ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) Love you better now ... (ไม่) รัก

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 ว่าด้วยเรื่องของความหวัง

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ย. 58


    Love you better now … (ไม่) รัก

     

     

    บทที่ 4 ว่าด้วยเรื่องของความหวัง

     

     

     

     

     

    “If you expect nothing from anybody, you’re never disappointed.”

    Sylvia Plath, The Bell Jar

     

     

     

              หลังจากมื้อกลางวัน เมธก็โอ้เอ้นั่งเล่นอยู่ที่ห้องของอธินไม่ยอมกลับเสียที ตอนที่โคนันจบ เจ้าของห้องลุกไปเข้าห้องน้ำเดินกลับออกมาก็เห็นเมธนั่งรื้อของจากกล่องหน้าโทรทัศน์เป็นการใหญ่ กล่องซีดีที่ถูกจัดไว้อย่างดีวางเกลื่อนกลาด


              “เฮ้ยยย ทำไรแกเนี่ย” อธินตรงเข้าไปรวบกล่องที่ถูกรื้อกระจายเข้าไว้ด้วยกัน “มารื้อของคนอื่นได้ไงฮะ” ดึงกล่องที่เมธถือกลับมาอย่างแรง แต่เมธกลับรั้งไว้จนต้องถลึงตาใส่ให้มันยอมปล่อย

     

              แทนที่ไอ้เด็กโข่งจะเข้าใจภาษาท่าทางอย่างง่ายนี้มันกลับถามด้วยเสียงตื่นเต้นดวงตาสีดำเป็นประกาย

     

              “ของเจ้หมดเลยเหรอ” คนถามกวาดสายตาไปทั่วทั้งกล่อง แล้วจึงหันไปส่งยิ้มเปาะเหลาะเจ้าของ

     

              คำถามง่ายๆ แต่กลับทำให้คนถูกถามต้องคิดหาคำตอบนาน

     

              เมธเห็นอธินนิ่งไปก็รีบแก้ตัวเป็นการใหญ่ด้วยกลัวว่าจะถูกโกรธ  “..คือเจ้ พอดีว่าจะเดินมาเปลี่ยนช่องไง แล้วฝากล่องมันก็ปิดไม่สนิท ไม่ได้ตั้งใจจะรื้อเลยนะแบบว่ามันเปิดอยู่” บอกไม่หมดว่าที่เปิดอยู่น่ะคือตัวล็อคฝากล่อง ส่วนฝากล่องปิดสนิท เปิดการ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ใส่เจ้ด่วนๆ

     

    อธินเม้มปากจนเมธเริ่มใจเสียจึงเอื้อมมือไปเขย่าแขนเบาๆ อ้อนเป็นเด็กๆ

     

              เมจะเรียกว่า ท่าไม้ตาย ใช้เฉพาะเวลาที่โดนแม่กับเมโกรธขั้นสุดเท่านั้นซึ่งก็ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอมา

              คนที่ถูกอ้อนแบบไม่รู้ตัวพอได้สติก็ทำโวยวายกลบเกลื่อนพิรุธ “..นี่ขนาดบอกไม่ตั้งใจยังรื้อออกมาขนาดนี้ ถ้าตั้งใจรื้อแกไม่คว่ำกล่องเลยหรือไงฮะ”

     

              “โหย ก็อดใจไม่ไหวอะ มีแต่หนังดีๆ ทั้งนั้น เพิ่งรู้ว่าเจ้ก็ชอบ” เมธส่งยิ้มกว้างถูกใจเมื่ออธินไม่ว่าอะไรมากไปกว่าคำบ่นงึมงำว่า ต้องเก็บเข้าที่ให้ด้วย แล้วลุกไปทำความสะอาดบ้านต่อ

     

              “เจ้ ดู Forrest Gump ได้ไหม”

             



              ระหว่างที่อธินกำลังจัดของในตู้เย็นอยู่ ฝ่ามือที่ถือกล่องหนังที่ว่าก็โผล่มาตรงประตูให้ตกใจเล่น เงยหน้าขึ้นไปอีกหน่อย เมธก็ส่งยิ้มประจบมาก่อนอีกแล้ว ประโยคที่คล้ายๆ ว่าเคยได้ยินมาเมื่อไม่นานสะท้อนเข้ามาในหัว

     



