คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บันทึกหน้า 2 :: ว่าด้วยเรื่องสอบ
Chapter Two: ว่าด้วยเรื่องสอบ
ก็สำหรับตอนนี้ อย่างที่บอกเราไปสอบกับโครงการ YFU หรือ Youth For Understanding ที่บางคนอาจจะไม่รู้จักกัน
ซึ่งอย่างที่บอกแล้วว่ามันเป็น โครงการ ดังนั้นจึงจ่ายเต็มราคาค่ะ แต่ก็รู้สึกว่ามันมีทุนอยู่นิดหน่อย แต่เพราะเราไม่ได้สอบทุน ดังนั้นเราเลยไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้นะคะ
โดยเต็มราคาที่ว่า ก็ 3 แสนกว่าๆ น่ะค่ะ แล้วแต่ประเทศด้วยนะคะ ซึ่งรุ่นเรานี่มีทั้งหมด 22 ประเทศ ได้แก่
สหรัฐอเมริกา เบลเยี่ยม
ออสเตรเลีย เดนมาร์ก
ญี่ปุ่น ฟินแลนด์
เกาหลีใต้ (รับเฉพาะผู้หญิง) นอร์เวย์
จีน สวีเดน
ฝรั่งเศส ออสเตรีย
เยอรมนี สาธารณรัฐเช็ก
เนเธอร์แลนด์ เอสโตเนีย
สวิตเซอร์แลนด์ ลัตเวีย
ฮังการี บราซิล
ชิลี เม็กซิโก
โดยตอนสมัครเขาจะให้เลือก 2 ประเทศค่ะ ซึ่งเราก็เลือก อเมริกา กับ เยอรมนี ค่ะ
เอาล่ะ เข้าเรื่องๆ การสอบของวาย.เอฟ.ยูจัดขึ้นราวๆ เดือนมิถุนา - กรกฏาค่ะ (ถ้าจำไม่ผิดในปีเรา) แบ่งเป็น 2 อย่าง สอบวันเดียวกันเลยค่ะ โดยอย่างแรกเป็นการ สอบข้อเขียน จากนั้นก็จะมาเป็น สอบสัมภาษณ์ ซึ่งก็นับว่าเราโชคดีที่ได้กลุ่มสอบช่วงเช้า (แต่กว่าจะเสร็จก็เที่ยงๆ บ่ายๆ) เลยไม่ต้องกลับเย็น
การสอบข้อเขียนก็จะแบ่งเป็น 2 ชุด จะบอกเท่าที่เราจำได้นะคะ เพราะนี่ก็ผ่านมานานเหลือเกินแล้ว = =””
ชุดแรกจะเป็นการสอบฟังค่ะ ก็จะเป็นประมาณว่า
- มีช้อยส์เป็นรูปมาให้ วิทยุพูดออกมาเป็นประโยค ให้เลือกภาพที่ตรงกับประโยค
- มีรูปมาให้รูปหนึ่ง วิทยุพูดออกมาเป็นช้อยส์ เลือกให้ตรงกับภาพ
- วิทยุจะพูดออกมาเป็นบทสนทนา เป็นประโยค ต้องจำแล้วตอบ
จำได้แค่นี้แหละค่ะ แฮะๆ
ส่วนชุดสองก็เป็นสอบอ่าน แล้วกาค่ะ โดยส่วนตัวแล้วเราว่ามันไม่ได้ยากมากมายนะ (แต่คะแนนออกมาไม่ดี - -) ที่สำคัญคือตอนสอบฟังห้ามเหม่อนะคะ เหม่อทีนี่ตายสถานเดียว
โดยข้อสอบรวม 2 ชุดมีคะแนนเต็ม 145 คะแนนค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ไปสอบสัมภาษณ์ต่อ พอดีไม่มีเพื่อนมา ไม่ต้องรอใคร สอบเสร็จก็เลยเดินลิ่วไปรอตรงหน้าห้องสอบสัมภาษณ์เลย จำได้แม่นเลยว่าได้โต๊ะเบอร์ 5 (พี่ๆ สต๊าฟเป็นคนแจกค่ะ ไม่ได้แจกตามคนมาก่อนหลังนะคะ แจกมั่ว) จากนั้นเขาจะเปิดห้องให้เราเข้าไปทีละ 10 กว่า หรือ 20 นี่แหละค่ะ โดยมันจะเป็นห้องใหญ่ มีอยู่หลายโต๊ะ ซึ่งเราก็ต้องไปนั่งสัมภาษณ์ตามเบอร์โต๊ะที่เราได้ค่ะ
ถือว่าเราโชคดีเพราะพี่ที่สอบสัมภาษณ์เราค่อนข้างใจดีค่ะ โดยตอนแรกก็ทักทายกัน แล้วก็มีให้แนะนำตัวเอง (เป็นภาษาอังกฤษ) จากนั้นก็ถามอีกนิดหน่อยเป็นทั้งภาษาอังกฤษ/ภาษาไทยสลับกันไป ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเราได้พี่ที่ใจดีหรือเปล่า เลยรู้สึกว่าการสัมภาษณ์นี่ไม่เครียดเลยค่ะ ดังนั้นใช้เวลาไม่นานเราก็ได้ออกมาค่ะ
คำแนะนำในเรื่องนี้ สำหรับการสอบข้อเขียน เราว่าต้อง แม่นคำศัพท์ / แปลศัพท์ ค่ะ ส่วนการสอบสัมภาษณ์ ขอให้ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเครียด ตอบให้ฉะฉาน มีท่าทีมั่นใจก็พอแล้วค่ะ
ผล! เราสอบได้เป็นตัวสำรองอันดับที่ 100 กว่าๆ น่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้ไป อเมริกา ที่เราเลือกเป็นอันดับ 1 ค่ะ โดยกว่าจะรู้ว่าไม่ได้ไปนี่ก็แทบบ้าเลยค่ะ เพราะเขาต้องดูกันนาน ต้องรอคนว่ามีใครไม่ไปปฐมนิเทศ ไปแต่ไม่จ่ายตังค์ รอเรียกตัวสำรอง รอว่าตัวสำรองจะจ่ายตังค์ไหม แล้วก็เรียกกันต่อไป ซึ่งตอนนั้นก็จำได้ว่าเหลืออีกไม่กี่คนเราก็ได้ไปแล้ว แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ได้ค่ะ
แต่ เราบอกแล้วว่าเรา อยากไปมาก นั่นคืออารมณ์ในตอนนั้น เพราะฉะนั้นเราเลยมารอลุ้นกับประเทศที่เลือกเป็นอันดับ 2 นั่นก็คือ เยอรมนี เองค่ะ จำได้เลยว่าตอนนั้นครอบครัวไม่ค่อยหวังกันแล้ว คิดกันประมาณว่า ‘ถ้าดวงคนเราจะได้ไป มันก็ได้ไปล่ะนะ’ ดังนั้นผลสุดท้ายเราก็ได้ค่ะ ซึ่งที่ว่าได้นี่ ได้เป็น คนสุดท้าย ของโควต้าเยอรมนีที่รับ 40 คนเลยล่ะค่ะ ^^;;;
ความคิดเห็น