ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : 5 ข้อ ที่จะทำให้เราเก่งอังกฤษ
ตามหัวเลยค่ะ มีคนถามเข้ามาว่าทำยังไงถึงจะเก่งอังกฤษ ซึ่งจากการค้นคว้าและประสบการณ์ พายได้ข้อสรุปดังนี้ค่ะ
1. Dictionary
ทุกวันนี้คุณใช้ดิกชันนารีแบบไหนกัน? Talking dictionary? เสิร์ชเอาจาก google? หรือว่าใช้ application ในมือถือ? จากการวิจัยของพาย บอกได้เลยว่าไม่มีดิกชันนารีแบบไหนดีเท่าแบบหนังสืออีกแล้ว เพราะว่าระหว่างที่เราเปิดหาคำๆ หนึ่ง เราจะเห็นคำอื่นๆ ด้วย มันจะผ่านตาเราและทำให้เราคุ้นเคยกับคำศัพท์เหล่านั้นได้มากกว่า ถ้าจะให้ดีลองใช้เป็น English - English คือการแปลจากอังกฤษเป็นอังกฤษ ถ้าคุณทำแบบนี้เวลาที่คุณเปิดหาคำศัพท์คำหนึ่ง แล้วคุณเกิดไปเจอคำที่ไม่เข้าใจในคำอธิบายของคำศัพท์นั้นๆ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาคำ่ต่อไปทันที
2. Books
เมื่อพูดถึงการเก่งภาษา แน่นอนไม่ว่าจะภาษาไหนก็ต้องอ่านเป็นเสียก่อน การอ่านไม่ได้ทำให้เรารู้ศัพท์มากขึ้นเท่าันั้น แต่จะทำให้เรารู้ว่าจะนำศัพท์ที่รู้อยู่แล้วมาใช้ยังไง รวมถึงสำนวน และการเปรียบเปรยในหลายๆ รูปแบบ ถ้าภาษาของคุณยังไม่แข็งพอ ลองเริ่มอ่านจากหนังสือพิมพ์หรือนิตยาสารที่มีศัพท์ไม่ยากมากนัก หรือถ้าเกิดคุณคิดว่าภาษาของคุณดีในระดับหนึ่งแล้ว ลองเปลี่ยนมาอ่านนิยายดู ซึ่งจะมีนิยายจำพวกหนึ่งที่ถูกเขียนมาสำหรับคนฝึกภาษาโดยเฉพาะ และจะมีระดับความยากกำกับเอาไว้ด้วย ก็เลือกอ่านกันไปตามความสามารถ และค่อยๆ ไต่ระดับไปก็ได้
3. Confidence
นี่ถือว่าเป็นปัญหาที่คนไทยเรามีมาตั้งแต่ยุคก่อนจนถึงยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ทราบว่าถูกปลูกฝังมาแบบนี้หรืออย่างไร เลยไม่กล้าที่จะแสดงออกเท่าไหร่ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่กล้าถาม ไม่กล้าตอบ นั่นคือสาเหตุหลักที่ทำให้บ้านเราไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ (นอกเรื่อง) เอาเป็นว่าจะเปรียบเทียบจากประสบการณ์ให้ฟังก็แล้วกันนะคะ มีคนไทยคนหนึ่งกับคนเกาหลีคนหนึ่ง ทั้งสองเริ่มเรียนภาษาอังกฤษพร้อมกัน ในห้องเรียนเดียวกัน อาจารย์คนเดียวกัน เพื่อนร่วมห้องเหมือนกัน แต่ในอีกหนึ่งปีต่อมา คนเกาหลีคนนั้นสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋อ ในขณะที่คนไทยยังคงงูๆ ปลาๆ พายเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรเพื่อแ้ก้ปัญหานี้กับหลายๆ คน แต่จะบอกให้ฟังคร่าวๆ ว่าถ้าเกิดคุณก้าวผ่านความกลัวนั้นมาได้ คุณจะได้ผลประโยชน์มากมายขนาดไหน
ความกลัวที่หนึ่งที่เห็นกันได้ทั่วๆ ไปในห้องเรียน เวลาครูถามว่า 'เข้าใจไหมคะนักเรียน' ทุกคนก็จะพยักหน้าตอบรับทั้งที่ในใจยังมีคำถามเป็นร้อยเป็นพัน ในขณะที่ชาติอื่นๆ เขาจะยกมือขึ้นถามทันที ถ้าคุณแก้ไขตรงนี้ได้ คุณจะดูโง่แค่ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ดีกว่ายอมโง่ไปตลอดชีวิต จริงไหม?