    ทิน ดู Forrest Gump กันปะ

     

    วันนั้นน้ำเสียงของใครคนนั้นก็อ่อนเสียจนเหมือนจะอ้อนกลายๆ อย่างนี้

     

     





    “ได้ไหมอะเจ้ เห็นหน้าป๋าทอม แฮ้งส์ แล้วกวนตีนดี” เหมือนจะขออนุญาตแต่พอพูดจบเจ้าตัวก็เดินกลับไป สักพักเสียดนตรีประกอบภาพยนตร์ดังกล่าวก็แว่วมาให้ได้ยิน

     

    “แบบนี้ไม่เรียกขอ เรียกบอกเฉยๆ นะ” ด้วยความหมั่นไส้ประกอบกับจัดการข้าวของในตูเย็นเสร็จพอดี อธินเดินกลับจากห้องครัวมายืนบังโทรทัศน์ไว้ โซฟาตัวใหญ่กลางห้องตรงข้ามโทรทัศน์ตอนนี้มียักษ์ยึดไปแล้วเกินครึ่ง

     

    “ฮ่าๆ เจ้ก็มาดูด้วยกันสิ” ไม่สำนึกแล้วยังมีหน้ามาตบเบาะชวนเจ้าของห้องอีก เขาแกล้งถอนหายใจเสียงดัง แล้วเดินไปนั่งที่เมธเว้นให้ ปาซองขนมที่ถือติดมาด้วยใส่เป็นการแก้แค้นเล็กๆ น้อยๆ

     




     

    หนังฉายไปใกล้จะจบ เมธก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา

    “เจ้ ผมไปง้อแฟนเก่ามาละนะ”

     

    “หือ? ว่าอะไรนะ” อธินนั่งดูหนังเพลินจึงไม่ทันได้ฟัง

     

    “ไปง้อมาแล้ว” เด็กหนุ่มว่าซ้ำ

    “เหรอ แล้วเป็นไง ดีกันละซิ” พยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงรับรู้ประกอบ

     

    “ไม่รู้เหมือนกัน” เมธยกยิ้มมุมปาก ความสุขแผ่ออกมาจากตัวจนคนที่นั่งข้างๆ รับรู้ได้ เห็นดังนั้นก็ทำเอาหมั่นไส้ขึ้นมาตงิด 

     

    “กลับไปคืนดีได้แล้ว ฉันจะได้มีเวลาไปขึ้นเวรปั้มเงินมั่ง”

     



    ตั้งแต่เมธบอกจะมาทานข้าวด้วย เขาก็ขอวันหยุดวันเสาร์ตลอดมาเกือบจะสามสี่อาทิตย์แล้ว ยังดีที่วอร์ดเขานั้นไม่มีพวกสติไม่ดี อิจฉาตาร้อน ปากหอยปากปู ทำให้การขอวันหยุดผ่านไปด้วยดี ไม่มีเสียงว่ากระทบกระเทียบอย่างที่เพื่อนวอร์ดอื่นโดน

     

    “โหย แค่นี้ก็รวยจะแย่ละเจ้” เมธล้อ แต่ก็ชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะต่ออย่างรวดเร็ว “เออ แต่ทำเยอะๆ ก็ดีนะ หาเงินมาให้น้องใช้บ้างไรบ้างดิ” ไม่ว่าเปล่า ยื่นมือใส่หน้า กระดิกนิ้วเรียวยาวไปมา

     

    “เงินไม่มี เอามะเหงกไปก่อนสิไอ้เด็กบ้า”  เสียงร้องโอดโอยที่ฟังก็รู้ว่าแกล้งทำดังก้อง ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นเสียงหัวเราะประสานกันไม่หยุด

     



    หนังจบพอดีกับนาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าโมงเย็น แสงแดดเปรี้ยงตอนกลางวันกลับอ่อนลงเมื่อถึงเวลาสายัณห์ กระดิ่งที่แขวนไว้เหนือระเบียงส่งเสียงกรุ้งกริ้ง ท้องฟ้ากระจ่างตาถูกแต่งแต้มด้วยปุยเมฆขาว ไกลออกไปเห็นลิบๆ เหนือยอดตึกสูง นกฝูงหนึ่งกำลังบินร่อน

     


    วันเสาร์ทั้งทีจะให้อยู่แต่ในห้องทั้งวันก็ไม่ไหว อธินหันไปมองข้างหลัง เห็นคนตัวโตกำลังนั่งจัดกล่องหนังที่รื้อออกมาให้เข้าที่

     




              “นี่ ไปเดินเล่นกัน”

     


     

    .

