่าเล็กน้อย โน้ตเพลงเพลงหนึ่งวางไว้ตรงหน้า จินอูอดไม่ได้ที่จะรีบแย่งมันมาดูก่อนที่ซึงยูนจะทันได้เริ่มเล่นเพลง พออ่านไปได้แค่นิดเดียวเท่านั้นคนแก่กว่าก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้
“ฮ่าๆ อะไรของนายเนี่ยคังซึงยูน เพลงอะไรของนาย” จินอูหัวเราะอีกคนจนตาปิด ซึงยูนเบะปากเล็กน้อย มือหนาวางกีตาร์ลง
“โหย ฮยองรีบเอาไปดูก่อนได้ยังไงกันล่ะ แถมยังมีหน้ามาหัวเราะอีก เอามานี่เลยย” คนเด็กกว่ารีบดึงโน้ตเพลงกลับมาไว้กับตัว แถมยังซ่อนไว้ข้างหลังเหมือนกับเด็กหวงของเล่นยังไงอย่างงั้น
“ก็แหม แถมดูดิ นี่นายเอาเรื่องของเราไปแต่งเพลงรึไง บนรถบัส แล้วบนจักรยานนั่นอะไร ฮ่าๆ ที่เขียนๆไปนั่นมโนซะครึ่งนึง” จินอูยังไม่หยุด คงยังไม่เห็นสีหน้าของเจ้าเด็กตัวโตที่ตอนนี้เบะปากจนเหมือนจะร้องไห้แล้ว แต่ก็นะ เขาก็เถียงไม่ได้จริงๆนั่นแหละว่าที่เขียนอยู่ในนั้น.... มโนซะครึ่งนึง...
“โหย ฮยองอ่ะ ไม่โรแมนติกเอาซะเลย ผมอุตส่าห์ตั้งใจแต่งให้ฮยองนะ ทำไมทำกันเงี้ยะ” กอดอกแก้มป่อง จินอูยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปใหญ่เมื่อได้เห็นซึงยูนทำท่าทางแบบนั้น ที่ตอนแรกเขาเคยคิดว่าเจ้านี่เข้ม เขาคงจะดูผิดไปจริงๆ...
“โอ๋เอ๋ ฮยองไม่หัวเราะแล้วก็ได้ มาๆ” จินอูดึงเก้าอี้ไม้มานั่งลงตรงข้ามอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาฝุ่นเขรอะ ซึงยูนยู่จมูกใส่อีกคนแล้วคว้ากีตาร์ตัวใหญ่ขึ้นมาตามเดิม
“เพลงนี้ชื่อเพลงหัวขโมย... ผมเป็นนักเลง ส่วนฮยองเป็นหัวขโมย เข้ากันดีป้ะล่ะ” คนเด็กกว่าหันไปพูดกับอีกคนแล้วยักคิ้วให้ด้วยท่าทางกวนๆ
“ย่าห์ ฉันไม่ใช่หัวขโมยซักหน่อย” คราวนี้เป็นจินอูเองที่เบะปาก น่าแปลกทั้งๆที่คนตรงหน้านี้แก่กว่าซึงยูนตั้งสามปี แต่ในสายตาของเด็กหนุ่มแล้วชาวอิมจาโดตรงหน้านี้กลับเหมาะกับท่าทางเด็กๆมากกว่าเขาเสียอีก
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ...”
“ก็ฮยองเป็นโจรขโมยหัวใจผมไง....”
………….
………………………………….
………………………………………………………..
“ใครสั่งใครสอนให้เล่นมุกเพื่อนไม่คบแบบนี้เนี่ยคังซึงยูน.....” แล้วจินอูก็ตัดสินใจปิดฉากเดดแอร์ระหว่างทั้งสองหลังจากอึ้งกับความเสี่ยวของคนรักตัวเองอยู่เป็นเวลานาน ตอนนี้เจ้าเด็กตัวโตที่แต่งมุกไม่ปรึกษาใครเมื่อครู่หน้าเจื่อนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
“อ่า...”
