ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Legend : Online

    ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 12 : สะเพร่า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 97
      0
      2 ก.พ. 57

    Chapter 12 : สะเพร่า

     

                    ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งแล้วนะ … “ ปิยะพูดขณะมองเพื่อนรักที่ยังคงกุมมือขาวซีดของหญิงสาวผู้หลับไหลอยู่บนเตียงเหมือนเจ้าหญิงนิทราตัวน้อยๆ แม้การผ่าตัดและระบบต่างๆในร่างกายจะฟื้นตัวสมบูรณ์เหมือนปฏิหาริย์แล้วแต่...หญิงสาวก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมาอยู่ดี

     

                    หมอนั่นก็ซึมกระทือไปเลย ยูตะทำได้เพียงพูดคุยและมองอยู่ห่างๆเงียบๆกับปิยะโดยไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพียงแต่เหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงฝังในจิตใจของเขาอยู่

     

                    …. เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อน

     

                    นายจะทำตัวซึมกระทือแบบนี้ไปถึงไหน มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกนะ ยูตะต่อว่าวินด์ที่วันๆเอาแต่นั่งเฝ้าริณอยู่ข้างเตียงไม่ทำอะไรนอกจากตื่นขึ้นมาและมานั่งจมปรักอยู่ที่นี่ทั้งวัน

     

                    แกจะไปเข้าใจอะไร ชายที่ถูกต่อว่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะพร้อมกับกำป้ำหนักๆส่งออกไปยังใบหน้าของเพื่อนรัก มันถึงจุดที่ความรู้สึกของเขาจะแตกหักแล้วเพราะหวังมากจึงผิดหวังมากนั่นละ

     

                    ตุ้บ .. พลั่ก  ‘ ที่ยูตะทำคือเพียงแค่เอามือซ้ายรับหมัดหนักที่ต่อยมาดื้อๆก่อนจะต่อยสวนเข้าที่หน้าเพื่อนรักจนหันไป

     

                    ดูสภาพนายสิวินด์ แค่หมัดกระจอกๆของฉันยังหลบไม่ได้ ดูสภาพตัวเองสินายแย่ขนาดไหนแล้วจะ แล้วจะไม่ให้พวกฉันเป็นห่วงได้ยังไงเล่า ยูตะโกนก้องแล้วเดินหันหลังออกไปตามด้วยปิยะที่เอาแต่ยืนมองเงียบๆไม่พูดอะไร

     

                    พวกนายไม่มีวันเข้าใจหรอก ไม่เข้าใจ วินด์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จนวันนี้มันก็ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งแล้วหญิงสาวก็ยังคงหลับไหลอยู่อย่างนั้น

     

                    ….

     

                    “ ฉันไม่มีทางเข้าใจหรอก แต่ที่เห็นคือหมอนั่นมันเหมือนคนตายไปแล้วมากกว่านั่นละ ปิยะเอ่ยเบาๆขณะมองดูเพื่อนรักที่ยังคงเหม่อมองใบหน้าของหญิงสาวที่หลับอยู่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและเป็นแบบนี้มานานมากแล้วจนคุณพ่อและคุณแม่ของวินด์เป็นห่วงจนต้องตามพวกตนมาดูถึงที่นี่

     

                    เข้าใจมันก็บ้าแล้ว ไอ่ความบ้าบิ่นที่พยายามทุกอย่างหายไปหมดพอล้มเหลวก็สิ้นหวังเลยรึไง ทั้งๆที่เคยพูดเองแท้ๆว่าทุกอย่างมีทางออก ยูตะตอบด้วยอารมณ์โกรธที่อยู่ๆก็โดนต่อยซะอย่างนั้นแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหรอกนะ

     

                    หมอนี่ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ เล่นเอาพวกเราทำอะไรไม่ถูกไปด้วยเลย ปิยะนั่งลงที่โซฟาสีชมพูอ่อนข้างๆหลังยืนมองได้ครู่หนึ่ง

     

                    แล้วพวกนายจะให้ฉันทำยังไง เสียงวินด์ดังมาจากเตียงนั้นที่ริณนอนอยู่ ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันครั้งหนึ่ง

     

