คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 13 : รักนั้น
Chapter 13 : รักนั้น
“ ริณ “ วินด์เอ่ยเรียกหญิงสาวร่างบางที่นั่งอยู่ตรงหน้า จนตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเก็บไว้ได้บอกออกไปหมดแล้ว แต่ยังเหลืออยู่เพียงอย่างเดียว อย่างสุดท้ายที่สำคัญมาก
“ คะ “ หญิงสาวที่ถูกเรียกตอบกลับเสียงเบา เธอรู้ดีว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นไม่ว่าจะเป็นการแสดงออก ท่าที การกระทำ ทุกอย่างมันฟ้องและเธอเองก็ได้เตรียมคำตอบที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดไว้แล้ว
บรรยากาศยามเช้าที่รถคันเล็กใหญ่มากมายวิ่งผ่านไปมาด้านอกร้าน ดอกไม้หลากหลายพันธ์ต่างผลิดอกยามเช้าต้อนรับแสงตะวัน กอปรกับเพลงสตริงที่ดังขึ้นเหมือนเป็นใจ
“ ริณครับคือผม ... “ ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรหญิงสาวตัวเล็กดันใจร้อนไปเสียก่อนลุกขึ้นจูบปากชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกันอย่างไม่รู้จักแล้วซึ่งการเขินอาย ในเวลานี้มันยังไม่ใช่แต่อย่างน้อยขอสักนิดให้ได้ลิ้มรสสัมผัสอ่อนโยนจากคู่สนทนาตอนนี้
“ อะไรน่ะครับ “ วินด์ตกใจรีบถอนริมฝีปากอ่อนแต่ดันเผลอตอบรับการเชื้อเชิญแห่งหญิงสาวไปเสียแล้ว ใบหน้าเจือๆสีอ่อน ท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูกนั้นเรียกรอยยิ้มจากหญิงสาว
“ หยุดก่อนนะคะ ในตอนนี้ริณคิดว่านะ … แค่คิดว่ายังไม่เหมาะ แต่วินด์เองก็รู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้วสินะ ถึงแบบนั้นเราคิดว่าอย่าเพิ่งเลย ขอเวลาอีกนิดนะคะ “ เธอเอียงคอพูดด้วยท่าทีน่ารัก วินด์ที่ได้ยินประโยคนั้นทำเพียงแต่นั่งนิ่งเงียบถึงแม้ใบหน้าจะเจือรอยยิ้มแต่ในเวลานี้มันไม่ใช่
“ ไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตกลงงั้นสินะ “ วินด์ชักมือออกจากกระเป๋ากางเกง ในเมื่อริณไม่ยินยอมเขาเองก็ไม่คิดจะบังคับขัดขืนหรือทวงบุญคุณ
“ ไม่คะแต่ขอเวลาอีกนิด อยากให้วินด์ได้คิดดีๆเข้าใจนะคะว่าที่นายทำมาทั้งหมดมันก็มากพอแล้วแต่เรายังเป็นวัยรุ่นให้เวลาอีกหน่อย ให้มันได้ช่วยพิจราณาถึงตอนนั้นถ้าเราทั้งสองยังคงไม่เปลี่ยนแปลง … ถึงตอนนั้นมาบอกริณอีกครั้งนะริณจะรอฟังอยู่ “ หญิงสาวพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากร้านส่วนวินด์นัน้ทำเพียงจ้องมองแก้วกาแฟที่ปัจจุบันนั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งกลิ่นอายอื่นอีกต่อไป
“ …แล้วเวลาที่ว่านั่นมันเมื่อไรกัน “ เขาพูดกับตัวเองเบาๆพร้อมกับเพลงสตริงรักเปลี่ยนจังหวะไปเป็นโศกเศร้าแทนเหมือนรู้ใจเขาจนน่ากลัว
….