ความกลัวที่สอง คือกลัวที่จะพูด เวลาครูฝรั่งให้จับกลุ่มคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ หรือเวลาที่ตอบโต้กับฝรั่ง บางคนจะเงียบกริบ บางคนจะเลี่ยงการใช้คำผิดโดยการถามคำถามเบสิกสุดๆ เช่น 'How are you?' 'I'm fine, thank you. And you?' ถามกันตรงๆ นะ ไม่เบื่อบ้างหรือ? ทั้งที่เราเองก็รู้ศัพท์เยอะแยะแต่ไม่กล้าที่จะพูดมันออกไป เพราะว่ากลัวว่าจะพูดผิด! แต่จะบอกให้ฟังว่า คนที่ทำผิดเยอะ คือคนที่เรียนรู้มากกว่าคนที่ไม่เคยทำผิดพลาดเลย อย่างที่ไ้ด้บอกไปแล้ว ดูโง่แค่แปปเดียว ดีกว่าโง่ไปตลอดชีวิต ดังนั้นพูดไปเถอะค่ะ ถ้าเกิดเราผิดเขาก็จะแ้ก้ให้เราเอง ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเหนียมอาย
4. Daily Life
ถ้าภาษาคุณพัฒนาขึ้นมาอีกระดับแล้ว ลองมาปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตด้วยการสอดแทรกภาษาอังกฤษลงไปกันดีกว่าค่ะ อย่างแรกเลยที่คนไทยอย่างเราพอจะทำได้คือการหาเพื่อนแชทเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นไปได้ลองหาคนที่เป็นเจ้าของภาษา แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ลองหาคนไทยหรือคนชาติอื่นที่พูดอังกฤษได้ แต่ขอย้ำว่าอย่าไปคุยกับคนที่ภาษาแย่กว่าเรา เพราะจะทำให้เราซึมซับอะไรผิดๆ มา และกลายเป็นว่าเราไม่ได้พัฒนาแต่กลับแย่ลง
อย่างที่สอง หาความเป็นตัวเองว่าคุณชอบอะไร อย่างเช่น คุณชอบฟังเพลงอังกฤษ หรือเพลงไทยก็ไ้ด้ ลองหาเวลาว่างมาแปล บางคำที่คุณไม่รู้ ก็จะนำไปสู่การเปิดดิกชันนารี ได้คำศัพท์เพิ่มอีกด้วย ถ้าเกิดว่าคุณเป็นนักเขียน ลองแปลงานเขียนของคุณเป็นภาษาอังกฤษดู ไม่จำเป็นต้องทั้งหมด แค่เล็กๆ น้อยๆ ก็ดีกว่าย่ำอยู่กับที่
อย่างที่สาม สำหรับคนที่มีพ่อแม่หรือคนในบ้านที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ คุณก็ลองประเดิม speak English ไปเลย ข้อนี้เป็นข้อที่ได้ผลที่สุดจากการสอบถาม เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนภาษาคือคุณต้องกระหายในความรู้ และยิ่งคุณคลุกคลีกับมันมากเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จก็มีมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าคุณจะลองข้อนี้ นั่นหมายถึงคุณต้องกำจัดความอายไปให้หมดเสียก่อน (เห็นไหมว่าความอายมันเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้)
5. Keep it up!
อย่างสุดท้ายเลยพบมากในหมู่คนที่สิ้นหวัง คือการที่เราท้อแท้หรือคิดว่าเราไม่ได้เรื่อง จึงทำให้หมดความพยายามที่จะเรียนรู้ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าตราบใดที่คุณเรียนรู้ ต่อให้น้อยแค่ไหน ชีวิตคุณกำลังพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าคุณเลิกเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงคุณกำลังจะติดลบ ท้อบ้างไม่ใช่ปัญหา แต่คุณต้องแข็งพอที่จะยกตัวเองขึ้นมาในวันที่เหนื่อยสุดๆ คุณอาจจะมองว่าสิ่งที่ได้มามันเล็กน้อย แต่ถ้าคำว่า 'เล็กน้อย' หลายๆ คำมาเรียงกัน มันก็ไม่น้อยเลยนะว่าไหม ดังนั้นขอให้ทุกคนสู้ต่อไป จงอย่ายอมแพ้