“แต่จริงๆก็เขินดีเหมือนกันนะ คึคึ เล่นมาสิ ฉันรอฟังอยู่นะ” แล้วจินอูก็ยิ้มออกมาอย่างน่ารัก ซึงยูนเห็นดังนั้นก็ใจชื้นขึ้นเล็กน้อยแล้วกระชับเครื่องดนตรีในมือแน่น
“ตั้งใจฟังนะฮยอง ถ้าฮยองไม่ตั้งใจฟังล่ะก็ผมเอาตายแน่!!!” สิ้นประโยคนั้นคังซึงยูนก็หลับตาลงแล้วเริ่มเล่นกีตาร์อย่างที่ทำเป็นประจำ ท่วงทำนองที่ไม่คุ้นเคยทว่ากลับติดหูจนน่าแปลกใจดังขึ้นในโสตประสาท เสียงทุ้มนุ่มขับกล่อมคลอกับเสียงดนตรีที่น่าหลงใหล เนื้อเพลงหวานที่จินอูรู้ว่ามันถูกแต่งเพื่อเขาโดยเฉพาะทำให้เขารู้สึกอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับสเน่ห์ของเด็กหนุ่มตรงหน้า
ทุกๆคอร์ด ทุกๆถ้อยคำถูกเรียบเรียงขึ้นมาอย่างดี
ทั้งห้องที่ถูกจัดและการแต่งตัวแบบนี้ก็ยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายคงเตรียมการมานานเพื่อวันนี้
รอยยิ้มที่ปรากฎอยู่บนใบหน้าของคนสองคน
ห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายหอมหวานของความรัก
ความอบอุ่นเหล่านั้นถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
เพลงเพลงนั้นยังคงดำเนินต่อไปอีกครั้งและอีกครั้งจนหัวใจของเขาชุ่มช่ำด้วยความรู้สึกที่ล้นปรี่
และนั่นคือ ‘รักแรก’ ของเขา
แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นมักจะคงอยู่ไม่นานเสมอ นั่นคือความจริง ไม่กี่เดือนต่อมาจินอูก็จบปีสาม และฤดูแห่งปิดเทอมก็มาถึง แม้ว่าเด็กปีสามอย่างจินอูจะต้องฝึกงานในปีหน้าแต่เขาก็ยังไม่ได้เลือกบริษัทที่จะไปฝึกงานแน่ชัดนัก อะไรที่เป็นเรื่องของอนาคตเขาก็อยากให้เป็นเรื่องของอนาคต เพราะสำหรับเขาในตอนนั้น แค่’ปัจจุบัน’ ในตอนนั้นมีแค่คังซึงยูนก็เพียงพอแล้ว
วันนั้นเขาเพิ่งสอบเสร็จ เพราะสอบเสร็จก็ต้องฉลอง แต่แทนที่จะได้ไปกินเหล้าอย่างเช่นทุกทีซึงยูนกลับเป็นคนนัดเขาไปกินข้าวข้างนอก ทีแรกจินอูก็ตั้งใจจะปฏิเสธ แต่เพราะพักนี้ซึงยูนทำตัวดีเป็นพิเศษสุดท้ายเขาก็เลยแพ้ลูกอ้อนของเจ้าเด็กตัวโตเข้าให้
ทีแรกจินอูจะให้ซึงยูนแต่งตัวแบบโจรโรคจิตเหมือนในวันนั้น แต่คงเพราะเด็กหนุ่มคงจะเข็ดกับชุดที่เทอะทะและสายตาแปลกๆที่คนมองจึงทำให้เด็กหนุ่มเลือกที่จะใส่แค่เสื้อผ้าปกติกับหมวกและแว่นตาเท่านั้น จินอูยอมรับว่าเจ้าเด็กนี่ดูดีเป็นพิเศษในชุดวันนี้
อาจเป็นเพราะนี่คือ ‘เดทแรก’ ของคนทั้งสองด้วยล่ะมั้ง
ซึงยูนพาจินอูมาที่แฮอุนแด ทั้งๆที่บูซานมีที่เที่ยวมากมายแต่เด็กหนุ่มกลับเลือกที่จะพาอีกคนมาที่ที่คนพลุกพล่านอย่างชายหาดกว้างนี่ แต่ก็นะ สำหรับเดทแรก ซึงยูนก็อยากจะทำให้มันน่าประทับใจที่สุดนั่นแหละ ทั้งสองเดินหาอะไรกินอยู่ที่ริมข้างทางซักพัก คนเด็กกว่าก็พาจินอูมาเดินเล่นริมชายหาด
“ไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว...” ซึงยูนเป็นคนเปิดบทสนทนาขึ้น คนเด็กกว่าเหม่อมองไปไกลสุดริมขอบฟ้า จินอูมองอีกคนที่ยืนอยู่นั่นก็อดยิ้มไม่ได้ มืออุ่นๆที่กุมมือเล็กอยู่แน่นนั่นทำให้เขารู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมากอด ถึงแม้ว่าจินอูจะเป็นคนขาวมาก แต่ตอนนี้ซึงยูนที่ได้แต่อยู่ในบ้านกลับขาวกว่าเขาเสียแล้ว..