    .

    .

     



    ตลาดนัดยามเย็นริมแม่น้ำเจ้าพระยาเวลานี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาเดินเล่นพักผ่อนอารมณ์ บ้างมากันทั้งครอบครัวตั้งแต่คุณปู่จนถึงหลานรัก หลายกลุ่มเป็นแก๊งเพื่อนสนุกสนานเฮฮา บางคู่หวานแหวนเดินเกี่ยวก้อยคุยกะหนุงกะหนิง มีจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่เดินลำพัง หรือไม่ก็อาจมารอพบใครสักคนเพื่อมาเดินด้วยกันก็ได้

     

    แล้วเขากับไอ้เด็กที่เดินหน้างอคอหักข้างๆ นี่จัดอยู่ในกลุ่มไหนกันนะ

     

    ภาพของเด็กน้อยร้องไห้ขี้มูกโป่งโวยวายเสียงดังถูกแม่ลากไปตามทางที่พวกเขาเดินผ่านเมื่อครู่ย้อนกลับมาในความคิด เปลี่ยนหน้าเด็คนนั้นเป็นคนข้างๆ แทน แค่คิดอธินก็เผลอหัวเราะออกมาจนเมธถามเสียงขุ่น

     

    “อะไรเจ้ หัวเราะคนเดียว ขำผมเหรอ”

     

    “ฮ่าๆ จะงอแงกลับก็ไมง้อนะ เชิญเลยจ้า” เพราะทราบดีว่าเด็กโข่งกำลังหัวเสียเพราะอากาศร้อนอบอ้าว และผู้คนจำนวนมากมายที่เดินเบียดเสียดกันอยู่

     




    ความจริงจุดเริ่มต้นของอาการดังกล่าวคนมาจากการที่เขาไม่ยอมพาเจ้าตัวนั่งแท็กซี่มาจากห้องพักเลยมากกว่า

     

    แหม เย็นวันหยุด ใครๆ ก็รู้ว่ารถติดขนาดไหน จะไปนั่งแท็กซี่ให้เปลืองทำไม นี่เลย รถเมล์ ประหยัดกว่าเป็นไหนๆ ยิ่งถ้าเมธไม่ดึงเขาไว้ตอนจะวิ่งไปขึ้นรถเมล์ฟรีล่ะก็นะ ตังค์สักแดงยังจะไม่กระเด็นออกจากกระเป๋า

     

    พอรถคันที่สองมา เขาขยับจะขึ้นก็โดนดึงไว้อีก ไม่ต้องรอให้ถามเมธชิงสั่งตัดหน้า

    ไปรถแอร์ ร้อนจะแย่น่าเจ้

    โหยยย เปลือง พัดลมก็ได้เถอะน่า รถติดนะเว้ยเมธรอรถมาเกือบยี่สิบนาที ช้ากว่านี้คือไม่ต้องไปละไหม

    งั้นแท็กซี่เสียงแข็งมาก จ้ะพ่อ เงินไม่ได้หาเองไง ใช้เป็นเบี้ยขนาดนี้

    ชิ แอร์ก็ได้เถอะ ให้อีกห้านาที ไม่มาก็รถอะไรก็ได้ล่ะ


    เขาแกล้งมันด้วยการกดโทรศัพท์จับเวลาแล้วคอยชูให้มันดูทุกครั้งที่เวลาผ่านไปหนึ่งนาที จนในนาทีที่สี่ รถเมล์สีเหลืองคันใหญ่ก็เข้ามาจอด ประตูขึ้นหยุดตรงปลายเท้าเมธพอดี

     เหอะ รถแอร์ก็ได้ เห็นแก่เหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นทั่วไรผมหรอกนะ

     

     






    “ไม่ได้งอแงสักหน่อย” เมธยังส่งเสียงขุ่นมาให้อีกระรอก

    “นี่ส่องกระจกละบอกหน่อยว่า หน้าอย่างนี้ไม่เรียกงอแง แล้วเรียกอะไร” เดินผ่านร้านขายเครื่องประดับผม กระจกบานใหญ่สะท้อนแสงเข้าตาพอดี ดึงเมธมาส่องหนังหน้าตัวเอง