                    นึกสิว่ายังทำอะไรได้บ้าง ปิยะพูดในสิ่งที่คิด ถ้ามันยังไม่สำเร็จแปลว่ายังเคลียเงื่อนไขได้ไม่หมดมันก็เท่านั้นละ

     

                    แต่ขอโทษทีแล้วกัน ฉันทำไปหมดทุกอย่างแล้วทุกอย่างจริงๆที่ทำให้เธอคนนี้ ชายที่นั่งอยู่ข้างเตียงนั้นยังคงตอบอย่างไร้ความหวัง เขาคิดอะไรไม่ออกอีกแล้วไม่เคยคาดด้วยซ้ำว่าจะเป็นแบบนี้

     

                    ความเงียบกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งสามคนต่างก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีในเมื่อสุดท้ายแล้วเธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมางั้นทางเดียวนั่นก็คือ

     

     

     

                    นายกำลังคิดแบบนั้นสินะปิยะ ชายที่นั่งอยู่ข้างเตียงเอ่ยถามไปยังเพื่อนรักของตนที่กำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิด

     

                    ถ้ามันเหมือนกันก็แปลว่าควรทำจริงๆนั่นละ ชายหนุ่มอีกคนตอบกลับในสิ่งที่คิดไม่ว่าจะพบเจอกับปัญหาใด ความจริงที่พวกเขาทั้งสามเป็นเพื่อนกันและฝ่าฟันมันมาด้วยกันย่อมไม่เปลี่ยนแปลง

     

                    วินด์ค่อยๆบรรจงถอดอุปกรณ์พยุงชีพจำพวกสายให้น้ำเกลือออกแล้วอุ้มหญิงสาวที่แม้ยามปกติแทบจะเบาดุจปุยนุ่น แต่ตอนนี้กลับรู้สึกไม่ได้ถึงน้ำหนักแต่ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาสบายใจคือ สุดท้ายไม่ว่าจะเลวร้ายมากมายเพียงใด หญิงสาวคนนี้ยังคงหายใจอยู่

     

                    ทางเดินในบ้านที่เคยคิดว่ามันไม่ได้ยาวมากมายนักกลับเหมือนเป็นถนนสู่ยอดเขา วินด์ค่อยๆเดินผ่านบอดี้การ์ดมากมายเรื่อยๆตามทางมาจนถึงห้องที่เขาเริ่มต้นทุกอย่าง และจะต้องจบทุกอย่างที่นี่

     

                    ไม่ได้ใช้งานมันมาตั้งนานล่ะ เจ้าเตียงนั้น วินด์มองเตียงดักจับคลื่นสมองที่ตนเองเป็นคนพัฒนาขึ้นมาด้วยสายตาเลื่อนลอย ในเมื่อทุกอย่างเริ่มจากเจ้านี่ก็ให้มันจบที่เจ้านี่นั่นละ

     

                    ร่างของริณถูกวางลงอย่างแผ่วเบาท่ามกลางสายตาของชายหนุ่มอีกสองคนที่ยืนดูอยู่ วินด์บรรจงปิดฝาครอบใสแล้วเริ่มการทำงานของโปรแกรมอีกครั้ง จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ก็มีทำไปแล้วครั้งหนึ่งแต่ดูเหมือนจะไม่พบอะไรเลย

     

                    เอ่อวินด์ ปิยะเรียกเพื่อนรักที่กำลังวุ่นอยู่กับการตรวจสอบร่างกายริณอย่างละเอียดซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวก็ยังคงทำเมินไม่ตอบเสียงทักนั้น

     

                    เรามีอะไรจะถามนายนิดหนึ่งนะ   ปิยะยังคงกวนวินด์อยู่โดยที่ไม่สนท่าทีของเพื่อนแม้แต่นิด

     

                    คือว่า …. นายลืมติดตั้งโปรแกรมอะไรรึเปล่า ปิยะยังคงพูดต่อโดยไม่รอคำตอบของวินด์ ซึ่งคำถามนี้เรียกใบหน้าเครื่องหมายคำถามจากเพื่อนรักได้เป็นอย่างดี

     