น่าสงสาร...
เมื่อไหร่เรื่องจะซาๆลงไปนะ....
“ฉันไม่เคยมาที่นี่เลยแหละ” จินอูพูดบ้าง แล้วมองไปยังทะเลกว้างที่สมัยอยู่ที่บ้านเกิดที่อิมจาโดเขามักจะชอบมองมันอยู่เสมอๆ แต่ตั้งแต่เข้ามหาลัยที่นี่มา ชายหนุ่มแทบไม่มีโอกาสได้ออกมาพักผ่อนไกลขนาดนี้
“ฮยองชอบทะเล?” คนเด็กกว่ามองใบหน้าหวานกับตากลมแป๋วที่สะท้อนภาพของท้องทะเลสีฟ้า คิมจินอูช่างไร้ที่ติเสียจริง..
“อื้อ ก็ฉันมาจากอิมจาโด”
“แล้ว?”
“เอ้าก็....”
‘ผลั่ก!’ ยังไม่ทันได้พูดให้จบประโยค ใครบางคนก็ผลักร่างเล็กออกห่างจากคังซึงยูนอย่างรวดเร็ว จินอูเงยหน้ามองผู้มาใหม่ก็ต้องตัวสั่นด้วยความกลัว...
ตำรวจ...
ตำรวจในเครื่องแบบชุดปฏิบัติการหลายคนยืนล้อมพวกเขาไว้ คนหนึ่งจับแขนเล็กไว้แน่นยื้อไว้ไม่ให้จินอูไปหาซึงยูน อีกสองคนจับเด็กหนุ่มเอาแขนไพล่หลังอย่างรุนแรง สังเกตได้จากใบหน้าที่แสดงถึงความเจ็บของเด็กหนุ่มร่างสูง มือใหญ่คู่นั้นถูกล็อกด้วยกุญแจมือสีเงิน
“อยู่ห่างเขาไว้ครับ ผู้ชายคนนั้นเป็นฆาตกรคุณไม่รู้หรือไง” เสียงนิ่งๆของชายร่างใหญ่ที่ยื้อแขนเขาไว้กล่าวห้าม เมื่อร่างเล็กมีท่าทีจะผลักอีกคนออก
“ไม่ใช่นะ! เขาไม่ใช่ฆาตกร!!” จินอูร้องลั่น ตากลมๆมีน้ำตาใสเอ่อคลอล้นเบ้า ตำรวจที่ใส่หมวกทับจนไม่สามารถเห็นแววตาได้ไม่พูดอะไรออกมา กระชับแรงที่แขนเล็กนั่นให้แน่นขึ้นและร้องเรียกพวกอีกคนมาช่วยจับจินอูไว้
“คังซึงยูน คุณถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกาย ฆ่าคนโดยเจตนา และหลบหนีการจับกุม” ตำรวจคนหนึ่งพูด ในขณะที่อีกคนตีเข้าที่ขาของเด็กหนุ่มจนร่างสูงล้มลงอยู่ในท่าคุกเค่า
“ป..ปล่อยสิ ฮึก” ร่างเล็กร้องลั่น มือเล็กทั้งทุบทั้งหยิกร่างใหญ่สองร่างที่ขนาบข้างเขา แรงดิ้นของกวางตัวเล็กไม่อาจสู้แรงของตำรวจร่างยักษ์ที่ได้รับการฝึกมาได้อย่างดียิ่งทำให้จินอูรู้สึกกลัว
“ฮือออ ซึงยูนนนนน”
“จินอูฮยอง!!” ไม่ต่างกัน อีกคนที่กำลังสะบักสะบอมเรียกชื่อของคนแก่กว่าที่กำลังตกใจกลัว เขารู้ว่าจินอูเป็นคนขี้กลัวเพียงใด รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงรู้สึกวิตกกังวลแค่ไหน ไหล่บางที่สั่นระริกเหมือนกับวันที่เจอกันครั้งแรกยิ่งทำให้ซึงยูนรู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องร่างบางได้เลยสักนิด
“ไอ้ฆาตกร!” ไม่นานนัก ฝูงคนก็เริ่มเข้ามุงดูเหตุการณ์ตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเป็นคังซึงยูนที่มีประกาศจับอยู่ทั่วบูซานก็ทำให้โทสะของชาวบ้านชาวเมืองที่ผ่านไปผ่านมาพุ่งขึ้น เสียงก่นด่าเริ่มดังขึ้นระงม บ้างก็ปารองเท้าข้าวของเข้าใส่ซึงยูน บ้างก็ชี้หน้ากล่าวคำหยาบต่างๆนานา