     

    เมธส่องกระจกมองซ้ายขวาจนคนขายหยิบไม้ขนไก่มาปัดราวโบที่แขวนไว้ข้างๆ อธินจึงทำทีเลือกกิ๊บสีสดใสในตะกร้าใบใหญ่ กำลังคิดอยู่ว่าต้องเล่นใหญ่จนถึงเอากิ๊บมาลองเลยไหมคนขายถึงจะเลิกปัดฝุ่นไล้สักที ไอ้คนส่องกระจกก็พูดขึ้นลอยๆ

     


    “หล่อ” หันมายิ้มแป้นให้อีกต่างหาก อารมณ์บูดบึ้งเมื่อกี้หายไปแล้วหรือไง

    “ฮะ?”

    “หน้าแบบนี้เรียก หล่อ ไงเจ้ อะไรแปบเดียวลืม แก่แล้วจริงๆ สินะ ..โอ้ย” ฟาดหลังไอ้เด็กที่มาล้อเรื่องอายุเต็มมือ กำลังจะอ้าปากด่ามันก็ชิงพูดก่อน (อีกแล้ว)


    “เลือกตั้งนาน อยากได้เหรอเจ้” มือยาวคว้ากิ๊บโบว์สีเขียวสะท้อนแสงอันใหญ่ประมาณสามนิ้วขึ้นมา แปะป้าบบนหัว

    “เฮ้ยยย ไม่เล่น” จะหยิบออกก็โดนปัดมือทิ้ง เมธหัวเราะอารมณ์ดีที่เห็นอีกฝ่ายหน้าบึ้งบ้าง ควักตังค์จ่ายแล้วรีบลากอธินเดินต่อไป

     





     

    โบว์สีเขียวถูกย้ายไปอยู่ในถุงรวมกับสารพัดของที่แวะซื้อตามทาง คนหิ้วถุงอารมณ์ดีผิดกับขามาลิบลับ “แจกยิ้มไปทั่วแบบนี้อารมณ์ดีสินะ”

    “แน่นอนสิครับ” หันมายิ้มตาปิดไปอีก

    “แล้วเมื่อกี้ใครหน้างอ”  

      “ไม่มีเหอะ ใครไหน มีแต่คนหล่อเนี่ย” ถอนหายใจเสียงดังให้อีกฝ่ายหัวเราะคิกคัก หลงตัวเองเป็นยีนส์ที่ฝังมากับบ้านนี่หรือไงไม่ทราบ ไอ้เมก็บ้ายอ คิดว่าตัวเองสวยพอกัน

     






    เดินถึงโซนต้นไม้ที่ชื่นชอบ อธินเร่งฝีเท้าขึ้นมาเดินนำหน้า แวะร้านโน้นออกร้านนี้จนสองมือถือไม่พอก็นึกถึงคนที่เดินตามต้อยๆ ไม่บ่นให้รำคาญสักแอะขึ้นมาได้ เห็นแผ่นหลังกว้างชื้นเหงื่อจึงแวะไปนั่งพักกันที่ร้านกาแฟร่มรื่นใกล้ๆ

     

    “กินไร สั่งเลย เลี้ยงๆ” อารมณ์ดีแล้วก็เห็นใจไอ้เด็กที่หลอกมันมาถือของให้ตงิด

    “โกโก้ปั่น หวานน้อย วิปครีมหนักๆ เจ้ จัดไป” เมธสะบัดแขนไปมาให้เลือดลมเดินสะดวกจากการหิ้วของหนักเป็นเวลานาน เขาเดินไปสั่งเครื่องดื่มและใจดีให้โบนัสเป็นเค้กอีกคนละชิ้น

     


    ตอนที่เห็นพนักงานเอามาเสิร์ฟ เมธทำตาโต “หูย ส่งผิดโต๊ะป่าวเจ้ ทำไมมีเค้กด้วยอะ”

    “ถามมาก ไม่กินใช่ไหม” ดูก็รู้ว่ามันแกล้ง แหงล่ะ ปกติเนียนแย่งมันกินตลอด

     

    “อูย อย่างอนดิเจ้ กินสิครับ ของฟรีทั้งที”  

     