                    ฮาร์ดแวร์ที่ไม่มีซอฟต์แวร์มันก็เศษเหล็กรึเปล่า เขายังคงพูดต่อโดยขยายความให้เข้าใจในสิ่งที่ตนเองจะสื่อ เพราะสิ่งที่วินด์ไม่ได้ทำให้เขาเห็นนั่นคือการลงระบบต่างๆ เพราะถึงแม้สมองของหญิงสาวจะได้รับการฟื้นฟูแต่ที่หลับอยู่อาจเป็นเพราะไม่มีคำสั่งให้เธอตื่นขึ้นก็เป็นได้

     

                    นั่นสินะ   … จริงด้วย วินด์พูดแบบอึ้งๆพลางใช้หมัดขวาของตนชกเข้าที่ใบหน้าเต็มรักจนเลือดไหลออกมุมปาก เรื่องแค่นี้ทำไมเขาถึงนึกไม่ออก ซ้ำร้ายยังเผลอทำอะไรโดยขาดสติไปอีก

     

                    ปิยะกับยูตะที่กำลังจะเข้าไปห้ามก็ไม่มีทางเร็วไปกว่าหมัดเจ้าคนใจเย็นที่เดี๋ยวนี้หัดใจร้อน ได้แต่ส่ายหัวกับความบ้าบิ่นของเพื่อนที่ต่อให้เรื่องสำคัญแค่ไหนก็สามารถตัดสินใจได้อย่างดีเยี่ยมยกเว้นเรื่องนี้

     

                    เอาเข้าไป ปวดใจจริงๆฉัน ยูตะส่ายหัวเช่นเดียวกับปิยะที่ยกมือขึ้นมากุมขมับอย่างหน่ายใจ ไม่รู้ว่าเขาจะถอนคำพูดที่เคยยกยอคนตรงหน้าดีหรือไม่ในเวลานี้

     

                    แก๊ก แก๊ก แก๊ก แก๊ก … “ เสียงกดคีย์บอร์ดดังระรัวมาจากโต๊ะทำงานเพียงตัวเดียวในห้องข้างๆมีโซฟารับแขกกับเพื่อนทั้งสองที่นั่งทำหน้าง่วงซึมอยู่ ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปกว่าสองชั่วโมงแล้ววินด์ยังคงไม่มีท่าทีว่าจะหยุดการลงมือเขียนคำสั่งโปรแกรมครั้งนี้ คงจะจริงที่ว่าสมองเรายากแท้จะหยั่งถึง

     

                    แป๊ก ... ตื่นขึ้นมาซะริณ เสียงกดปุ่มที่ต่างไปจากทุกทีเหมือนใช้นิ้วกระแทกลงไปอย่างแรงบนคีย์บอร์ดดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงตะโกนอย่างดีใจของวินด์ เรียกสายตาสนอกสนใจของเพื่อนทั้งสองคน แต่ไม่ทันจะลุกขึ้นมาดูหน้าต่างข้อมูลก็ลอยขึ้นมาด้านหน้าเสียดื้อๆ

     

                    เสร็จแล้วเอาละนะจะเริ่มละ   วินด์นั่งมองตัวเลข 3 หลักที่แสดงออกมาเป็น 0 0 1 แล้วค่อยๆเพิ่มเป็น 0 0 2 ไปจนถึง 0 1 0 มันเป็นตัวบอกค่าความสมบูรณ์ทันทีที่มันถึง 1 0 0 นั่นแปลว่าโปรแกรมทั้งหมดที่วินด์เขียนขึ้นได้ถูกติดตั้งลงไปด้วยแล้วนั่นเอง

     

                    และแน่นอนว่าข้อมูลทั้งหมดที่ใส่เข้าไปผ่านคลื่นไฟฟ้าครั้งนี้จะรวมไปถึงความทรงจำในช่วงที่ริณเป็นข้อมูลดิจิตอลด้วยเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเริ่มอะไรใหม่ในหลายๆอย่าง และสานต่อเรื่องเดิมที่เคยค้างคาไว้ให้จบ

     