แต่นั่นไม่ได้ทำให้คังซึงยูนรู้สึกแย่เลย
ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแย่ไปกว่าการเห็นจินอูถูกลากให้เดินห่างออกไป ห่างออกไป ไกลขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่นะ!!! ปล่อย!! ฮึก คังซึงยูนนนนนนนนน!!!!!!”
หลังจากนั้น คิมจินอูก็ไม่ได้พบกับคังซึงยูนอีกเลย
จินอูเกือบโดนลากไปที่โรงพักเพื่อสอบสวนว่าไปอยู่กับซึงยูนได้ยังไง เกือบจะโดนข้อหาช่วยเหลือผู้หลบหนีคดี แต่เป็นเพราะการให้ปากคำของซึงยูนที่จัดขึ้นในอีกสถานีหนึ่งเด็กหนุ่มจึงถูกปล่อยตัวไปหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาไม่รู้ว่าซึงยูนถูกลงโทษอย่างไรบ้าง ในข่าวไม่ได้บอกรายละเอียดของคดีนั้นมากนัก ได้ยินมาว่าญาติของมินฮยอนมีเส้นสายอยู่ในวงการสื่อ
มันอาจจะจริง ที่ซึงฮุนเคยพูดไว้ว่ามินฮยอนก็พยายามที่จะช่วยซึงยูน
จะว่าไปแล้ว จินอูก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากใครอีก ซึงยูนที่คงถูกจำคุกหรือกักกันอยู่ไม่สามารถติดต่อมาได้อย่างแน่นอน และแม้ว่าเขาพยายามจะตามหา แต่กลับไม่เคยได้รับคำตอบเลยแม้แต่น้อย ซึงฮุนที่เคยมาเยี่ยมซึงยูนบ่อยๆก็ไม่ได้กลับมาที่ร้านของเล่นเก่านั่นอีกต่อไป แล้วเขาก็ไม่รู้จักใครอื่นที่รู้จักกับเด็กคนนั้นอีก
ความทรงจำที่เคยเป็นความจริงในอดีตกลายเป็นภาพเก่าเหมือนกับกระดาษของหนังสือที่ถูกทิ้งไว้นานเมื่อเวลาผ่านไป ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาจินอูก็ได้บริษัทฝึกงานที่แดกู มหาลัยของเขามีศูนย์ที่อยู่วิทยาเขตแถวนั้น และเด็กหนุ่มก็ได้อยู่ในเมืองแดกูจนเรียนจบปีสี่ หลังจากนั้นจินอูก็เข้าทำงานที่กรุงโซลที่แสนวุ่นวาย เพราะจบด้วยเกรดดี บริษัทมากมายจึงพากันแย่งตัวเขาเสียให้วุ่น การงานของเขากำลังไปได้ดี แต่ก็เหน็ดเหนื่อยเสียเกินจะทนได้ ชีวิตของเขายุ่งวุ่นวายเกินกว่าจะออกตามหาใครคนหนึ่งที่เคยสำคัญมากก่อนหน้านี้
เวลาผ่านไปอีกสองปี จากคิมจินอูในวัยยี่สิบต้นๆ ตอนนี้เขาก็ได้กลายเป็นคนในวัยเบญจเพสไปโดยไม่รู้ตัว เงินเก็บของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถพาแม่ที่อยู่ที่อิมจาโดไปอยู่ที่โซลด้วยกันได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป
คิมจินอูไม่มีแฟน
คิมจินอูไม่มีความรักอีกหลังจากวันนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเข้าหา แต่ดูเหมือนว่าหัวใจของเขายังไม่พร้อมจะเปิดรับใครเข้ามา ยอมรับว่ามีบ้างที่เหงาและท้อแท้ แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถทำให้เขาใจเต้นแรงได้เหมือนตอนนั้นอีก...