    ร้านกาแฟนี้กรุด้วยกระจกใสจึงทำให้มองเห็นข้างนอกได้ชัดเจน แม้บางมุมจะมีไม้ใหญ่แตกกิ่งก้านจนบังมิดก็ตามที


    “เจ้พี่ทิน ดูสิ เห็นไอ้เด็กนั่นปะ” เมธสะกิดคนที่กดโทรศัพท์ยิกๆ ขึ้นมาดู


    “ไหน...ทำไม” แค่เด็กน้อยคนหนึ่งที่อายุไม่น่าจะเกิน 5 ขวบ กระโดดขึ้นลงวิ่งไปมาคล้ายจะคว้าอะไรบางอย่าง “หัวเราะทำไม” ถามย้ำเมื่อคนเรียกหัวเราะไม่หยุด

     

    “ตลกไง ดูดิ สงสัยจะอยากจะเก็บฟองสบู่กลับบ้าน”

     

    อธินลองเพ่งมองดีๆ ก็จริงอย่างที่เมธว่า ฝั่งตรงกันข้ามเป็นร้านขายของเล่น ที่ตอนนี้เปิดเครื่องทำฟองอากาศโชว์หน้าร้าน มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งตามฟองสบู่ไปทั่วก่อนจะยื่นมือไปคว้าไว้ ทว่าเพียงแค่ผิวสัมผัสฟองสบู่ก็แตก หายวับไป

     

    แรกๆ เด็กน้อยยังคงหัวเราะร่า และรู้สึกสนุกทุกครั้งที่กระโดดโลดเต้นคว้าฟองสบู่ แต่เมื่อวิ่งไปจนเริ่มเหนื่อยจึงออกอาการหงุดหงิด

     

    “เดี๋ยวร้องไห้แน่ ร้อยต่อบาทเดียวเลย” เมธพูดหัวเราะว่าอย่างนึกสนุก

     

    เด็กน้อยเปลี่ยนจากวิ่งไล่จับไปเป็นวิ่งไล่ตีฟองสบู่ด้วยความโมโห และก็เป็นอย่างที่เมธกล่าวไว้ไม่มีผิด เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการเจ้าตัวเล็กก็เริ่มเบะปาก น้ำตาเม็ดโตร่วงเป็นสาย แผดเสียงร้องไห้จ้า จนแม่ที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่เข้ามาดูแลก่อนจะพากันเดินหายไป

     

    “แน่ะ ใช่ด้วย” เมธหัวเราะออกมาเมื่อเดาถูก

    “ยังจะไปหัวเราะน้องอีก เมื่อกี้นี่ไม่งอแงเลย” ลากเสียงยาวตรงคำว่าเลย เป็นเด็กนิสัยเสียงจริงๆ กับเด็กตัวเล็กๆ ก็ไม่เว้น

     

    “ไม่ต้องมาว่าเลย แล้วเมื่อกี้พนันชนะ เลี้ยงด้วยนะ” ว่าแล้วก็ยักคิ้วให้สองจึก

    “ไม่ใช่ละ ไปตกลงด้วยตอนไหนฮะ” พูดเองเออเองไม่เรียกว่าข้อตกลงนะเว้ย

    “น่าเจ้ ทำงานแล้วก็ใจใจหน่อย เลี้ยงน้องอะ” ทำหน้าอ้อนมาก อ้อนให้ตบบ้องหูชัดๆ


    เมื่อยังเห็นว่าคนโดนอ้อนไม่มีท่าทีจะใจอ่อน เมธก็เบิ้ลทอปปิ้งเพิ่มเองด้วยท่ากะพริบตาปริบๆ กับแก้มพองลม ก่อนจะเอียงคอ 45 องศา 



    “นะ..นะครับ”



     

    “โอ้ย พอๆ ทำแล้วใช่ว่าจะน่ารัก ถือไปให้หมดเลยนะถุงเนี่ย” สะบัดตูดรีบเดินนำออกไป ปล่อยให้เมธหัวเราะเสียงดัง

     


     

    ลำพังไอ้ลูกอ้อนอะไรทั้งหลายของมันน่ะ ใช้ไม่ได้ผลหรอก แต่มาตกม้าตายตรงเสียงอ่อนตอนท้ายต่างหาก ..นะครับ..โอ้ย อย่าไปบอกมันนะว่าแพ้คนพูดเพราะ เงินเดือนแค่นี้ก็ไม่พออยู่แล้วไหมนั่น