ณ ห้องทำงานสูงบนยอดตึกของโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางเขต Area-A ชายหนุ่มผมขาวกำลังนั่งพิงพนักหลับตาเหมือนพยายามนึกอะไรบางอย่าง พร้อมกับหญิงสาวผมแดงที่เดินเข้ามาพร้อมเอกสารหอบใหญ่
“ กงล้อแห่งชะตาได้หมุนเดินอีกครั้งแล้ว “ ชายผมขาวกล่าวออกมาทั้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้นก่อนที่จะลืมตาขึ้นแล้วทำงานของตนที่เพิ่งได้รับจากเลขาสาวสวย
“ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปทั้งอย่างนั้นนั่นละคะ “ หญิงสาวผมแดงตอบกลับพลางนั่งลงที่โต๊ะทำงานใกล้ๆกันก่อนที่ทั้งห้องจะเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้งหนึ่ง
....
“ เอ่อคุณลูกค้าครับ “ บริกรหนุ่มที่เห็นวินด์นั่งนิ่งค้างอยู่แบบนั้นเกือบครึ่งชั่วโมงจึงสงสัยและเดินมาทักซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้สึกตัวเช่นกัน เหมือนกับว่าเวลามันได้หยุดไปแล้วสำหรับเขาในตอนนี้
“ คุณลูกค้าครับ.. “ บริกรหนุ่มสกิดที่ร่างของลูกค้าสุดหล่อคนนี้เบาๆจนรู้สึกตัวทำหน้าเหลอหลาก่อนจะหันมาตอบเสียงทักของตนเอง
“ อ๋อครับๆเก็บเงินได้เลย “ วินด์ลุกลี้ลุกลนหยิบเงินให้บริกรก่อนจะเดินออกจากร้านไปโดยที่ลืมรับเงินทอน พร้อมๆกับเปิดประตูขึ้นรถเพื่อขับกลับสู่บ้านของตัวเอง
บนถนนที่เริ่มมีรถยนต์ต่างๆออกมาวิ่งกันให้วุ่น แต่ในใจชายหนุ่มคนนี้ไม่แม้แต่สนใจสิ่งเหล่านั้นทั้งที่ขับรถอยู่คำพูดซ้ำๆมากมายที่เพิ่งได้ยินเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนวนเวียนอยู่ในหัวไม่หายไปไหน สิ่งที่ริณพูดและทำกับเขาสัมผัสที่ริมฝีปาก เมื่อนึกถึงมือซ้ายที่ไร้หน้าที่ดันเผลอยกมาสัมผัสที่ปากเบาๆ
‘ บ้าที่สุด ‘ คำกล่าวสบถเกิดขึ้นในใจหากแต่มันไม่ใช่การด่าทอหรือต่อว่าใครอื่น มันเป็นการกล่าวเพื่อตัวเองเพราะอะไรเขาถึงนั่งนิ่งอย่างนั้นปล่อยให้เธอจากไป ทั้งๆที่สัญญาไว้กับตัวเองแล้วแท้ๆว่าแม้แต่ความตายก็จะไม่ยอมให้พรากจาก … เพราะอะไรกัน
“ โว้ย “ ไม่ทันได้รู้สึกตัวอารมณ์มากมายค่อยๆอยู่เหนือเหตุผลนัยน์ตายามปกติที่เป็นเฉดสีแห่งรัตติกาลเกิดประกายแสงสีแดงขึ้นเหมือนดวงดาวยามค่ำคืนเพียงแต่ประกายนั้นเป็นสีเพลิงลุกไหม้จนน่ากลัว เท้าขวาที่สกิดคันเร่งเผลอเหยียบเต็มแรงจนปะทะเข้ากับรถยนต์คันข้างหน้าโดยที่ไม่ตั้งใจ