ไม่รู้ว่าเพราะคิดแบบนั้น หรือเพราะอะไร จินอูจึงเลือกที่จะใช้วันหยุดพักร้อนปีนี้มาเที่ยวที่บูซาน เมืองกว้างที่เขาเคยมาอยู่เป็นช่วงสั้นๆสมัยเรียนมหาลัย หอพักที่เขาเคยเช่าไม่ว่างแล้ว ถึงแม้ว่าเขาตั้งใจจะมานอนหอนั้นพร้อมกับเงินในกระเป๋าด้วยราคาสูงลิ่ว แต่เพราะปล่อยเช่าไปหมดแล้วเด็กอิมจาโดจึงต้องแห้ว ไปพักในโรงแรมที่ควรค่าแก่จำนวนเงินเหล่านั้นจริงๆ
จินอูเดินเพียงลำพังบนเส้นทางที่เขาแสนจะคุ้นเคย ผ่านถนนหนทางเก่าๆ ตรอกเล็กๆที่เขาได้พบกับซึงยูนเป็นครั้งแรก เท้าเรียวก้าวไปโดยอัตโนมัติ แว่วยินเสียงเพลงในวันเก่ามาตามทาง เขาเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่หน้าตึกแถวที่อยู่ข้างหอพักเดิม
มันไม่ได้เป็นร้านของเล่นร้างที่เขรอะไปด้วยฝุ่นจนต้องเข้าประตูหลังอีกแล้ว อาคารหลังเดิมถูกทาสีใหม่จนหมด ป้ายหักๆพังๆถูกแทนที่ด้วยป้ายสีสดที่บอกว่ามันถูกเปลี่ยนเป็นร้านกาแฟ เก้าอี้ที่นั่งด้านในถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อยผิดกับห้องของคังซึงยูนที่เคยรกอยู่เสมอ
มือเรียวผลักประตูร้านเข้าไปราวกับต้องมนต์ กลิ่นจางๆของกาแฟลอยมาเตะจมูกทันทีที่เขาก้าวเข้าไป เสียงเพลงเก่านั่นชัดขึ้นเรื่อยๆจนเขาต้องยิ้มออกมา จินอูเดินไปที่เคาเตอร์ เขาเห็นแผ่นหลังของชายหนุ่มไวๆเมื่อครู่ แอบหวังว่าคนคนนั้นจะเป็นคนคนเดียวกับใครบางคนที่เขาหวังเอาไว้ ดวงตากลมมองไปยังหลังร้านซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องซ้อมดนตรีโง่ๆของเจ้าเด็กตัวโต ห้องที่เขาและซึงยูนเคยสร้างความทรงจำมากมายเอาไว้ รอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฎขึ้นที่มุมปาก
“รับอะไรดีครับ” เสียงหวานเสียงหนึ่งเรียกให้จินอูหลุดจากห้วงภวังค์ เขาแถบหุบยิ้มทันทีเมื่อพบว่าเจ้าของแผ่นหลังเมื่อครู่ไม่ใช่ใครบางคนที่เขาคิดไว้ นี่เขากำลังคาดหวังอะไรอยู่นะ... เด็กตรงหน้ายิ้มหวานให้เขา ตาเรียวเล็ก แก้มป่องๆกับขนาดตัวที่เล็กกว่าเขาเสียอีก ดูท่าว่าเด็กคนนี้น่าจะเด็กกว่าเขาอยู่หลายปีเหมือนกัน ทำไมเด็กที่ร้านนี้ถึงเปิด ‘เพลงของคังซึงยูน’ ได้นะ
“คุณครับ?” เด็กหนุ่มตัวเล็กเอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าลูกค้ายังยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมา
“อ่า... ขอโทษครับ เอสเพรสโซ่แก้วหนึ่งก็แล้วกัน” จินอูตอบอีกคนไป พร้อมกับส่งยิ้มให้ตามมารยาท เด็กคนนั้นเอ่ยบอกเมนูแก่บาริสตาสาวแล้วก้มลงกดราคาที่เครื่องแคชเชียร์