                    และแล้วการรอคอยก็มาถึงในที่สุดตัวเลขทั้ง 3 แสดงออกมาเป็น 1 0 0 ฝาครอบกระจกใสของเตียงนอนดักจับคลื่นสมองค่อยๆเปิดออกควัญหมอกจางๆพัดออกมาเผยให้เห็นร่างของหญิงสาว เพียงแต่ตอนนี้เธอลืมตาอยู่ดวงตาสีฟ้าอ่อนโยนที่เขาโหยหาตอนนี้ค่อยๆกระพริบอย่างเชื่องช้าเพื่อปรับตาเข้ากับแสงสว่างตอนนี้หลังจากหลับไหลมาเป็นเวลานาน

     

                    แขนที่ซูบเซียวค่อยๆยกขึ้นโดยปราศจากเรี่ยวแรง และทันทีที่วินด์เห็นแบบนั้นร่างกายก็ไม่ฟังคำสั่งอีกต่อไป เขากระโดดข้ามโต๊ะไม้ที่ใช้เขียนหนังสือเหมือนนักกรีฑาทีมชาติพุ่งไปหามือที่บอบบางนั้นก่อนจะประคองไว้เหมือนว่าหากปล่อยไปจะแตกสลายไปต่อหน้าได้

     

                    ริณ .. ริณ ริณ ตอนนี้เพื่อนทั้งสองคนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเดินออกไปจากห้องแล้วแต่วินด์ก็ทำเพียงเรียกชื่อหญิงสาวที่เขารัก เรียกอยู่อย่างนั้นเหมือนว่าถ้าหากหยุดเมื่อไรเธอจะหายไปตลอดกาล

     

                    คะเราอยู่นี่แล้ว เราจะไม่หายไปไหนอีกแล้วนะ เธอค่อยๆพยุงตัวขึ้นมาโอบกอดชายที่ตนเองรัก ชายที่ตนเองเอาชีวิตเข้าแลกและตอนนี้เขาก็ทำให้เธอฟื้นกลับมาอีกครั้ง ถึงแม้อะไรบางอย่างจะไม่เหมือนเดิมแต่คนๆนี้ ผู้ชายที่เธอกำลังสวมกอดได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อเธอแล้ว

     

                    สัญญานะ วินด์ซุกใบหน้าเข้ากับคอของริณพร้อมน้ำตามากมายที่พรั่งพรูออกมาจนริณได้แต่หัวเราะเบาๆ และเช่นกันว่าขอบตาของเธอเปื้อนของเหลวขาวใส

     

                    เราสัญญา ริณตอบอย่างแผ่วเบาก่อนจะหลับไปอีกครั้งในที่สุด แต่หากครั้งนี้เป็นเพราะเธอต้องการพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมกับวันรุ่งขึ้นที่กำลังจะมาถึง

     

                    ฝันดีนะครับ วินด์กระซิบที่หูเธออย่างแผ่วเบาแล้วจัดแจงค่อยๆอุ้มริณออกมาก่อนจะเดินกลับไปยังห้องนอนที่เขาเป็นคนเลือกและออกแบบไว้รอคนที่เขารักมาเป็นเจ้าของ

     

                    ….

     

                    “ หมดเรื่องแล้วสินะคะมาสเตอร์ อลิซพูดขึ้นในห้องนอนของเขาหลังแยกออกมาเมื่อพาริณเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว วันนี้จะเป็นรักแรกในรอบหลายเดือนที่เขาหลับอย่างเป็นสุข

     

                    แล้วก็คงจะมีเรื่องใหม่เริ่มเร็วๆนี้นั่นละ เสียดายนะตามจริงผมอยากอยู่กับริณนานกว่านี้เหมือนกันแต่ว่าโปรเจครอบนี้ก็เร่งรีบจริงๆนั่นละ วินด์พูดขณะกำลังสวมเสื้อยืดสีขาวที่เขาใส่นอนเป็นประจำเหมือนทุกที

     

                    เรื่องตารางเวลา ตั๋วเดินทางที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆฉันจัดส่งไปแล้วนะคะ น่าจะถึงก่อนมาสเตอร์สักวันสองวัน  “ อลิซพูดพร้อมกับเปิดหน้าต่างโฮโลแกรมแสดงกำหนดการตารางและรายละเอียดงานต่างๆซึ่งวินด์ก็ไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อยเพราะมั่นใจว่าเลขาส่วนตัวคนนี้จะไม่ทำงานผิดพลาดแน่นอน