“ โครมมม “ เสียงที่เกิดจากการปะทะเรียกสายตาผู้คนรอบข้างหรือเรียกว่า ‘ ไทยมุง ‘ นั่นเองรถคันอื่นที่แล่นผ่านไปมาเริ่มชลอลงเพื่อดูเหตุการณ์ก่อนจะขับผ่านไป มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดนั่นเพียงแต่ในปัจจุบันอุบัติเหตุเกิดได้ยากมากเพราะมีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติแล้วเพียงแต่วินด์ไม่เคยใช้งานมันเลยก็เท่านั้น
“ ขับรถยังไงยะไม่เปิดระบบออโต้ไพรึไง หรือว่าซ่าอยากขับเองแต่ไม่มีตาดู “ เสียงหญิงสาวดังขึ้นยาวเหยียดดูเหมือนเธอจะเป็นประเภทที่วินด์ไม่ชอบสนทนาด้วยที่สุด จำพวกอารมณ์อยู่เหนือเหตุผลแต่ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายผิดเองเต็มที่จริงๆ
ชายหนุ่มเปิดประตูเดินลงจากรถสปอร์ตคันโปรดแล้วหันหน้าไปมองยังหญิงสาวที่ยังคงบ่นปอดแปดด้วยสายตานิ่งเงียบจนเรียกว่าเย็นชาพลางยกโทรศัพท์ขึ้นต่อสายถึงประกันที่เขาได้ทำไว้
“ นี่นายไม่ขอโทษเลยรึไง “ เธอเดินอาจๆเข้ามาหาเขาพร้อมกับยื่นหน้ามาเหมือนต้องการจะให้สนใจซึ่งแน่นอนว่านั่นไม่อาจทำอะไรวินด์ในตอนนี้ได้
“ ครับประกันสถานที่คือแยกบล็อคที่ 3 ของ Area-A ช่วยรีบมาด้วยนะครับผมเริ่มทนกับคู่กรณีไม่ไหวแล้วเหมือนกัน “ ชายหนุ่มพูดแบบนั้นใส่โทรศัพท์ก่อนจะวางสายไปโดยไม่สนใจสายตาไม่พอใจของหญิงสาวที่ยืนฟังอยู่
“ นี่ตกลงนายขับรถชนฉันแล้วยังไม่พอใจฉันด้วยเนี่ยนะ “ เธอแหวใส่เขาอีกครั้งหนึ่งบ่งบอกถึงความไม่พอใจในตัวเขาอย่างชัดเจน เพราะวินด์ดันไปต่อว่าระยะเผาขนขนาดนี้เป็นใครก็โกรธนั่นละ
“ โอเคครับ ผมต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ขับยานยนต์โดยขาดสติและใช้ ‘ อารมณ์ ‘ ขณะขับขี่นะครับ “ วินด์ตอบไปแบบนั้นโดยเน้นเสียงที่คำว่า ‘ อารมณ์ ‘ หนักๆครั้งหนึ่งแต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อ
“ ถือว่านายยอมรับผิดก็แล้วกันนี่นามบัตรฉันเอาเบอร์โทรนายมาด้วยไว้จะติดต่อไปอีกทีแล้วกัน อย่าคิดชิ่งเชียวละฉันเอานายหนักแน่ พอดีฉันรีบไปก่อนละ “ เธอพูดออกมายาวๆพลางเดินอาจๆกลับไปที่รถของตนแล้วขับออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างกับพายุที่พัดมาแล้วผ่านไป
“ อะไรหว่า “ วินด์พูดกับตัวเองถึงจะไม่เข้าใจหญิงสาวคนนี้สักเท่าไร แต่เพราะเธอก็ได้กระมังอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อครู่ถึงหายไปจนหมดเรียกว่าตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วก็ได้
“ จะขอบคุณแล้วกัน “ วินด์เปิดประตูกลับขึ้นไปนั่งบนรถเพื่อรอประกันมาถึงก่อนจะตกลงอะไรกันนิดหน่อยเซ็นรับเรื่องแล้วขับเคลื่อนตัวเองไปมุ่งหน้าสู่เส้นทางเดิม บ้านของเขาที่ตอนนี้เป็นเหมือนที่พักพิงในยามที่ทุกข์ใจ
….