“ไม่ทราบว่าเพลงนี้.....” แล้วจินอูก็ถามคำถามที่ไม่คิดจะถามออกไป เมื่อเพลงได้จบลง เด็กหนุ่มตัวเล็กตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมองอีกคนอย่างงงๆก่อนจะเอ่ยตอบ
“เจ้าของร้านค้นเจอแผ่นเพลงเก่าตอนเข้ามาปรับปรุงตึกครับ เห็นว่าเพราะดีก็เลยเอามาเปิดในร้านบ่อยๆ คุณเองก็ชอบเพลงนี้เหมือนกันสินะครับ” เด็กคนนั้นพูดแล้วยิ้มจนตาปิด จินอูถอนหายใจออกมาเมื่อได้รับคำตอบ เขาเดินออกมานั่งที่โต๊ะเล็กๆที่มุมร้าน
สุดท้ายแล้วเขาก็หวังมากไปสินะ...
ไม่มีใครรู้หรอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงของคังซึงยูนเมื่อหลายปีที่แล้ว
ไม่ใช่คังซึงยูนหรอก ที่จะกลับมาเล่นเพลงนี้ให้เขาฟังได้อีกแล้ว.....
“จะไม่ออกไปเจอพี่เขาหน่อยจริงๆเหรอ?” เด็กหนุ่มร่างเล็กเดินเข้าไปที่หลังร้าน พูดกับชายหนุ่มหน้าตาดีที่กำลังนั่งเกลากีตาร์อยู่ในห้องพนักงานด้านหลังพร้อมด้วยเครื่องควบคุมเสียงของร้าน คนตัวสูงกว่าส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆให้กับคนเด็กกว่า
“ไม่หรอกจีฮุน พี่ยังไม่พร้อมน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบเด็กหนุ่มผู้เป็นน้องชายของอีซึงฮุน ร่างเล็กส่ายหน้าเล็กน้อยกับนิสัยสบายๆของคนแก่กว่า
“ตามใจแล้วกัน ระวังโดนใครคาบไปกินก่อน ผมไปดูหน้าร้านละ บายๆ” จีฮุนพูดแล้วเดินกลับไปยกแก้วกาแฟเสิร์ฟให้ลูกค้าตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ขอบคุณนะจีฮุน...”
คังซึงยูนในวัยยี่สิบสองปีต่างจากเมื่อหลายปีที่แล้วนัก หลังจากเขาถูกจับได้ก็ถูกส่งไปอยู่ในสถานกักกันเกือบครึ่งปี โชคดีว่าอายุยังไม่ถึงเกณฑ์เขาจึงไม่ถูกโยนเข้าคุก แถมยังได้เรียนจนจบมอหกอีกต่างหาก แล้วโชคดีต่อที่สองเมื่อมินกิและมินฮยอนสามารถนำคนร้ายตัวจริงส่งตำรวจได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปสืบยังไงแต่พวกนั้นก็ได้รับบทลงโทษแทนเขาไป
เมื่อได้รับการปล่อยตัวมา พ่อแม่ของโดยูนมาขอโทษเขา เช่นเดียวกับที่เขาได้ปรับความเข้าใจกับมินฮยอนและมินกิ แต่เพราะประกาศจับตอนนั้นที่ปลิวว่อนไปทั่วบูซาน เขาจึงตัดสินใจเข้าเรียนที่มหาลัยในเมืองอื่น แล้วก็ได้เข้าเรียนมหาลัยทางดนตรีที่อินชอนจนสำเร็จการศึกษาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้
อีซึงฮุนและอีจีฮุนผู้เป็นน้องชายได้ซื้อร้านของเล่นนี้ไว้ และตัดสินใจเปลี่ยนมันเป็นร้านกาแฟเล็กๆอย่างที่เห็น ซึงยูนที่เพิ่งจบมาก็ชอบมานั่งๆนอนๆเล่นที่นี่เป็นประจำเหมือนกับเช่นวันนี้ ที่ไม่รู้จะพูดว่าโขคดีหรือโชคร้ายที่ได้พบกับคนที่เขาไม่ได้เจอมานานหลายปี