     

                    ดีครับบอกแม่บ้านทางโน้นจัดเก็บให้เรียบร้อยก่อนผมไปถึงด้วยละ วินด์กล่าวออกมาแล้วล้มตัวลงนอนกับเตียงในที่สุดพร้อมกับไฟทั้งห้องดับลงและมีแสงสว่างสลัวๆจากโคมไฟข้างที่นอนถูกติดขึ้นมาแทน

     

                    ราตรีสวัสดิ์คะมาสเตอร์ อลิซกล่าวออกมาก่อนที่ราตรีนี้จะเข้าสู่ความเงียบสงัดอย่างที่มันควรจะเป็นในที่สุด

     

                    ....

     

                    แสงตะวันยามเช้าทอประกายทอดผ่านบานหน้าต่างที่ถูกออกแบบอย่างปราณีตภายในห้องนอนของชายหนุ่ม แสงไฟจากหลอดมากมายค่อยๆเปิดตามเงาของแสงตะวันที่สาดส่องลงมาเรื่อยๆ

     

                    อรุณสวัสดิ์คะมาสเตอร์ อลิซกล่าวสวัสดียามเช้ากับนายของตนที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนที่นอน จริงๆระบบบอกให้เธอปลุกเขาเหมือนทุกทีแล้วแต่เพราะอะไรบางอย่างบอกเธอว่าควรให้เขาตื่นด้วยตัวเองมากกว่า

     

                    ขออีกครู่หนึ่งนะครับ วินด์พูดตอบทั้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้น ซึ่งเธอไม่อยากจะปฏิเสธคำขอของเจ้านายในเช้าวันนี้ ไม่ว่าใครจะเห็นชายคนนี้ลำบากมากมายแค่ไหนนั้นแต่ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเลขาส่วนตัวอย่างเธอที่ต้องคอยดูแลตั้งแต่ชีวิตประจำวันไปจนถึงสุขภาพและปรับทุกข์

     

                    คงเหนื่อยสินะคะ ถึงแม้อลิซจะไม่มีร่างเนื้อหัวใจหรือความรู้สึก แต่หลายๆอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงเธอมันค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆกับความผิดพลาดของระบบที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ สิ่งที่เธอไม่เคยรู้จักมันค่อยๆมีมากขึ้นทั้ง สงสาร เหนื่อย ดีใจ สนุกสนาน เศร้า ห่วงหา ทั้งที่เธอควรจะทำงานตรงตามหน้าที่แต่ ณ ตอนนี้มันมีสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าความรู้สึกอยู่เหนืออำนาจตัดสินใจของเธอ

     

                    มาสเตอร์..คุณริณขอพบคะตอนนี้รออยู่ที่ห้องรับแขก อลิซกล่าวออกมาพร้อมกับส่งหน้าจอโฮโลแกรมไปเบื้องหน้าเจ้านายของตนที่ยังคงหลับอยู่

     

                    ตอบไปว่าอีก 10 นาทีนะครับ ชายที่นอนอยู่ค่อยๆดันตัวลุกขึ้นจากที่นอนอย่างเฉื่อยชาพลางเดินเข้าห้องน้ำเพื่อปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน

     

                    ….

     

                    สวัสดีคะ ริณเอ่ยทักทันทีที่วินด์เดินลงมาจากตัวบ้านที่คอยังมีผ้าขนหนูสีขาวพาดเอาไว้ทำให้เธอรู้ว่าเขาเพิ่งจะล้างหน้าเสร็จ

     

                    อ๋อครับสวัสดี  “ วินดืตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติแต่ภายในใจนั้นเขินอายมากมายนัก หากใครที่เคยมีความรักย่อมเข้าใจดีว่าการที่ได้คุยกับคนที่ตัวเองชอบนั้นมันรู้สึกเขินมากแค่ไหน ยิ่งเธอที่ว่ากำลังนั่งอยู่บนโซฟาในบ้านเขาด้วยยิ่งแล้วใหญ่

     