ไม่นานนักวินด์ก็กลับมาถึงบ้านในที่สุดตอนนี้เขาไม่มีอะไรติดค้างอีกแล้ว เพราะรู้ดีว่าที่ริณทำไม่ใช่การปฏิเสธแต่เป็นการขอเวลาให้ตนเองได้เตรียมใจสำหรับเขาแล้วก็ไม่ได้แย่อะไรนักถ้าจะได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้มค่า
“ อลิซเรียกประชุมสาย “ วินด์นั่งบิดรูบิคในมือฆ่าเวลาระหว่างรอผู้ร่วมสนทนาทั้งสี่ว่างอันได้แก่ ปิยะ ยูตะ เฟิร์น และ บิดาของตน ตอนนี้เพราะเหตุการณ์เมื่อเช้าทำให้เขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะให้ทิศทางของอนาคตเดินไปเช่นไร
ไม่นานนักรายชื่อผู้ติดต่อก็ค่อยๆเพิ่มมาทีละคน ทีละคนจนครบองค์ประชุมในที่สุด
“ อีกอาทิตย์หนึ่งหลังจากนี้ผมจะไปดวงจันทร์นะครับ “ วินด์พูดโดยไม่เกริ่นแม้แต่น้อย เขามั่นใจดีแล้วไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงคำพูดหรือท่าทางที่แสดงออกจนเพื่อนๆและคนเป็นพ่อไม่อาจเอ่ยปากขัดได้
“ เกี่ยวกับเรื่อง < Anti-Gravity > งั้นหรอ “ ปิยะพูดถึงหัวเรื่องที่วินด์เคยทิ้งท้ายไว้วันก่อน
“ อื้อ แต่ที่นายได้ข้อมูลไปน่ะมันเป็นข้อมูลปลีกย่อยเท่านั้นละ จริงๆมันมีอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะเลยละ “ ชายที่เป็นต้นเรื่องอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยให้เพื่อนรักเข้าใจ
“ อีกแล้วนะนายวินด์ มีอะไรเพื่อนรู้ก่อนพ่อตลอดเลย “ ภูมิบ่นปอดแปดเล็กน้อยขณะที่กำลังอ่านตรวจผลงานขอจบของนักศึกษามหาลัยที่กำลังทยอยส่งกันมาเรื่อยๆจนกองเต็มโต๊ะทำงานไปหมด
“ ก็พ่อไม่เคยว่างเองนี่นา “ ลูกชายตัวแสบแกล้งพูดเสียงอ่อยๆเหมือนน้อยใจจนเพื่อนรักทั้งสองหัวเราะออกมาเบาๆ
“ ฉันอยากไปบ้างจัง “ ยูตะพูดขึ้นหลังฟังปิยะกับพ่อของวินด์คุยกันอยู่นาน เขาเองไม่ใช่ว่าไม่เคยไปดวงจันทร์แต่ยังไงการมองโลกจากบนนั้นมันก็สวยงามจริงๆนั่นละ
“ ไว้ถ้าว่างจะให้มาแล้วกัน “ วินด์ตอบผ่านๆอย่างขอไปที แต่เจ้าตัวที่ได้รับคำตอบนั้นกลับแสดงรอยยิ้มเหมือนเด็กๆจะได้ไปเที่ยวเล่นสวนสนุกเสียอย่างนั้น
วินด์ตัดการประชุมสายหลังบอกในสิ่งที่จะทำต่อไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ที่เหลือก็เพียงตามตัวทีมงานของเขากลับจากสถาบันวิจัยทั่วโลกและตีตั๋วเดินทางออกนอกโลกไปยังศูนย์วิจัยอวกาศบนดวงจันทร์
“ ~~“ เสียงริงโทนโทรศัพท์ที่ตั้งค่าไว้ดังขึ้นทำลายความเงียบที่ก่อตัวขึ้นหลังจากการสนทนากับเพื่อนฝูงและบิดาจบลงพร้อมๆกับประตูที่เปิดออก