คังซึงยูนไม่ได้ปล่อยให้คิมจินอูหายไปเหมือนที่อีกฝ่ายเข้าใจ ช่วงหลายปีมานี้ซึงยูนแอบตามเรื่องราวของจินอูอยู่เป็นพักๆจากเพื่อนคนหนึ่งในมหาลัยของจินอูที่สนิทกับซึงฮุน เพราะเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดี โปรไฟล์ของพี่ชายตากลมคนนั้นจึงเป็นสิ่งที่ติดตามได้อย่างไม่ยาก และนั่นยิ่งทำให้ซึงยูนยิ่งไม่อยากไปเจอจินอูในตอนนั้น
จินอูอยู่สูงเหลือเกินเมื่อเทียบกับเขาที่ไม่มีอะไร
เป็นแค่เด็กเหลือขอ เป็นเด็กนักเลง เข้าสถานกักกันมาแล้วรอบนึงแถมยังไม่เอาไหนแบบสุดๆ แต่เขาตั้งใจว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงเพื่อจินอู ตอนที่อยู่ที่อินชอน ซึงยูนตั้งใจเรียนมาก และเป็นที่นิยมในมหาลัยมากกว่าตอนที่อยู่ที่บูซาน เขามีผลการเรียนที่ดี เข้าร่วมกิจกรรมมากมาย และเป็นที่รู้จักของคนในเมืองในแง่ดี เขาร้องเพลงในร้านอาหาร เปิดหมวกบ้างบางที มีบ้างที่ได้ร่วมแสดงในงานอีเวนต์และลองไปออดิชั่นบ้างทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
ช่วงก่อนจบมีค่ายใหญ่มากมายติดต่อให้เขาไปร่วมงานด้วย แต่ซึงยูนก็ปฏิเสธไปหมด เพราะเขามีเป้าหมายที่ชัดเจน
เขาต้องการทำงานในวายจี ค่ายเพลงที่เรียกได้ว่าเป็นค่ายเพลงชั้นนำในเกาหลี หากเขาได้เข้าทำงานในวายจีได้ เขาก็คงมั่นใจว่าตนเองดีพอสำหรับจินอูอย่างแน่นอน เมื่อเขามีการงานที่มั่นคง มีคนที่ชอบชื่นผลงานของเขา มีรายได้ที่ชัดเจน และมีอนาคตที่ดีพอจะยืนเคียงข้างอีกคน
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาได้ส่งผลงานของตัวเองไปให้กับประธานยางแห่งวายจีและได้รับการติดต่อกลับมา ซึงยูนได้ทำสัญญากับทางค่ายเรียบร้อย และพร้อมจะเดินทางไปเริ่มงานที่โซลในเดือนหน้านี้ ที่จริงแล้วตอนนี้เขาแค่ขอเวลาพัก เพื่อที่จะพูดคุยกับคุณแม่เรื่องย้ายบ้านไปอยู่ที่โซลแบบถาวร รวมถึงย้อนกลับมานั่งระลึกถึงความหลังตอนที่เขายังนั่งแต่งเพลงให้ใครบางคนแบบหลบๆซ่อนๆอยู่ แต่หลังจากนี้ไป จะไม่มีคังซึงยูนที่ไม่เอาไหนแบบตอนนั้นอีกแล้ว
ไม่มีแล้วนักเลงคังซึงยูน
ไม่มีแล้วไอ้เด็กเหลือขอคังซึงยูน
ไม่มีแล้วไอ้ขี้ป๊อดคังซึงยูน
จากนี้ไปจะมีแต่คังซึงยูนที่ดีพร้อมสำหรับคิมจินอู
รอหน่อยนะ
แล้วจะกลับไปเล่นเพลงเดิมๆให้ฟังอีกครั้ง
ผลงานอื่นๆ ของ themoestro ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ themoestro
ความคิดเห็น