      

     

     

     





     เวลาผ่านไปจนตอนนี้เกือบสองทุ่ม เมื่อทั้งคู่เดินกลับเข้าไปในบริเวณตลาดอีกครั้ง บรรยากาศครอบครัวสุขสันต์ยามเย็นหายไปกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนของวัยรุ่น ร้านอาหารกึ่งผับ ร้านขายของมือสอง ร้านเสื้อผ้าสุดแนว ของแต่บ้านสุดเก๋มีให้เลือกชมละลานตา

     


              เมธหิ้วของพะรุงพะรังเต็มสองมือเดินนำไปที่ร้านอาหารกึ่งผับร้านหนึ่งที่คนบางตา ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปในร้านหมายจะนั่งโต๊ะด้านนอกร้านที่เป็นลานโล่ง ชมบรรยากาศยามค่ำคืนแต่กลับโดนดึงไว้

     


              “เหม็นบุหรี่ นั่งข้างใน” บอกแล้วก็เดินนำไปข้างในร้าน เมื่อเลือกที่นั่งได้พนักงานสาวก็เดินมายื่นรายการอาหาร




              “ทาวเวอร์นะ” พอจะได้กินฟรีนี่หูตั้งหางกระดิกมากจ้ะ สั่งเลยพ่อ ไม่ใช่เงินพ่ออยู่แล้วไหม

              “เออ สั่งเลย กินให้หมดนะ” แทนที่จะกลัวกันบ้าง กลับไปกวักมือเรียกพนักงานแล้วสั่งรายการยาวเหยียด ไม่ปล่อยให้คนจ่ายเงินได้มีโอกาสสั่งรายการอาหารของตัวเองแม้แต่น้อย พอพนักงานคล้อยหลังก็พูดเหน็บ

              “ถามเจ้าของเงินบ้างปะ ว่าอยากกินไร”

              “หึๆ สั่งของโปรดให้ละน่า”

     


              แอบทำปากยื่นเพราะเถียงไม่ออก ของที่สั่งมากว่าครึ่งก็เป็นของที่อธินชอบกินจริงๆ นั่นแหละ เขากินอาหารอยู่ไม่กี่อย่าง และที่ทำอาหารเองก็ไม่ใช่เพราะชอบ แต่เพราะไม่มีร้านไหนทำถูกปาก พอไม่ไหวเข้าก็หาเวลามาทำกินเอง อย่างน้อยรสชาติไม่ถูกใจก็รู้สึกปลอดภัยว่าไปซื้อมากินอยู่ดี จนสุดท้ายก็กลายเป็นว่าทำอาหารได้และถูกใจใครหลายคน หนึ่งในนั้นก็เป็นไอ้เมกับไอ้คนตรงหน้านี่แหละ

     




    เมื่อได้อาหารครบตามรายการที่สั่งก็เริ่มลงมือทาน แก้วเหยือกเย็นเจี๊ยบบรรจุของเหลวสีอำพันด้านบนเป็นฟองขาวถูกส่งมาให้ อธินไม่ลังเลยกซดทันทีก่อนจะร้องอุทานออกมาอย่างมีความสุข

    “ฮ้า” เพลงเพราะ อาหารอร่อย เบียร์เย็นเจี๊ยบ อ่า อยากให้เป็นวันหยุดไปทุกวันจริงๆ

    “ฟินเลย” ไอ้เด็กตรงหน้าเอ่ยแซว

              “แน่นอน โอ้ย อยากหยุดยาว” แล้วบทสนทนาก็กลายเป็นการบ่นเรื่องทำงาน คนไข้เรื่องมาก หมอขี้เหวี่ยง หัวหน้าวอร์ดเก็บกด ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาปวดหัวทุกวัน ไหงไอ้เด็กนี่ถึงได้นั่งหัวเราะไม่หยุดขนาดนี้นะ

     

      


               





     

               เบียร์แก้วสุดท้ายของทาวเวอร์ที่สองหมดไปค่อนแก้ว จู่ๆ ภาพของเด็กน้อยที่วิ่งไล่จับฟองสบู่ก็กลับเข้ามาในหัว

     



              “ไอ้เมธ แกว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงร้องไห้” กลิ่นนิโคตินลอยมาในอากาศทำให้เขาย่นจมูก

              “เด็กไหน”

              “เด็กที่วิ่งไล่ฟองสบู่ไง”

              “อ๋อ ก็อยากได้ฟองสบู่ปะ” เมธกำลังงงว่าคนตรงหน้าเป็นอะไร “อะไรเจ้ เมาแล้ว?”