“ เอริซ่าไม่ได้เจอกันตั้ง 2 วันแหนะเป็นยังไงบ้าง “ วินด์เอ่ยทักทายเด็กสาวที่มาหาเขาในยามวิกาลชุดเดรสสายเดี่ยวบางสีขาวทำให้เด็กน้อยผมยาวในตอนนี้น่ารักมากๆ
“ สวัสดีตอนค่ำคะ ว่าแต่พี่วินด์ไม่รับโทรศัพท์หรอ “ เด็กสาวพูดพลางยื่นโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ข้างๆตัวส่งให้กับผู้ชายที่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนพี่แท้ๆของเธอไปเสียแล้ว
“ ขอบใจนะ “ ชายที่แก่กว่ายิ้มสบายๆให้แล้วมองเบอร์ที่ติดต่อเข้ามาด้วยสายตาสงสัย ก็มันเป็นเบอร์ที่เขาไม่คุ้นเลยนี่สิจะให้ไว้ใจได้อย่างไร
“ ฮัลโหล สวัสดีครับเรียนสายใครหรือ “ วินด์กล่าวทักทายตามมารยาทที่อ่านในหนังสือเดี๊ยะๆไม่ขาดไม่เกิน ตามด้วยคู่สนทนาที่ตอบกลับทันทีโดยไม่สนคำถามแม้แต่น้อย
“ นายที่ขับรถชนฉันสินะ พรุ่งนี้เรามาคุยกันหน่อยเป็นยังไง “ หญิงสาวปลายสายพูดกลับมาโดยไม่สนใจที่จะตอบคำถามของเขาด้วยซ้ำยังนัดวินด์ออกไปเจอในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวิธีการแกมบังคับ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับชายหนุ่มที่ช่วงนี้ว่างแบบสุดๆนั่นเอง ได้ออกไปปะทะคารมกับหญิงสาวบ้างก็คงดีไม่หยอก
“ งั้นตกลงเป็นร้านกาแฟแถวๆนั้นแล้วกันนะครับ สัก 8.00 เป็นยังไง คุณมินต์ “ วินด์นัดเวลากับสถานที่เองเสร็จสรรพบ้างเรื่องอะไรจะยอมอยู่ฝ่ายเดียวถึงเขาจะผิดเต็มๆก็เถอะ แถมยังเน้นเสียงพยางค์สุดท้ายตรงชื่อของคู่สนทนาด้วยแล้วเป็นการช่วยให้ความรู้สึกเหมือนจะต้องตอบตกลง
ซึ่งแน่นอนว่าปลายสายของเขาไม่ได้ปฏิเสธอะไร
“ ค่ะ งั้นตกลงเป็นพรุ่งนี้นะอย่าหนีนะคุณ ….. “ ปลายสายเงียบไป ตอนนี้หนูน้อยเอริซ่าเริ่มซุกซนมากขึ้นจากแรกๆที่เดินวนรอบๆเขาจนตอนนี้กำลังปีนขึ้นมาบนแผ่นหลังของวินด์อยู่
“ คุณ … “ มินต์พูดเป็นเชิงถามย้ำอีกครั้งเหมือนต้องการให้วินด์บอกชื่อของตนเอง ซึ่งเขาผิดเต็มๆที่ตั้งแต่สนทนามายังไม่ได้แนะนำตัวแต่ตอนนี้ต้องรับมือเด็กน้อยที่กำลังป่วนเขาอยู่ด้วยนี่สิ
“ อ๋อครับ วินด์ครับขอโทษที งั้นไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะ “ วินด์ตอบกลับก่อนจะกดวางสายไปแต่ก่อนจะได้ตัดการสนทนานั้นเหมือนได้ยินเสียงบ่นโวยวายตามสไตล์มินต์อีกนั่นละ แต่ตอนนี้ขอจัดการเด็กซนคนนี้ก่อนเถอะ
“ มานี่เลยตัวแสบ “ วินด์โยนโทรศัพท์ลงกับที่นอนแล้วอุ้มเด็กสาวที่กำลังจะวิ่งหนีขึ้นมานั่งบนตัก
“ ไม่เอาอะ อยากวิ่งหนีพี่วินด์ก่อน “ เอริซ่าพูดเสียงต่ำเหมือนจะงอแงแต่จริงๆแล้วเธอเพียงต้องการแกล้งและให้พี่ชายคนนี้สนใจเธอบ้างก็เท่านั้น เพราะตั้งแต่ริณฟื้นขึ้นมาเขากับเธอก็ไม่ได้เล่นด้วยกันหรือสอนหนังสือเลย