---------------------------------------------------------------------------------------------
นานๆ จะมาอัพเพราะช่วงนี้ยุ่งอยู่กับการเขียนนิยาย
อัพทั้งทีเลยอยากให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับทุกคนที่สุด
ขอให้โชคดีค่ะ
Thai Pie
1. Dictionary
ทุกวันนี้คุณใช้ดิกชันนารีแบบไหนกัน? Talking dictionary? เสิร์ชเอาจาก google? หรือว่าใช้ application ในมือถือ? จากการวิจัยของพาย บอกได้เลยว่าไม่มีดิกชันนารีแบบไหนดีเท่าแบบหนังสืออีกแล้ว เพราะว่าระหว่างที่เราเปิดหาคำๆ หนึ่ง เราจะเห็นคำอื่นๆ ด้วย มันจะผ่านตาเราและทำให้เราคุ้นเคยกับคำศัพท์เหล่านั้นได้มากกว่า ถ้าจะให้ดีลองใช้เป็น English - English คือการแปลจากอังกฤษเป็นอังกฤษ ถ้าคุณทำแบบนี้เวลาที่คุณเปิดหาคำศัพท์คำหนึ่ง แล้วคุณเกิดไปเจอคำที่ไม่เข้าใจในคำอธิบายของคำศัพท์นั้นๆ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาคำ่ต่อไปทันที
2. Books
เมื่อพูดถึงการเก่งภาษา แน่นอนไม่ว่าจะภาษาไหนก็ต้องอ่านเป็นเสียก่อน การอ่านไม่ได้ทำให้เรารู้ศัพท์มากขึ้นเท่าันั้น แต่จะทำให้เรารู้ว่าจะนำศัพท์ที่รู้อยู่แล้วมาใช้ยังไง รวมถึงสำนวน และการเปรียบเปรยในหลายๆ รูปแบบ ถ้าภาษาของคุณยังไม่แข็งพอ ลองเริ่มอ่านจากหนังสือพิมพ์หรือนิตยาสารที่มีศัพท์ไม่ยากมากนัก หรือถ้าเกิดคุณคิดว่าภาษาของคุณดีในระดับหนึ่งแล้ว ลองเปลี่ยนมาอ่านนิยายดู ซึ่งจะมีนิยายจำพวกหนึ่งที่ถูกเขียนมาสำหรับคนฝึกภาษาโดยเฉพาะ และจะมีระดับความยากกำกับเอาไว้ด้วย ก็เลือกอ่านกันไปตามความสามารถ และค่อยๆ ไต่ระดับไปก็ได้
3. Confidence
นี่ถือว่าเป็นปัญหาที่คนไทยเรามีมาตั้งแต่ยุคก่อนจนถึงยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ทราบว่าถูกปลูกฝังมาแบบนี้หรืออย่างไร เลยไม่กล้าที่จะแสดงออกเท่าไหร่ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่กล้าถาม ไม่กล้าตอบ นั่นคือสาเหตุหลักที่ทำให้บ้านเราไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ (นอกเรื่อง) เอาเป็นว่าจะเปรียบเทียบจากประสบการณ์ให้ฟังก็แล้วกันนะคะ มีคนไทยคนหนึ่งกับคนเกาหลีคนหนึ่ง ทั้งสองเริ่มเรียนภาษาอังกฤษพร้อมกัน ในห้องเรียนเดียวกัน อาจารย์คนเดียวกัน เพื่อนร่วมห้องเหมือนกัน แต่ในอีกหนึ่งปีต่อมา คนเกาหลีคนนั้นสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋อ ในขณะที่คนไทยยังคงงูๆ ปลาๆ พายเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรเพื่อแ้ก้ปัญหานี้กับหลายๆ คน แต่จะบอกให้ฟังคร่าวๆ ว่าถ้าเกิดคุณก้าวผ่านความกลัวนั้นมาได้ คุณจะได้ผลประโยชน์มากมายขนาดไหน
ความกลัวที่หนึ่งที่เห็นกันได้ทั่วๆ ไปในห้องเรียน เวลาครูถามว่า 'เข้าใจไหมคะนักเรียน' ทุกคนก็จะพยักหน้าตอบรับทั้งที่ในใจยังมีคำถามเป็นร้อยเป็นพัน ในขณะที่ชาติอื่นๆ เขาจะยกมือขึ้นถามทันที ถ้าคุณแก้ไขตรงนี้ได้ คุณจะดูโง่แค่ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ดีกว่ายอมโง่ไปตลอดชีวิต จริงไหม?