              “พอไม่ได้ตามที่อยากได้ก็ร้องไห้สินะ” อธินพูดทวนคำตอบ “ไม่เมาย่ะ เบียร์แค่นี้ ไก่กา”





              “แต่ฉันว่านะ เด็กคนนั้นน่ะ ร้องไห้เพราะผิดหวังต่างหาก” สบตากันแล้วก็นิ่งไป ดวงตาสีเข้มสะท้อนแสงสลัวตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่เขารับรู้ ภาพดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแกมโศกต่างหากที่อยู่ในความคิด

     

              “ผิดหวังเหรอ” เสียงทุ้มดึงสติของอธินกลับเข้ามา

              “ถูกต้อง” ยกเบียร์ขึ้นจิบ อาหารเย็นหมดอย่างที่คนสั่งสั่งมาจริงๆ เหลือกับแกล้มพวกถั่วอบต่างๆ ไม่กี่ชิ้น

              “ทำไม”

              “ก็ฟองสบู่มันไม่เป็นอย่างที่เห็นไง ตอนลอยไปลอยมาก็สวยดี พออยากได้ คว้าเก็บดันแตก หายไปซะงั้น” ทำท่าประกอบการอธิบาย

              “ฮืม อย่างนั้นเหรอ”

              “ถูกต้องนะครับ” ยกเบียร์อึกสุดท้ายขึ้นซด “เย้ หมดกลับ” ยื่นเงินให้อีกฝ่ายไปจ่าย ขากลับได้แท็กซี่สมใจคนหิ้วของ เพราะตอนนี้เป็นเวลาของเช้าวันใหม่ รถเมล์หมดไปตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนแล้ว

     

             

              เมธยกของทั้งหมดเข้ามาในห้องอธิน ตกลงกันว่าพรุ่งนี้ค่อยมาจัดการอีกทีเพราะตอนนี้ง่วงกันทั้งคู่แล้ว

     

              “เพราะฉะนั้น อย่าตั้งความหวังล่ะ” อธินพูดขึ้นเมื่อเมธกำลังจะกลับห้อง

     

              “ครับๆ นอนเถอะเจ้ เดี๋ยวแพนด้ามาเรียกกลับฝูงนะ” ทั้งๆ ที่ตั้งใจกวนอีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้

              “ไม่คาดหวัง ก็จะไม่ผิดหวังนะ ทุกเรื่องเลย” อธินพูดย้ำก่อนจะเดินมาที่ประตู เปิดประตูให้

              “ครับ ไปละนะเจ้ ขอบคุณครับวันนี้” เมธยกมือขึ้นสูงโบกลา ทำท่าป่วนประสาทเต็มที่ ซึ่งคราวนี้ประสบความสำเร็จ

     

              “กวนตีน!

     

    ต้องโดนว่าอะไรสักอย่างถึงจะนอนหลับหรือไงไม่รู้

     




    .

    .

    .

     


    เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ทำให้คนที่กำลังบรรจงนวดใบหน้าที่เพิ่งชโลมครีมสารพัดชนิดลงไปชะงัก เดินมาชะโงก พอเห็นว่าปลายสายคือใครก็ยิ้มกว้าง แต่ก็ไม่รับสาย จนเมื่อเสร็จกระบวนการจึงโทรกลับ ยอมยิ้มกว้างไม่สนเรื่องตีนกาเพราะสายนี้เลยนะเนี่ย

     


    วันนี้ทำงานเหนื่อยมากเลย น้องใหม่ที่เข้ามาดันปรับเครื่องช่วยหายใจผิด คนไข้เกือบช็อค ทำวุ่นวายกันใหญ่เลยล่ะ ...อธินยิ้มน้อยใหญ่เมื่อได้เล่าเรื่องตื่นเต้นสุดๆ ที่เจอมาวันนี้ให้อีกฝ่ายฟัง