“ เหงาเหรอ “ พี่ชายมองใบหน้าน้องสาวที่ตอนนี้เห็นเพียงครึ่งซีกและกำลังแดงก่ำยังไงชายหนุ่มอายุ 17 ยังโสดซิงแบบเขาเห็นเด็กน้อยน่ารักแบบนี้มันก็ไม่ดีต่อสุขภาพอยู่ดีนั่นละ แต่ทว่าจะเอาอายุของชายที่อยู่มาถึง 17 ปียังโสดซิงหักลบกับอายุ 13 ปีของเด็กน้อยที่แสนใสซื่อบนตัก ยังไงคำตอบก็คงต้อง … ‘ Say no ‘ วันยังค่ำ
“ ไม่ได้เหงาสักหน่อย แค่พี่วินด์ไม่อยู่ด้วย ไม่เล่นด้วย ไม่คุยกัน เหมือนเกลียดหนู..หนูไม่เหงาหรอก “ เธอพูดตอบโดยที่หลบสายตาของเขา แต่ช่างเป็นการตอบที่แทงใจดำจนทะลุอกเสียเหลือเกินเล่นทำเอาวินด์หน้าเสียเลย
“ พี่ชายขอโทษนะคะ ไม่งอแงนะเดี๋ยวพาไปเที่ยวที่ดีๆละ “ วินด์ว่าพลางอุ้มเด็กสาวยกไปรอบๆทำให้ปรากฏดวงหน้าซุกซนแววตาเป็นประกายยามปกติขึ้นมาอีกครั้ง
“ ไม่เอาแล้วมันจักจี้นะพี่วินด์ หยุดน๊าาาา~” เด็กสาวในอ้อมแขนของเขาร้องเสียงหลงพลางออกรองเบาๆจนทั้งคู่ล้มลงกับที่นอนใสภาพที่วินด์ยังคงกอดเธออยู่
แล้วความเงียบก็กลืนเข้าสู่ห้องนอนนี้ในที่สุด เด็กสาวที่ใบหน้าห่างจากเขาราวนิ้วหนึ่งกำลังมองวินด์ตาปริบๆ ส่วนเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตนเองแสดงออกสีหน้าอย่างไร แต่มันคงไม่ดีนักแน่ๆ
“ เอ่อ “ วินด์พยายามจะปล่อยมือแต่เป็นแรงของเด็กสาวที่ฉุดเขาเอาไว้ให้อยู่ในสภาพนี้ต่อ พวงแก้มทั้งสองของเอริซ่าแดงก่ำเหมือนไม่สบายแต่เขาก็ไม่ได้ซื่อจนถึงกับโง่ที่ไม่รู้ถึงความรู้สึกแสดงออกที่ชัดเจนขนาดนี้
“ เงียบเถอะน่าพี่ชาย ขออยู่แบบนี้อีกพักหนึ่งนะอีกแค่นิดหนึ่งก็ยังดี “ เธอว่าพลางหลับตาลงก่อนจะเข้าสู่นิทราของเจ้าหญิงองค์น้อยไปในที่สุด เขาทำเพียงจ้องมองใบหน้าพริ้มยามหลับของเด็กสาวที่อยู่ในความดูแลของตนเองแล้วถอนหายใจเบาๆ พลางมอบสัมผัสอ่อนนุ่มประทับไว้ที่หน้าผากของเด็กสาวเป็นจูบราตรีสวัสดิ์
“ ฝันดีนะครับเอริซ่า “ วินด์พูดออกมาก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นจากที่นอนดึงผ้าห่มที่ปลายเตียงขึ้นมาคลุมตัวหญิงสาวแล้วเดินออกจากห้องนอนตัวเองไป เพราะดูเหมือนในคืนนี้เขาคงจะใช้มันไม่ได้เสียแล้ว
วินด์เดินไปเรื่อยๆเหล่าการ์ดที่คอยดูแลรักษาความสงบของตัวบ้านยังคงทำงานกันอย่างขมักเขม้น ถึงแม้จำนวนจะน้อยลงไปบ้างเพราะเป็นกะกลางคืนก็ตามแต่
“ เฟิร์น เตรียมห้องนั่งเล่นให้ผมนอนด้วยนะครับ “ วินด์เอ่ยขึ้นกับชายที่เดินตามอยู่ด้านหลังด้วยท่าทีสง่าสมเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกมาให้เป็นพ่อบ้านและคนดูแลทายาทของตระกูล อัครเมธี