                    เพิ่งตื่นหรอคะ หญิงสาวตัวเล็กถามขึ้นขณะที่กำลังนั่งดื่มชาอังกฤษที่แม่บ้านเตรียมเอาไว้ พลางมองวินด์สำรวจตั้งแต่หัวจนถึงขาไม่ได้เพื่อวัดอะไรหรอกแต่ไม่ว่าเมื่อใดนายคนนี้ก็มักจะดูดีเสมอๆ ไม่เว้นแม้แต่ตอนนี้ไม่ใช่เธอดูไม่ออกว่าวินด์กำลังข่มอารมณ์เขินอายมากแค่ไหนแต่ก็ดูน่ารักไปอีกแบบนั่นละ

     

                    อ๋อครับ แล้วมีหลายๆอย่างอยากจะถามผมงั้นสินะ วินด์พูดออกมาอย่างเคยชินที่มักจะเดาใจคนอื่นและคิดนำไปก่อนหนึ่งก้าวเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกันริณทำเพียงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะส่งสายตาค้อนให้

     

                    แล้วนายจะยืนคุยรึไง  ริณถามขึ้นพร้อมกับวินด์ที่พยักหน้าตอบอย่างกวนโอ้ย

     

                    เดี๋ยวผมลงมาแล้วกัน วันนี้ขอยืมตัวลูกสาวท่านทูตด้วยแล้วกันนะครับ ชายหนุ่มพูดตอบโดยไม่สนใจสีหน้าหรือน้ำเสียงบ่นของริณพลางหันตัวเดินกลับไปยังห้องนอนของตนเองเพื่อเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นเสื้อผ้าสำหรับใส่ออกนอกบ้าน

     

                    และแน่นอนว่าอลิซได้จัดเตรียมไว้ให้เขาหมดแล้วทุกชิ้น เสื้อยืดโปโลสีดำสนิทคอวีกว้างกับเสื้อกล้ามสีขาวใส่เป็นพื้น กางเกงยีนส์สีขาวตัดกับเสื้อสร้อยคอกางเขนสีเงินตามเทรนแฟชั่น ทั้งหมดถูกเตรียมเอาไว้ก่อนแล้วเพราะยังไงวันนี้เขาก็ต้องออกไปนอกบ้านเพื่อทำบางสิ่งบางอย่าง

     

                    เอาละริณไปกันเถอะ วินด์ตะโกนตอบจากชั้นบนของตัวบ้านแล้วกระโดดลงมาจากระเบียงเรียกใบหน้าตกใจของริณได้เป็นอย่างดี แต่เจ้าตัวดันทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเดินปร๋อไปทางหน้าบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

                    นายโดดลงมาได้ยังไงน่ะ อันตรายนะนั่น ริณต่อว่าเจ้าคนตัวดีตรงหน้าที่ชอบทำตัวเป็นเด็กๆแต่ก็แค่เฉพาะเวลาที่อยู่กับเธอเท่านั้น

     

                    ก็ปกตินะครับ วินด์หันมายิ้มให้แล้วเปิดประตูรถที่ติดเครื่องรอไว้แล้วเป็นการเชิญชวน วันนี้ทั้งเฟิร์นและลีไม่ได้ติดตามไปด้วยเพราะเขาสั่งไว้

     

                    จะไปไหนล่ะ หญิงสาวถามขึ้นขณะรถกำลังแล่นไปบนถนนยามเช้า ตอนนี้สองฝั่งข้างถนนเริ่มมีผู้คนบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่มากมายนักวินด์ขับรถไปเรื่อยๆไม่ตอบคำถามของหญิงสาว

     

                    ถึงแล้วครับที่ๆเขาพาเธอมาคือร้านกาแฟที่กินเป็นประจำสมัยตอนยังเรียนอยู่ ริณเปิดประตูรถลงไปเองโดยที่ไม่รอให้วินด์มาทำหน้าที่สุภาพบุรุษซึ่งเขาก็ไม่ได้ติดใจอะไรออกจะมีสีหน้าขบขันด้วยซ้ำ

     

                    แล้วนี่โกรธอะไรกันครับเนี่ย ชายหนุ่มร้องทักจากด้านหลังพลางเดินตามหญิงสาวเข้าร้านต้อยๆ ก็คุณเธออยู่ๆดันทำฮึดฮัดขึ้นมาไม่รู้ว่าไปนึกโกรธอะไรตอนไหนแต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยแค่กวนไปบ้างเท่านั้นเอง