    เขารู้ว่าคนปลายสายไม่ใช่คนช่างพูด แต่ปกติก็คอยส่งเสียงอืออาให้รู้ว่าคอยฟังตลอด แต่ความเงียบที่ได้ยินอยู่ในขณะนี้ทำให้เขาแปลกใจ

     


    นี่ ..ฮัลโหล สายหลุดเหรอ..เงียบเกินไปจนนึกว่าสายหลุดไปแล้ว ขยับพลิกโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่านาฬิกาจับเวลายังคงขยับเหมือนปกติ สายไม่หลุด

     


    ฮัลโหล...ได้ยินไหม


    อ่าๆ โทษที พอดีเพื่อนไลน์มา..พูดเลยๆ ฟังอยู่ครับเสียงทุ้มยังคงอ่อนโยนเหมือนเคย


    อ๋อ เมื่อกี้ก็นึกว่าสายหลุด ถึงไหนละนะ คนไข้เกือบช็อคใช่ปะ ทีนี้ญาติคนไข้ก็โวยวายจะเอาเรื่อง แต่จู่ๆ คนไข้ก็หายใจเองได้ซะงั้นอะ โชคดีสุดๆ เลยล่ะ ...

     


    คราวนี้ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสายอีกตามเคย ซึ่งช่วงนี้เป็นบ่อยมากจนเกิดตะกอนขึ้นในใจ

     


    นี่ ฟังอยู่หรือเปล่าน่ะ..





    ครับๆ ทินก็รู้ใช่ไหมว่า ถ้าผมทำอะไรอยู่ก็อาจจะตอบไม่ได้นะ เดี๋ยวรอก่อนนะขอคุยกับเพื่อนก่อน

     



    ‘…….’




     

    คนที่ถูกบอกให้ถือสายรอวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะผ่อนออกมายาว ทั้งๆ ที่โทรมาหาแต่กลับไม่อยากคุยกัน เขาพยายามนับหนึ่งถึงสิบเพื่อให้ใจเย็น แต่นับได้ถึงห้า ก็กดตัวสีแดงบนหน้าจอทันที

    อธินนับต่อไปจนถึงสิบ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง หลอกตัวเองว่าอารมณ์ดีประหนึ่งอยู่ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์ทั้งที่ตะกอนในใจขุ่นขลัก กดเข้าแอพลิคเคชั่นแช็ท ส่งการ์ตูนรูปอาบน้ำฟอกสบู่เต็มตัวให้ปลายสายแล้วพิมพ์ไปว่า

     


    ไปอาบน้ำก่อน ร้อนมาก


    กดซ่อนชื่อบนรายชื่อคนที่ติดต่อด้วย วางโทรศัพท์บนหัวเตียง ปิดไฟล้มตัวลงนอน

     



    ...ลดระดับความสัมพันธ์...

     



    ที่ผ่านมาใช่ว่าเขาจะปล่อยให้คนโน้นเข้าหาฝ่ายเดียวเมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่คิดว่าทุกอย่างกำลังจะไปด้วยดี แต่ในเมื่อ ใจที่คิดว่าจะนำมาแลกไม่เท่ากัน เขาก็ขอปกป้อง ใจของตัวเองบ้างแล้วกัน

              และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่สิ่งที่อธินเชื่อถือมาตลอดเป็นจริง

     


              ยิ่งคาดหวัง ยิ่งผิดหวัง

     


     

    ……………….. To be continued ………………………….

    [09/09/2558]

              วันนี้เลขสวย ถือเอาฤกษ์งามยามดีมาลงค่ะ ค่อยๆ เขียนวันละนิดหน่อย จนตอนนี้ก็มาทันก่อน 1 เดือน เย้ (จุดพลุฉลอง!!)

              ใกล้ถึงเวลาที่ชีวิตคนเขียนจะต้องเลือกอีกแล้วละค่ะ อาจต้องหายไปอีกแล้วนะคะ //ขอโทษจริงๆ งื้อ

              *คุณหมูน้อย อ่องป่อง* ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ดีใจที่ชอบนะคะ ตัวละครอธินมาจากเพื่อนเราเองค่ะ จะว่านางมั่นก็มั่น นางโก๊ะก็โก๊ะ บางทีก็มึนๆ บ้าบอค่ะ :D

              ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ

     

    Lavender’s blue J

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×