ความกลัวที่สอง คือกลัวที่จะพูด เวลาครูฝรั่งให้จับกลุ่มคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ หรือเวลาที่ตอบโต้กับฝรั่ง บางคนจะเงียบกริบ บางคนจะเลี่ยงการใช้คำผิดโดยการถามคำถามเบสิกสุดๆ เช่น 'How are you?' 'I'm fine, thank you. And you?' ถามกันตรงๆ นะ ไม่เบื่อบ้างหรือ? ทั้งที่เราเองก็รู้ศัพท์เยอะแยะแต่ไม่กล้าที่จะพูดมันออกไป เพราะว่ากลัวว่าจะพูดผิด! แต่จะบอกให้ฟังว่า คนที่ทำผิดเยอะ คือคนที่เรียนรู้มากกว่าคนที่ไม่เคยทำผิดพลาดเลย อย่างที่ไ้ด้บอกไปแล้ว ดูโง่แค่แปปเดียว ดีกว่าโง่ไปตลอดชีวิต ดังนั้นพูดไปเถอะค่ะ ถ้าเกิดเราผิดเขาก็จะแ้ก้ให้เราเอง ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเหนียมอาย
4. Daily Life
ถ้าภาษาคุณพัฒนาขึ้นมาอีกระดับแล้ว ลองมาปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตด้วยการสอดแทรกภาษาอังกฤษลงไปกันดีกว่าค่ะ อย่างแรกเลยที่คนไทยอย่างเราพอจะทำได้คือการหาเพื่อนแชทเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นไปได้ลองหาคนที่เป็นเจ้าของภาษา แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ลองหาคนไทยหรือคนชาติอื่นที่พูดอังกฤษได้ แต่ขอย้ำว่าอย่าไปคุยกับคนที่ภาษาแย่กว่าเรา เพราะจะทำให้เราซึมซับอะไรผิดๆ มา และกลายเป็นว่าเราไม่ได้พัฒนาแต่กลับแย่ลง
อย่างที่สอง หาความเป็นตัวเองว่าคุณชอบอะไร อย่างเช่น คุณชอบฟังเพลงอังกฤษ หรือเพลงไทยก็ไ้ด้ ลองหาเวลาว่างมาแปล บางคำที่คุณไม่รู้ ก็จะนำไปสู่การเปิดดิกชันนารี ได้คำศัพท์เพิ่มอีกด้วย ถ้าเกิดว่าคุณเป็นนักเขียน ลองแปลงานเขียนของคุณเป็นภาษาอังกฤษดู ไม่จำเป็นต้องทั้งหมด แค่เล็กๆ น้อยๆ ก็ดีกว่าย่ำอยู่กับที่
อย่างที่สาม สำหรับคนที่มีพ่อแม่หรือคนในบ้านที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ คุณก็ลองประเดิม speak English ไปเลย ข้อนี้เป็นข้อที่ได้ผลที่สุดจากการสอบถาม เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนภาษาคือคุณต้องกระหายในความรู้ และยิ่งคุณคลุกคลีกับมันมากเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จก็มีมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าคุณจะลองข้อนี้ นั่นหมายถึงคุณต้องกำจัดความอายไปให้หมดเสียก่อน (เห็นไหมว่าความอายมันเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้)
5. Keep it up!
อย่างสุดท้ายเลยพบมากในหมู่คนที่สิ้นหวัง คือการที่เราท้อแท้หรือคิดว่าเราไม่ได้เรื่อง จึงทำให้หมดความพยายามที่จะเรียนรู้ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าตราบใดที่คุณเรียนรู้ ต่อให้น้อยแค่ไหน ชีวิตคุณกำลังพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าคุณเลิกเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงคุณกำลังจะติดลบ ท้อบ้างไม่ใช่ปัญหา แต่คุณต้องแข็งพอที่จะยกตัวเองขึ้นมาในวันที่เหนื่อยสุดๆ คุณอาจจะมองว่าสิ่งที่ได้มามันเล็กน้อย แต่ถ้าคำว่า 'เล็กน้อย' หลายๆ คำมาเรียงกัน มันก็ไม่น้อยเลยนะว่าไหม ดังนั้นขอให้ทุกคนสู้ต่อไป จงอย่ายอมแพ้
สุดท้ายมีคำคมมาฝากค่ะ
"The reason why people give up so fast is because they tend to look at how far they still have to go, instead of how far they have gotten"
"เหตุผลที่ผู้คนยอมแพ้โดยเร็วเป็นเพราะว่าพวกเขามองว่าจะต้องไปอีกไกลแค่ไหน แทนที่จะมองว่าเรามาไกลแค่ไหนแล้ว"
"The reason why people give up so fast is because they tend to look at how far they still have to go, instead of how far they have gotten"
"เหตุผลที่ผู้คนยอมแพ้โดยเร็วเป็นเพราะว่าพวกเขามองว่าจะต้องไปอีกไกลแค่ไหน แทนที่จะมองว่าเรามาไกลแค่ไหนแล้ว"
---------------------------------------------------------------------------------------------
นานๆ จะมาอัพเพราะช่วงนี้ยุ่งอยู่กับการเขียนนิยาย
อัพทั้งทีเลยอยากให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับทุกคนที่สุด
ขอให้โชคดีค่ะ
Thai Pie
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น