     

                    ไม่ได้โกรธนายสักหน่อย เธอตอบก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะประจำมุมหนึ่งในร้าน พนักงานในชุดบริการเดินมาเพื่อรับออเดอร์ทันทีพร้อมกับเพลงสบายๆที่เปิดขึ้นเมื่อเห็นว่ามีลูกค้าคู่แรกมาเยี่ยมเยือนภายในร้าน

     

                    ขอกาแฟกับมาการองชุดหนึ่งครับ วินด์ส่งเมนูคืนแก่พนักงานแล้วหันมามองคู่สนทนาที่กำลังรอเขาอยู่ จริงๆแล้วเขาก็พอจะเดาได้นั่นละเพราะใบหน้าของหญิงสาวคนนี้เต็มไปด้วยความสงสัยนานมากแล้วเอาเข้าจริงก็ตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นเพียงข้อมูลดิจิตอลด้วยซ้ำ

     

                    คือว่านะ..” ริณกำลังจะเริ่มเปิดคำถามแต่เจ้าตัวดีดันเอานิ้วเรียวยาวมาปิดปากไว้ก่อนซะงั้นเล่นเอาคนถูกปิดหน้าแดงเกือบถึงใบหู

     

                    เรื่องแรกเลยสินะครับก็คงสงสัยว่าผมเป็นใครงั้นสิ วินด์ปล่อยตัวไปกับเก้าอี้ที่กำลังนั่งอยู่มือผสานกันที่ตักใบหน้าขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจังในแบบที่ริณยังรู้สึกได้

     

                    ผม วายุ อัครเมธี คงจะไม่เคยได้ยินชื่องั้นสินะครับแต่คิดว่าคุณพ่อของริณคงรู้จักดี จริงๆก็ทำตัวเป็นเด็กมัธยมปลายธรรมดานั่นละแต่มีงานอดิเรกเป็นการเขียนวิทยานิพนธ์ไปจนถึงรับทำงานวิจัยต่างๆ  อ้อ แต่คิดว่าถ้าเป็นสกุลผม อัครเมธี น่าจะคุ้นๆอยู่บ้างนะครับ หญิงสาวยังคงสีหน้างุนงงไว้เหมือนจะสื่อว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่จะบอกแต่อย่างน้อยที่รู้ก็คือตระกูลอัครเมธี นั้นเป็นสกุลขุนนางของประเทศแห่งนี้

     

                    เอาเป็นว่าตัวผมที่ริณหรือเพื่อนๆในวิทยาลัยหลายๆคนรู้จักมันเป็นแค่หน้าฉากที่ใช้เพื่อซ่อนผมจากพวกคนไม่ดีแบบที่พวกเราเจอกันวันนั้นนั่นละ ริณพอจะรู้จักทฤษฎี < Time Drive > ที่เพิ่งจะมาเริ่มแพร่หลายเมื่อไม่กี่ปีก่อนรึเปล่าละ วินด์ตั้งคำถามส่งให้หญิงสาวที่นั่งนิ่งฟังอยู่ซึ่งเธอก็พยักหน้าตอบ

     

                    ถ้าผมบอกว่าทฤษฎีนั้นเป็นสิ่งที่ทวดของทวดผมเป็นคนคิดค้นขึ้นแต่ไม่สามารถทำให้มันสำเร็จ ส่วนผมคือคนที่นำมาสานต่อปรับปรุงแก้ไขจนใช้ได้จริงคุณจะเชื่อไหมละ  ชายหนุ่มพูดด้วยใบหน้าจริงจังเหมือนจะบอกว่าที่เขาพูดนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และริณก็คิดไว้แล้วว่าจะเชื่อทุกสิ่งที่ออกจากปากของชายที่เธอรัก

     

                    อือ สรุปคือนายเป็นลูกหลานของนักวิทยาศาสตร์ที่แก่งกาจมากๆ แถมยังเป็นตระกูลขุนนางของประเทศนี้งั้นสิ ริณสรุปสิ่งที่ตัวเองเข้าใจให้วินด์ฟังครั้งหนึ่งซึ่งมันก็ถูกต้องเกือบทั้งหมดนั่นละ