“ ครับ นายท่าน “ ร่างของชายด้านหลังหายไปในทันทีที่ตอบรับคำสั่งของผู้เป็นนาย เป็นสิ่งที่คุ้นชินสำหรับการ์ดในคฤหาสน์แห่งนี้ เพราะนอกจากจะมีเฟิร์นแล้ว วินด์กับยูตะเองก็ซ้อมต่อสู้กันที่นี่บ่อยๆหรือบางทีอาจมีการเล่นลอบสังหารกันเองด้วยซ้ำ จึงเห็นการกระทำเหนือมนุษย์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาจนชาชินกันไป
ไม่นานนักห้องรับแขกก็ถูกจัดเตรียมเครื่องปรับอากาศทำงานได้ที่พอดีกับที่ผู้เป็นนายก้าวเท้าข่ามาในห้องนี้ โซฟาถูกปรับเปลี่ยนเป็นสำหรับใช้นอนหมอนและผ้าห่มขนสัตว์อย่างดีถูกจัดไว้ให้พร้อม
“ จะเข้านอนเลยหรือครับนายท่าน “ เฟริ์นเอ่ยถามผู้เป็นนายหลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
“ อืม เฟิร์นก็ไปพักผ่อนเถอะนะ พรุ่งนี้ผมจะไปข้างนอกช่วยเป็นสารถีให้ทีแล้วกัน “ ชายหนุ่มตอบขณะที่กำลังนอนห่มผ้าอยู่บนโซฟายาว ไฟทั้งห้องค่อยๆมืดสลัวลงจนเหลือเพียงดวงที่อยู่บริเวณประตูก่อนที่เจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้จะเข้าสู่ห้วงหลับลึกในที่สุด
....
“ ท่านประธาน อยากได้พี่สะใภ้อายุน้อยกว่าสักครึ่งรอบไหมคะ “ หญิงสาวผมแดงกล่าวออกมาขณะกำลังจัดเก็บเอกสารทั้งหมดให้เข้าที่ทางเพื่อที่จะเลิกงานเสียที
“ ก็ไม่เลวนักหรอก แต่พี่ผมรสนิยมคงไม่ใช่อย่างนั้นแน่ๆ ถ้าเป็นก็แย่เลยละ “ ชายหนุ่มผมขาวกล่าวพลางปิดคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาทรงลูกบากศ์สี่เหลี่ยม
“ แล้วจะทำยังไงต่อไปดีละคะ เห็นแบบนั้นคงช็อคไม่น้อยเลยละ “ หญิงสาวถามกลับต่อเรียกดวงหน้าของผู้เป็นนายให้อยู่ในภวังค์ความคิด
“ ก็ปล่อยให้ชะตากรรมเป็นไปในทางของมันเถอะครับ เราไม่ควรไปฝืนหมุนกงล้อให้หมุนหรอก “ เขากล่าวออกมาพร้อมกับถอดเสื้อนอกพาดไว้กับที่แขวนแบบอังกฤษก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานชั้นบนสุดพร้อมๆกับเลขาผมแดงค่อยๆเดินตามออกมา
_____________________________________________________________
บางทีความรักเนี่ย ... มันก็น่าตลกนะครับ ... แต่บางทีคนบางคนก็ไม่เสียใจที่จะลองไปกับมัน
ความรู้สึกที่เขียนตอนนี้น่าจะแบบนั้นนั่นละครับ
ยังมีใครอวย วินด์ x เอริซ่า , ยูตะ x มิเนอร์ว่า
บ้างไหมครับ ส่วนคู่ พระนางตามที่หลายๆคนเดาไว้ว่าคดีพลิก ก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ ฮ่าๆ
______________________________________________________________
ความคิดเห็น