                   

                    “ ก็เข้าใจถูกเกือบหมดนะครับก็จริงที่ครอบครัวผมมียศบรรดาศักดิ์เป็นดยุคแต่ก็เป็นผู้สืบสายเลือดตรงจากองค์เหนือหัวรุ่นก่อนๆนะครับ เพราะฉะนั้นผมไม่ใช่ขุนนางแต่เป็นราชวงศ์ต่างหากละ วินด์ละสายตาจากการสนทนาครู่หนึ่งก่อนจะหันไปรับแก้วที่บริกรนำมาให้ก่อนจะยกขึ้นจิบๆเล็กน้อย

     

                    จากประชาชนธรรมดากลายเป็นดยุคไปซะแล้ว ริณที่นั่งเงียบอยู่นานพูดติดตลกขึ้นเรียกให้วินด์หัวเราะออกมาเบาๆ

     

                    นั่นสิครับแย่จังทั้งที่อยากเป็นแค่ประชาชนธรรมดาไปอีกครู่หนึ่งแท้ๆ วินด์รับลูกส่งแล้วนั่งคุยเล่นกันไปเรื่อยๆสบายๆกับบรรยากาศยามเช้า

     

                    ....

     

                    พี่ชายเริ่มเกมแล้วละ ชายผมสีขาวหันไปคุยกับเลขาของตนเองขณะพิมพ์บันทึกกิจการต่างๆหลังจากผ่านพ้นไตรมาสแรกของปีมาได้อย่างสวยหรู แน่นอนว่าทุกธุรกิจในครอบครองมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด

     

                    แล้วท่าน ประธาน จะไม่กลับไปทักทายพี่ชายกับพี่สะใภ้หน่อยหรอค่ะ หญิงสาวถามกลับพร้อมกับตรวจเอกสารในมือที่ผ่านการเซ็นชื่อกำกับจากประธานของเธอแล้ว

     

                    เหมียวเถอะไม่ไปแสดงความยินดีกับเพื่อนทั้งสองหรือไงที่อุตส่าห์ได้เป็นฝั่งเป็นฝา เพลิงพูดขึ้นอย่างติดตลกโดยแอบเรียกชื่อหญิงสาวผมสีแดงที่กำลังนั่งอ่านเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นเรือนผมยาวสีแดงนัยน์ตาเฉดเดียวกับสีผมชุดเดรสยาวสีครีมอ่อนรัดรูปเน่นความโดดเด่นให้กับร่างกาย บอกตรงๆว่าถ้าไม่ติดว่าทำงานกันอยู่ทุกวันเขาคงทนไม่ไหวแน่ๆ

     

                    ให้ลางานฟรีหรือเปล่าละคะ แล้วก็หยุดมองฉันแล้วคิดแปลกๆด้วยคุณน้องเพลิง และไม่ใช่ว่าหญิงสาวจะไม่รู้ตัวว่าถึงจะทำงานด้วยกันมาเป็นปีรุ่นน้องคนนี้มองเธอเป็นยังไง

     

                    ไม่ได้คิดแปลกๆนะครับ ผมมอง คุณ เหมือนที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงมองสตรีงดงามนั่นละ ส่วนเรื่องลางานตามกฎบริษัทเลยครับ ชายหนุ่มผมสีขาวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่างานที่ทำอยู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว


    ______________________________________________________________


    คำผิดน่าจะเยอะแน่ๆเลย หรือเนื้อเรื่องคงไม่ลื่นไหลเหมือนเดิม รู้สึกว่าช่วงนี้จะเร่งๆให้มันจบไวขึ้นยังไงไม่รู้สิ ... อาจเพราะอยากให้ตัวเอกเราได้ออนไลน์แล้วก็ได้

    นางเอกผู้ไร้บทฟื้นแล้ว และยังคงจะไร้บทต่อไป ตอนหน้าหนูเอริซ่าจะกลับมาแล้วนะ ใครอวยให้วินด์กินเด็กมั่งครับ ??



    ______________________________________________________________

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×